มรดก 'สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ' ถึง 'กรมหมื่นเทพพิพิธ' สำเนียงเหน่อเฉพาะตัว ที่ฉีกจากสำเนียงสไตล์อีสาน

ในฐานะลูกหลานคนโคราช ที่มักมีคนถามผมว่าผมพูดโคราชหรือพูดอีสาน ผมบอกว่าผมฟังโคราชได้แปลออก ส่วนอีสานผมพูดได้ ฟังออกแต่สำเนียงค่อนข้างจะทองแดงไม่ใช่อีสานแท้ๆ หลายคนก็งงว่าทำไม? 

หลายคนก็ถามว่าจริงๆ โคราชก็เว้าอีสาน แต่ไม่ใช่ลาวหรือ? เออ !!! งงไปอีก ผมบอกไม่ใช่ เพราะโคราชมีแต่เจ้านายลาวมารบด้วย แต่ไม่เคยตั้งรกราก ก็ไม่น่าจะพูดอีสานเหมือนชาวบ้านเขา เอ้า !!! งงอีกที นี่แหละที่ทำให้ผมต้องหาคำตอบเพื่อให้ความงงของผมลดลงไปบ้าง

 

โดยคำตอบแรกต้องนับเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๐๐๐ กรุงศรีอยุธยาสถาปนาเมืองนครราชสีมา และสร้างกำแพงอิฐ กว่าจะสำเร็จมั่นคงลงหลักปักฐานต้องมีกำลังคนของอยุธยาจำนวนไม่น้อยถูกเกณฑ์ให้เคลื่อนย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่แม้จะต่างชาติพันธุ์ เช่น มอญ, เขมร, มลายู 

ซึ่งคนเหล่านี้จำเป็นต้องสื่อสารด้วยภาษาไทย (ในตระกูลภาษาไทย-ลาว) ที่มีสำเนียงต่างจากคนไทยใช้พูดทุกวันนี้ ได้แก่สำเนียงสองฝั่งโขง ซึ่งแพร่กระจายอยู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามาก่อนนานแล้ว ที่ปัจจุบันเรียก สำเนียงเหน่อ จนเกิดการผสมผสานเป็นรูปแบบเฉพาะ ตรงนี้ถือว่าว่าเป็นมรดกที่มีมาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ได้สร้างให้เมืองนครราชสีมากลายเป็นเมืองพระยามหานครขอบขัณฑสีมา

ภาษาอีสานสำเนียงโคราช จึงน่าจะมีรากเหง้าเค้าต้นจากสำเนียงหลวงกรุงศรีอยุธยาของคนต้นอยุธยาที่พูดสำเนียงเหน่อ 'สุพรรณ' ซึ่งเป็นสำเนียงหลวงอยุธยา พยานสำคัญได้แก่ เจรจาโขนด้วยลีลายานคางสำเนียงเหน่อ 

แต่เกิดการ Cross ด้านภาษากับลาวฝั่งไทย ซึ่งเมืองนครรราชสีมามีอาณาเขตครอบคลุมถึงและแลกเปลี่ยน ค้าขายกันอย่างเป็นปกติ ดังนั้นการพูดอีสานของคนโคราชจึงไม่เหมือนสำเนียงของใครในอีสาน “พูดอีสานแต่สำเนียงและคำบางคำไม่เหมือนอีสานที่อื่น” 

ส่วนภาษาโคราชที่เหน่อมากๆ และเป็นภาษาเฉพาะมาจากไหน? ถ้าเราจำเรื่องของ 'กรมหมื่นเทพพิพิธ' หรือ 'เจ้าพิมาย' แมวเก้าชีวิตสมัยอยุธยาได้ เรื่องสำเนียงและภาษาโคราชก็ถือว่าเป็นมรดกจากท่านนี่แหละ  

โดยก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ไม่น้อยกว่า ๓ - ๔ เดือน 'กรมหมื่นเทพพิพิธ' พระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศซึ่งต้องโทษเนรเทศไปอยู่ลังกาได้ระหกระเหินหนีมาจนถึงเมืองจันทบุรี แล้วก็ชักชวนชาวเมืองชายทะเลทางตะวันออกยกเป็นกองทัพหลายพัน เพื่อหวังจะมารบพม่าเพื่อแก้ไขกรุงศรีอยุธยา แต่แผนแตกเสียก่อน พม่ายกกองทัพมาตีจนแตกพ่าย ต้องหนีไปเมืองนครราชสีมาซึ่งเป็นพระยามหานครขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงศรีอยุธยา 

กรมหมื่นเทพพิพิธเมื่อมาถึงเมืองนครราชสีมาก็ประสบชะตากรรมเกือบถูกฆ่า แต่ก็รอดและได้รับสถาปนาเป็นเจ้าครองอาณาเขต เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สืบพระวงศ์พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีฯ ซึ่งเรียกกันว่า 'เจ้าพิมาย'

นอกจากกำลังพลจากหัวเมืองชายทะเลตะวันออกแล้วนั้น ยังมี 'ข้าเก่า' ของ 'เจ้าพิมาย' จากกรุงศรีอยุธยาหนีพม่าขึ้นไปตั้งหลักแหล่งเพิ่มเติมอยู่ด้วยอีกมาก ชาวอยุธยาก็ได้เคลื่อนย้ายมาเป็นเจ้านายขุนนาง, ข้าราชการ, พลไพร่ และผสมผสานกลุ่มคนดั้งเดิมที่อยู่มาก่อนกรุงแตกมานานอยู่พอสมควรแล้ว 

สำเนียงภาษาโคราชก็เป็นการผสมระหว่างการพูดเหน่อของสำเนียงหลวงอยุธยาตามข้างต้นผสมกับสำเนียงของชาวหัวเมืองทะเลตะวันออกของชาวระยองและชาวจันทบุรี ที่ได้มาเป็นกองกำลังให้กับ 'เจ้าพิมาย' ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย 

เพราะเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพมาปราบ 'ก๊กเจ้าพิมาย' แล้ว ก็ไม่ได้กวาดต้อนผู้คนชาวหัวเมืองตะวันออกเหล่านี้ลงมากรุงธนบุรี อีกทั้งคนพวกนี้ก็ได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองนครราชสีมาแล้ว สุดท้ายก็กลายเป็น 'คนโคราช' แล้วก็เกิดประเพณีใหม่กลายเป็น 'วัฒนธรรมโคราช' ที่โคตรเฉพาะตัวอย่างเช่น สําเนียงโคราช ที่กระเดียดไปทางสําเนียงชายทะเลตะวันออกแถบระยองและจันทบุรี ผสมสำเนียงเขมร แม้ผู้คนแถวปราจีนบุรีและนครนายกเมื่อสัก ๕๐ ปีมาแล้วก็พูดสําเนียงเก่าแบบ 'ยานคาง' ไม่ต่างจากสําเนียงโคราชนัก

ปัจจุบันภาษาและสำเนียงโคราชที่เป็นเฉพาะก็มีอยู่หลายอำเภอแต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะหลายอำเภอก็พูดอีสานแต่ทว่า 'ภาษาและสำเนียงโคราชมีความคล้ายความเหน่อของคนภาคตะวันออกแต่ภาษาแตกต่างออกไป'

ตัวอย่างที่ชัดก็คือ 'เพลงโคราช' ก็มีฉันทลักษณ์และลีลาเดียวกับเพลงพาดควาย, เพลงฉ่อย (ไม่ใช่ลําตัดที่เพิ่งเกิดสมัยรัชกาลที่ ๕) ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลาง แต่ต่างตรงอัตลักษณ์ด้านภาษาและสำเนียงที่แปร่งไป

นอกจากนี้ 'คนโคราช' ยังมีประเพณีอื่นๆ ที่เหมือนกับคนลุ่มเจ้าพระยาอยุธยาภาคกลาง เช่น กินข้าวจา, เคียวหมาก, ตัดผมเกรียน, นุ่งโจงกระเบน แม้กระทั่งศิลปวัฒนธรรมทางด้านสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม ที่ไม่เหมือนกับคนอีสานอื่นๆ เอาซะเลย 

นี่แหละถึงบอกว่าคนโคราชไม่ใช่ลาว และคนโคราชพูดบางอำเภอพูดโคราช บางอำเภอพูดอีสานแต่ก็เป็นอีสานที่เหน่อเป็นเฉพาะตนที่เรียกกันว่า 'เหน่อแบบโคราช' และวัฒนธรรมอื่นๆ ที่แตกต่างเฉพาะตน 


เรื่อง: สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager