โอกาสริบหรี่!! ‘José Salvador Alvarenga’ ชายผู้รอดชีวิต หลังลอยเรือกลางมหาสมุทรแปซิฟิกนานถึง 438 วัน

สวัสดีนักอ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกแล้ว วันนี้จะขอเล่าเกี่ยวกับเรื่องการเอาชีวิตรอดกลางทะเลของผู้ชายที่ชื่อว่า José Salvador Alvarenga ผู้ซึ่งลอยเรืออยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นเวลากว่า 438 วัน เป็นระยะเวลากว่า 6,700 ไมล์ ต้องบอกเลยว่าเรื่องราวของเขานั้นนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อและมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ๆ

แต่ก่อนจะเล่าเรื่องของ José Salvador Alvarenga ผมขอเล่าเรื่องที่คล้าย ๆ กันก่อน โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นราว ๆ 200 ปีก่อน สมัยนั้นการขนส่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการขนส่งทางเรือ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้น เกิดกับกัปตันเรือที่ชื่อ Jukichi และลูกเรืออีกสี่คน โดยพวกเขาได้ออกเดินเรือ Tokujomaru เพื่อนำถั่วเหลืองไปส่งที่เมืองเอโดะ (เมืองโตเกียวในปัจจุบัน) แต่โชคร้ายที่พวกเขาประสบกับพายุลูกใหญ่ และพายุก็ทำให้เสากระโดงเรือของพวกเขาเสียหายหนัก

แม้เรือจะเสียหาย แต่ก็ยังสามารถลอยลำอยู่กลางทะเลอันเวิ้งว้างได้ กัปตันเรือแลลูกเรือกินอาหารและดื่มน้ำที่บรรทุกมาจนหมด ทำให้ต้องรองน้ำฝนเก็บไว้ดื่ม และต้องกินถั่วเหลืองที่บรรจุกมาแทน 

เวลาผ่านไปหลายเดือน พวกเขาก็เริ่มป่วยด้วยโรคเลือดออกตามไรฟัน เนื่องจากร่ากายขาดสารอาหาร และเมื่อเวลาผ่านไปอีก ลูกเรือบางคนก็เสียชีวิตไปทีละคน เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งปี ก็เหลือเพียงแค่กัปตันเรือและลูกเรืออีกสองคน (Otokichi และ Hanbe) เท่านั้น

สุขภาพของพวกเขาเริ่มย่ำแย่ และมีแววว่าจะเสียชีวิตในอีกไม่นาน แต่ท้ายที่สุดเรือของพวกเขาก็ลอยมาติดที่นอกชายฝั่ง California ในปี 1815 ทำให้พวกเขาทั้งสามคนเป็นชาวญี่ปุ่นกลุ่มแรกที่มาเหยียบชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา

ทั้งสามได้รับความช่วยเหลือจนสุขภาพดีขึ้น และได้เดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น แต่น่าเศร้าที่ Hanbe เสียชีวิตระหว่างการเดินทางกลับ จึงเหลือเพียงแค่กัปตัน Jukichi และ Otokichi ที่รอดชีวิตกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด

เมื่อมาถึง Jukichi ได้รับเกียรติมากมาย และได้รับนามสกุล Oguri ด้วย

จวบจนถึงปัจจุบันนี้เรื่องราวของทั้งสี่คนยังเป็นสถิติโลกในเรื่องการรอดชีวิตในทะเลเป็นเวลาที่ยาวนานที่สุด โดยพวกเขาใช้ชีวิตกลางทะเลรวมทั้งสิ้น 484 วัน ระยะทางกว่า 5,000 ไมล์

สำหรับเรื่องราวการรอดชีวิตของ José Salvador Alvarenga นั้นนับเป็นเรื่องราวที่ถููกพูดถึงในหลากหลายแง่มุม บางคนก็เคลือบแคลงใจที่เขาสามารถรอดชีวิตมาได้ บางคนก็ชื่นชมในความอทนของเขา 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2014 ขณะนั้นตัวเขาอายุราวๆ 37 ปี ได้ว่ายน้ำเข้าฝั่งที่ Tile Islet ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Ebon Atoll บนหมู่เกาะ Marshall ในสภาพเปลือยกาย ถือมีด และตะโกนเป็นภาษาสเปน เขาได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในเมืองมาจูโร ก่อนที่จะบินกลับไปหาครอบครัวในเอลซัลวาดอร์ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2014 

สื่อรายงานว่าเขาใช้ชีวิตในทะเลตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2012 และรอดชีวิตจากการกินปลาดิบ เต่า นกตัวเล็ก ปลาฉลาม และน้ำฝน โดยใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ประมาณ 14 เดือนก่อนถูกพบ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2012 José Salvador Alvarenga ได้ออกเรือจากหมู่บ้านชาวประมง Costa Azul ในเม็กซิโก พร้อมด้วย Ezequiel Córdoba ชาวประมงวัย 23 ปี เพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งพวกเขาไม่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน 

Alvarenga ตั้งใจจะใช้เวลา 30 ชั่วโมงในการตกปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งในระหว่างนั้นเขาหวังว่าจะจับปลามาร์ลิน และปลากะพง แต่เพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยของเขาไม่สามารถทำงานได้ เจ้านายจึงให้ Córdoba ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลยไปกับเขาแทน 

ทั้งสองออกเรือกรรเชียงเล็กไฟเบอร์กลาสขนาด 7 เมตร (23 ฟุต) ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียว และถังน้ำแข็งสำหรับเก็บปลา (ซึ่งต่อมาเป็นที่เก็บน้ำฝนสำหรับดื่ม) 

แต่เมื่อออกจากฝั่งได้ไม่นานเรือของทั้งคู่ก็ถูกพายุพัดจนเรือออกนอกเส้นทาง เครื่องยนต์รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาในเรือส่วนใหญ่เสียหาย แม้ว่า Alvarenga จะพยายามติดต่อเจ้านายของเขาทางวิทยุก่อนที่มันจะใช้การไม่ได้ เพราะแบตเตอรี่หมด แต่ก็ไม่เป็นผล

พายุกินเวลานาน 5 วัน เมื่อพายุสงบลง Alvarenga และ Córdoba ต่างก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน หรือจะกลับบ้านได้อย่างไร พายุได้ทำลายเครื่องมือประมงส่วนใหญ่ของพวกเขา เหลือเพียงอุปกรณ์พื้นฐาน ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่มีใบเรือ และไม่มีกระทั่งไม้พาย 

และแม้ว่าพวกเขาจะจับปลาสดได้เกือบ 500 กิโลกรัม (1,100 ปอนด์) แต่ก็ต้องทิ้งลงน้ำ เพื่อรักษาสมดุลของเรือให้ลอยอยู่ได้

ขณะที่ทางด้าน เจ้านายของ Alvarenga ก็ได้ให้ทีมค้นหาออกตามหาพวกเขา แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี

เวลาหลายวันผ่านไป Alvarenga และ Córdoba ได้เรียนรู้วิธีหาอาหาร Alvarenga สามารถจับ ปลา เต่า แมงกะพรุน และนกทะเล ได้ด้วยมือเปล่า และเก็บเศษอาหารและเศษพลาสติกที่ลอยอยู่ในน้ำมาใช้บ้างเป็นครั้งคราว พวกเขาต้องดื่มน้ำจากน้ำฝนที่ตกลงมา แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องดื่มเลือดเต่า หรือปัสสาวะของตัวเอง 

เรืองประมงลำเล็ก ๆ ลอยไปเรื่อย ๆ โดยไร้ซึ่งทั้งจุดหมายและความหวัง สี่เดือนผ่านไป Córdoba มีอาการอาหารเป็นพิษ และเริ่มหมดความหวัง เขาตัดสินใจหยุดกินอาหารจนตาย 

Alvarenga เล่าว่า สี่วันหลังการตายของ Córdoba เขาคิดจะยอมแพ้ด้วยการฆ่าตัวตายเช่นกัน แต่ด้วยความเชื่ออันแรงกล้าทางศาสนาจึงพยายามอดทนต่อไป 

Alvarenga อ้างว่า Córdoba ขอให้เขาสัญญาว่าจะไม่กินศพของเขา หากเขาเสียชีวิต ดังนั้น Alvarenga จึงเก็บศพของ Córdoba ไว้บนเรือ และพูดกับศพนั้นด้วยซ้ำ 

หลังจากหกวันที่เพื่อนเพียงคนเดียวของเขาตายไป Alvarenga ก็ตระหนักว่า ตนเองกำลังใกล้ที่จะวิกลจริตแล้ว จึงทิ้งศพลงน้ำ

ครอบครัวของ Alvarenga 

เวลาในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ผ่านไปสี่เดือน Alvarenga เขาพยายามส่งสัญญาณให้เรือทุกลำที่เขาเห็น  แต่ไม่มีใครเห็นเขาเลย ตลอดระยะเวลาเขาเอาชีวิตรอดด้วยน้ำฝนและสัตว์ทะเล และติดตามเวลาตามช่วงเวลาการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ ด้วยการนับรอบหมุน ได้ 15 รอบ 

เขาใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการลอยเรืออยู่กลางมหาสมุทร แต่สุดท้ายโชคก็เข้าข้างเขา Alvarenga ได้เห็นแผ่นดิน เขารีบทิ้งเรือและว่ายเข้าฝั่ง และพบว่าตัวเองอยู่บน Ebon Atoll ของหมู่เกาะ Marshall ซึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิกจากจุดที่เขาจากมา 

เขาพบบ้านริมชายหาดซึ่งสองสามีภรรยาในท้องถิ่นเป็นเจ้าของ Alvarenga ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและได้รับการดูแลอย่างดี

การเดินทางของ Alvarenga กินเวลา 438 วัน ระยะของการเดินทางของเขาได้รับการคำนวณอย่างหลากหลายตั้งแต่ 5,500 ถึง 6,700 ไมล์ (8,900 ถึง 10,800 กิโลเมตร) และหนังสือพิมพ์บางฉบับอ้างว่า Alvarenga อยู่ในทะเลเป็นเวลาถึง 16 เดือน ซึ่ง Alvarenga ยืนยันว่าไม่เคยพูดเช่นนั้น ในที่สุดหนังสือพิมพ์ก็แก้ไขข้อผิดพลาด และทำให้การเดินทางของเขาสั้นลงเหลือ 13 เดือน 

จากข้อมูลของ Gee Bing รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของหมู่เกาะ Marshall ระบุว่าสัญญาณชีพของ Alvarenga อยู่ในระดับ ‘ดี’ ยกเว้นความดันโลหิตซึ่งต่ำผิดปกติ 

Bing ยังกล่าวด้วยว่า Alvarenga มีอาการข้อเท้าบวมและมีปัญหาในการเดิน 

ต่อมาแพทย์ผู้ที่รักษารายงานว่า สุขภาพของเขา ‘แย่ลง’ และได้ให้น้ำเกลือเพื่อรักษาอาการขาดน้ำ 

ครอบครัวของ Alvarenga ดีใจมากเมื่อพบว่า เขายังมีชีวิตอยู่ 

พ่อของ Alvarenga กล่าวว่าเขาได้อธิษฐานให้ลูกชายในขณะที่หายตัวไป 

ส่วนลูกสาวของ Alvarenga บอกว่า หลังจากที่เขากลับบ้าน ‘สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือกอดเขา’

เรือไฟเบอร์กลาสขนาด 7 เมตร (23 ฟุต) ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียว และถังน้ำแข็งสำหรับเก็บปลา 

แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็มีคนกังขาและตั้งข้อสงสัยว่า จะมีจริงๆ หรือที่คนจะสามารถรอดชีวิตในทะเลเป็นเวลานาน ๆ ด้วยเรือลำเล็ก มีนักวิจารณ์หลายคนสงสัยในเรื่องราวของ Alvarenga แม้ว่าจะทำการตรวจสอบและสามารถยืนยันรายละเอียดพื้นฐานบางอย่างได้ 

เจ้านายของ Alvarenga ผู้เป็นเจ้าของเรือ César Castillo กล่าวว่า "มันเหลือเชื่อมากที่คนจะอยู่รอดได้นานขนาดนั้น มันยากที่จะคิดว่าใครจะอยู่ได้นานกว่าหกหรือเจ็ดเดือน โดยอย่างน้อยที่สุดต้องมีอาการเลือดออกตามไรฟัน" 

อย่างไรก็ตามในการให้สัมภาษณ์ Claude Piantadosi จาก Duke University กล่าวว่าเนื้อสดจากนกและเต่า มีวิตามินซี และการรับประทานอาหารจำนวนมากดังที่ Alvarenga อ้าง "จะให้ได้รับวิตามินซีที่เพียงพอเพื่อป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน" 

เรือไฟเบอร์กลาสขนาด 7 เมตร (23 ฟุต) ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียว และถังน้ำแข็งสำหรับเก็บปลา 

Tom Armbruster เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำหมู่เกาะ Marshall ยอมรับว่า "ดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ที่ใครบางคนจะมีชีวิตรอดในทะเลเป็นเวลา 13 เดือน แต่ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ใครบางคนจะมาถึง Ebon Atoll ด้วยเรือลำเล็ก ๆ ได้อย่างไร แน่นอนว่าผู้ชายคนนี้ทำได้ และได้รับการทดสอบและอยู่ในทะเลมาระยะหนึ่งแล้ว" 

Jo Tuckman แห่ง The Guardian ได้โต้แย้งว่า ข้อเท็จจริงที่ว่ามีรายงานเรือประมงหายไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2012 โดยอ้างว่า Alvarenga ออกทะเลในเดือนถัดมา และสิ่งนี้สนับสนุนมุมมองที่ว่า "อย่างน้อยก็มีเรื่องราวของเขาอยู่บ้าง" 

นอกจากนี้ Erik van Sebille นักสมุทรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า เป็นไปได้ทั้งหมดที่กระแสน้ำในทะเลจะสามารถพาเรือจากเม็กซิโกไปยังหมู่เกาะ Marshall ได้ นอกจากนี้เขายังคาดว่า การเดินทางดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน แต่กรณี 13 เดือนก็ยังคงมีความเป็นไปได้ 

การสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับเรื่องราวของ Alvarenga มาจากการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาวายที่จำลองเส้นทางที่เรืออาจใช้หลังจากออกจากชายฝั่งแปซิฟิกในเม็กซิโก โดยพิจารณาจากกระแสลมและสภาพปัจจุบัน และสรุปว่าเส้นทางจะจบสิ้นสุด "ภายใน 120 ไมล์ ของ Ebon Atoll" ซึ่ง Alvarenga ได้มาถึงจริง 

ในเดือนเมษายน 2014 ทนายความของ Alvarenga กล่าวในงานแถลงข่าวว่า Alvarenga ได้ผ่านการทดสอบโพลีกราฟ (เครื่องจับเท็จ) แล้ว ในขณะที่ถูกสอบสวนเกี่ยวกับการเดินทางของเขา

Jose Alvarenga กับนักข่าว Jonathan Franklin ซึ่งตีพิมพ์เรื่องราวของเขาเป็นหนังสือ 438 วัน : เรื่องราวที่แท้จริงของการเอาชีวิตรอดในทะเลที่ไม่ธรรมดา (438 Days: An Extraordinary True Story of Survival at Sea)

หลังได้รับความช่วยเหลือ และรักษาตัวอยู่ 11 วันในโรงพยาบาล Alvarenga ก็มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะกลับไปที่เอลซัลวาดอร์ได้ อย่างไรก็ตามเขาได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคโลหิตจาง มีปัญหาในการนอนหลับ และมีอาการกลัวน้ำ 

ในปี 2015 เขาให้สัมภาษณ์หลายครั้งเกี่ยวกับความเจ็บปวดของเขากับนักข่าว Jonathan Franklin ซึ่งตีพิมพ์เรื่องราวของเขาเป็นหนังสือ 438 วัน : เรื่องราวที่แท้จริงของการเอาชีวิตรอดในทะเลที่ไม่ธรรมดา (438 Days: An Extraordinary True Story of Survival at Sea) 

ไม่นานหลังจากการเปิดตัวหนังสือ 438 วัน ของ Alvarenga ครอบครัวของ Ezequiel Córdoba ได้ฟ้องร้องทางแพ่งกับ Alvarenga เป็นเงิน 1,000,000 ดอลลาร์ โดยกล่าวหาว่าเขากินเนื้อของ Ezequiel Córdoba เพื่อความอยู่รอด ซึ่งทนายความของ Alvarenga ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้


👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล