Saturday, 20 April 2024
บิ๊กตู่

‘ทูตนอกแถว’ ยก!! 'ทักษิณ' นายกฯ สุดเก่ง หยาม 'บิ๊กตู่' เป็นนายกหรือมัคนายก

28 ก.ย. 64 - นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ เจ้าของเพจทูตนอกแถว และอดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตกลงจะเป็นนายกหรือมัคทายก? (มัคนายก)

เดิมตั้งใจว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับการครบรอบ 15 ปีรัฐประหารปี 2549 ที่ลากพาประเทศชาติให้ตกต่ำมาถึงทุกวันนี้ แต่ในวันนั้นได้รับเชิญให้ช่วยกล่าวปราศรัยทางออนไลน์ในกิจกรรมคาร์ม็อบเนื่องในโอกาสครบรอบดังกล่าวก็เลยไม่ได้เขียนอะไรนะครับ 

แต่จะอย่างไรที่พูดไปวันก่อนก็ยังมีบางประเด็นที่ไม่ได้พูดถึง และก็เห็นยังมีชาวสลิ่ม/ไอโอไปขุดเรื่องคดีเก่าๆ ทั้งหลายของคุณทักษิณขึ้นมาโจมตีอีก ก็เลยอยากมาคุยกันอีกสักนิด ซึ่งก่อนอื่นต้องขอบอกว่าผมไม่ได้คิดว่าคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด แต่ผมคิดว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่เก่งที่สุดในแง่การพัฒนาสร้างความเจริญและยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชนได้อย่างแท้จริง เท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา

ซึ่งสิ่งนี้มันก็เป็นคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้วว่าทำไมผ่านไปสิบกว่าปี คนไทยจึงยังไม่ลืมชายชื่อทักษิณหรือพี่โทนี่จนถึงวันนี้ และยิ่งไปยกคดีเก่าๆ ไม่ว่าซื้อที่ดินรัชดา หวยบนดิน เงินกู้พม่า ภาษีหุ้นอะไร ฯลฯ มันยิ่งดูตลก out of place, out of context หลงโลกมาก เพราะมันยิ่งกลายเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดในวันนี้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันคือการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองโดยใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ

ซึ่งมันก็เป็นเพราะความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมเอง (ที่เท่ากับการทำลายระบบนิติรัฐโดยรัฐเองในทางอ้อมด้วย) ทำให้ไม่มีใครเขาเชื่อในคำตัดสินเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยส่วนใหญ่หรือทั่วทั้งโลก ซึ่งก็เป็นคำตอบอีกว่าทำไมไม่มีประเทศไหนใครเขาจับทักษิณส่งกลับ แม้กระทั่งจีน

ไปๆ มาๆ มันก็เลยกลายเป็นว่าต่อให้คุณทักษิณผิดจริงอย่างไรก็ไม่มีทางรู้เพราะความตกต่ำของระบบยุติธรรมของไทยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ใครเขาเชื่อถืออีกต่อไป ผมเคยเป็นทูตจึงรู้ดีว่าไม่มีประเทศไหนหรอกที่เขาอยากจะฟังคำชี้แจงของรัฐบาลไทยต่อข้อหาของคุณทักษิณ พอทำหนังสือนำส่งคำชี้แจงไป (เพราะเขาไม่อยากรับนัดหมายฟังเราพูดให้เสียเวลาทำงาน) เขาได้รับก็คงเอาโยนใส่ตะกร้าทิ้งขยะไปหมด ประมาณนั้น เพราะไม่เคยปรากฏว่ามีปฏิกริยาตอบกลับแต่อย่างใดทั้งสิ้น

‘วันชัย สอนศิริ’ ย้อนภาพจำ ย้อนภาพจำ ‘บิ๊กตู่’ โดนไล่ คือกงล้อประวัติศาสตร์กลับมาเหมือนเดิม เช่นนายกรัฐมนตรีในอดีต 

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา หรือส.ว. โพสต์ข้อความแสดงความเห็น กรณีนายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยหลายพื้นที่ แต่กลับถูกประชาชนแสดงออกทางการเมือง บางคนตะโกนขับไล่ต่อหน้า โดย ระบุว่า

“กงกำกงเกวียน บ้านเรานี่แปลก… ผู้มีอำนาจขึ้นมาใหม่ ใครๆ ก็เชียร์ ตามแห่แหน พอปลายๆ ก็จะมีทั้งคนเชียร์และคนขับไล่ คุณทักษิณตอนท้ายๆ ไปไหนมาไหนก็จะมีเสียงตะโกน.. ออกไป..ออกไป..ออกไป! อีกฝ่ายก็บอกว่า.. สู้ๆ..สู้ๆ! คุณสมัคร คุณสมชาย คุณอภิสิทธิ์และคุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ถึงกับบางพื้นที่ไม่สามารถจะไปได้ มีแต่คนคอยขับไล่ท่าเดียว แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจน เหตุการณ์ที่ว่าหายไป 5-6 ปี ตามด้วยคำที่ว่า… ความสงบจบที่ลุงตู่”

“บิ๊กตู่”พร้อมลงพื้นที่อุบลราชธานี 15 ต.ค. นี้ ตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดอุบลราชธานี และการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า“บิ๊กตู่”พร้อมลงพื้นที่อุบลราชธานี 15 ต.ค. นี้ ตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดอุบลราชธานี และการใช้พลังงานหมุนเว

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินการโครงการพลังงานทดแทน และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบโคก หนอง นา ณ วัดป่าศรีแสงธรรม ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมนมัสการพระปัญญาวชิรโมลี และเยี่ยมชมระบบสมาร์ทกริดศรีแสงธรรม ERC Sandbox และการจัดการศึกษาแบบไตรสิกขา (เน้นการพึ่งพาตนเอง) ของโรงเรียนศรีแสงธรรม

จากนั้น ตรวจเยี่ยมการดำเนินการโครงการพลังงานทดแทน ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบโคก หนอง นา และพบปะเครือข่ายโคก หนอง นา ของวัดป่าศรีแสงธรรม และจิตอาสาพัฒนาชุมชน พร้อมร่วมกิจกรรมปลูกป่าเพอร์มาคัลเจอร์ ทำหลุม ปลูกป่า ห่มดิน ให้ปุ๋ยแห้ง ปุ๋ยน้ำ  อีกทั้ง ยังได้เยี่ยมชมฐานการเรียนรู้ “คนติดดิน” การสร้างบ้านดินด้วยเทคนิคเอิร์ธแบก” และฐานการเรียนรู้ “คนมีไฟ ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ควบคุมระบบการเปิด-ปิด ด้วยระบบ IOT เพื่อรดน้ำต้นไม้เป็นสมาร์ทฟาร์มในโคก หนอง นา” นอกจากนี้ ยังมีโครงการพระราชทาน โคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง  โดยจะทำการปลูกต้นไม้รอบศาลาพระราชทาน และเยี่ยมชมแปลงนา กล้าต้นเดียว ฐานคนรักษ์แม่โพสพอีกด้วย 

ต่อจากนั้น เวลา 12.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากวัดป่าศรีแสงธรรม โดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังเขื่อนสิรินธร อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดอุบลราชธานี และการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า โดยใช้นวัตกรรม “โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดกับพลังน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรับฟังรายงานการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดอุบลราชธานี ก่อนเดินทางไปตรวจเยี่ยมการบรรเทาสาธารณภัยและการฟื้นฟูผู้ประสบภัยในพื้นที่ จังหวัดอุบลราชธานี ณ ศาลาประชาวาริน พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 78 ครัวเรือน ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

“สงคราม” แนะ “บิ๊กตู่” ช่วยประชาชนต้องจริงใจอย่าคิดเอง อัดเสียดายเวลารัฐออนทัวร์ชี้ประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากการลงพื้นที่ของรัฐบาล

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาพบว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปจังหวัดต่างๆอ้างว่าไปตรวจราชการ แต่ในความเป็นจริงเป็นการเดินทางไปหาเสียงมากกว่า เพราะมีการระดมส.ส.เดินตามเพื่อวัดพลังในพรรคพลังประชารัฐ เจตนาของพลเอกประยุทธ์ไปเพื่อการเมืองมากกว่าไปเพื่อช่วยประชาชน 

นอกจากนี้หน่วยงานราชการในพื้นที่ต้องเกณฑ์ประชาชนมารอต้อนรับ มาชียร์ให้นายกสู้ สู้ ไปเพื่อการนี้เท่านั้น พลเอกประยุทธ์ไม่ได้จริงใจที่จะลงไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างแท้เจริงและการวัดพลังในพรรคการร่วมรัฐบาล ดังนั้นประชาชนไม่ได้อะไรจากการลงพื้นที่ ของพลเอกประยุทธ์และคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา  

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า การเยียวยา หรือการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ควรเยียวเป็น “เงินสด” เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทุกคนสามารถใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น รวมทั้งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนได้ เพราะการจ่ายเป็นเงินสดประชาชนสามารถนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นผลทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่และยกระดับเศรษฐกิจในชุมชนด้วย 

ซูเปอร์โพล เช็กเรตติ้ง คู่ชิงเก้าอี้นายกฯ 'บิ๊กตู่ - จุรินทร์' 2 แคนดิเดต คะแนนยังนำ

17 ต.ค. 64 นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ประเมินคู่ชิงนายกรัฐมนตรี กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,348 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 11 - 16 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า

ผลประเมินความเหมาะสมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับแรกได้แก่ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.2 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ อดทน อดกลั้น มุ่งมั่นทุ่มเททำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อเนื่องมา ปรับปรุงตนเอง กำลังทำงานต่อเนื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศแก้ปัญหาปากท้องให้กลับมาเปิดประเทศได้ ยังไม่พบปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่รุนแรงเอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ไม่เหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเอื้อผลประโยชน์ต่อครอบครัวและพวกพ้อง เป็นต้น

อันดับสอง ที่ตามมา ได้แก่ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 ระบุ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เพราะมีอุดมการณ์ ขยันทุ่มเททำงานแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน มีประสบการณ์การเมืองมายาวนาน เชื่อมประสานทุกฝ่ายฝ่าวิกฤตต่าง ๆ ได้ไม่มีประวัติด่างพร้อย จงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ จุดยืนมั่นคงกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พบทุจริตคอร์รัปชัน ไม่เอื้อผลประโยชน์แก่ครอบครัวและพวกพ้อง เป็นต้น

อันดับสาม ที่ตามมาติด ๆ ได้แก่ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.6 ระบุ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพราะเป็นผู้หญิงกล้า แกร่ง มุ่งมั่นทุ่มเท ทำงานใกล้ชิดประชาชน อยู่เบื้องหลังความสำเร็จพรรคไทยรักไทยในอดีต มีความละเอียดอ่อนไหวต่อความรู้สึกของประชาชนตัวเล็กตัวน้อย เป็นต้น

อันดับสี่ ได้แก่ ร้อยละ 58.5 ระบุ นายกรณ์ จาติกวณิช เพราะเป็นนักการเมือง เป็นตัวของตัวเองสูง การศึกษาดี พูดจาดี มีประสบการณ์สูง เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน เป็นต้น 

อันดับห้า ได้แก่ ร้อยละ 54.4 ระบุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เพราะเป็นนักธุรกิจเคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจอยู่เบื้องหลังความสำเร็จผ่านวิกฤตโควิด อดทน อดกลั้นต่อการถูกโจมตี จิตใจดีช่วยเหลือประชาชน ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เป็นต้น 

และรอง ๆ ลงไปได้แก่ ร้อยละ 53.9 ระบุ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้า พูดจาดีมีเหตุผล มีวิสัยทัศน์ มีการศึกษาดี เป็นต้น และร้อยละ 46.7 ระบุ นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม เพราะเป็นนักการเมือง นักประชาธิปไตยที่มีความรู้ มีจุดยืนเข้มแข็งจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ผลงานเปิดโปงทุจริตจำนำข้าว เป็นต้น

ที่น่าพิจารณา คือ จุดยืนทางการเมืองของประชาชนที่พบว่า จำนวนมากหรือร้อยละ 40.7 สนับสนุนรัฐบาล ในขณะที่ร้อยละ 21.2 ไม่สนับสนุนรัฐบาล และ ร้อยละ 38.1 ระบุ พลังเงียบ ขออยู่ตรงกลาง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกแบ่งจุดยืนทางการเมืองของประชาชนออกตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ พบว่า ประชาชนในภาคใต้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.7 สนับสนุนรัฐบาลมากที่สุด ในขณะที่คนอีสานสนับสนุนรัฐบาลน้อยที่สุดคือร้อยละ 23.9 โดยคนในภาคกลางสนับสนุนรัฐบาลเป็นอันดับสองได้ร้อยละ 38.5 และคนกรุงเทพมหานครสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 31.5 และคนภาคเหนือสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 29.9

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” เปิดเมืองหากล้มเหลวต้องไม่โยนบาปประชาชน ชี้ รัฐบาลขนคณะลงพื้นที่หลายจังหวัดเพื่อไปหาเสียงมากกว่าไปช่วยชาวบ้านถูกน้ำท่วม

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด  แต่น่าเสียดายที่ทุกจังหวัดที่เดินทางไป ไม่เคยเข้าไปในพื้นที่น้ำท่วมแต่อย่างใด ไปตรวจน้ำท่วมแต่ไม่เคยเข้าถึงประชาชน ในทางกลับกันกลับให้ข้าราชการเกณฑ์คนมารอต้อนรับพร้อมบอกบทให้พูด การไปแบบนี้เป็นการไปหาเสียงมากกว่า การขนบรรดานักการเมืองเดินตามจึงมีเป้าประสงค์อย่างเดียวคือการไปเพื่อการเมืองไม่ได้ไปเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญหา  

อยากถามว่าไปทำอะไร เพราะในทุกพื้นที่ที่เดินทางลงไปไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชน เหมือนไปเที่ยวมากกว่า ทั้ง นนทบุรี สระบุรี ชัยภูมิ นครราชสีมา อยุธยา อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช บอกไปดูน้ำท่วม แต่ไปดูแล้วประชาชนได้อะไร เพราะไปมือเปล่า ส่วนที่เดินทางไปอุบบลราชธานี คนเป็นนายกรัฐมนตรีกลับไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึง มีการเตรียมกำลังทหารตำรวจมากกว่า 200 นาย ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าถึง ซึ่งชัดเจนว่าพลเอกประยุทธ์ไม่เคยให้ความสำคัญกับประชาชนเลย
 
นายสงคราม กล่าวด้วยว่า การเปิดประเทศในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ หากเปิดแล้วคุมการระบาดไม่ได้เชื่อว่าการระบาดของโควิดในไทยจะเพิ่มขึ้นหลักหลายหมื่นอย่างแน่นอน นอกจากนี้การเปิดประเทศเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ท่าทีล่าสุดของพลเอกประยุทธ์พร้อมที่จะโยนความให้กับประชาชน ดังนั้นผลที่ตามมาคือพลเอกประยุทธ์พร้อมลอยตัวหนีความผิดและไม่รับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ไม่อายประชาชนก็ควรอายตัวเองบ้าง รู้จักยอมรับความผิดบ้างอย่าเอาแต่หนีอย่างเดียว                                                

“บิ๊กตู่” สั่งจัดงานปีใหม่ให้ดึงศิลปินพื้นบ้านไทยร่วมด้วย 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ในรูปแบบร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดคอนเสิร์ตโดยศิลปินไทย ศิลปินพื้นบ้านในพื้นที่ต่าง ๆ และกรุงเทพฯ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มศิลปินที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงสิ้นปี โดยย้ำให้ใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด และนายกฯ ยังบอกถึงการจัดประชุม ครม.สัญจร ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ในจังหวัดนำร่องพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย

ทั้งนี้นายกฯ ยังขอทุกฝ่ายร่วมมือเตรียมความพร้อมเปิดประเทศตามเป้าหมาย ในวันที่ 1 พ.ย. นี้ โดยต้องกำหนดเงื่อนไขอย่างรอบคอบชัดเจนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อตกลงระหว่างประเทศต้นทางและประเทศไทย ควบคู่กับการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุข สำหรับผู้เดินทางมาท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่เกิดความมั่นใจในการดูแลด้านความปลอดภัยสาธารณสุข 

 

นายกฯ เตรียมนำคณะรัฐมนตรี ประชุม ครม. สัญจร ณ จังหวัดกระบี่ 8 – 9 พ.ย. เดินหน้าแผนรองรับเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Smart Entry) พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้  รับทราบการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม. สัญจร) ในวันที่ 8 – 9 พฤศจิกายน 2564 ณ จังหวัดกระบี่   พร้อมกันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดตรวจราชการ ณ จังหวัดกระบี่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว รองรับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Smart Entry)  และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรี ลงพื้นที่บริเวณจังหวัดหรืออำเภอโดยรอบกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน  (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล)  เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ ตลอดจนการรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังมีบัญชาให้ กระจายการจองโรงแรม/ที่พัก หลายแห่ง เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการประชุม ครม. สัญจร

สำหรับการจัดการประชุม ครม. สัญจร ในครั้งนี้  ให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ การบริหารจัดการรองรับนักท่องเที่ยวเพื่อเชื่อมโยง Sandbox อื่น ๆ ยกระดับการท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและคุณภาพระดับโลก  รวมทั้ง ยังจะได้มีวาระหารือกับภาคธุรกิจ เอกชน และผู้ประกอบการในพื้นที่  เพี่อส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเพิ่มมูลค่าภาคการผลิตเกษตร ประมงและปศุสัตว์ ด้วย 

“บิ๊กตู่” ประธาน ประชุมสภากห. ก่อนลงพื้นที่สิงห์บุรี ตรวจน้ำท่วมช่วงบ่ายวันนี้ คาดกำชับเหล่าทัพรับมืองานความมั่นคง แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกม. เตรียมรับเปิดประเทศ 1 พ.ย. เน้นย้ำช่วยเหลือปชช.น้ำท่วม

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 10 ประจำปี 2564  ก่อนเดินทางลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จ.สิงห์บุรี โดยมีพล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ  หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาสภากลาโหม และพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ไม่ได้เดินทางเข้ามาร่วมประชุมด้วย เนื่องจากติดภารกิจลงพื้นที่จ.กาญจนบุรี 

“บิ๊กตู่” สั่งตรึง "ดีเซล" 30 บาท ต่อลิตร  ชี้เห็นใจผู้ประกอบการ- ปชช. แต่ราคาน้ำมันพุ่งตามกลไกตลาดโลก  สั่ง ก.พลังงาน แจง 

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึง ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันพุ่งสูงว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อน ของสมาคมขนส่งหรือสมาคมรถบรรทุก ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดูแลอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่รู้ว่าจะขึ้นอีกเท่าไหร่ 

ในช่วงที่ผ่านมาทุกรัฐบาลได้มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้มาตลอด โดยการเอากองทุนน้ำมันออกไปช่วย ซึ่งเราก็ช่วยมาตลอด ทั้งที่ความจริงแล้วราคาน้ำมันสูงมากกว่านี้ เราจะพยายามตรึงราคาให้ได้ลิตรละ 30 บาท ซึ่งในราคานี้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันเดือนละประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท และสถานการณ์ปัจจุบันนี้ติดลบแล้วเราก็ต้องมาพิจารณาว่าอีกสองเดือนข้างหน้าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป 

“เห็นใจผู้ประกอบการขนส่งทุกคน แต่ที่สำคัญต้องเข้าใจสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ยังมีความขัดแย้งในหลายส่วน หลายกลุ่มด้วยกัน สถานการณ์น้ำมันยังคงเป็นอย่างนี้อีกระยะ รัฐบาลพยามตรึงให้ได้ลิตรละ 30 บาท ปัจจุบันเรามีน้ำมันอยู่หลายประเภท เช่น บี7 บี 10 บี 20 ราคา ซึ่งราคาต่างกัน เพราะมีส่วนผสมที่แตกต่าง โดยหากเราใช้เงินไปอุดหนุนราคาน้ำมันประเภทใดประเภทหนึ่งมากไป ก็จะทำให้น้ำมันอีกส่วนสูงขึ้น จะต้องดูตรงนี้ด้วย แต่เราก็จะคุมราคาน้ำมันดีเซลให้ได้ 30 บาทต่อลิตรก่อน” พล.อ.ประยุทธ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะทำอย่างไรให้กองทุนน้ำมันเกิดความคล่องตัว ต้องมาดูว่าหาเงินมาจากไหน  เงินกู้จะกู้ได้หรือไม่ ถ้าได้จะได้เท่าไร สิ่งเหล่านี้นายกฯ ได้พิจราณามาตลอด และเตรียมพร้อมในเรื่องนี้

ส่วนการเรียกร้องให้ราคาน้ำมันลิตรละ 25 บาท นั้นก็ต้องดูต้นทุนเป็นอย่างไร เรื่องน้ำมันมีปัญหาเยอะมาก เพราะเราใช้น้ำมันภายในประเทศมาก ต้องยอมรับว่า บ้านเราเจริญเติบโต ถนนหนทางพอดี จึงมีการใช้น้ำมันเยอะ  


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top