Wednesday, 2 July 2025
WORLD

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ โพสต์ข้อความเตือน การไล่ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ พ้นจากอำนาจ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้าย

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ สาดน้ำเย็นดับความหวังของตะวันตกที่ว่าเหตุความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทหารรับจ้าง "วากเนอร์" กับบรรดานายพลระดับสูงของรัสเซีย อาจนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลมอสโก พร้อมเตือนว่าการขจัดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน พ้นจากอำนาจ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์เลวร้ายโดยไม่เจตนา

."มันคือความยุ่งเหยิงครั้งใหญ่ในรัสเซีย แต่จงระมัดระวังกับสิ่งที่คุณปรารถนา" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบน Truth Social สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันเสาร์ (24 มิ.ย.) "ถัดจากนี้อาจเลวร้ายกว่ามาก"

ทั้งนี้ ความคิดเห็นดังกล่าวของ ทรัมป์ ต่อสถานการณ์ความไม่สงบในรัสเซีย มีขึ้นก่อนหน้าที่ เยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำของกลุ่มวากเนอร์ ตกลงยุติการก่อกบฏ และระงับการเดินทัพมุ่งหน้าสู่มอสโก โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวที่ทำกับเครมลิน อดีตพันธมิตรของปูตินรายนี้ จะเดินทางออกจากรัสเซียไปยังเบลารุส และจะไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ

ท่ามกลางเสียงยินดีปรีดาที่จบลงเพียงเวลาไม่นานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ต่อการลุกฮือของกลุ่มวากเนอร์ แต่บรรดาผู้สนับสนุนตะวันตกของเขาระงับไว้ซึ่งการแสดงออกอย่างเปิดเผยต่อความเป็นไปได้ของการโค่นล้มรัฐบาลปูติน โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครน มีรายงานเพียงว่า "ได้ปรึกษาหารือกับบรรดาพันธมิตรและคู่หู" เกี่ยวกับสถานการณ์ในมอสโก

อย่างไรก็ตาม บรรดาสื่อมวลชนตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนมากกว่า โดยอวดอ้างว่าการลุกฮือของวาเนอร์ เป็นวิกฤตการดำรงอยู่ของรัฐบาลรัสเซีย ในขณะที่ เคิร์ท โวลเดอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า สถานการณ์ความไม่สงบ "คือจุดจบของปูติน" และ "เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับจุดจบของสงครามของรัสเซียในยูเครน"

ทรัมป์ ยังพาดพิงเหน็บไปยังประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน โดยบอกว่า ไบเดน "จะทำกับรัสเซียในสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนต้องการให้เขาทำ" ซึ่งเป็นการเน้นย้ำคำกล่าวหาของเขาที่ว่าครอบครัวของไบเดน รับสินบนจากสัญญาทางธุรกิจหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เพจเฟซบุ๊ก การทูตและการทหาร Military & Diplomacy โพสต์ข้อความ สรุปจุดจบบริษัททหารรับจ้าง ‘วากเนอร์’

เพจเฟซบุ๊ก การทูตและการทหาร Military & Diplomacy ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ กบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซีย ไว้โดยมีใจความว่า ...

จุดจบบริษัททหารรับจ้างวากเนอร์

เบื้องต้นเงื่อนไขที่ประธานาธิบดี Alexander Lukashenko ของเบลารุสเป็นคนกลางเจรจากับนาย Yevgeny Prigozhin เจ้าของบริษัททหารรับจ้าง Wagner และต่อมานาย Dmitry Peskov โฆษกเครมลินออกมาแถลงเพิ่มเติม สรุปคร่าวๆได้ประมาณนี้ครับ

1. ทหารรับจ้างวากเนอร์ยอมถอนกำลังกลับที่ตั้ง รัฐบาลรัสเซียจะไม่ดำเนินคดีกับกำลังพลของวากเนอร์ เนื่องจากมีความดีความชอบมาก่อน แต่หลังจากนี้กำลังพลของวากเนอร์ต้องอยู่ภายใต้กลาโหมรัสเซียแล้ว ตรงจุดนี้รายละเอียดยังไม่ชัดเจนว่าแค่ให้เซ็นสัญญากับกลาโหมให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าจะยุบบริษัทแล้วดึงกำลังพลของวากเนอร์มาเป็นทหารรัสเซียเลย

2. นาย Yevgeny Prigozhin จะเดินทางออกนอกประเทศไปอยู่เบลารุส (Lukashenko รู้จัก Prigozhin เลยเป็นคนกลางเจรจาได้) โดยปูตินรับรองความปลอดภัยให้ จะไม่มีการดำเนินคดีกับ Prigozhin

3. ระหว่างการเจรจา ไม่มีการตกลงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายทหารระดับสูงในกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด กล่าวคือปูตินไม่ปลด Shoigu หรือ Gerasimov ตามที่วากเนอร์เรียกร้อง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่มีการโยกย้ายตำแหน่งใดๆเลยนะครับ แต่ "ถ้าจะมี" ปูตินในฐานะประธานาธิบดีและผู้บัญชาการสูงสุดจะเป็นคนสั่งการเอง ไม่ให้ทหารรับจ้างมากดดันได้ ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าจะมีการแต่งตั้ง Surovikin แทน แต่รอดูประกาศเป็นทางการก่อนครับ

4. ปฏิบัติการพิเศษในยูเครนดำเนินต่อไปตามปกติ

สำหรับสาเหตุที่วากเนอร์ยอมถอย ทั้งที่อีกประมาณ 200 กิโลเมตรก็จะถึงกรุงมอสโกแล้ว เท่าที่ผมมีข้อมูลคือกำลังพลของวากเนอร์เกือบครึ่งไม่เห็นด้วยกับการก่อกบฏตั้งแต่แรก และระหว่างที่เหตุการณ์ดำเนินไป ก็มีคนถอนตัวมากขึ้น สุดท้ายกำลังพลจึงไม่พอจะสู้กับฝ่ายรัฐบาลรัสเซียที่มีกำลังพลทั้ง Rosgvardia (National Guard) ตำรวจ กองกำลังเชเชน และหน่วยทหารรัสเซียจากพื้นที่อื่นๆที่ทยอยเดินทางมาสมทบ ปิดล้อมสกัดเส้นทางของวากเนอร์ได้ สุดท้ายจึงมีการเจรจาโดยให้ Lukashenko มาเป็นคนกลาง เปิดทางถอยให้วากเนอร์ เนื่องจากทุกฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงการนองเลือด ด้วยเหตุนี้แม้จะเกิดความสูญเสียบ้างจากการปะทะกันก่อนหน้านี้ แต่เหตุการณ์ก็ไม่บานปลายถึงขนาดเป็นสงครามกลางเมือง

ไม่น่าเชื่อว่าเราได้เห็นประวัติศาสตร์ The Rise and Fall of the Wagner PMC สูงสุดคืนสู่สามัญ ภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง

วิกฤตที่เกิดขึ้นในรัสเซีย ‘The Wild Chronicles’ สรุปให้ฟังสั้นๆ แบบเข้าใจง่าย

เพจเฟซบุ๊ก The Wild Chronicles ได้โพสต์ข้อความสรุปเหตุการณ์ วิกฤตกบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซีย ไว้โดยมีใจความว่า ...

สรุป : วิกฤตกบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซียแบบเข้าใจง่าย

1. ประธานาธิบดีรัสเซียนาม ปูติน นั้นเลี้ยงขุนศึกไว้หลายคน และปกติจะปล่อยให้เหล่าขุนศึกทำงานซ้ำซ้อนกัน เชื่อว่าเพื่อให้ทะเลาะกันเอง ชิงกันสร้างความดีความชอบ 

2. ในจำนวนนั้น มีขุนศึกคนหนึ่งชื่อ พรีโกชิน ...แบคกราวน์เป็นเจ้าพ่อ ต่อมาได้เป็นผู้นำกองกำลังวากเนอร์

3. วากเนอร์นั้นฉากหน้าเป็นบริษัททหารรับจ้าง (ซึ่งจริงๆ ผิดกฎหมายรัสเซีย) ในความจริงเป็นที่ทราบกันว่า มันคือกองกำลังส่วนตัวของปูติน เอาไว้ใช้ทำงานที่กองทัพรัฐบาลไม่สะดวกทำเอง

4. ในสงครามยูเครน ทัพวากเนอร์มาช่วยรบด้วย พวกเขาเป็นหน่วยที่รบเก่งของรัสเซีย ก่อนหน้านี้มีผลงานสำคัญในการตีเมืองบักมุต จึงกลายเป็นดาวรุ่งในวงการทหาร

5. พรีโกชินเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐมตรีกลาโหมรัสเซียนาม ชอยกู ...พรีโกชินตำหนิชอยกูบ่อยๆ ว่าส่งเสบียงอาวุธมาสนับสนุนพวกเขาไม่เต็มที่

6. พรีโกชินชอบออกสื่อโซเชียล ให้สัมภาษณ์ทั้งโม้ ทั้งเหยียบย่ำคนอื่น ทั้งเปิดเผยข้อมูลภายใน ทำให้พวกกลาโหมรัสเซียเกลียดมาก

7. ที่ผ่านมานั้น ระหว่างวากเนอร์กับทหารปกติมีกระแสเหยียดกันเองโดยเปิดเผย วากเนอร์เหยียดว่าทหารปกติรบไม่เก่ง ทหารปกติเหยียดว่าพวกวากเนอร์เป็นกุ๊ยโฉ่งฉ่าง ความขัดแย้งนี้พัฒนามาเรื่อยๆ

8. เชื่อว่าชอยกูระแวงว่าวากเนอร์จะแข็งแกร่งจนคุมไม่ได้ จึงออกคำสั่งให้ทหารวากเนอร์ทั้งหมดขึ้นทะเบียนเข้ากองทัพรัสเซีย ทั้งนี้เพื่อสลายอำนาจพรีโกชิน

9. คืนวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา ไม่นานหลังชอยกูออกคำสั่งขึ้นทะเบียนวากเนอร์ ก็มีข่าวลือว่าทัพรัสเซียโจมตีค่ายของวากเนอร์ มีทหารล้มตายเป็นอันมาก

10. วันที่ 24 มิ.ย. พรีโกชินบอกว่าข่าวลือข้อที่แล้วคือความจริง คนของเขาถูกทิ้งบอมสังหารไป 2,000 คน และเขาจะเคลื่อนพลไปทำลายชอยกูที่กำลังอยู่ในเขตรอสตอฟเพื่อแก้แค้น เขาบอกว่า "นี่ไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เราคือทัพแห่งความยุติธรรม" และ "จะทำลายทุกคนที่ขัดขวาง"

11.  นายพลรัสเซียที่สนิทกับพรีโกชินพยายามไกล่เกลี่ยหาทางลงให้ทั้งสองฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

12. พวกวากเนอร์ยึดเมืองรอสตอฟออนดอนไว้ได้ เมืองนี้มีความสำคัญในฐานะเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการหลักของรัสเซียในการทำสงครามยูเครน

13. พรีโกชินบอกว่าจะยอมคืนเมืองให้ถ้าทางการรัสเซียจับรัฐมนตรีกลาโหมชอยกู และนายพลเกราซิมอฟผู้บัญชาการศึกยูเครน มัดตัวมาถวายเขา...หาไม่แล้วเขาจะกรีฑาทัพไปทวงความเป็นธรรมถึงกรุงมอสโก!

14. ทางการรัสเซียประกาศว่านี่มันคือการกบฏชัดๆ!

15. ทางการรัสเซียมีการประกาศให้ประชาชนที่อาศัยตามบริเวณที่เชื่อว่าเป็นทางผ่านของทัพวากเนอร์ให้หลบเข้าบ้าน อยู่ในความสงบ

16. ปูตินประกาศว่าพรีโกชินเป็นกบฏและต้องได้รับการลงโทษ! การประกาศนี้ทำให้เห็นว่าปูตินเลือกข้าง จากที่ก่อนนี้ทำตัวลอยๆ เหนือการทะเลาะของลูกน้อง

17. พรีโกชินด่าปูตินว่า "ไอ้ห- " (ก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าด่าปูตินมาก่อน)

18. ตลอดวันที่ 24 มิ.ย. มีข่าวทัพวากเนอร์เคลื่อนพลเข้าใกล้มอสโกมากขึ้นเรื่อยๆ...มีข่าวการต่อสู้และฟุตเทจหลุดมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเครื่องบินมาทิ้งบอมและถูกสอย

19. แต่การเคลื่อนทัพของวากเนอร์ค่อนข้างง่าย ทหารรัสเซียตามรายทางมักวางอาวุธ ยอมจำนน มิได้ต่อต้าน

20. ตลอดวันมีข่าวว่ารัฐบาลรัสเซียระดมกำลังเข้ามอสโกเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และมีการปราบปรามทำลายสำนักงาน และป้ายของวากเนอร์ในที่ต่างๆ

21. มีข่าวว่าชนชั้นสูงในมอสโกพากันหลบหนีเพราะทหารรักษาเมืองนั้นมีกำลังน้อย จนน่าจะสู้วากเนอร์ไม่ได้ (พวกทหารถูกให้ไปรบในยูเครนกันมาก) 

22. มีข่าวลือว่าปูตินหลบหนี ข่าวลือนี้เกิดจากมีเครื่องบินของปูตินบินขึ้น และตัดสัญญานเรดาร์ไม่ให้ใครรู้ว่าไปไหน

23. ตอนค่ำๆประธานาธิบดีลูคาเชนโกของเบลารุสซึ่งเป็นมิตรกับรัสเซียมานาน ประกาศว่าได้เจรจาไกล่เกลี่ยกับพรีโกชินเป็นผลสำเร็จ โดยเงื่อนไขการเจรจาจะมีการอภัยโทษให้พรีโกชินและทหารวากเนอร์ รายละเอียดมากกว่านี้ยังไม่ถูกเปิดเผย

24. พรีโกชินประกาศตามมาว่าจะถอยทัพผ่านโซเชียล ขณะที่ทัพวากเนอร์ของเขาเข้าใกล้มอสโกในระยะ 200 กิโลเมตรแล้ว

25. เขาบอกว่าจะถอนกำลังกลับไปฐานที่มั่นในยูเครนเพื่อป้องกันการเสียเลือดเนื้อของชาวรัสเซีย

26. ทหารวากเนอร์ถอยทัพจริง

27. ทางการรัสเซียยอมตามการเจรจาของลูคาเชนโก

28. ทางการรัสเซียแถลงผลการเจรจาออกมาแบบนี้

(1) ข้อกล่าวหาที่ว่าพรีโกชินเป็นกบฏจะถูกยกเลิกไป และพรีโกชินจะได้ลี้ภัยไปเบลารุส

(2) นักรบวากเนอร์ที่มิได้มีส่วนร่วมกับการจลาจลจะได้รับทางเลือกให้สามารถเข้าร่วมเป็นทหารของทัพรัฐบาลรัสเซีย 

(3) สำหรับนักรบที่มีส่วนร่วมกับการจลาจลจะได้รับการอภัยโทษ 

ทั้งหมดนี้ทำอย่างปราณีเพื่อเห็นแก่ความดีความชอบที่คนในข้อ (1)-(3) เคยรบในยูเครนมา ...และเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดซึ่งอาจเกิดขึ้น

น่าสังเกตว่า ไม่มีการเอ่ยถึงชะตากรรมของรัฐมนตรีกลาโหมชอยกู 

และเทเลแกรมโปรสงครามของรัสเซียบอกว่ามีทหารรัสเซียถูกวากเนอร์สังหารไปในรอบนี้ 13-20 นาย ถ้าปล่อยไปเฉยๆ ทัพรัสเซียจะเสียเกียรติยศ

จีน ปิ๊งไอเดีย ติดแบรนด์ ดีไซน์ชุดนักเรียน  ให้โดดเด่น ทันสมัยกว่าเดิม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี 

เพจเฟซบุ๊ก ไทยคำจีนคำ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชุดนักเรียนในประเทศจีน โดยระบุว่า ...

ช่วงนี้ประเทศมีประเด็นร้อน เกี่ยวกับ "ชุดนักเรียน" กันเยอะเลย

เมืองจีนเองก็มี และกลายเป็นปัญหาถกเถียง ส่วนใหญ่ในทำนองว่าทำไมชุดนักเรียนของเด็กจีนมันดู "เชย" จังเลย 🤔

โดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น คนจีนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองล้าหลังในเรื่องนี้

ยุคนี้หลายอย่างในจีนมีการนำข้อมูลตัวเลข หรือ Data เข้ามาจับ พบว่าธุรกิจชุดนักเรียนของจีน มีมูลค่าถึง 120,000 ล้านหยวน (6 แสนล้านบาท)

เพราะนักเรียนเขาเยอะ และเป็นกฎหมายที่บังคับให้ทุกโรงเรียนต้องใช้ชุดนักเรียน 

สำหรับเจตนาของข้อกฎหมายตัวนี้ คือเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในสถาบันการศึกษา

และข้อสำคัญคือสร้างความ "เท่าเทียม" ให้ทุกคนใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน ไม่ต้องแต่งหรูดูดีเกินไปมาอวดมาโชว์กัน

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เศรษฐกิจของจีนเติบโตมาตลาดหลายสิบปีหลัง และการเมืองค่อนข้างนิ่ง เพราะปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์มายาวนาน

ทำให้นอกจากจะไม่มีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกชุดนักเรียนเหมือนในประเทศอื่นแล้ว กลับมีการตั้งคำถามว่า "ทำไมไม่เพิ่มมูลค่าให้กับชุดนักเรียน?"

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ "ดีไซน์" การออกแบบให้มีสไตล์โดดเด่น ทันสมัยกว่าเดิม

รวมถึงการ "ติดแบรนด์" ให้แบรนด์สินค้าเสื้่อผ้าดัง ๆ ได้เข้ามาผลิตชุดนักเรียนให้กับแต่ละโรงเรียน 🏫

แล้วแต่ว่าโรงเรียนแต่ละแห่ง มีกำลังซื้อมากน้อยเพียงใด นั่นเพื่อเป็นการเปิด "โอเพ่น" การทำการค้าการขายในตลาดนี้ 

ลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นให้น้อยลง เพราะจากข้อมูลพบว่า ชุดนักเรียนทั่วประเทศจีน มีเพียง 1% ที่ผลิตแบบติดแบรนด์ โดยบริษัทที่มีชื่อเสียง

ที่เหลือเป็นการผลิตแบบ "ไม่ติดแบรนด์" ถามว่าใครจะไปผลิตให้กับโรงเรียนไหนได้บ้าง ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้บริหาร

เข้าไปวิ่งเต้นพูดคุย และตกลงกันอย่างไร ผู้ปกครองและนักเรียนก็ไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไป รู้ตัวอีกทีก็ได้ชุดนักเรียนแบบเชย ๆ ไม่สวย แต่จำใจต้องใส่มาใช้งาน

เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิวัติภาพลักษณ์ของชุดนักเรียน ยังรวมไปถึงชุดว่ายน้ำ, ชุดพละ

โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกมาขับเคลื่อนในสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง เร้งเร้าให้ภาคเอกชน และโรงเรียนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และการรับรู้ของประชากรจีนในรุ่นต่อไป

พูดภาษาชาวบ้านคือ พอจีนเริ่มมีตังค์ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ความสวยงามมากขึ้น

หลายปีต่อเนื่องมาแล้ว ในเมืองจีนมีการจัดการแข่งขันประกวดออกแบบชุดนักเรียน โดยขายคอนเซปต์ นำเสนอ จัดแฟชั่นโชว์ ถ่ายทอดสดผ่านสื่อ

ทำให้ชุดนักเรียนมีคุณค่าไม่ต่างจากเสื้อผ้าสวมใส่ทั่วไปในวาระอื่น ๆ

ด้วยประชากร 1.4 พันล้านคน และรัฐบาลผลักดันจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมชุดนักเรียนของจีนกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี

และเมื่อการค้าขายคึกคักมากขึ้น มันจะส่งผลเป็นวัฏจักรไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากจะลบภาพจำของ "ชุดนักเรียนเชย ๆ" ได้แล้ว จีนยังมีหน้ามีตามากขึ้นในเวทีนานาชาติ พร้อมกับเงินในกระเป๋าของพลเมืองที่มากขึ้น

โรงเรียนไหนมีกำลังซื้อ จะใช้ชุดนักเรียนที่หรูหน่อย ก็ให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยินยอม

โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก ปรับเปลี่ยนตามความสามารถของผู้ปกครอง ไม่มีการบังคับกัน แต่ทั้งประเทศไม่จำเป็นต้องใช้ชุดนักเรียนแบบเดียวกัน 

สำคัญคือรัฐบาลเขาได้ยินเสียงบ่นของประชาชน เขานำเสียงบ่นกลับไปวิเคราะห์ออกมาเป็นรายละเอียด

และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขทันที ไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย

แม้แต่ชุดนักเรียนของเด็ก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จีนเขามองข้าม

‘ไททานิก’ บรรทุกโลงศพมัมมี่เจ้าหญิงอียิปต์ เป็นเหตุให้เรืออับปาง จมสู่มหาสมุทรแอตแลนติก

วันที่ (23 มิ.ย. 66) จากกรณีข่าวโด่งดังทั่วโลกกับเรือดำน้ำที่มีชื่อว่า ‘ไททัน’ ของ ‘บริษัทโอเชียนเกต’ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเรือนำเที่ยวพาชมซากเรือสำราญแห่งตำนานอย่าง ‘ไททานิก’ ที่ต้องใช้เงินมหาศาลถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.7 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 21 มิ.ย. 23) เพื่อแลกกับ 1 ที่นั่งที่แสนจะคับแคบและอึดอัด (เรือดำน้ำไททัน มีความยาวประมาณ 6.4 เมตร) ได้ขาดการติดต่อกับเรือพี่เลี้ยงที่อยู่บนผิวน้ำ ซึ่งลอยลำอยู่ห่างจากอ่าว Cape Cod รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปทางตะวันออกประมาณ 900 ไมล์ (1,448 กิโลเมตร) หลังพาคณะทัวร์รวม 5 คน ดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำได้ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที! ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 18 มิ.ย. 23

ล่าสุด นิปปอน นวนันท์ บำรุงพฤกษ์ ผู้ประกาศคนดัง ได้มาออกรายการแฉ พร้อมเล่าเรื่องราวอาถรรพ์ของ ‘ไททานิก’ โดยนิปปอน เล่าว่าในสมัยนั้น เรือไททานิก ถือว่าเป็นเรือที่ใหญ่มากคนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้ขึ้น โดยเรือไททานิกล่มวันที่ 15 เมษายน ปี 1912 ออกจากอังกฤษเพื่อไปนิวยอร์ก ออกไปได้แค่ 3 วัน เรือล่มชนภูเขาน้ำแข็ง หายไปกว่า 70 ปี กว่าคนจะหาเจอซากใต้มหาสมุทรแอตแลนติก

ซึ่งก็ยังไม่มีใครเคยเห็นภาพเรือไททานิก ที่จมอยู่ข้างใต้ด้วย จนสุดท้ายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีบริษัทที่ทำแผนที่ใต้ทะเลลงทุนไปถ่ายสแกนภาพ 3 มิติ สรุปแล้วเรือไททานิกนั้นจมในสภาพหักครึ่งอยู่ห่างกัน 800 เมตร โดยคนสมัยนั้นเชื่อว่าอาจเป็นอาถรรถพ์เล่าลือกันว่าในเรือไททานิกมีโลงศพมัมมี่ ของเจ้าหญิงอียิปต์อยู่บนนั้น

ในสมัยหนึ่งมีคนเชื่อว่าใครที่ได้ครอบครองมัมมี่อียิปต์จะหายสาปสูญไปทันที ก่อนหน้านั้นมีเศรษฐอียิปต์ได้ไปครอบครองก็หายตัวไปในทะเลทรายเฉย ๆ จนกระทั่งมีเศรษฐีซื้อไป ก็ทำให้บ้านไฟไหม้เจอแต่เคราะห์ร้าย เศรษฐีจึงให้มัมมี่กับพิพิธภัณฑ์อังกฤษ จนกระทั่งปี 1912 มีนักโบราณคดีสหรัฐฯ คนหนึ่งซึ่งไม่เชื่ออาถรรพ์ต้องการจะให้โลงมัมมี่กลับมาอยู่ที่นิวยอร์กก็เลยใส่มาบนเรือไททานิก

นอกจากนี้มดดำได้กล่าวเสริมอีกหนึ่งอาถรรพ์ที่เกิดขึ้นปี 2533 เป็นเรือประมงของประเทศนอร์เวย์ บังเอิญไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งว่ายน้ำมาขอความช่วยเหลือ พอช่วยขึ้นมาหญิงคนนั้นบอกว่าตนอายุ 29 มาจากเรือไทนานิก ซึ่งปีที่เรือไททานิคล่มอยู่ในปี 2455 ห่างกัน 100 กว่าปี ซึ่งสิ่งที่แปลกประหลาดหลังจากพาหญิงสาวรายนี้ไปรักษาโรงพยาบาลได้ประมาณ 6 เดือน เธอก็แก่ลงอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตไปอย่างปริศนา

ล่าสุด (23 มิ.ย. 66) บีบีซีรายงานความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาเรือดำน้ำไททันของบริษัทโอเชียนเกต เอ็กซ์พิดิชั่น ที่หายสาบสูญไปพร้อมลูกเรือ 5 คน ระหว่างดำดิ่งลงไปทัวร์ซากเรือไททานิก ว่าพบเศษชิ้นส่วนปริศนากระจายเต็มพื้นทะเล โดยมีชิ้นส่วนของเรือไททันรวมอยู่

การเปิดเผยล่าสุดมาจากนายเดวิด เมิร์นส์ เพื่อนของหนึ่งในผู้โดยสารบนเรือดำน้ำไททัน กล่าวว่า ชิ้นส่วนที่พบนั้นมีส่วนของขาตั้งและฝาครอบด้านหลังของเรือรวมอยู่ด้วย

ความคืบหน้านี้ต่อเนื่องจากการเปิดเผยจากหน่วยบัญชาการกลางภารกิจค้นหาโดยหน่วยยามฝั่งของสหรัฐอเมริกา ว่าผู้เชี่ยวชาญกำลังเร่งวิเคราะห์เศษชิ้นส่วนที่พบอย่างละเอียด และเตรียมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 23 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย

‘จีน’ สั่งชาวแบงค์ งดใช้แบรนด์เนม-อวดไลฟ์สไตล์หรูหรา หวังลดความเหลื่อมล้ำ หลังประเทศเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง

ถึงคิว ‘ชาวแบงค์’ และสถาบันการเงินต่างๆ แล้ว ที่จะต้องโดนใบเหลืองจากรัฐบาลจีน ในการสอดส่อง ไลฟ์สไตล์หรูหรา ใช้ของแบรนด์เนม ราคาแพง ว่าจะเป็นการสร้างค่านิยมที่ไม่ดีต่อสังคมจีน ที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง และการว่างงานของเด็กจบใหม่ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาคธุรกิจการเงินของจีน นับเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีมูลค่าสูงกว่า 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นเส้นเลือดสำคัญของเศรษฐกิจจีน จึงไม่แปลกใจว่า กลุ่มคนทำงาน หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาธุรกิจการเงิน จะเป็นกลุ่มที่ได้ค่าจ้างตอบแทนสูงมากในจีน

และด้วยรายได้ที่ดีกว่าอาชีพอื่นๆ และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูมั่งคั่ง และมั่นคง จึงนำไปสู่ไลฟ์สไตล์ที่ดูหรูหรา การเลือกใช้ของราคาแพง เพื่อให้ดูดีมีระดับ สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจของชาวจีนส่วนใหญ่ที่ยังต้องทำงานหนัก รายได้เดือนชนเดือน หรือยังหางานไม่ได้ ทำให้กลุ่มคนทำงานในแวดวงการเงิน ถูกมองเป็นชนชั้นสูงอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมจีน

ด้วยเหตุนี้ องค์กรเฝ้าระวังการฉ้อโกงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาประกาศว่าจะขจัดแนวคิดของ ‘ชนชั้นสูงทางการเงิน’ ตามค่านิยมตามแบบตะวันตก ที่มุ่งแสวงหา ‘รสนิยมระดับไฮเอนด์’ มากเกินไป

จึงมีคำสั่งภายในองค์กรการเงิน และธนาคารตั้งแต่ขนาดใหญ่ จนถึงขนาดกลาง ไม่ให้บุคคลากรในทุกระดับ อวดโชว์ไลฟ์สไตล์โก้หรูจนเกินงาม ด้วยการโพสต์ภาพมื้ออาหารหรูๆ กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงของตนลงในโซเชียล เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม
.
พนักงานธนาคารขนาดกลางแห่งหนึ่งของจีนเล่าว่า มีคำสั่งจากหน่วยงานให้เจ้าหน้าที่ทุกคนงดใช้กระเป๋า หรือสิ่งของแบรนด์เนมในที่ทำงาน รวมถึงการเข้าพักในโรงแรม 5 ดาว เมื่อต้องเดินทางไปทำงานต่างเมือง

นอกจากข้อห้ามการใช้ข้าวของหรูหราแล้ว เบี้ยเลี้ยงที่ไม่จำเป็น และโบนัสอาจต้องถูกตัดด้วย

แหล่งข่าวภายในเปิดเผยว่า ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) และ China Construction Bank Corp (CCB) มีแผนที่จะลดเบี้ยเลี้ยงพิเศษสำหรับพนักงานภายในปีนี้ หลายสถาบันการเงินอาจต้องปรับลดโบนัสลงตั้งแต่ 30% - 50%

การปรับลดเบี้ยเลี้ยง โบนัส หรือการออกข้อบังคับให้คนทำงานในองค์กรการเงินใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ เป็นผลพวงจากนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชัน ของรัฐบาลจีนที่เล็งเป้ามาที่ภาคธุรกิจการเงิน และมีการแต่งตั้งองค์กรเฝ้าระวังการฉ้อฉลในภาคการเงินโดยเฉพาะในยุคของ ‘สี จิ้นผิง’ เทอม 3 เพื่อตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของรัฐบาลจีนทั้งแนวคิด และทางการเมือง

แต่อีกนัยยะหนึ่ง ที่สถาบันการเงินต่างๆ จำเป็นต้องตักเตือนพนักงานของตนเรื่องการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย หรือการใช้สื่อโซเชียลโพสต์รูปอวดการใช้ชีวิตที่ทำให้หลายคนอิจฉา อาจทำเพื่อป้องกันไม่ให้สะดุดตาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลจีน ที่กำลังตรวจสอบหนักอยู่ในขณะนี้

ดังเช่นกรณีการหายตัวไปของนายเป่า ฟาน นักลงทุน และผู้ก่อตั้งบริษัท China Renaissance เมื่อไม่นานมานี้ ที่ต่อมาทราบแต่เพียงว่า กำลังเก็บตัวเพื่อให้ความร่วมมือกับทีมสอบสวนคดีทุจริตของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ ยังมีมหาเศรษฐีในธุรกิจการเงินจีนอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องหายหน้าไปจากสื่อ เมื่อต้องพัวพันกับคดีทุจริต หรือการตรวจสอบจากรัฐบาลจีน อาทิ กั่ว กวงฉาง ผู้ก่อตั้งบริษัท Fosun International ‘เสี่ยว เจี้ยนหัว’ นักลงทุนสัญชาติจีน - แคนาดา เจ้าของบริษัท Tomorrow Holding และเป็นที่รู้จักกว้างขวางของคนวงในรัฐบาลจีน แต่สุดท้ายถูกตัดสินจำคุก 13 ปี ด้วยข้อหาฉ้อโกง และ คอร์รัปชัน รวมถึง แจ็ก หม่า เจ้าของธุรกิจ Alibaba ที่ต้องหายหน้าจากสื่อจีนนานเกือบ 2 ปี ในช่วงที่จีนเริ่มตรวจสอบธุรกิจ Fin Tech

ดังนั้น นโยบายการลดค่านิยมหรูหรา ฟุ่มเฟือยในกลุ่มคนทำงานในองค์กรธนาคาร และ สถาบันการเงิน อาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องการลดช่องวางทางสังคมหรือปัญหาการว่างงานในจีนแต่อย่างใด แต่ช่วยในด้านการลดกระแสสังคมที่มองว่าเป็นกลุ่มทุนชั้นสูง ที่มักถูกครหาว่าสร้างแนวคิดในการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ หรือไม่ก็เป็นการป้องกันตัวไม่ให้สะดุดตาจากองค์กรตรวจสอบทุจริตของภาครัฐ ที่มักจบลงด้วยคดีความที่ยุงยากตามมานั่นเอง

เรื่อง : ยีนส์​ อรุณรัตน์

อ้างอิง : Channel News Asia / BBC
 

‘บริษัทเรือดำน้ำ’ ที่พาชมซาก ‘เรือไททานิก’ เปิดมากว่า 14 ปี โกยรายได้ต่อปี 344 ล้านบาท

วันที่ (23 มิ.ย. 66) บริษัทโอเชียนเกต ก่อตั้งเมื่อปี 2552 โดย ‘สต็อกตัน รัช’ อดีตนักบินสู่นักประกอบเรือดำน้ำมือฉมัง เขามีเรือดำน้ำที่สร้างขึ้นเองหลายลำ โดยเขาดูแลด้านการเงินและวิศวกรรมของบริษัท โดย ‘โอเชียนเกต’ ให้บริการเรือดำน้ำแบบมีคนขับสำหรับเพื่ออุตสาหกรรม การวิจัย การสำรวจใต้ทะเลลึก และการบันทึกสื่อและภาพยนตร์ใต้น้ำ บริษัทมีเรือดำน้ำ ให้บริการ 3 รุ่น ได้แก่

1.) TITAN ระดับความลึก 4,000 เมตร (13,123 ฟุต) วัสดุทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และไทเทเนียม สามารถเข้าถึงมหาสมุทรเกือบ50% ของโลกได้ ไททันเป็นเรือดำน้ำเพียงลำเดียวในโลกที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารถึง 5 คนไปที่ความลึกเหล่านี้ได้

2.) Cyclops 1 ระดับความลึก 500 เมตร (1,640 ฟุต) Cyclops 1 เป็นเรือดำน้ำลำแรกของรุ่น Cyclops เป็นเรือดำน้ำต้นแบบ สู่การสร้างรุ่น Titan ทั้งซอฟต์แวร์เทคโนโลยี และอุปกรณ์ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2558 ถูกไปใช้ในภารกิจต่าง ๆ มากมายในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก รวมถึงอ่าวเม็กซิโก

3.) Antipodes ระดับความลึก 305 เมตร (1,000 ฟุต) เดินทางในระดับน้ำที่ตื้น มีโดมอะคริลิกครึ่งวงกลมสองโดมให้มุมมองที่ไม่มีเด่นชัด และเป็นเรือที่เหมาะสำหรับการทำงานเป็นทีมร่วมกัน

ซึ่งการดำเนินธุรกิจของ ‘โอเชียนเกต’ มีดังนี้

ปี 2552-2554 - บริษัทซื้อเรือดำน้ำรุ่น Antipodes, ยานพาหนะหุ่นยนต์สองลำ, เรือสนับสนุนต่าง ๆ และอุปกรณ์สนับสนุนหลายชิ้น  

ปี 2555 - ได้รับเรือดำน้ำลำที่ 2 และสร้างขึ้นมาใหม่เป็น Cyclops 1 เพื่อทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับเรือไททัน

กิจการดำเนินไปอย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จในการสำรวจมากกว่า 14 ครั้ง จากการดำน้ำมากกว่า 200 ครั้งทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก และอ่าวเม็กซิโก 

ปี 2561 - ‘เดวิด ลอชริดจ์’ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางทะเลของบริษัท โอเชียนเกต (OceanGate) ถูกไล่ออกจากบริษัทหลังจากทำรายงานด้านความปลอดภัยของเรือดำน้ำไททัน

ปี 2563 - ‘สต็อคตัน’ ซีอีโอ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เรือไททันแสดงอาการล้าจากการหมุน (Cyclic Fatigue) ในการทดสอบที่ระดับความลึก 4,000 เมตร ทำให้ขีดความสามารถถูกลดลงเหลือ 3,000 เมตร

ต่อมาทางบริษัทได้ปรับปรุงตัวเรือ และยกเลิกการใช้ตัวถังที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ไป 

ปี 2565 บริษัทได้เริ่มกลับมาให้บริการเรือดำน้ำครั้งแรก โดย 1 ในบริการเด่น คือ ทัวร์ชมเรือไททานิก

ซึ่งการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาเดินทาง 8 วัน มีค่าใช้จ่ายต่อหัวราว 250,000 ดอลลาร์ หรือราว 8.7 ล้านบาท

ปัจจุบัน ‘รายได้’ บริษัทโอเชียนเกต อยู่ที่ประมาณ 9.9 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 344 ล้านบาท โดยได้รับการระดมทุนมาแล้ว 2 ครั้งทั้งหมด รวม 19.8 ล้านดอลลาร์หรือ 689 ล้านบาท

ทั้งนี้ ถ้าเทียบกับธุรกิจเรือดำน้ำด้วยกัน โอเชียนเกต ไม่ใช่ผู้นำอุตสาหกรรมกลุ่มในแง่รายได้ ข้อมูลจาก growjo.com จัดอันดับดังนี้

อันดับ 1 SAFE Boats International รายได้ 51.9 ล้านดอลาร์/ปี (1,818 ล้านบาท)
อันดับ 2 Oil Companies International Marine Forum (OCIMF) 26.2 ล้านดอลลาร์/ปี (917 ล้านบาท)
อันดับ 3 Intermarine 17.4 ล้านดอลลาร์/ปี ( 609 ล้านบาท)
อันดับ 4 OceanGate 9.9 ล้านดอลลาร์/ปี (344 ล้านบาท)
อันดับ 5 PYI 5.4 ล้านดอลลาร์/ปี (189 ล้านบาท)
 

เปิดปูม ‘ไททัน’ มีคนเตือนเรื่องความปลอดภัย แต่สุดท้าย ตัวคนเตือนกลับโดน ‘ไล่ออก’

สื่อต่างประเทศเผยเรือดำน้ำ ‘ไททัน’ ของบริษัท OceanGate ซึ่งสูญหายระหว่างพาผู้บริหารและนักท่องเที่ยวลงไปสำรวจซากเรือไททานิคเมื่อวันอาทิตย์ (18 มิ.ย.) เคยถูกเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่ปี 2018 ก่อนที่คนเตือนจะถูก ‘ไล่ออก’

เรือดำน้ำไททันซึ่งมีซีอีโอของ OceanGate เป็นกัปตันผู้ควบคุมเรือ พร้อมผู้โดยสารอีก 4 คน ซึ่งได้แก่ เฮมิช ฮาร์ดิง (Hamish Harding) มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ พอล-อองรี นาร์เจอเลต (Paul-Henri Nargeolet) นักดำน้ำมืออาชีพฝรั่งเศส และ 2 พ่อลูกมหาเศรษฐีปากีสถาน คาดว่าจะยังเหลือออกซิเจนเพียงพอจนถึงเวลา 10.00 GMT วันนี้ (22 มิ.ย.) หรือประมาณ 17.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

เรือดำน้ำไททันความยาว 6.7 เมตร ของบริษัท OceanGate ซึ่งมีฐานในเมืองเอเวอเร็ตต์ รัฐวอชิงตัน ถูกส่งลงไปใต้ทะเลลึกครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2018 โดยดำลงไปถึงระดับความลึก 4,000 เมตร ตามข้อมูลของเว็บไซต์บริษัท และเคยดำลงไปยังซากเรือไททานิคบนพื้นมหาสมุทรแอตแลนติกที่ความลึก 3,800 เมตร ครั้งแรกในปี 2021

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมหลายคน รวมถึงอดีตพนักงานคนหนึ่งได้เคยแสดงความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเรือดำน้ำไททัน เนื่องจาก OceanGate เลือกที่จะไม่ขอการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยที่ได้รับความเชื่อถือ เช่น American Bureau of Shipping ซึ่งเป็นสมาคมจำแนกประเภทการเดินเรือของอเมริกา หรือบริษัท DNV ของทางยุโรป

วิล โคห์เนน (Will Kohnen) ประธานคณะกรรมการสอบทานด้านยานดำน้ำของ Marine Technology Society ระบุในจดหมายลงวันที่ 27 มี.ค. ปี 2018 ที่ส่งไปถึง สต็อกตัน รัช ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ OceanGate ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเรือดำน้ำที่สูญหาย โดยเขาได้ย้ำเตือนความกังวลของคนในแวดวงอุตสาหกรรมเรื่องที่ OceanGate ไม่ได้นำเรือไททันผ่านกระบวนการรับรองด้านการออกแบบ การผลิต และการทดสอบกับหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ

ก่อนหน้านั้น เดวิด ล็อคริดจ์ (David Lochridge) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางทะเลของ OceanGate ได้ส่งรายงานด้านวิศวกรรมไปยังผู้บริหารของบริษัท ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการวิจัยและพัฒนายานดำน้ำลำนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของวัสดุที่ใช้ผลิตลำตัวเรือ (hull) และการที่บริษัทไม่ได้ดำเนินการทดสอบอย่างเข้มข้นว่าตัวเรือจะสามารถทนต่อแรงดันมหาศาลใต้ทะเลลึกได้หรือไม่

OceanGate ได้เรียกประชุมในวันถัดมาเพื่อหารือข้อกังวลของ ล็อคริดจ์ ซึ่งในตอนท้ายเจ้าตัวยืนยันว่ารับไม่ได้กับการออกแบบยานดำน้ำของทางบริษัท และจะไม่เซ็นอนุญาตให้ส่งคนลงไปกับเรือลำนี้จนกว่าจะมีการทดสอบเพิ่มเติม

จุดยืนของ ล็อคริดจ์ ทำให้เขาถูก OceanGate ไล่ออกในเวลาต่อมา นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้ยื่นฟ้องเอาผิดกับเขาในปีเดียวกัน ฐานนำข้อมูลลับภายในบริษัทไปหารือกับบุคคลภายนอกอย่างน้อย 2 คน

ล็อคริดจ์ ได้ยื่นฟ้องกลับในเดือน ส.ค. ปี 2018 โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาของ OceanGate และอ้างว่าบริษัทแห่งนี้พยายามข่มขู่ “ผู้เปิดเผยความจริง (whistleblowers) ไม่ให้ออกมาแฉปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้โดยสารที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”

ขณะเดียวกัน เดวิด พ็อก (David Pogue) ผู้สื่อข่าว CBS ซึ่งเคยมีประสบการณ์ร่วมทดสอบเรือดำน้ำไททัน ก็ออกมาทวีตข้อความเมื่อวันอังคาร (20) ว่า ยานลำนี้เคย “ขาดการติดต่อ” กับเรือแม่หลายชั่วโมงระหว่างที่ดำลงไปใต้ทะเลเมื่อปี 2022 และสิ่งที่ลูกเรือทำในตอนนั้นก็คือการ ‘ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต’ เพื่อไม่ให้นักข่าวแชร์ข้อผิดพลาดนี้ออกไป

“พวกเขายังสามารถส่งข้อความสั้นๆ ไปยังเรือดำน้ำได้ แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ในตำแหน่งไหน” พ็อก ระบุ

“สถานการณ์ตอนนั้นทั้งเงียบและตึงเครียด พวกเขาตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อไม่ให้เราสามารถทวีตข้อมูลออกไปได้”

อ้างอิง : รอยเตอร์, Insider
 

‘Digital Baht’ สกุลเงินดิจิทัลแห่งโลกอนาคต โมเดลจากจีน พัฒนาเพื่อความก้าวหน้า หรือใช้เป็นเครื่องมือควบคุมคน?

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 นายวิชัย กัมบีร์ หรือ ‘โค้ชโรมมี่’ ได้พูดถึงเรื่อง ‘สกุลเงินดิจิทัล’ หรือ ‘Central Bank Digital Currency’ ผ่านช่องติ๊กต็อกชื่อ ‘rommie.v’ โดยระบุว่า…

ในอนาคต หลายประเทศทั่วโลกกำลังพยายามทำตามประเทศจีน คือการทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือที่เขาเรียกกันว่า ‘Central Bank Digital Currency’ หรือที่ประเทศไทยอาจจะเรียกว่า ‘Digital Baht’ คือการที่สกุลเงินดิจิทัลถูกออกโดยธนาคารกลาง (รัฐบาล) แทนที่จะออกโดยธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะถูกทำให้เป็นออนไลน์ทั้งหมด สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนกับเครื่องมือในการควบคุมคน

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ลองมาคิดกันดูว่า เมื่อรัฐบาลเป็นผู้ออกสกุลเงินแบบเบ็ดเสร็จ หากคุณทำตามคำสั่งรัฐบาล รัฐบาลก็จะอนุมัติเงินให้คุณโดยง่าย แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งคุณไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลเพียงเพราะคุณไม่เห็นด้วยในทางการเมือง หรือเรื่องใดๆ ของรัฐบาลขึ้นมา รัฐบาลก็อาจจะขัดขวาง และไม่อนุมัติการออกเงินดิจิทัลให้คุณ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนผิดก็ตาม ซึ่งนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในประเทศจีน ณ ขณะนี้

“สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น เราไม่ควรที่จะไว้ใจให้ใครคนใดคนหนึ่งมากำหนดชะตาชีวิต โดยเฉพาะการมากำหนดว่า เราสามารถใช้เงินกับเรื่องใดได้ หรือไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม” โค้ชโรมมี่ กล่าว
 

เรือดำน้ำ Titan สูญหายระหว่างชมซาก ‘ไททานิค’ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววของเรือลำดังกล่าว

ปฏิบัติการค้นหา ‘เรือดำน้ำ Titan’ หลังสูญหายระหว่างเที่ยวชมซาก ‘ไททานิค’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววของเรือลำดังกล่าว

(20 มิ.ย. 66) ทีมค้นหาของสหรัฐฯ และแคนาดากำลังแข่งกับเวลาเพื่อค้นหาเรือดำน้ำของนักท่องเที่ยวที่หายไประหว่างการดำลงไปที่ ‘ซากเรือไททานิค’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ข้อมูลจาก BBC รายงานว่า ปฏิบัติการกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไปในคืนกลางมหาสมุทรแอตแลนติก แต่จนถึงตอนนี้ (13.00 น.) ตามเวลาไทย ยังไม่มีวี่แววของเรือลำดังกล่าว

เรือลำที่สูญหาย คือ ‘เรือดำน้ำ Titan’ ของบริษัทเอกชน OceanGate Expeditions ข้อมูลเฉพาะระบุว่า สามารถดำได้ลึกลงไปถึง 4,000 เมตร มีการออกแบบให้มีอุปกรณ์ยังชีพ (life support) กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินสำหรับ 5 คน นาน 96 ชั่วโมง หรือ 4 วัน เจ้าหน้าที่คาดว่า มีออกซิเจนฉุกเฉินสำหรับคนบนเรืออยู่ที่ 70-96 ชั่วโมง

บริษัททัวร์ OceanGate กล่าวว่ากำลังสำรวจทางเลือกทั้งหมดเพื่อให้ลูกเรือกลับมาอย่างปลอดภัย และหน่วยงานรัฐบาลได้เข้าร่วมปฏิบัติการช่วยเหลือ นี่คือสิ่งที่เรารู้จนถึงตอนนี้ 

>> ความพยายามล่าสุดในการกู้ภัย

ผู้นำปฏิบัติการค้นหาระบุในทวิตเตอร์ว่า ลูกเรือ 5 คน จมอยู่ใต้น้ำในเช้าวันอาทิตย์ และลูกเรือขาดการติดต่อประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที หลังการดำลงของเรือ โดยคาดว่า เรือดำน้ำไททันอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 900 ไมล์ (1,450 กม.) ในขณะนั้น

พลเรือตรี จอห์น เมาเกอร์ ของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การดำเนินการค้นหาในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ถือเป็นความท้าทาย

หน่วยยามฝั่งได้ส่งเครื่องบิน C-130 Hercules จำนวน 2 ลำเพื่อค้นหา โดยมีเครื่องบิน C-130 ของแคนาดาและเครื่องบิน P8 ที่ติดตั้งระบบโซนาร์ใต้น้ำเข้าร่วมด้วย

ขณะที่พลเรือตรีเมาเกอร์กล่าวว่า ต้องการความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือเรือ หากพบเรือจมอยู่ใต้น้ำ และกำลังยื่นมือขอความช่วยเหลือ รวมทั้งกองทัพเรือสหรัฐฯ

>> มีใครอยู่บนเรือ?
.
ตามรายงานระบุว่า ใน 5 คนที่อยู่บนเรือดำน้ำไททัน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับการยืนยัน คือ ฮามิช ฮาร์ดิง นักธุรกิจและนักสำรวจมหาเศรษฐีชาวอังกฤษวัย 59 ปี

นายฮาร์ดิงประกาศครั้งแรกว่าเข้าร่วมทีมเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว และกล่าวว่า ลูกเรือประกอบด้วย นักสำรวจสองสามคน ซึ่งบางคนเคยดำน้ำในเรือ RMS Titanic มาแล้วกว่า 30 ครั้งตั้งแต่ทศวรรษ 1980

เขาเป็นประธานของ Action Aviation ซึ่งเป็นบริษัทระหว่างประเทศ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขายและการดำเนินงานในอุตสาหกรรมการบินเชิงธุรกิจ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

>> ลูกเรือชม Titanic ต้องจ่ายเท่าไร?

บริษัท โอเชียนเกต เอ็กส์เพดิชันส์ คิดค่าใช้จ่ายเพื่อชมซากเรือไททานิค ซึ่งอยู่ใต้พื้นผิว 3,800 เมตร (12,500 ฟุต) ที่ด้านล่างของมหาสมุทรแอตแลนติก ทริป 8 วัน คนละ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 8.7 ล้านบาท

มีรายงานว่าการดำลงไปที่ซากเรือทั้งหมดรวมถึงการลงและขึ้นนั้นใช้เวลา 8 ชั่วโมง การเดินทางแต่ละครั้งกินเวลา 8 วัน ตามข้อมูลของ โอเชียนเกต และการดำน้ำแต่ละครั้งมีเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการศึกษาการสลายตัวของซากเรือด้วย ซึ่งการดำน้ำครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2564 ตามเว็บไซต์ของบริษัท 

>> เรารู้อะไรเกี่ยวกับเรือดำน้ำไททันบ้าง?

เรือไททันเป็นเรือดำน้ำขนาด 5 คน มีน้ำหนัก 10,432 กิโลกรัม สามารถดำลงใต้ทะเลลึกสุด 13,100 ฟุต และมีอากาศสำหรับการดำรงชีพของผู้โดยสาร 5 คน นาน 96 ชั่วโมง

นอกจากการพาไปยังซากเรือไททานิคแล้ว ยังใช้สำหรับการสำรวจและตรวจสอบสถานที่ การวิจัยและการรวบรวมข้อมูล การผลิตภาพยนตร์และสื่อ และการทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในทะเลลึก

จุดที่ดำลงไปอยู่ใต้ทะเลลึก 3,800 เมตร ใต้พื้นมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากชายฝั่งรัฐนิวฟันด์แลนด์ของแคนาดา ราว 600 กิโลเมตร เป็นจุดที่เรือไททานิคจมสู่ใต้ทะเล
 

‘ฟอร์ด’ เตือน ให้เตรียมพร้อมรับมือ รถอีวีจากจีน บุกสหรัฐฯ ชี้อเมริกายังผลิตสู้ไม่ได้

นายบิลล์ ฟอร์ด จูเนียร์ ประธานกรรมการบริหารของฟอร์ด ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ฟารีด ซาคาเรีย จีพีเอส” ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (18 มิ.ย.) ว่า สหรัฐฯ ยังไม่มีความพร้อมที่จะผลิตรถอีวีออกมาแข่งขันกับจีน ซึ่งมีการพัฒนาอย่างขนานใหญ่ไปรวดเร็วมาก และขณะนี้กำลังมีการส่งออกแล้ว โดยถึงแม้รถอีวีจากแดนมังกรยังไม่บุกตลาดสหรัฐฯ แต่สักวันหนี่งก็จะมาแน่ๆ ซึ่งสหรัฐฯ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และบริษัทของเขากำลังเตรียมการสำหรับการแข่งขันเช่นกัน

ผู้เป็นเหลนของนายเฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ฟอร์ด หมายถึงโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มูลค่า 3,500 ล้าน ซึ่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัทฟอร์ดได้ประกาศแผนการลงทุนก่อสร้าง แต่ทำให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักการเมืองสหรัฐฯ เนื่องจากฟอร์ดมีการทำข้อตกลงที่จะใช้เทคโนโลยีจากบริษัทคอนเทมโพรารี แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี (Contemporary Amperex Technology หรือ CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ของจีน โดยวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ ขอให้รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน พิจารณาทบทวนการทำข้อตกลงนี้

นายฟอร์ด จูเนียร์ ชี้แจงในรายการว่า โรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่รัฐมิชิแกนจะเป็นโอกาสให้วิศวกรของฟอร์ดได้เรียนรู้เทคโนโลยีและสามารถนำมาใช้ด้วยตนเอง โดยบริษัทฟอร์ดเป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้แต่ผู้เดียว อีกทั้งบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อได้รับสิทธิในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวด้วย นอกจากนั้น เขายังคัดค้านความคิดที่ว่า การมีฐานผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ จะทำให้รถยนต์มีราคาสูงขึ้น แต่กลับเห็นว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

นายจิม ฟาร์ลีย์ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด เคยออกมาเตือนครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาว่า ผู้ผลิตรถอีวีของจีนคือคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ ไม่ใช่บริษัทจีเอ็ม หรือโตโยต้า ฉะนั้น ฟอร์ดจึงจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ที่โดดเด่น หรือผลิตรถราคาถูกกว่าเพื่อเอาชนะคู่แข่ง

ทั้งนี้ ตลาดรถอีวีในยุโรปถูกจีนบุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยรถยนต์ผลิตในจีนที่ขายส่วนใหญ่เป็นรถอีวีจากบริษัทเทสลา ส่วนแบรนด์รถยุโรป ซึ่งถูกบริษัทจีนซื้อกิจการ เช่น วอลโว และเอ็มจี หรือรถแบบอื่นๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าของดาเซียสปริง (Dacia Spring) หรือบีเอ็มดับบลิว ไอเอ็กซ์3 (BMW iX3) ก็ผูกขาดผลิตอยู่แต่ในจีนเท่านั้น

นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา รถยนต์ที่ผลิตในจีนมีการส่งออกเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าถึงกว่า 2 ล้าน 5 แสนคันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการท้าทายชาติผู้ส่งออกแต่เดิมมา เช่น เยอรมนี โดยจีนเตรียมขึ้นแท่นชาติผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งอาจทำให้โฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ในโลกเปลี่ยนไป

‘สีจิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน พบปะกับ ‘แอนโทนี บลิงเคน’ รมว. ต่างประเทศของสหรัฐฯ ณ อาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง

(ซินหัว) -- วันจันทร์ (19 มิ.ย.) สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน พบปะกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ณ อาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน

สีจิ้นผิงชี้ว่าโลกต้องการความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่มีเสถียรภาพในภาพรวม และการที่ทั้งสองประเทศแสวงหาหนทางอันถูกต้องเพื่ออยู่ร่วมกันได้นั้นจะส่งผลต่ออนาคตของมนุษยชาติ พร้อมเสริมว่าชาวจีนเป็นผู้มีเกียรติศักดิ์ศรี ความมั่นใจ และพึ่งพาตนเองได้เช่นเดียวกับชาวอเมริกัน โดยประชาชนทั้งสองประเทศมีสิทธิแสวงหาชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ทั้งสองประเทศควรปฏิบัติตนด้วยสำนึกของการรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ประชาชน และโลก รวมถึงจัดการความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งควรให้คุณค่ากับผลประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศ และความสำเร็จของอีกฝ่ายถือเป็นโอกาสมากกว่าภัยคุกคามต่อกัน โดยวิธีนี้ จีนและสหรัฐฯ อาจมีส่วนส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงและปั่นป่วนให้มีเสถียรภาพ ความแน่นอน และความสร้างสรรค์มากขึ้น

สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าการแข่งขันของประเทศขนาดใหญ่ไม่สะท้อนกระแสธารแห่งยุคสมัย และยังคงไม่สามารถแก้ปัญหาของอเมริกาเองหรือความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญได้ โดยจีนเคารพผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และไม่ได้แสวงหาการท้าทายหรือแทนที่สหรัฐฯ

ทำนองเดียวกัน สหรัฐฯ จำเป็นต้องเคารพจีน และต้องไม่ละเมิดสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีน โดยทั้งสองฝ่ายไม่ควรมุ่งกดดันอีกฝ่ายตามความประสงค์ของตัวเอง หรือลิดรอนสิทธิอันชอบธรรมในการพัฒนาของอีกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าจีนหวังเห็นความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่แข็งแรงและมั่นคงมาโดยตลอด และเชื่อว่าประเทศขนาดใหญ่ทั้งสองสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และแสวงหาหนทางอันถูกต้องเพื่ออยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทุกฝ่าย พร้อมเรียกร้องฝ่ายสหรัฐฯ ใช้ท่าทีที่มีเหตุผลและปฏิบัติได้จริง รวมถึงทำงานกับจีนในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงชี้ว่าทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องยึดมั่นความเข้าใจร่วมกันที่เขาและประธานาธิบดีโจ ไบเดน บรรลุในจังหวัดบาหลีของอินโดนีเซีย และปฏิบัติตามแถลงการณ์เชิงบวกเพื่อสร้างเสถียรภาพและปรับปรุงความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ต่อไปด้วย
 

‘เอวาเรสต์’ โพสต์คลิป อธิบายวิธีการทิ้งขยะ ที่เกาหลีใต้ ถ้าทิ้งไม่ดี มีโทษ โดนปรับ หลายล้านวอน

ผู้ใช้ TikTok ที่ชื่อว่า avarest เอวาเรสต์ ได้โพสต์คลิปสั้น อธิบายถึงการทิ้งขยะของประชาชน ผู้ที่อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ โดยได้ระบุวิธีการทิ้งขยะไว้ มีใจความว่า ...

ประเทศที่ทิ้งขยะยากที่สุด ทิ้งผิดโดนปรับเป็นล้านวอน ทิ้งหน้าบ้านคนอื่นก็ไม่ได้ ที่นี่คือเกาหลีใต้ ขยะเขาจะมีการแยกอย่างชัดเจน อันนี้กระดาษ อันนี้โฟมและจะต้องทำความสะอาดด้วยนะ แม้ว่าประเทศเกาหลีใต้จะเป็นประเทศที่ใช้พลาสติกมากติดอันดับโลก แต่ประเทศของเขาก็สะอาดมาก เพราะประเทศของเขามีการแยกขยะมากถึง 6 ประเภท พร้อมมีการติดตั้ง กล้องวงจรปิด จะทิ้งผิดก็ไม่ได้ แถมถุงขยะที่ใช้ก็จะต้องมาจากรัฐบาลเท่านั้น เพราะจะมีการระบุเขต ซื้อที่โซลจะเอาไปใช้ที่ปูซานไม่ได้ และแต่ละเขตก็จะมีวันเก็บขยะที่ต่างกัน ดังนั้นถ้าทิ้งผิดวันก็จะโดนปรับ

แล้วถ้าเรา แอบเอาขยะไปทิ้งที่บ้านอื่นจะได้ไหม คำตอบก็คือไม่ได้ บางบ้านก็มีกุญแจล็อคถังขยะที่หน้าบ้านเลย เพราะว่าขยะบางอย่างต้องเสียเงินทิ้ง ยกตัวอย่างเช่น เศษอาหารหรือเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ แต่ละบ้านก็เลยต้องติดตั้งกล้องและคอยดู

‘ปากีฯ’ จ่ายเงินค่าน้ำมันดิบรัสเซียเป็น ‘เงินหยวน’ จากเดิมที่ทำธุรกรรมเป็น ‘เงินดอลลาร์’ ส่วนใหญ่

ปากีสถานชำระเงินค่าน้ำมันดิบที่ได้รับการส่งมอบชุดแรกจากรัสเซีย ด้วยสกุลเงินหยวนของจีน ตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ อ้างอิงคำกล่าวของ มูซาดิค มาลิก รัฐมนตรีการปิโตรเลียมของปากีสถาน ส่วนหนึ่งในความพยายามลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ

น้ำมันดิบดังกล่าวถูกลำเลียงมาถึงนครการาจีเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ทางรัสเซียและปากีสถานบรรรลุกันเมื่อเดือนมกราคม และคำสั่งแรกภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนเมษายน

มาลิก ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านราคาหรือส่วนลดในการจัดซื้อครั้งนี้ แต่รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า มันเป็นการชำระด้วยสกุลเงินหยวน ซึ่งการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินของจีน ถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของปากีสถาน ในด้านนโยบายการชำระเงินขาออก จากเดิมที่ทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่

รัสเซียลงนามในข้อตกลงน้ำมันกับปากีสถาน ส่วนหนึ่งในความพยายามกระจายลู่ทางการส่งออกของพวกเขา หลังจากถูกอียู จี7 และบรรดาชาติพันธมิตรกำหนดมาตรการคว่ำบาตรร่วมกันในเดือนธันวาคม เช่นเดียวกับมาตรการควบคุมเพดานราคาไว้ไม่เกิน 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

มอสโกปรับเปลี่ยนกระแสน้ำมันมุ่งหน้าสู่ประเทศต่าง ๆ อย่างเช่นอินเดีย และจีน และตกลงชำระเงินด้วยสกุลเงินอื่น ๆ แทนดอลลาร์ สืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรที่ตัดขาดมอสโกจากระบบการเงินของตะวันตก

อ้างอิงจากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ปากีสถานตกลงซื้อน้ำมันดิบรัสเซียในราคาราว 50 ถึง 52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อปีที่แล้ว ประเทศแห่งนี้นำเข้าน้ำมันดิบ 154,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ในนั้น 80% เป็นการนำเข้าจากซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่น ๆ ในอ่าวอาหรับ

การนำเข้าพลังงานมีสัดส่วนมากที่สุดในการชำระเงินขาออกของปากีสถาน พวกเขาหวังว่าน้ำมันดิบลดราคาของรัสเซียจะช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาน้ำมันในประเทศ ซึ่งกำลังเผชิญหนี้ภายนอกระดับสูง ค่าเงินอ่อนค่า และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก

สะเทือน ‘เมียนมา’ ไม่มีผู้บาดเจ็บ - เสียชีวิต  จุดศูนย์กลางห่างจากเมืองพยาโบน ราว 112 กิโลเมตร

ย่างกุ้ง, 19 มิ.ย. (ซินหัว) — วันจันทร์ (19 มิ.ย.) สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาของเมียนมา รายงานการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.1 ตามมาตราแมกนิจูด ตอนประมาณ 08.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งมีศูนย์กลางห่างจากเมืองพยาโบน ภูมิภาคอิรวดีทางตอนใต้ของประเทศไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 70 ไมล์ (ราว 112 กิโลเมตร)

ยินเมียวมินทวย รองผู้อำนวยการแผนกแผ่นดินไหวของสำนักฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ก้นทะเล และไม่มีแนวโน้มจะเกิดสึนามิ โดยสึนามิจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อขนาดของแผ่นดินไหวอยู่ที่ 6.5 ตามมาตราแมกนิจูดขึ้นไป

ยินเสริมว่าปัจจุบันไม่มีรายงานยอดผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมถึงความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว ขณะประชาชนในบางเมืองของภูมิภาคย่างกุ้งรายงานว่ารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย

อนึ่ง สำนักฯ ระบุว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้มีความลึก 10 กิโลเมตร อยู่ที่ลองจิจูด 96.33 องศาตะวันออก และละติจูด 15.5 องศาเหนือ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top