คณะอนุญาโตฯ เลื่อนตัดสินคดีเหมืองทองไป 6 เดือน  เปิดทางให้ ‘ไทย-คิงส์เกต’ เจรจาต่อเพื่อยุติข้อพิพาท 

‘กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่’ ชี้แจงความคืบหน้าของคดีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการเจรจาแก้ไขปัญหาข้อพิพาท โดยคณะอนุญาโตตุลาการได้อนุญาตให้เลื่อนการออกคำชี้ขาดออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่กำหนดออกคำชี้ขาดในช่วงสิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายยังมีแนวโน้มที่ดีในการเจรจาแก้ไขปัญหาข้อพิพาทตามคำแนะนำของคณะอนุญาโตตุลาการ  

(10 ม.ค.67) นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เปิดเผยว่า จากกรณีข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นบริษัท อัครารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) คณะอนุญาโตตุลาการได้เลื่อนการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินออกไปอีก 6 เดือนจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ตามที่ทั้งสองฝ่ายร้องขอ ซึ่งเป็นกรอบระยะเวลาที่เชื่อว่าจะสามารถเจรจาให้ข้อพิพาทยุติลงได้ และเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายมากกว่า

สำหรับการกลับมาประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำอีกครั้งของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจาก บริษัท อัคราฯ ได้เริ่มกลับมาดำเนินการคำขอต่างๆ โดยเฉพาะคำขอต่ออายุประทานบัตรในพื้นที่เดิม และใบอนุญาตประกอบโลหกรรมที่ค้างอยู่ ตั้งแต่ปี 2563 ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยแร่และระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ดำเนินการตามกรอบนโยบายทองคำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่  

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่บริษัท อัคราฯ ได้กลับมาประกอบการอีกครั้ง ก็ได้มีการติดตามตรวจสอบผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายใต้รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA สำหรับการทำเหมืองแร่ และ EHIA สำหรับการประกอบโลหกรรมอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบควบคุมและเฝ้าระวังการทำเหมืองแร่ทองคำ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น  

“กรณีที่มีข่าวเรื่องการสั่งฟ้องเหมืองทองอัคราฯ ในความผิดฐาน ยึดที่ดินรัฐ-ครอบครองป่า-สร้างตะแกรงรุกทางหลวงนั้น เห็นว่าเป็นกระบวนการตามกฎหมายอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ไม่เคยแทรกแซงและไม่สามารถก้าวล่วงได้ ซึ่งหมายความว่า การดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายของไทยในกรณีดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหรือกระบวนการอนุญาโตตุลาการ รวมทั้งคณะอนุญาโตตุลาการยังไม่ได้มีการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินแต่อย่างใด” นายอดิทัต กล่าวปิดท้าย