ศาลพิพากษาให้ 'กรมที่ดิน' ชดใช้ 'ธนาธร' 4.9 ล้านบาท ปมสั่งเพิกถอน 'น.ส.3ก.' ราชบุรี เนื้อที่ 81 ไร่เศษ

‘ศาลปกครองกลาง’ พิพากษาให้ ‘กรมที่ดิน’ ชดใช้ค่าเสียหาย ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ 4.9 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ปมออกคำสั่งเพิกถอน ‘น.ส.3 ก.’ จ.ราชบุรี เนื้อที่ 81 ไร่เศษ ชี้แม้ที่ดินทั้ง 2 แปลง จะออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็น ‘บุคคลภายนอก’ ที่ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต-เสียค่าตอบแทน

(27 ก.ย. 66) ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2218/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 1839/2566 ซึ่งเป็นคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องกระทรวงมหาดไทย (มท.) กับพวกรวม (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง กรณีอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ในพื้นที่ จ.ราชบุรี ของนายธนาธร

โดยศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 4,912,311.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดใน พ.ร.ฎ.ซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ของต้นเงินจำนวน 4,785,782.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ ภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คืนค่าธรรมเนียมศาลแต่บางส่วนตามส่วนของการชนะคดีแก่ผู้ฟ้องคดี ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 3 และที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

เนื่องจากศาลฯเห็นว่า จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินของหน่วยงานต่าง ๆ ตามหลักวิชาการที่ดินประกอบกับเมื่อพิจารณาจากแผนที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดิน มาตราส่วน 1 : 30,000 ระวาง 4836 II 5006 แล้วเห็นว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของผู้ฟ้องคดี อยู่ในแนวเขตที่ดิน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2521 ได้กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” หมายเลข 85

และต่อมาได้มีการประกาศกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี”ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,069 (พ.ศ.2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) ตามข้อ 3 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497) และข้อ 8 (2) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497

จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย รองอธิบดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มอบหมาย จึงมีอำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ได้

ดังนั้น คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3.ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี อาศัยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และการใช้ดุลพินิจเช่นเดียวกัน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 158 ออกให้แก่นาย อ. และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 159 ออกให้แก่นาย ช. เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2521 ตามโครงการเดินสำรวจโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 58 และมาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

ต่อมา นาย อ. และนาย ช. ได้จดทะเบียนขายให้แก่ บริษัท ร. เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2528 หลังจากนั้น บริษัท ร. ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่นาย ส. เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 และนาย ส. ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2543

ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับความเสียหาย เมื่อนายอำเภอจอมบึงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กระทรวงมหาดไทย) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ความรู้ความชำนาญและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินว่าเป็นที่ดินที่ต้องห้ามออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ตามกฎหมายหรือไม่

ซึ่งตามวิสัยและพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เมื่อนายอำเภอจอมบึง ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องไม่รับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอจอมบึง

แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนายอำเภอจอมบึงในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

ส่วนในการพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี จะต้องพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับ ณ วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2565 และไม่ปรากฏว่ามีราคาซื้อขายที่ดินกันตามปกติในท้องตลาดในวันดังกล่าว

จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายโดยเทียบเคียงจากบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รอบบัญชี ปี พ.ศ.2559–พ.ศ.2562 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง ประกาศกำหนด เนื่องจากอัตราดังกล่าวเป็นการกำหนดราคาที่ดินที่มีความเป็นกลางและใช้บังคับอยู่จนถึงวันที่มีการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)

เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 158 มีเนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน มีราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาตารางวาละ 160 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 2,800,000 บาท และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 159 มีเนื้อที่ 38 ไร่ 67 ตารางวา มีราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาตารางวาละ 190 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 2,900,730 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 5,700,730 บาท

อย่างไรก็ดี ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 4,785,782.98 บาท ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ และผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทำละเมิด คือ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 จนถึงวันที่ฟ้องคดี (10 ตุลาคม 2565) คิดเป็นดอกเบี้ยก่อนฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน 126,528.23 บาท ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 4,912,311.21 บาท

ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นรายเดือน เดือนละ 13,666.67 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และค่าเสียหายจากการเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดิน โดยค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 จนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงินจำนวน 86,555.57 บาท นั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีไม่เคยเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน และไม่เคยมีรายได้จากที่ดินแปลงพิพาท อีกทั้งผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างลอยๆ ปราศจากพยานหลักฐานการให้เช่าที่ดิน กรณีจึงถือไม่ได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายจากการทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี

สำหรับคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน และเนื้อที่ 38 ไร่ 67 ตารางวา ตามลำดับ ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) ทั้งสองแปลงของผู้ฟ้องคดี

เนื่องจากตำแหน่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3.ก.) พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (หมายเลข 85)” ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามมิให้ดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวรและเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3.ก.) ตามข้อ 3 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497) และข้อ 8 (2) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2497) ออกตามความพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497

ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) ได้มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2565 กรมที่ดิน โดยคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 747/2565 ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในพื้นที่ ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 59 ฉบับ เนื้อที่รวม 2,111-1-69 ไร่ ที่ได้ออกเมื่อปี 2521 ตามโครงการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยใช้ระวางรูปถ่ายทางอากาศมิได้แจ้งการครอบครองที่ดิน

เนื่องจากที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (หมายเลข 85)” ซึ่งต่อมาได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี เมื่อปี 2527 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวร และเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออก น.ส.3 ก. ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497) ข้อ 3 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า น.ส.3 ก.ดังกล่าว ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สมควรเพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 ฉบับ