‘กรณ์’ ขึ้นเวทีดีเบตสงขลา ลั่น!! ขอแก้ปัญหาทุนผูกขาด หากทำได้ ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์เกิด คนไทยจะลืมตาอ้าปาก

‘กรณ์’ ขึ้นเวทีดีเบตสงขลา ลั่น!! คนไทยจะลืมตาอ้าปากได้ ต้องรื้อระบบทุนผูกขาด หยุดการเมืองสกปรก แนะปรับทัศนคติผู้นำ เปลี่ยนความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ให้โอกาสประชาชนร่ำรวย เชื่อ!! ชาวสงขลาเปิดทางให้ลูกชาวบ้านเป็นผู้แทน 

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ขึ้นเวทีดีเบต ที่จังหวัดสงขลา ณ สวนสาธารณะ เมืองสงขลา โดยกล่าวว่า วันนี้ตนขอมาให้คำตอบสั้น ๆ ชัด ๆ ว่าเราจะช่วยให้พี่น้องชาวใต้และคนไทยทั้งประเทศลืมตาอ้าปากได้ ต้องรื้อระบบทุนผูกขาดที่เป็นต้นตอทำให้ประชาชนทั้งประเทศไม่สามารถที่จะแข่งขันได้ ไม่มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในชีวิต และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สินค้า ค่าครองชีพของพี่น้องสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องคนไทยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และถามว่าเรื่องทุนผูกขาดเราจะแก้ได้อย่างไรจึงจะแก้ได้ เป็นโอกาสและเป็นสิทธิของพี่น้องประชาชน ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้

นายกรณ์ กล่าวว่า ทุนผูกขาดจะแก้ได้ ต้องรื้อระบบการเมืองสกปรก ยิ่งการเมืองที่ใช้เงินมากแค่ไหน ก็คือเขาต้องพึ่งพาทุนผูกขาดมากแค่นั้น เพราะทุนผูกขาดอยู่ได้ด้วยอำนาจทางการเมืองที่รักษาสิทธิการผูกขาดของเขาไว้ เพราะฉะนั้น ยิ่งการเมืองต้องพึ่งการใช้เงิน เพื่อมาซื้อสิทธิขายเสียง ยิ่งเป็นการเมืองที่ไม่สามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ แก้ปัญหาทุนผูกขาดเพื่อที่จะเอาอำนาจกลับคืนมาให้กับพี่น้องประชาชน ทุนผูกขาดสร้างปัญหาน้ำมันแพง สร้างปัญหาค่าไฟแพง เราพรรคชาติพัฒนากล้ามีข้อเสนอชัดเจนให้กับรัฐบาล สามารถลดค่าไฟให้กับพี่น้องประชาชนได้ทันที หน่วยละเกือบ 1 บาท วันนี้รัฐบาลมีมติลดค่าไฟให้พี่น้องประชาชน 2 สตางค์ หมายความว่าถ้าพี่น้องมีการใช้ไฟ 500 หน่วย จะได้รับการลดค่าไฟ 10 บาท ขอให้หยุดเกรงใจทุนผูกขาดและชีวิตที่ดีขึ้นจะเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน โอกาสจะเป็นของทุกท่าน นี่คือเรื่องที่ผู้สมัครคนรุ่นใหม่ของพรรคชาติพัฒนากล้าให้คำมั่นสัญญา ว่าเราจะมาสู้กับทุนผูกขาดและสู้กับทุนสกปรก เพื่อโอกาสที่ดีขึ้นของพี่น้องคนใต้ ชาวสงขลา และคนไทยทุกคน 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีจุดเริ่มต้นมาเมื่อปี 2547 ขณะที่ตนเริ่มมาทำงานการเมืองในปี 2548 เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตทางการเมือง ตนได้ยินมาโดยตลอด ทั้งวาทะกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สันติภาพ สันติสุข เสมอภาค แต่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น สิ่งที่ตนมั่นใจว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น กับสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ทัศนคติของผู้นำ โดยเปรียบเทียบกับพี่น้องชาวอีสาน ถ้าผู้นำเลือกที่จะมองว่าอีสานเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ดังนั้น ยังไงก็ต้องยากจน อีสานก็จะยากจน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเริ่มจากทัศนคติในทางลบ โอกาสที่จะฝ่าด่านอุปสรรคทัศนคตินั้นได้มันยากมาก แต่ถ้าเราเลือกที่จะมองว่า อีสานเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนที่ขยันขันแข็ง ปลูกข้าวหอมมะลิที่ชาวโลกนิยม และเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศ ที่มีความใกล้ชิดกับพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออก ที่มีแนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากที่สุด พอเริ่มคิดอย่างนี้จะเริ่มเห็นโอกาสทันที อีสานก็มีโอกาสที่จะพัฒนาได้ 

“ทัศนคติต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เช่นกัน ตราบใดที่ผู้นำรัฐบาลยังมองว่า สามจังหวัดชายแดนภาคใต้คือปัญหา สิ่งที่เราจะเห็นคือการทุ่มงบประมารเพิ่มเติมลงไป ปีแล้วปีเล่า ซึ่งมองว่า การที่ทุ่มงบประมาณอย่างไม่จบไม่สิ้นลงไปในพื้นที่ คือสาเหตุต้นตอของความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัด เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนทัศนคติก่อนอื่น หันมามองสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นพื้นที่แห่งโอกาส เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งการเกษตร ประมง มีวัฒนธรรม ศาสนา ใกล้เคียงกันกับประเทศอภิมหาเศรษฐีของโลก เป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเราทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ ที่ร่ำรวยที่สุดในอาเซียน ล้วนแล้วแต่เป็นโอกาส หากเราเปลี่ยนทัศนคติในทางบวก เราสามารถกำหนดนโยบายที่ถูกต้องและที่สำคัญลดบทบาท ลดงบประมาณ ที่เป็นต้นตอของความขัดแย้งที่สำคัญของทุกวันนี้” นายกรณ์ กล่าว 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า วันนี้ตนมั่นใจว่าพี่น้องชาวใต้ต้องการกลับไปสู่การเมืองที่ปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และต้องการพรรคการเมืองที่ให้โอกาสคนยากคนจนได้มีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่ เป็นตัวแทน เป็นร่างทรงของพี่น้องประชาชน อย่างนายจูรี นุ่มแก้ว และผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 4 คนของพรรคชาติพัฒนากล้า นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าพี่น้องชาวใต้ต้องการพรรคการเมืองที่เข้าใจคำว่า ลงมือทำ แก้ปัญหาปากท้อง แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับพี่น้องชาวใต้และคนไทยทุกคน ที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้