‘รสนา‘ ยัน ข้อเสนอลดราคาน้ำมันของ ‘มิ่งขวัญ‘ ทำได้จริง เห็นด้วย ปรับโครงสร้างน้ำมันให้เหลือแค่ เบนซิน-ดีเซล

(23 ก.พ. 66) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘รสนา โตสิตระกูล‘ หัวข้อ ‘ข้อเสนอลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาท และลดดีเซลลง 6 บาทของมิ่งขวัญ เป็นไปได้หรือไม่ หรือแค่หาเสียง ?!?‘ โดยเนื้อหาระบุว่า...

ข้อเสนอการปรับราคาน้ำมันของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สร้างความแตกตื่นให้กับวงการพลังงาน ทั้งกลุ่มทุนพลังงาน และนักการเมืองฟากฝั่งรัฐบาล ที่ได้รับการอุ้มชูโดยกลุ่มทุนพลังงาน ต้องคัดค้านกันอย่างแข็งขันเป็นแน่

ต้องถือว่า คุณมิ่งขวัญ กล้าเสนอและถ้าจะทำให้ได้จริง ต้องมีการปรับนโยบายแบบ 360 องศากันเลย อยู่ที่ลุงป้อมผู้นำพรรค พปชร. จะกล้าออกมาประกาศเป็นเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจังหรือไม่ หรือเป็นแค่นโยบายหาเสียงแบบตีหัวเข้าบ้านเหมือนพรรคอื่นในอดีตที่เคยประกาศจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน แต่พอได้รับเลือกตั้ง ก็ยอมลดราคาเป็นโปรโมชันให้ 3-4 เดือน แล้วก็กลับมาใช้บริการกองทุนน้ำมันเหมือนเดิม

ดิฉันลองดูราคาที่คุณมิ่งขวัญเสนอ ถ้าจะทำจริง ดิฉันว่าสามารถทำได้ แต่ต้องจัดการหลายอย่าง เช่น หนี้สินในกองทุนน้ำมัน และการแก้ปัญหาเกษตรกรเรื่องน้ำมันชีวภาพ รวมทั้งภาษีน้ำมันที่รัฐบาลเสพติดเพราะได้มาง่าย ๆ เหมือนเปิดก๊อกน้ำ ที่สำคัญจะกล้าดึงอ้อยจากปากช้างกลุ่มผูกขาดพลังงานที่เป็นรัฐซ้อนรัฐตัวจริง ได้หรือไม่

ดิฉันขอคิดตามข้อเสนอคุณมิ่งขวัญโดยละปัญหาต่าง ๆ ไว้ให้พรรคที่ประกาศนโยบายนี้ ถ้าได้เป็นรัฐบาลต้องไปจัดการแก้ไขเพื่อขจัดอุปสรรคต่อนโยบายปรับโครงสร้างพลังงานเอาเอง

ที่ประกาศลดราคาเบนซิน 95 ลง 18.07 บาท/ลิตร จากราคา 44.06 บาท/ลิตร (ข้อมูลราคาวันที่ 17 ก.พ. 2566) เหลือราคาขายปลีกที่ 25.99 บาท/ลิตร และลดราคาดีเซลที่ราคา 34.44 บาท/ลิตรลง 6.37 บาท/ลิตร เหลือราคาหน้าปั๊มที่ 28.07 บาท/ลิตรนั้น

โครงสร้างราคาน้ำมันที่เป็นธรรม (ใช้ราคา 17/2/66) ส่วนที่จะปรับลดลง สามารถทำได้ดังนี้

1.) เนื้อน้ำมันเบนซิน 95 ราคาหน้าโรงกลั่น 22.28 บาท/ลิตร (ซึ่งเป็นราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ซึ่งมีต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายจริงคือค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าสูญเสียระหว่างทาง) ถ้าเปลี่ยนมาใช้ราคาหน้าโรงกลั่นเป็นราคาเดียวกับที่เอกชน 'ส่งออก' จะลดราคาลงได้ประมาณ 2 บาท/ลิตร

2.) ค่าการตลาดที่เหมาะสมสำหรับเบนซินลิตรละ 2 บาท (วันที่ 17/2/66 ค่าการตลาด 3.11 บาท/ลิตร) จะลดลงได้ 1.11 บาท/ลิตร

3.) ยกเลิก 2 กองทุน คือ กองทุนน้ำมันและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ลดได้ 6.55 บาท/ลิตร (กล่าวสำหรับกองทุนน้ำมันเป็นกองทุนที่มีไว้เพื่อใช้หนี้เอกชนซึ่งส่วนใหญ่ใช้จ่ายหนี้ให้กับเอทานอลที่ผสมในเบนซินและไบโอดีเซลที่ผสมในดีเซล และเอากองทุนไปชดเชยน้ำมันผสมให้หลอกตาว่าถูกลง แต่เป็นการล้วงเงินผู้ใช้น้ำมันไปชดเชย ทำให้เป็นหนี้กองทุนน้ำมันไม่สิ้นสุด โดยราคาเอทานอล 29.16 บาท/ลิตร น้ำมันเบนซิน 95 ราคา 22.28 บาท/ลิตร ไบโอดีเซลราคา 32.06 บาท/ลิตร ดีเซลธรรมดาราคา 21.99 บาท/ลิตร ดังนั้นยิ่งผสมมากยิ่งแพง ยิ่งต้องการเงินมาชดเชยมาก)

4.) ลดภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษีแวต จาก 10.02 บาท/ลิตร เหลือ 1.61 บาท/ลิตร จะลดราคาลงได้ 8.41 บาท/ลิตร

ดังนั้น ถ้าปรับลดราคาตามนี้จะลดราคาเบนซินลงได้ 2+1.11+6.55+8.41 = 18.07 บาท/ลิตร ส่วนดีเซล ราคาปลีกอยู่ที่ 34.44 บาท/ลิตร จะลดราคาลง 6.37 บาท/ลิตร เหลือราคาปลีกที่ 28.07 บาท/ลิตร สามารถปรับลด ดังนี้

1.) ราคาเนื้อน้ำมันดีเซล 24.23 บาท/ลิตร มีส่วนผสมไบโอดีเซล 7% อยู่ 2.24 บาท/ลิตร ถ้าตัดไบโอดีเซลลดได้ 2.24 บาท/ลิตร และถ้าใช้หน้าโรงกลั่นเป็นราคาเดียวกับ “ส่งออก” ลดได้อีกประมาณ 2 บาท/ลิตร

2.) ลดค่าการตลาดลงจาก 1.90 บาท/ลิตร เหลือ 1.50 บาท/ลิตร ลดได้ 50 สต./ลิตร

3.) ยกเลิก2กองทุนลดได้ 4.57 บาท/ลิตร

4.) ภาษีที่รัฐบาลเก็บ 3.71 บาท/ลิตร ไม่ต้องลดเลย

ถ้าปรับลดราคาดีเซลลงตามตัวเลขข้างต้น จะสามารถลดราคาได้ 2.24+2+.40+4.57 = 9.21 บาท/ลิตร ซึ่งมากกว่าตัวเลขคุณมิ่งขวัญ ที่ต้องการลด 6.37 บาท/ลิตร โดยไม่ต้องปรับลดภาษีของรัฐบาลด้วย

ถ้าต้องการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมจริง ๆ ต้องยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งหนี้ทั้งหมดมาจากการนำน้ำมันชีวภาพทั้งเอทานอล และไบโอดีเซลมาเติมในเบนซินและดีเซลโดยการอ้างเหตุผลลวงเรื่องช่วยเกษตรกร ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่คือกลุ่มทุนพลังงาน

กรณีช่วยเกษตรกรไม่มีหลักฐานว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่คนใช้น้ำมันต้องแบกรับน้ำมันผสมราคาแพงเกินจริงโดยไม่มีทางเลือก กองทุนน้ำมันทำให้โครงสร้างราคาบิดเบือน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถถ่างราคาน้ำมันผสมได้ตามใจชอบ ราคาน้ำมันจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ตามที่รัฐบาลและผู้ค้าน้ำมันมักยกเมฆกล่าวอ้างให้ประชาชนและสื่อมวลชนหลงเชื่อ ในขณะที่ผู้ใช้น้ำมันทั้งประเทศเขารับภาระราคาพลังงานขนาดนี้ไม่ไหวกันแล้ว เพราะกระทบค่าครองชีพ ราคาสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ

ดิฉันเห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ให้ราคาน้ำมันเหลือเพียง 2 ชนิด คือ เบนซิน และดีเซลเท่านั้น โดยตัดน้ำมันชีวภาพออกไป ตราบเท่าที่ราคาน้ำมันชีวภาพยังมีราคาแพงกว่าน้ำมันพื้นฐาน และรัฐบาลควรใช้ความสามารถในการขยายตลาดการเกษตร ในการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่ใช่บีบให้คนต้องใช้น้ำมันผสมที่มีราคาถูกแบบเทียม ๆ เพื่ออุ้มกลุ่มทุนมากกว่าเกษตรกร เพราะดึงเงินจากกองทุนน้ำมันซึ่งมาจากกระเป๋าประชาชนมาชดเชยไม่รู้จบ

ข้อเสนอของคุณมิ่งขวัญสามารถทำได้ แม้มีเรื่องต้องจัดการอยู่มากตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค คือ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณกล้าเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่

ที่สำคัญคือ ต้องไม่ใช่แค่ประกาศเพื่อหาเสียงแบบตีหัวเข้าบ้านแล้วแค่ให้โปรโมชั่นลดราคาชั่วคราว โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาพลังงานแบบที่รัฐบาลพรรคใหญ่ก่อนหน้านั้นก็เคยใช้เป็นนโยบายหาเสียงมาแล้ว แต่ก็ไม่กล้าปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้เป็นธรรมต่อประชาชนจริง

ประเด็นสำคัญที่ประชาชนต้องตั้งข้อสงสัยไว้ ก็คือ การหาเสียงดุดันแบบนี้ จะเป็นแค่วิธีเคาะกะลาให้กลุ่มทุนพลังงานมาเจรจาต้าอ้วย หรือเปล่า !?!

แต่ถ้าทำได้จริงตลอดไป พรรคที่ประกาศก็จะได้รับความนิยมเชื่อถือจากประชาชนยิ่งกว่าโครงการจำนำข้าว และนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วยซ้ำ ที่ว่าจะได้รับความนิยมยิ่งกว่าก็เพราะค่าน้ำมันกระทบค่าครองชีพประชาชนทุกวัน ส่วนโครงการจำนำข้าวชาวนาชอบ แต่เป็นภาระงบประมาณมหาศาลทุกปี และมีการทุจริตคอร์รัปชันมโหฬาร ส่วนนโยบายหลักประกันสุขภาพให้ประโยชน์ประชาชนเมื่อเจ็บป่วยเท่านั้น


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9660000017472