‘สาธารณสุข’ ผนึกพลังองค์กรระดับโลก ร่วมส่งเสริม ‘การเกิดมีชีพ’ อย่างยั่งยืน

ไม่นานมานี้ กระทรวงสาธารณสุข, กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) และ บริษัท ริกคิทท์ ประเทศไทยและอินโดจีน (Reckitt) ได้ร่วมมือกันจัด ‘การประชุมเชิงปฏิบัติการการนำเสนอสรุปผลการดำเนินงานของโครงการการพัฒนาและส่งเสริม การเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All) ผ่านสื่อออนไลน์’

โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยตัวแทนจาก Reckitt Thailand & Indochina และ Dr. Asa Torkelsson, Representative for UNFPA Malaysia and Country Director for UNFPA Thailand กล่าวเปิดการประชุม และ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวรายงานการประชุม

เริ่มต้นที่ ดร.สาธิต ได้กล่าวว่า การตายของมารดาเป็นเครื่องชี้วัดด้านสุขภาพที่สำคัญของโลก ทุกประเทศทั่วโลกมีข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของโลกในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยตั้งหวังที่จะลดอัตราการตายของมารดาทั่วโลกให้ต่ำกว่า 70 ต่อ ‘การเกิดมีชีพ’ แสนคน ภายในปี 2573

(หมายเหตุ : การเกิดมีชีพ คือ เด็กที่คลอดออก มาแล้วมีลมหายใจ ชีพจรเต้น มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ)

สำหรับประเทศไทย โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการดำเนินงานเพื่อลดอัตราส่วนการตายของมารดาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังและส่งเสริมการเกิดคุณภาพ โดยเฉพาะทั้งคนไทยและไม่ใช่คนไทยในพื้นที่ห่างไกล ได้เข้าถึงบริการอนามัยแม่และเด็ก เป็นการป้องกันการตายที่ป้องกันได้ของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการตายสูง ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All)

“ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ได้ร่วมมือดำเนินงานโครงการการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบรายงานและการให้บริการอนามัยแม่และเด็ก และวัยรุ่นวัยเจริญพันธุ์อย่างมีคุณภาพ ตลอดจนบูรณาการการมีส่วนร่วมของบุคลากรสาธารณสุข บุคลากรวิชาชีพอื่น ๆ ในชุมชนท้องถิ่น ในพื้นที่ชายขอบและห่างไกล ลดปัญหาการตายของมารดาและทารกระยะเวลา 15 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - ธันวาคม 2564 เพื่อปรับปรุงระบบการให้บริการอนามัยแม่และเด็กและประสานความร่วมมือ ภาคีเครือข่ายในการดำเนินงาน โดยการสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท ริกคิทท์ ประเทศไทยและ อินโดจีน (Reckitt)” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “โครงการการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า” (Safe Birth for All) กรมอนามัย ได้ดำเนินการในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ศูนย์อนามัยที่ 2 พิษณุโลก และศูนย์อนามัยกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ และแรงงานข้ามชาติ (ศอช.) ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ตามตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ที่อนามัยมารดาและทารกเข้าไม่ถึงบริการ 

โดยพื้นที่ดังกล่าวมีกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่เป็นคนไทยและชาติพันธุ์ ประมาณ 210,000 คน และเป็นหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 30,700 คน ซึ่งต้องอาศัยผดุงครรภ์โบราณ กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการลดการตายมารดาและทารกในพื้นที่ชายขอบและห่างไกล ช่วยให้หญิงมีครรภ์ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์และชายขอบเป็นประชากรราวร้อยละ 60 ของประชากรในพื้นที่ และข้อจำกัดด้านการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทำให้ยังมีการคลอดที่บ้านโดยผดุงครรภ์โบราณ 

ทั้งนี้ กรมอนามัยให้การสนับสนุนอุปกรณ์การทำคลอดจำนวน 1,500 ชุด ชุดตรวจ ATK มีการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมผดุงครรภ์โบราณ จำนวน 1 หลักสูตร จัดประชุมระบบการแจ้งการเกิด การตาย แก่เครือข่ายครู ตชด. ครู กศน. พร้อมทั้งพัฒนาระบบเฝ้าระวังการตายทารกปริกำเนิด โดยปี 2565 จะมีการขยายผลให้ครอบคลุมสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ และมีการวางแผนจะขยายผลให้ครอบคลุมในสถานพยาบาลของรัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สถานพยาบาลเอกชน และการตายนอกสถานพยาบาลต่อไป

Dr. Asa Torkelsson ผู้แทน UNFPA ประเทศมาเลเซีย และผู้อำนวยการ UNFPA ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นต้นแบบความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ที่ภาคีเครือข่าย ได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการตายของมารดาที่ป้องกันได้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เนื่องจากเข้าถึงบริการและข้อมูลด้านอนามัยแม่และเด็กอย่างจำกัด 

นี่จึงเป็นความท้าทาย ของการดำเนินงานที่จะหาช่องทางและโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงบริการแม่และเด็กที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม และขอขอบคุณกรมอนามัย รวมถึงบริษัท ริกคิทท์ ประเทศไทย และอินโดจีน (Reckitt) ที่เป็นพันธมิตรขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร

ในส่วนของประเด็น ‘การดำเนินงานและผลงานโครงการการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All)’ ทาง พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย ก็เผยให้ฟังว่า...

“ผลงานที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์แม่และเด็กในประเทศไทยเราดีขึ้นไปตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามประเด็นแม่และเด็กก็ยังเป็นประเด็นท้าทาย ที่ต้องจับมือร่วมด้วยช่วยกันกับภาคีต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น เช่น โครงการ Safe Birth For All ซึ่งมีเป้าหมายหลัก เพื่อพัฒนาการระบบบริการทางสุขภาพในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการพัฒนาระบบบริการให้เหมาะสมกับพื้นที่ รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรในการพัฒนาการผดุงครรภ์โบราณ เพื่อทำให้คุณแม่ปลอดภัยอย่างสูงสุด และเพื่อที่จะให้เกิดระบบการเฝ้าระวังการตายของแม่ ซึ่งผลสุดท้ายที่ต้องการจะเห็น คือ คุณแม่มีความปลอดภัยจากการตั้งครรภ์และมีอัตราการตายที่น้อยลง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล” พญ.นงนุช กล่าว

ขณะที่ด้าน ดร.นพ.ปณต ประพันธ์ศิลป์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์และกิจการ ภายนอก ริกคิทท์ ประเทศไทยและอินโดจีน ก็ได้อภิปรายในประเด็นการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ ระบุว่า... 

“ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับทุกท่านที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนโครงการนี้จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และขอบคุณที่ให้โอกาสบริษัท ริกคิทท์ ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของหญิงกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของเราในการดำเนินกิจการในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงการดูแลสุขภาพอนามัย ที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน” ดร. นพ.ปณต กล่าว

ส่วน นางดวงกมล พรชำนิ รักษาการหัวหน้าสำนักงาน UNFPA ประเทศไทย ก็ได้อภิปรายในประเด็นการนำรูปแบบการดำเนินงานและการขยายผลสู่พื้นที่อื่น ๆ ในบริบทที่สอดคล้องกัน กล่าวว่า... 

“UNFPA มีเป้าหมายอยู่ 3 ประเด็น ด้วยกัน โดยเป้าหมายแรก คือ ลดอัตราการตายของมารดา เป้าหมายที่สองการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เป้าหมายสุดท้าย คือ การไม่ทนต่อการทำความรุนแรงทางเพศต่อเด็กผู้หญิงและผู้หญิง และในปี 2030 มีเป้าหมายจะทำให้ปัญหานี้เท่ากับศูนย์ในอนาคต ในส่วนของการเข้าถึงการบริการของผู้หญิงที่อยู่ชายขอบ ซึ่งทุกอย่างอยู่ในระบบหมดแล้ว จึงมีแผนที่จะขยายไปในจังหวัดอื่น ๆ อีกด้วยในอนาคต ในส่วนของรูปแบบการทำงานเชื่อว่า การใช้ยุทธศาสตร์แบบ Partnership จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่มุ่งหวังและสอดคล้องกันโดยการพัฒนางานตามบริบทที่มีอยู่เพื่อความยั่งยืน”

นพ.สุวรรณชัย กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “โครงการนี้ ดำเนินการท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด- 19 ซึ่งขอชื่นชมความมุ่งมั่นในการดำเนินงานกับทุกภาคส่วน ที่สามารถดำเนินงานได้ตามจุดประสงค์” 

สำหรับวัตถุประสงค์ของ ‘โครงการการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth For All) จัดตั้งขึ้นโดยกรมอนามัยและกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมมือดำเนินงานโครงการการพัฒนาและส่งเสริม การเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth For All) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบรายงานและการให้บริการอนามัยแม่และเด็ก และวัยรุ่นวัยเจริญพันธุ์อย่างมีคุณภาพ 

ตลอดจนการบูรณาการการมีส่วนร่วมของบุคลากรสาธารณสุข บุคลากรวิชาชีพอื่น 1 ในชุมชนท้องถิ่น ในพื้นที่ชายขอบและห่างไกล เพื่อลดปัญหาการตายของมารดา ทารก ระยะเวลา 15 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึงเดือนธันวาคม 2564 ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจากริกคิทท์ ประเทศไทยและอินโดจีน (Reckitt) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงระบบการให้บริการอนามัยแม่และเด็ก และประสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายในการดำเนินงานในพื้นที่เป้าหมายต่อไป