‘บิ๊กตู่’ ปลื้มเกาะสมุย ต้อนรับ นักท่องเที่ยวจากเรือสำราญอีก 2,500 คน ตอกย้ำเที่ยวไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง

17 ธ.ค.2565 - น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีความยินดีภายหลังได้รับรายงานว่าวันนี้(17 ธ.ค.65) เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย จะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากยุโรปพร้อมกับเรือสำราญไมน์ ชิฟฟ์ 5 (Mein Schiff 5) กว่า 2,500 คน ที่มาแวะท่องเที่ยวเกาะสมุยแบบ One Day Trip ซึ่งหน่วยงานในเกาะสมุย และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ร่วมเตรียมการต้อนรับ เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวลงไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในเกาะสมุย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ให้เกิดการกระจายรายได้สู่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ เรือ ไมน์ ชิฟฟ์ 5 ถือเป็นเรือสำราญจากยุโรปลำที่ 2 ที่เดินทางมายังเกาะสมุย ต่อจากลำแรกที่เข้ามาประเทศไทยในรอบ 3 ปีหลังเกิดสถานการณ์โควิด19 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา และหลังจากนี้ ในวันส่งท้ายปีเก่า 31 ธ.ค. 65 จะมีเข้ามาอีก 1 ลำ และข้อมูลจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระบุว่าในปี 2566 และ 2567 มีเรือสำราญกำหนดจะเข้ามาเยือนเกาะสมุย เบื้องต้น 31 ลำ และ 32 ลำตามลำดับ

“การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทางเรือสำราญจากต่างประเทศ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นอีกสัญญาณที่ตอกย้ำถึงความคึกคักของการท่องเที่ยวไทย สอดคล้องกับการเดินทางเข้าในช่องทางอื่นๆ ทั้งทางอากาศและด่านทางบก ทำให้ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยตามเป้าหมาย”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขณะที่การท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวได้ดี นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันเพิ่มความเข้มงวดกวดขันไม่ให้เกิดกรณีผู้ประกอบการ ทั้งร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ผับ บาร์ เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว รวมถึงกรณีรถโดยสารสาธารณะเช่นรถแท็กซี่ ต้องดูแลกำชับให้มีการกดมิเตอร์ หากพบกรณีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวขอให้มีมาตรการลงโทษที่เด็ดขาด

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องดูแลให้นักท่องเที่ยวได้รับบริการที่เป็นธรรมนี้ก็เพื่อดูแลภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ ไม่ให้มีกรณีนักท่องเที่ยวถูกหลอกให้ซื้อสินค้าคุณภาพต่ำ การต้องจ่ายค่าอาหารหรือเครื่องดื่มราคาที่แพงกว่าคุณภาพบริการที่ได้รับ แท็กซี่ไม่ยอมกดมิเตอร์ หรือคิดราคาเหมาไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน หากเกิดปัญหาแล้วข่าวสารเผยแพร่ออกไปในต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศได้