ย้อนรอยทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหา ‘แพะ’ และความ ‘เสื่อม’ จนเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2

ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหา ‘แพะ’ กับ ความ ‘เสื่อม’ จนเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 

เมื่อคราวที่แล้วเรื่องของการเสียกรุงครั้งที่ 1 ที่ผมได้เล่าไปแล้วนั้น ภาพที่ฉายให้เราได้เห็นกันก็คือการขัดแย้งกันของฝ่ายโอนอ่อนและฝ่ายแข็งกร้าว ที่ยึดเอาราชตระกูลเป็นที่ตั้ง หักกันได้เพื่อผลประโยชน์ และมีภาพของ “ไส้ศึก” เช่น “พระยาจักรี” ที่เปรียบเสมือน “แพะ” จนทำให้เสียกรุงศรีฯ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2112 ในครั้งนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวของการเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 และ “แพะ” ที่ถูกตราหน้าว่าทำให้เสียกรุงกันบ้าง 

“แพะ” คนแรกคือขุนนางที่ถูกตราหน้าว่าเป็นไส้ศึก เป็นตัวร้ายของการย้อนประวัติศาสตร์ทุกเรื่องนั่นคือ “พระยาพลเทพ” มีทินนามเต็มตามทำเนียบพระไอยการนาพลเรือนคือ “ออกญาพลเทพราชเสนาบดีศรีไชยนพรัตนกระเสตราธิบดี” เป็นตำแหน่งของเสนาบดีกรมนาหรือ “เกษตราธิการ” หนึ่งในเสนาบดีจตุสดมภ์ ศักดินา 10,000 ไร่ เสนาบดีกรมนาทุกคนจะมีตำแหน่งเป็น “พระยาพลเทพ” ในสมัยรัตนโกสินทร์ยกขึ้นเป็น “เจ้าพระยา” เสนาบดีกรมนาทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ดูแลไร่นา เก็บหางข้าวหรือข้าวจากนาของราษฏรสำหรับขึ้นฉางหลวง ตั้งศาลพิจารณาความที่เกี่ยวข้องกับที่นาและสัตว์ที่ใช้ทำนาอย่างโคกระบือ เป็นเจ้าพนักงานที่ชักจูงให้ราษฎรทำนา เวลามีศึกก็ต้องเตรียมเสบียงกรังให้พรักพร้อม เป็นหน่วยพลาธิการสำคัญของกระบวนรบ  

สำหรับ “พระยาพลเทพ” ผู้เป็นไส้ศึกให้พม่าในสงครามเสียกรุงนั้น ไม่ทราบประวัติชัดเจน เพราะถูกกล่าวถึงอยู่ในหลักฐานเพียงชิ้นเดียวคือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ซึ่งพม่าเรียบเรียงจากคำให้การของเชลยอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าเมื่อหลังสงครามเสียกรุง พ.ศ. 2310 มีเนื้อหาสั้นๆ ว่า... “คราวนั้นพระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศัสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาจะเปิดประตูคอยรับ พม่าเห็นได้ทีก็ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยา ทำลายเข้ามาทางประตูที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้”... เรื่องพระยาพลเทพส่งเสบียงอาหารให้พม่า ตรงกับหน้าที่รับผิดชอบของพระยาพลเทพในจดหมายของหลวงอุดมสมบัติ จึงเข้าใจว่าพระยาพลเทพผู้นี้เป็นผู้รับผิดชอบตระเตรียมเสบียงในสงครามเสียกรุง และจากที่ระบุว่าเป็นผู้เปิดประตูรับพม่าเข้ามา จึงอนุมานได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ป้องกันพระนครในเวลานั้นด้วย

พงศาวดารไทยและพม่าไม่ได้กล่าวถึงพระยาพลเทพในฐานะไส้ศึกเลย มีแต่กล่าวถึงพระยาพลเทพ (พงศาวดารพม่าฉบับภาษาพม่าสะกดว่า ‘ภยาภลเทป’ ဘယာဘလဒေပ) ว่าเป็นหนึ่งในเสนาบดีอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนแต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าให้ความช่วยเหลือแก่พม่า แต่ด้วยปัจจัยเรื่องเสบียงที่ขาดแคลนเมื่อพม่าไม่ยกทัพกลับเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จึงน่าจะทำให้ “พระยาพลเทพ” ผู้ดูแลเสบียงกรังกลายเป็น “ไส้ศึก” และน่าจะเป็นที่จดจำของชาวกรุงเก่าที่ให้การไว้กับพม่า แต่นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงพระยาพลเทพผู้นี้อีกเลย

คนที่สองหรือพระองค์ที่สอง ก็ได้ เพราะเป็นถึงกษัตริย์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่ได้รับเกียรติให้กลายเป็น “แพะ” ผมกำลังจะเล่าถึง “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” หรือ “สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์” กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่มี “ภาพจำ” จากพระราชพงศาวดาร, แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย, คำบอกเล่า ฯลฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เป็นกษัตริย์ที่ไม่ใส่ใจกิจการบ้านเมือง, ลุ่มหลงแต่สนมนางใน, กดขี่ข่มเหงข้าราชการและประชาชน, อ่อนแอ, ขี้ขลาดและเมื่อพม่าประชิดกรุงศรีอยุธยาพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ยิงปืนใหญ่ ด้วยเกรงบรรดาพระสนมจะตกอกตกใจกัน ฯลฯ 

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” กับพระอัครมเหสีองค์รองคือ “กรมหลวงพิพิธมนตรี” หรือ “พระพันวษาน้อย” พระนามเดิมเมื่อแรกประสูติคือ “เจ้าฟ้าเอกทัศน์” พ.ศ. 2275 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี” โดยมีพระอนุชามีรวมโสทรคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” หรือที่พระชนกตั้งชื่อเมื่อแรกประสูติว่า “เจ้าฟ้าดอกเดื่อ” โดยทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต” ซึ่งในกาลต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น “สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” ก่อนจะสละราชย์ไปทรงผนวชถึง 2 คราว ด้วยเหตุจำเป็น จนชาวบ้านขนานนามพระองค์อย่างเป็นที่รู้จักกันว่า “ขุนหลวงหาวัด” 

ซึ่งสิ่งที่ทำให้ “พระเจ้าเอกทัศน์” กลายเป็นตัวโกง ก่อนจะกลายเป็น “แพะ” คือการไม่ได้รับการยอมรับจากพระราชบิดาให้เป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” หรือ “องค์รัชทายาท” แต่พระราชบิดากลับยกให้ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” พร้อมด้วยแรงสนับสนุนจาก “กรมหมื่นเทพพิพิธ” ซึ่งเป็นพระโอรสชั้นผู้ใหญ่ กับบรรดาเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ คือเรียกว่าเพียบพร้อมกว่าพระเชษฐาว่างั้นเถอะ ทั้งยังมีพระราชโองการของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น โฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้นบ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย” และมีพระราชดำรัสสั่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีว่า “จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวาง” ถึงตรงนี้คนเล่าประวัติศาสตร์ก็ข้ามเรื่องราวการเคลียร์เส้นทางของ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต” ไปเลย 

ครั้นเมื่อ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” สวรรคต ได้เกิดกบฏเจ้า 3 กรม อันได้แก่ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดีซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ได้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี” เป็นผู้วางแผนและดำเนินการปราบกบฏเจ้า 3 กรม เพื่อกรุยทางให้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต” ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา แต่หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน ก็ทรงสละราชสมบัติให้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี” แล้วพระองค์ก็ออกผนวช ซึ่งพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ก็ขยายความในเชิงว่า พระองค์ถูก “บีบ” แต่จะบีบด้วยอะไร ? แบบไหน ? กลับไม่มีใครบันทึกไว้ มีแต่บอกว่า “กรมขุนอนุรักษ์มนตรี” เสด็จ ฯ ขึ้นไปประทับที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เนื่องจากเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นและดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายหรือยกให้ใคร จน“สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” ต้องยอมยกราชบัลลังก์ให้ ซึ่งนี่คือข้อมูลเชิงปรักปรำที่ทำให้ “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” เป็นกษัตริย์ที่ “ดูแย่” อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นจริงแบบนั้นไหม ? ไปต่อกัน  

สำหรับการครองราชย์ของ “พระเจ้าเอกทัศน์” ตาม “คำให้การชาวกรุงเก่า” ปรากฏความว่า... "พระมหากษัตริย์พระองค์นี้” ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”... หรืออย่างใน “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” ปรากฏความว่า "พระองค์ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต บพิตรเสด็จไปถวายนมัสการพระศรีสรรเพชทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เป็นนิจ บพิตรตั้งอยู่ในทศพิธสิบประการ แล้วครอบครองกรุงขันธสีมา ทั้งสมณพราหมณ์ก็ชื่นชมยินดีปรีเปนศุขนิราชทุกขไภย ด้วยเมตตาบารมีทั้งฝนก็ดีบริบูรณภูลความศุกมิได้ดาล ทั้งข้าวปลาอาหารและผลไม้มีรสโอชา ฝูงอาณาประชาราษฎร์และชาวนิคมชนบทก็อยู่เยนเกษมสานต์ มีแต่จะชักชวนกันทำบุญให้ทาน และการมโหรสพต่าง ๆ ทั้งนักปราชผู้ยากผู้ดีมีแต่ความศุกที่ทุกขอบขันธสีมา" 

...นอกจากหลักฐานทั้งสอง ยังได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระเจ้าเอกทัศ เช่น ทรงออกพระราชบัญญัติเครื่องชั่ง ตวง วัดต่าง ๆ, มาตราเงินบาท สลึง เฟื้องให้เที่ยงตรง และโปรดให้ยกเลิกภาษีอากรต่าง ๆ เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้ง... "ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บ้านเมืองสงบ การค้าขายเจริญ ทรงบริจาคทรัพย์ให้แก่คนยากจนจำนวนมาก" ...คือมองแล้วพระองค์น่าจะเป็นกษัตริย์ที่ถนัดทางด้านการจัดการด้านเศรษฐกิจและกิจการภายใน ที่ดีทีเดียว
 

ก่อนจะถึงตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 หากนับจากสงครามกับพระเจ้าหงสาวดีในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยุธยาก็เว้นว่างจากสงครามกับต่างชาติกว่าร้อยปี แต่กลับเป็นยุคที่ต้องเผชิญการรบภายในราชอาณาจักรเพื่อต้องการกุมอำนาจจากบรรดาขุนนาง เชื้อพระวงศ์ และผู้ปกครองหัวเมืองต่าง ๆ จนมาถึงช่วงต้นของราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่สามารถปราบปรามกบฏหัวเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองภายใน การันตีโดยการเป็นราชวงศ์ที่ปกครองอยุธยายาวนานที่สุดนับตั้งแต่สิ้นราชวงศ์สุวรรณภูมิ แต่เมื่อมีผลดีก็ย่อมต้องมีผลเสีย เพราะเมื่อปราบปรามเบ็ดเสร็จก็ต้องเกิดการกีดกัน บั่นทอนซึ่งอำนาจของ ขุนนาง หัวเมืองทั้งหลาย ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อให้การปกครองจากส่วนกลางเข้มแข็งที่สุด ทำให้หัวเมืองแตกแยก จากนโยบายการรวบอำนาจนี้ ทำให้เกิดความอ่อนแอแก่หัวเมือง การจัดการด้านเลกไพร่ไร้ประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการไหลออกของไพร่หลวงไปเป็นไพร่สมซึ่งสังกัดเอาไว้ไม่อยู่อีกด้วย เมื่อการจัดการด้านไพร่พลไม่มีประสิทธิภาพ การเรียกเกณฑ์ทัพใหญ่ในเวลารวดเร็วเหมาะกับสถานการณ์จึงไม่สามารถทำได้ หมดสิทธิ์เรื่องการป้องกันพระนคร ซึ่งแตกต่างจากฝั่งพม่าซึ่งมีการรบเพื่อรวบรวมรัฐเล็ก รัฐน้อย แผ่แสนยานุภาพด้วยรูปแบบที่ต่างออกไปจากอยุธยา ทำให้มีกำลังที่พร้อมจะทำสงครามอย่างไม่ต้องหวั่นเกรงเรื่องใด ๆ 

จนมาถึงปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาได้ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อคำรบแรก ซึ่งจวนเจียนจะมีโอกาสชนะแต่พระเจ้าอลองพญาดันถูกระเบิดปืนใหญ่สวรรคต (แต่พงศาวดารพม่าระบุว่าทรงประชวร) ทำให้พม่าต้องยกทัพกลับ  ซึ่งหลังสงครามคำรบแรกนี้ราชอาณาจักรอยุธยาดูยิ่งจะเละเทะไปกันใหญ่ เพราะเกิดการกบฏจากหลายกลุ่ม โดยมีกลุ่มที่เดิมเคยช่วยกรุงศรีฯ อย่าง “มอญ” ที่พม่าผลักดันมอญออกจากทวาย ก็มาก่อกบฏที่เมืองนครนายก ยังไม่นับรวมกบฏกลุ่มย่อย ๆ ที่ทางกรุงศรี ฯ ไม่สามารถควบคุมได้อีกมากมาย พอทางกรุงศรีฯ ส่งกำลังไปปราบ สามารถจับใครกลับมาได้เลย ซึ่งภาพโดยรวมนี้สะท้อนกลับมาเมื่อมีก๊กต่าง ๆ มากมายหลังการเสียกรุง 

จนในปีต่อมาในปี พ.ศ 2308 “พระเจ้ามังระ” ทรงวางแผนพิชิตอาณาจักรอยุธยาโดยส่งกองทัพมา 2 สาย นำโดยแม่ทัพมังมหานรธา และเนเมียวสีหบดีโดยแบ่งเป็นฝ่ายเหนือ-ใต้ ไล่ยึดหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อโดดเดี่ยวอยุธยา ก่อนจะมาล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ถึง 14 เดือน โดยไม่คิดจะยกกลับ ไม่มีถอย จนเสบียงของกรุงศรีฯ เริ่มจะร่อยหรอ อันนี้ผมว่าคนก็จะเริ่มด่า “พระยาพลเทพ” ว่าเป็นไส้ศึกแน่แล้ว ก็ดูแลเรื่องเสบียงยังไงทำไมอาหารถึงไม่พอ (ผมคิดเอาเองนะ) ก่อนถึงวันสุดท้าย ที่พม่าส่งจารชนสงครามคือคนกรุงศรีด้วยกันเองนี่แหละเข้าไปก่อวินาศกรรม ลอบวางเพลิงเผาที่ต่างๆ ผสานกับพม่าที่ขุดรากกำแพงพร้อมเผา พอกำแพงเมืองพัง พวกหนึ่งก็เข้าข้างล่าง พวกหนึ่งก็ปืนขึ้นข้างบน ไปถึงตรงไหนก็เผาตรงนั้น เละเทะไปหมด

สำหรับ “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” ที่ถูกตราหน้าว่า “แย่” ในการส่งครามครั้งนี้หากมาลองดูหลักฐานที่กล่าวถึงพระองค์จาก “มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า” ได้กล่าวถึง บทบาทของพระองค์ช่วงใกล้เสียกรุงศรีอยุธยาตอนหนึ่งว่า....

..... “ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา (พระเจ้าเอกทัศน์) พระองค์ได้จัดให้ออกมารบครั้งใดก็มิได้ชนะ มีแต่พ่ายแพ้แตกหนีล้มตายไปทุกที ถึงกระนั้นก็ดีพระองค์ (พระเจ้าเอกทัศน์) มิได้ทรงย่อท้อหย่อนพระหัตถ์เลย ..... บัดนี้พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา (พระเจ้าเอกทัศน์) ก็ทรงสร้างป้อม 50 ป้อม ตั้งสู้รบอยู่นอกกำแพงเมืองโดยแน่นหนานั้น พวกท่านทั้งหลายจะทำอย่างไร(คำกล่าวของพระเจ้ามังระ).....ซึ่งพม่าในเวลานั้นไม่ใช่มิตรประเทศ แต่คือศัตรูที่ทำศึกกันจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนสรรเสริญเอาใจกษัตริย์แห่งกรุงศรีแต่อย่างใด ซึ่งนี่น่าจะค้านกับบันทึกที่กล่าวโทษพระองค์แล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งถ้าจะนับว่าพระองค์เป็นผู้ที่ทำให้เสียกรุงก็ต้องนับเอา “สมเด็จพระเจ้าอทุมพร” เป็นผู้ต้องทรงรับผิดชอบร่วมกัน

การเสียกรุงครั้งนี้เรียกได้ว่าการทำลายความเป็นราชธานีลงอย่างสิ้นเชิง มีการเสียชีวิตของผู้คนเรือนแสน แม่น้ำเน่าไปหมด ด้วยศพที่ลอยอยู่ในน้ำ หลักฐานจากฝรั่งบอกว่าฝูงแมลงวันที่มารุมตอมศพเหมือนเมฆ วัดวาอารามต่างๆ ถูกเผา ถูกทำลายหมด ผู้คนเดินเหมือนผี ร่างกายซูบผอม อดอยาก หลักฐานที่ว่าอดอยากไม่ได้มีเฉพาะในหลักฐานไทย บันทึกชาวต่างประเทศคือพวกมิชชันนารี บาทหลวง ก็มีบันทึกไว้ว่าอดอยากกันรุนแรงสารพัด ซึ่งความอดอยากนี้มีมาก่อนจะเสียกรุง (ก็โดนล้อมอยู่ 14 เดือนเลยนะ) 

ถ้าผมจะสรุปการล่มสลายของกรุงศรี ฯ ในครั้งนี้ ก็คงมี 3 เหตุผลคือ 1. เกิดจากการดำเนินนโยบายภายในโดยเฉพาะเรื่องของขุนนางที่ผิดพลาดเรื้อรัง 2.ไม่สามารถควบคุมหัวเมืองและไพร่พลได้ดีพอและยังไม่เตรียมพร้อมหลังเกิดสงครามพระเจ้าอลองพญา ใน พ.ศ. 2303 3. สงครามจากพระบัญชาจาก “พระเจ้ามังระ” ใน พ.ศ. 2308 ที่พม่าส่งกองทัพเข้าบุกอยุธยาเป็นสองทาง แม่ทัพพม่า 2 คน คือ เนเมียวสีหบดี และ มังมหานรธา ประสานงานเหนือ - ใต้ ล้อมกรุงศรีอยุธยานาน 14 เดือน โดยไม่คิดจะถอย จนทำให้ราษฏรอดอยากเกิดการตีตัวออกห่างจนกลายเป็นจารชนสำคัญให้กับพม่า กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2310 กองทัพพม่าตีเข้าพระนครได้ ส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลายลง อย่างที่ไม่อาจจะฟื้นคืนได้ในที่สุด 

เหรียญมี 2 ด้าน ประวัติก็มี 2 มุม ทุกประเด็นมีการตีความแตกต่าง บางเรื่องที่เราเคยเข้าใจ อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ขึ้นอยู่ว่าเรื่องที่เราได้ฟังมาเป็นเรื่องจริงของใคร เฉกเช่นเรื่องของคนในประวัติศาสตร์ที่ย่อมมีคนดี เรื่องคนเลวปะปนกันไป และการเสียกรุงทั้ง 2 ครั้ง ไม่ใช่แค่คนดีหรือคนเลวแค่คนใดคนหนึ่ง ที่จะทำให้สงครามมีข้อยุติได้ แต่เราต้องมองไปที่บริบทอื่น ๆ รอบข้างด้วย


เรื่อง: สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager