กล่าวหา ‘กรมขุนชัยนาทฯ’ ทรงค้านตั้ง จอมพล ป. เป็นนายกฯ 10 ข้อบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมายล้มล้างสถาบันฯ

‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’ กับการตรวจสอบงานวิชาการของ ณัฐพล ใจจริง 

ประเด็นที่ 4 ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทรทรงไม่พอใจกับการขับไล่ ควง อภัยวงศ์ ลงจากอำนาจ  และค้านการแต่งตั้งจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทน’

1. ข้อความที่กล่าวถึงประเด็นนี้ของ ณัฐพล ใจจริง ใน หนังสือ: ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี (ฟ้าเดียวกัน, 2563)

>>จุดที่ 1 หน้า 73
“เหตุการณ์ชับไล่ควงลงจากอำนาจสร้างความไม่พอใจให้กับกรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการฯ เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงคัดค้านอย่างเต็มกำลังเรื่องการแต่งตั้งจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทนควง ทรงพยายามประวิงเวลาการลาออกของควงและคาดการณ์ว่ารัฐบาลจอมพล ป. และคณะรัฐประหารจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน สถานทูตรายงานต่อไปว่า พระองค์ทรงมีความเห็นว่าจากนี้ไปมีความเป็นไปได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาซึ่งแต่งตั้งโดยคณะผู้สำเร็จราชการและส่วนใหญ่สนับสนุนควงจะลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลจอมพล ป. ในกระบวนการทางรัฐสภา” 

(ณัฐพลอ้างอิงจาก NARA, RG 59 Central Decimal File 1945-1949 Box 7251, Stanton to Secretary of State, 7 April 1948; Stanton to Secretary of State, 8 April 1948, Memorandum of Conversation Prince Rangsit and Stanton, 9 April 1948 และ ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) (กรุงเทพฯ: ช. ชุมนุมช่าง, 2517) หน้า 612)

ในวิทยานิพนธ์: การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)

>> จุดที่ 1 หน้า 77
“เมื่อคณะรัฐประหารยื่นคำขาดให้ควง อภัยวงศ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีลาออกในวันที่ 6 เมษายน 2491 ทันที่ การยื่นคำขาดขับไล่รัฐบาลควงที่ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ให้การสนับสนุนลงจากอำนาจครั้งนี้ สถานทูตสหรัฐฯรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พระทัยให้กับกรมพระยาชัยนาทฯ ผู้สำเร็จราชการฯเป็นอย่างมาก โดยทรงพยายามให้ความช่วยเหลือ ควง ด้วยการทรงไม่รับจดหมายลาออก และทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหารแต่ความพยายามของพระองค์ไม่เป็นผล ทำให้ทรงบริภาษจอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะรัฐประหารว่า ‘ปัญหาทางการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย’ 

ทรงกล่าวว่า รัฐบาลของจอมพล ป. และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้มลง สถานทูตรายงานต่อไปว่า ทรงมีแผนการที่ใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ’กลุ่มรอยัลลิสต์ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนฯของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป’”
(ณัฐพลอ้างอิงจาก ที่เดียวกัน แต่ในวิทยานิพนธ์ไม่มีการอ้างเอกสารของประเสริฐ)

2. หลักฐานที่ค้นพบ

จากการตรวจสอบเอกสารที่ณัฐพล ใจจริง ใช้อ้างอิง คือ เอกสารชั้นต้นจากหอจดหมายเหตุสหรัฐฯ หรือเอกสาร NARA และหนังสือของประเสริฐ ปัทมสุคนธ์ พบว่า ไม่มีข้อความที่กล่าวว่า “พระองค์ทรงไม่พอพระทัย” และ “คัดค้านอย่างเต็มกำลัง” แต่อย่างใด 

2.1 เราสามารถแยกประเด็นของณัฐพลที่นำเสนอไว้ออกมาได้ 3 ส่วน ดังนี้

2.1.1 ทรงคาดว่าเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะดำรงอยู่ได้ไม่นาน และสมาชิกวุฒิสภาซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนควงจะลงมติไม่ไว้วางใจในกระบวนการรัฐสภา (อ้างอิงถูกต้อง)

ในส่วนประเด็นนี้ณัฐพลกล่าวได้ถูกต้อง โดยจากการตรวจสอบเอกสาร NARA พบว่ามีการระบุข้อความว่า “[…] he anticipated Field Marshal would experience difficulty in forming government […] Rangsit, had insisted cabinet must consist of good men and that not improbable Phibun and his government would be overthrown in few months time […] Attitude of Parliament, particularly Senate, which is largely pro-Khuan, also uncertain and rather than risk vote no confidence […]”

แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า…

“พระองค์ทรงคาดการณ์ว่า จอมพล ป. จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาล [...] ซึ่งพระองค์เจ้ารังสิตฯทรงย้ำว่า คณะรัฐมนตรีจะต้องประกอบด้วยคนดี และนั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามจะไม่ถูกล้มล้างในเวลาไม่กี่เดือนต่อจากนี้ […] สำหรับท่าทีของรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวุฒิสภาซึ่งส่วนมากเป็นพวกนิยมควงนั้นไม่แน่นไม่นอน และอาจลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้”

ดังนั้น ข้อความในส่วนนี้ณัฐพลจึงไม่มีปัญหาในการอ้างอิง

2.1.2 ทรงกล่าวว่า รัฐบาลของจอมพล ป. และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้มลง (อ้างอิงถูกต้องบางส่วน)

ข้อความส่วนนี้ปรากฏอยู่ในวิทยานิพนธ์ของณัฐพล ซึ่งแม้จะอ้างถูกต้องในคำพูดที่ว่า รัฐบาลจะถูกโค่นล้มลง แต่เป็นการ ‘คาดการณ์’ (anticipation) ของพระองค์เท่านั้นตามที่ได้กล่าวไว้ใน 2.1.1 มิใช่ว่าพระองค์จะมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ในส่วนนี้ณัฐพลจึงอ้างอิงถูกต้องเพียงบางส่วน 

2.1.3 จุดอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏในหลักฐานอ้างอิง (ไม่มีข้อความปรากฏ) ในส่วนที่ไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารพบว่าในวิทยานิพนธ์มีส่วนนี้อยู่มาก และถึงแม้จะแก้ไขในภายหลังตอนที่ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี แล้วก็ยังพบข้อความที่ไม่ปรากฏที่มาคงไว้เช่นเดิม คือข้อความที่ว่า…

1. “เหตุการณ์ขับไล่ ควง ลงจากอำนาจสร้างความไม่พอใจให้กับกรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการฯ เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงคัดค้านอย่างเต็มกำลังเรื่องการแต่งตั้งจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทนควง ทรงพยายามประวิงเวลาการลาออกของควง”

2. “เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พระทัยให้กับกรมพระยาชัยนาทฯ ผู้สำเร็จราชการฯเป็นอย่างมาก โดยทรงพยายามให้ความช่วยเหลือควงด้วยการทรงไม่รับจดหมายลาออก และทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหารแต่ความพยายามของพระองค์ไม่เป็นผล ทำให้ทรงบริภาษจอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะรัฐประหารว่า ‘ปัญหาทางการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย’”

3. “สถานทูตรายงานต่อไปว่า ทรงมีแผนการที่ใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ “กลุ่มรอยัลลิสต์ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนฯของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป””

4. 2.2 เมื่อพิจารณาจากเอกสารชั้นแรกเพิ่มเติม คือ เอกสารชั้นต้นจากหอจดหมายเหตุสหรัฐฯ ใน NARA, RG 59 Central Decimal File 1945-1949 Box 7251, Stanton to Secretary of State, 7 April 1948 (ผู้เขียนเข้าไม่ถึงเอกสาร) ; Stanton to Secretary of State, 8 April 1948, Memorandum of Conversation Prince Rangsit and Stanton, 9 April 1948 

ทั้งนี้ ได้พบข้อความที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ณัฐพลกล่าวถึง ดังนี้

ข้อความที่ 1 “This group told him coup d’etat party was determined force resignation Khuang government and place Phibun in power. They asked Prince Rangsit name Phibun Prime Minister.”

แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “คนกลุ่มนี้กล่าวกับพระองค์ว่า คณะรัฐประหารมีความประสงค์จะบีบให้รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ลาออก และตั้งจอมพล ป. พิบูลสงครามให้อยู่ในอำนาจ แทนโดยพวกเขาขอให้กรมขุนชัยนาทฯ ทรงเสนอชื่อจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรี”

ข้อความที่ 2 “He said he had summoned Phibun to appear before Council and that Field Marshal was accompanied by General Luang Kach, Field Marshal talked at length situation in Siam, menace of Chinese and Communists, and Rangsit said he talked very intelligently.”

แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “พระองค์ทรงเล่าว่าได้เชิญจอมพล ป. เข้าพบก่อนการประชุมของคณะองคมนตรี ซึ่งจอมพลได้เข้าพบพร้อมกับหลวงกาจสงคราม โดยจอมพล ป. ได้อธิบายถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ในสยามอย่างยาวยืด เช่น ภัยคุกคามจากพวกจีนและคอมมิวนิสต์ พระองค์เจ้ารังสิตฯกล่าวแก่ข้าพเจ้า (สแตนตัน) ว่า จอมพล ป. พูดได้อย่างชาญฉลาด” 

ข้อความที่ 3 “Council now faced with problem appointing new prime minister. […] Luang Kach said Phibun obvious man. Rangsit suggested since Phibun was Commander-in-Chief Army, someone else perhaps more suitable as prime minister. Luang Kach in very vehement manner declared military group would accept no one but Phibun.”

แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ขณะนี้คณะองคมนตรีกำลังเผชิญกับปัญหาของการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ […] หลวงกาจ สงครามได้กล่าวว่า ‘จอมพล ป. เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด’ แต่พระองค์เจ้ารังสิตฯ ตรัสแนะไปว่าเวลานี้จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ น่าจะมีบุคคลอื่นที่มีความเหมาะสมกว่าที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลวงกาจสงครามจึงประกาศกร้าวด้วยความฉุนเฉียวว่า ‘คณะทหารจะไม่ยอมรับใครเว้นเสียแต่จอมพล ป. เท่านั้น’”

จะเห็นได้ว่า หากณัฐพล ใจจริง อาศัยหลักฐานจากสหรัฐ ฯชิ้นนี้ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่มีส่วนใดของเนื้อหาที่ระบุว่า “กรมขุนชัยนาทฯ ทรงไม่พอใจกับการบังคับควงออกและคัดค้านอย่างเต็มกำลังในการแต่งตั้งจอมพล ป.” อยู่เลย พบเพียงข้อความที่กล่าวแต่เพียงว่า พระองค์ทรงไม่เห็นด้วยหากจอมพล ป. จะเป็นนายกแทนนายควง เพราะจอมพล ป. ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่แล้ว แต่สุดท้ายเมื่อคณะรัฐประหาร 2490 ยืนยันและประสงค์เช่นนั้นกรมขุนชัยนาทฯก็ทรงยอมกระทำตาม 

ควรบันทึกด้วยว่า หากอ่านรายงานฉบับนี้ของสแตนตันโดยละเอียดและวางใจเป็นกลาง จะพบว่า ไม่มีข้อความใดที่กรมขุนชัยนาทฯ บริภาษหรือแสดงความไม่พอใจต่อจอมพล ป. 

แต่การณ์กลับตรงข้ามกัน กล่าวคือ สแตนตันบันทึกไว้ด้วยตนเองว่า กรมขุนชัยนาทฯ ทรงชมจอมพล ป. ไว้หลายจุด อาทิ ทรงกล่าวว่าจอมพล ป. เป็นคนที่พูดได้อย่างชาญฉลาด น่าคล้อยตาม หรือกระทั่งมีคุณสมบัติเหมาะสม 

ดังนั้น หากณัฐพลเชื่อว่ากรมขุนชัยนาทฯ ทรงไม่พอใจจอมพล ป. ในกรณีบีบให้ควงออก ณัฐพลก็ต้องอ้างจากเอกสารฉบับอื่นที่ไม่ใช่ทั้งจากเอกสารสหรัฐฯ 

เพราะในรายงานทั้ง 2 ฉบับนี้ ล้วนมีแต่คำยกย่องชมเชยจอมพล ป. รวมถึงคำเตือนเกี่ยวกับความโลภของบรรดาคนใกล้ชิดของจอมพล ป. ซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวจอมพล ป. เองแต่อย่างใด

และเมื่อตรวจสอบหนังสืออีกเล่มที่ถูกอ้าง คือ รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) ซึ่ง ณัฐพล ได้ใส่เป็นเอกสารอ้างอิงเพิ่มเติมจากเอกสารสหรัฐฯ ในหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ก็ไม่พบข้อความส่วนใดที่กล่าวในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน พบเพียงแต่ข้อความว่า…

“คณะอภิรัฐมนตรีได้รับใบลาไว้แล้ว แต่หากว่าในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ยังมิได้มีบัญชาประการใด” (หน้า 612) 

ดังนั้น การอ้างอิงของ ณัฐพล ใจจริง ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นวิชาการอย่างยิ่ง 
เพราะไม่ได้อาศัยข้อเท็จจริงจากเอกสารต้นฉบับที่ใช้อ้างอิง โดยข้อความในงานวิชาการของเขาทั้ง 2 แห่งข้างต้น ได้ฉายภาพให้บทบาททางการเมืองและการต่อต้านจอมพล ป. ของกรมขุนชัยนาทฯ มีลักษณะเกินจริงและมุ่งประสงค์ร้ายต่อจอมพล ป. ทั้งที่เอกสารที่ใช้อ้างอิงไม่ปรากฏเนื้อหาเช่นนี้เลย

หมายเหตุ: ผู้เขียนไม่สามารถเข้าถึงเอกสาร NARA วันที่ 7 April 1948 ได้ แต่อย่างไรก็ตามเอกสาร NARA ทั้ง 3 ชุดเป็นเอกสารที่ระบุเนื้อหาเดียวกัน ต่างกันเพียงรายละเอียดที่สรุปย่อหรือขยายความเท่านั้น ซึ่งไม่ปรากฏข้อความตามที่ณัฐพลกล่าวอ้างใด ๆ ทั้งสิ้นตลอดทั้ง 2 ฉบับที่ผู้เขียนเข้าถึง

#จุดต่าง ๆ ในวิทยานิพนธ์ณัฐพลใจจริง

จุดที่สาม ได้เคยชี้จุดผิดพลาดในวิทยานิพนธ์ของอาจารย์ณัฐพล ใจจริง ไปแล้วสองจุด อันได้แก่ 

หนึ่ง การสร้างเรื่องให้กรมขุนชัยนาทฯ เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีหลักฐานตามที่ใส่ไว้ในเชิงอรรถ  

สอง การเขียนให้กรมขุนชัยนาทฯรับรองรัฐประหารอย่างแข็งขันโดยไม่มีหลักฐานตามที่ใส่ไว้ในเชิงอรรถ
มาคราวนี้ คือ จุดที่สาม 

ในวิทยานิพนธ์หน้า 77 หัวข้อ 3.5 จอมพลป. กับการล้มแผนทางการเมืองของ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ บรรทัดที่ 8-18 อ. ณัฐพลเขียนว่า…

“ในที่สุด เมื่อคณะรัฐประหารยื่นคำขาดให้ควง อภัยวงศ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีลาออกในวันที่ 6 เมษายน 2491 ทันที การยื่นคำขาดขับไล่รัฐบาลควงที่ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ให้การสนับสนุนลงจากอำนาจครั้งนี้ สถานทูตสหรัฐรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอพระทัยให้กับกรมพระยาชัยนาทฯ ผู้สำเร็จราชการเป็นอย่างมาก โดยทรงพยายามให้ความช่วยเหลือควงด้วยการทรงไม่รับจดหมายลาออก และทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหารแต่ความพยายามของพระองค์ไม่เป็นผล ทำให้ส่งทรงบริภาษจอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะรัฐประหารว่า ‘ปัญหาทางการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย’ ทรงกล่าวว่ารัฐบาลของจอมพล ป. และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้มลง สถานทูตรายงานต่อไปว่า ทรงมีแผนการที่ใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป” 

เนื้อความตอนนี้ใช้เชิงอรรถที่ 52 โดยอ.ณัฐพลอ้างเอกสาร 3 ชิ้น 

สำหรับข้อความครึ่งแรกที่ อ.ณัฐพลอ้างว่าเป็นรายงานจากสถานทูตสหรัฐความว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอพระทัยให้กับกรมพระยาชัยนาทฯ ผู้สำเร็จราชการเป็นอย่างมาก โดย 

(ก) ทรงพยายามให้ความช่วยเหลือควงด้วยการทรงไม่รับจดหมายลาออก และทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหารแต่ความพยายามของพระองค์ไม่เป็นผล 

(ข) ทำให้ทรงบริภาษจอมพลป. พิบูลสงครามและคณะรัฐประหารว่า ‘ปัญหาทางการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย’

(ค)  ทรงกล่าวว่า "รัฐบาลของจอมพล ป. และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้มลง” 

เมื่อตรวจสอบกับเอกสารที่ใช้อ้างอิงทั้ง 3 ชิ้นแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีข้อความดังที่ อ.ณัฐพลเขียนไว้นี้เลย และสำหรับข้อความครึ่งหลังที่ อ.ณัฐพลอ้างว่าเป็นรายงานจากสถานทูตสหรัฐอีกเช่นกันที่ว่า กรมพระยาชัยนาทฯ (ง) “ทรงมีแผนการที่ใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป” 

เมื่อเช็กกับเอกสารที่ใช้อ้างอิงทั้ง 3 ชิ้นแล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อความที่ระบุว่ากรมพระยาชัยนาทฯ ทรงทำการกระทำทั้ง 4 อย่างนี้เลย! อยากจะชวนให้มาดูเอกสารที่ใช้อ้างอิงกันไปทีละชิ้น

เอกสารชิ้นแรก NARA, RG 59 Central Decimal File 1945-1949 Box 7251, สแตนตันกับรมว.ต่างประเทศ วันที่ 7 เมษายน 2491 เนื้อความที่พอจะเกี่ยวข้องกับกรมพระยาชัยนาทฯ มากที่สุดในเอกสารชิ้นนี้ คือที่เขียนว่า 

“ถึงแม้รัฐบาลตัดสินใจว่าจะไม่มีการประชุมสภาสมัยวิสามัญจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน แรงกดดันจากผู้สำเร็จราชการและประธานวุฒิสภาอาจทำให้ต้องมีการประชุมสภาในเดือนพฤษภาคม เหตุผลคือ ถ้าปราศจากรัฐสภาก็ไม่มีคณะอภิรัฐมนตรี ไม่มีการแต่งตั้งวุฒิสภาชุดใหม่ ไม่มีประธานวุฒิสภาที่จะลงนามในคำสั่งของพระมหากษัตริย์ ไม่มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (tribunal) ที่จะบังคับใช้บทบัญญัติต่าง ๆ เกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” 

[“All though government decided no special session parliament advantages pressure from Regency and Senate president may result in May session. Reasons being no Regency council without parliament, no new Senate appointment, no Senate president to countersign orders, no constitutional tribunal to enforce new provisions particularly regards RP's.”] 

ผมคิดว่าเนื้อความส่วนนี้ชัดเจนในตัวเองว่า ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ อ.ณัฐพล เขียนว่าท่านกระทำเลย และไม่จำเป็นต้องอธิบายความใด ๆ อีก

นอกจากข้อความที่เกี่ยวกับท่านแบบเฉียด ๆ นี้แล้ว ไม่มีที่ใดในเอกสารชิ้นนี้ทั้งสิ้นที่กล่าวว่ากรมพระยาชัยนาทฯ (ก) ทรงพยายามช่วยนายควงโดยไม่รับจดหมายลาออกของเขาและทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของนายควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหาร หรือ (ข) ทรงบริภาษจอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะรัฐประหารว่า ‘ปัญหาการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย’ หรือ (ค) ทรงกล่าวว่า ‘รัฐบาลของจอมพล ป.และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้มลง’ หรือ (ง) ทรงมีแผนการที่จะใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป 

เช่นนั้นเรามาดูเอกสารชิ้นถัดไปกัน คือ NARA, RG 59 Central Decimal File 1945-1949 Box 7251, สแตนตันกับ รมว.ต่างประเทศ วันที่ 8 เมษายน 2491 ในเอกสารชิ้นนี้ก็ไม่มีข้อความที่กล่าวถึง (ก) กรมพระยาชัยนาทฯ ทรงพยายามช่วยนายควงโดยไม่รับจดหมายลาออกของเขา หรือทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของนายควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหารเลย 

ตรงกันข้าม เอกสารรายงานว่ากรมพระยาชัยนาททรงถูกจอมพลป. และคณะรัฐประหารบังคับให้เสนอชื่อจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายควง 

โดยจากคำบอกเล่าของพระองค์ที่ถ่ายทอดโดยสแตนตัน เริ่มต้นจากเช้าวันที่ 6 เมษายน 2491 ที่พระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริเสด็จมาเยี่ยมพระองค์พร้อมพระชายาและนายพันเอกท่านหนึ่ง และแจ้งให้พระองค์ทราบว่าคณะรัฐประหารตั้งใจจะบังคับให้นายควงลาออกแล้วตั้งจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และขอให้พระองค์เสนอชื่อจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาเมื่อคณะอภิรัฐมนตรีขอพบจอมพล ป.

จอมพล ป. ก็มาพร้อมกับหลวงกาจซึ่งเป็นคนสนิท และหลวงกาจบอกแก่คณะอภิรัฐมนตรีว่าทหารจะไม่ยอมรับใครเป็นนายกรัฐมนตรีนอกจากจอมพล ป. แม้กรมพระยาชัยนาทฯ จะทักท้วงว่านายกรัฐมนตรีควรเป็นคนอื่น เนื่องจากจอมพล ป. เป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่แล้วก็ตาม 

[“He said he had summoned Phibun to appear before Council and that Field Marshall was accompanied by general luang Kach. Field Marshall talked at length situation in Siam, menace of Chinese and communists, and Rangsit said he talked very intelligently. Prince Rangsit described developments which forced resignation Khuang and said Council now faced with problem appointing new Prime Minister. At this juncture Luang Kach said Phibun obvious man. Rangsit suggested since Phibun was Commander-In-Chief Army someone else perhaps more suitable as Prime Minister. Luang Kach in very vehement manner declared military group would accept no one but Phibun.”]

ทำให้ในที่สุดหลังจากที่คณะอภิรัฐมนตรีอภิปรายกันแล้วก็ต้องยอมให้แก่แรงกดดันและเสนอชื่อจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายควง

สำหรับ (ข) ทรงบริภาษจอมพล ป. พิบูลสงคราม และคณะรัฐประหารว่า ‘ปัญหาการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย’ – เอกสารชิ้นนี้รายงานว่ากรมพระยาชัยนาทฯ ทรงกล่าวกับสแตนตันว่า ทรงรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นโศกนาฎกรรมสำหรับประเทศสยาม และคนที่เป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดต่อประเทศคือกลุ่มผู้ติดตามทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายการเมืองที่รายล้อมรอบตัวจอมพลป. ซึ่งเป็นคนที่ไร้ศีลธรรม 

[“Prince Rangsit described these developments as real tragedy for Siam and said greatest danger lay in group of unscrupulous followers both military and political now surrounding Field Marshall.”] 

สำหรับ (ค) ทรงกล่าวว่า "รัฐบาลของจอมพล ป.และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้มลง" 

- เอกสารชิ้นนี้รายงานเพียงว่า กรมพระยาชัยนาทฯ ทรงกล่าวกับสแตนตันว่าจอมพล ป. ‘น่าจะ’ ประสบความยุ่งยากในการตั้งรัฐบาล” [“He anticipated Field Marshall would experience difficulty in forming government”] 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะพระองค์ยืนกรานกับเขาว่าคณะรัฐมนตรีต้องประกอบด้วยคนดี [“He, Prince Rangsit, had insisted that cabinet must consist of good men.”] 

และทรงยอมรับว่า “ไม่ได้ถึงกับเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวที่จอมพลป. และรัฐบาลของเขาจะถูกโค่นล้มในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” [“not improbable Phibun and his government would be overthrown in few months time.”] 

สำหรับ (ง) ทรงมีแผนการที่จะใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป – เอกสารชิ้นนี้รายงานเพียงว่าพระองค์ทรงกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่รัฐสภาโดยเฉพาะวุฒิสภาจะตอบโต้กลับด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจจอมพล ป. เนื่องจากท่านทรงทราบองค์ประกอบที่เป็นอยู่ของรัฐสภาและทราบว่าวุฒิสภาส่วนใหญ่สนับสนุนนายควงซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง  ดังนั้นจึงอาจลงมติไม่ไว้วางใจจอมพล ป. 

[“attitude of parliament particularly Senate which is largely pro-Khuang, also uncertain and rather than and risk vote no confidence by fighting parliament”] 

และท่านก็ได้กล่าวตามมาด้วยว่า จอมพล ป. อาจจะเลือกใช้วิธียุบสภาหรืออย่างน้อยก็ยกเลิกวุฒิสภาเพื่อให้รัฐบาลของตนมั่นคงจากการถูกลงมติไม่ไว้วางใจ 

[“Phibun may seek dissolution present parliament or at least of Senate by putting pressure on Supreme State Council which appointed Senate”] 

ซึ่งเท่ากับพระองค์เองก็ตระหนักอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้อาจอยู่รอดได้

ดังที่อ้างไปแล้ว ซึ่งเท่านี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าทรง “มีแผนการที่จะใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ทั้งวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรนั้น จะเห็นได้จากเอกสารชิ้นต่อไปว่าพระองค์แทบไม่มีศรัทธาเท่าใดนักเสียด้วยซ้ำ 

ดังนั้น กรณีนี้ก็อีกเช่นกันที่ผมอยากจะกล่าวว่า ถ้า อ.ณัฐพลทำงานแบบที่อ้างไว้เกี่ยวกับวิธีวิทยาโดยให้ความสำคัญกับบริบทในการตีความจริง ๆ ก็ควรยกบริบทและปัจจัยแวดล้อมมาชี้ให้เห็นแบบชัด ๆ เลยว่าเพราะเหตุใดจึงควรเชื่อว่าท่านมีการกระทำเช่นนี้จริง โดยไม่ต้องหลบอยู่หลังคำรายงานของสแตนตัน (อีกแล้วครับท่าน)  ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้วว่าความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้รายงานแบบนั้นด้วย 

อนึ่ง อยากเสริมว่า ตัวสแตนตันเองเขากล่าวถึงการรัฐประหารครั้งนี้ว่า “เขารู้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด้วยความเสียดายอย่างยิ่งว่าเป็นการใช้กำลังโดยพลการ” [“I said I most unhappy at turn of events and knew US government could only view this further instance arbitrary use force with great regret.”] 

แต่คิดว่า อาจารย์ณัฐพลคงไม่สนใจท่าทีของสแตนตันต่อรัฐประหารที่กระทำโดยจอมพล ป. เท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับรัฐประหารที่อาจารย์ยัดเยียดให้ กรมขุนชัยนาทฯ ทรงรับรอง ‘อย่างแข็งขัน’ ใช่ไหม? 

แล้วก็มาถึงเอกสารชิ้นที่สามคือ NARA, RG 59 Central Decimal File 1945-1949 Box 7251, บันทึกบทสนทนาระหว่างพระองค์เจ้ารังสิตกับสแตนตัน วันที่ 9 เมษายน 1948 เอกสารชิ้นนี้มีเนื้อความซ้ำกับเอกสารชิ้นที่สามค่อนข้างมาก จะมีจุดที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีที่ใดเลยที่สแตนตันรายงานว่ากรมขุนชัยนาททรง (ก) พยายามช่วยนายควงโดยไม่รับจดหมายลาออกของเขา หรือทรงสั่งการให้วุฒิสภามีมติให้ระงับการลาออกของนายควงเพื่อท้าทายอำนาจของคณะรัฐประหาร 

สำหรับ (ข) ทรงบริภาษจอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะรัฐประหารว่า “ปัญหาการเมืองเกิดจากทหารและนักการเมืองที่ชั่วร้าย” 

เอกสารชิ้นนี้บันทึกคำกล่าวของพระองค์ว่า ทรงผิดหวังที่จอมพล ป. ไม่สามารถรักษาคำพูดและควบคุมคนของเขาได้ดังที่เคยให้ไว้กับพระองค์และคนอีกหลาย ๆ คนว่า เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และทรงกล่าวว่าพระองค์รู้สึกว่า จอมพล ป และผู้สนับสนุนของเขาได้ทำความผิดพลาดที่เป็นอันตรายในการที่จู่ ๆ ก็ไล่รัฐบาลที่พวกเขาเองเป็นผู้สร้างขึ้นและชื่อเสียงของนายพลรวมทั้งเกียรติยศของพวกของเขาจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 

สำหรับ (ค) ทรงกล่าวว่ารัฐบาลของจอมพล ป. และคณะรัฐประหารจะต้องถูกโค่นล้ม และ (ง) ทรงมีแผนการที่จะใช้ฐานกำลังทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และ ‘กลุ่มรอยัลลิสต์’ ในรัฐสภาทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงแต่งตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลต่อไป 

เอกสารชิ้นนี้รายงานว่าทรงแสดงความคิดเห็นว่ารัฐบาลของจอมพล ป. น่าจะอยู่ได้ไม่กี่เดือน โดยทรงอธิบายว่าจอมพล ป. เป็นคนทะเยอทะยาน และคนรอบ ๆ ตัวเขาก็เป็นแบบเดียวกัน และสิ่งนี้จะย้อนกลับมาทำลายตัวจอมพล ป. เอง และเมื่อสแตนตันสอบถามพระองค์ว่าทรงคิดว่าจอมพล ป. จะสามารถพึ่งการสนับสนุนของรัฐสภาได้มากหรือไม่ ทรงตอบว่าวุฒิสภาส่วนใหญ่ไม่เอาจอมพล ป. แต่สภาผู้แทนราษฎรนั้น พระองค์คิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะสภาแห่งนี้ไม่ใคร่จะมีความรู้ความสามารถเท่าใดนัก 

บวกกับมีการทุจริตคอร์รัปชันด้วย จึงคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้นเมื่อจอมพล ป. ขอมติไว้วางใจจากพวกเขา และจะไม่ทรงแปลกใจเลยหากมีการเพิ่มแรงกดดันให้คณะอภิรัฐมนตรีต้องยุบวุฒิสภาเป็นอย่างน้อยซึ่งจะลดความเสี่ยงที่พิบูลจะถูกลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 

“(I inquired whether he thought Phibun could count on much parliamentary support. Prince Rangsit replied that so far as the Senate was concerned sentiment there was largely anti-Phibun and pro-Khuang. As for the lower house he seemed to think that anything could happen and went on to explain that the caliber of members of the lower house was pretty poor and many of the members open to corruption. He said it was really difficult to say what might happen if Phibun appeared before parliament as now constituted and ask for vote of confidence. He said it would not surprise him if further pressures were brought on the council to dissolve at least the Senate which then would lessen the risk of a non-confidence vote. (It will be recalled that following the coup d’état of November 8 the Senate was appointed by the supreme council of state)”


ที่มา: ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย