Monday, 17 March 2025
POLITICS

ถอดบทเรียนการสื่อสารวัคซีนพาสปอร์ตในอียู ที่ไทยควรศึกษา | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

ชวนดู ‘อียู’ แล้วมองดูไทย ถอดบทเรียนการสื่อสารวัคซีนพาสปอร์ตในอียู

‘เข้าใจง่าย - ไม่สับสน’ สะท้อนวิกฤติสื่อสารไทย แก้ยังไงก็ไม่หาย

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย​ อ.ต้อม -​ กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง 

.

.

“เสี่ยโจ้” ซัด “ประยุทธ์” พูดใส่ร้าย “ยิ่งลักษณ์” จี้ตอบใช้หนี้ตอนไหน ตอกกลับเอางบใช้หนี้ซื้ออาวุธตัวเองสมัยเป็น ผบ.ทบ.หรือไม่ กวักมือชวน “เสี่ยหนู” ร่วมคว่ำร่างส่ง “บิ๊กตู่” กลับบ้าน 

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า งบประมาณปี 2565 จำนวน 3.10 ล้านล้าบาท อาวุธสงครามมาเพียบ แต่ไม่มีอาวุธฆ่าโควิดเลย การจัดงบประมาณไม่สอดคล้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากรวมทั้งคนตาย แต่การจัดงบประมาณแทนที่จะให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาโควิด แต่กลับไปมุ่งเน้นงบด้านความมั่นคงของกองทัพ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ บอกใช้หนี้โครงการจำนำข้าว 7 แสนล้านบาทนั้น ตนเป็นรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วย อยากถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าไปใช้หนี้ตอนไหน ท่านเป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 58-65 ท่านใช้หนี้ประมาณ 6.5 แสนล้านบาท ซึ่งเงินที่นำไปใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่กู้กันมา ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ใส่ร้าย พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้อดีตนายกฯ เสียหาย ท่านใช้หนี้สมัยเป็น ผบ.ทบ.ที่ซื้ออาวุธไปเยอะหรือไม่ ถ้าไม่จริงขอให้ท่านมาตอบ 

นายยุทธพงศ์ อภิปรายว่า การจัดงบ สธ.ไม่เพียงพอ ไม่มีการตั้งงบซื้อวัคซีน ที่บอกให้ไปใช้งบในส่วนของเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถามว่าสภาฯ จะผ่านให้ท่านหรือไม่ยังไม่รู้เลย รัฐบาลประกาศให้ซื้อวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ แต่ยังหาซื้อวัคซีนไม่ค่อยได้เลย นอกจากนี้ขอให้ท่านเปิดสัญญาที่เซ็นไว้กับ บ.แอสตร้าเซเนก้าว่าซื้อวัคซีนจำนวนเท่าไร ส่งมอบเมื่อไร ถ้าส่งไม่ทันเสียค่าปรับหรือไม่ ท่านควรเปิดสัญญาให้ประชาชนทราบ วันนี้ไม่ควรมีใครเสียชีวิตหรือเจ็บป่วย ขอให้นายกฯ ทำเรื่องวัคซีนให้กระจ่าง ส่วนที่นายกฯ ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข นั่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้โควิดนั้น ท่านบริหารราชการเหมือนค่ายทหาร ขอฝากไปถึงนายอนุทินว่าไม่ต้องไปง้อ ขอให้มาร่วมกับป๋าพงษ์ (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ) ของตน ช่วยกันคว่ำร่างงบประมาณฉบับนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะได้กลับบ้านเสียที

นายยุทธพงศ์ อภิปรายอีกว่า ในส่วนของงบประมาณกระทรวงกลาโหม ทุกหน่วยงานมีงบลับรวม 470 ล้านบาท นายกฯ ในฐานะ รมว.กลาโหมต้องชี้แจงว่าทำไมต้องเป็นงบลับ เอาไปทำอะไรในเมื่ออ้างว่าบริหารราชการโปร่งใส ซึ่งในภาวะที่ประเทศเดือดร้อน ประชาชนล้มตายและลำบาก แต่กองทัพบกกลับเอาเงินไปซื้อยานเกราะล้อยางปี 63-65 วงเงิน 4,515 ล้านบาท และโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีปี 64-66 วงเงิน 4,226 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบผูกพัน ที่สำคัญคือการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ของกองทัพเรือ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ซึ่งกองทัพเรือเคยมีหนังสือลงวันที่ 31 ส.ค.63 ถึงประธานกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณปี 64 โดยปรับลดงบประมาณการจัดซื้อเรือทั้งสองลำเหลือศูนย์บาท เป็นการขอยกเลิกเองเลย เพราะประเทศเดือดร้อน แต่ในปี 65 ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ยังตั้งเรื่องขอซื้ออีก บริหารประเทศแบบนี้ใครจะไว้วางใจ หรือกองทัพอากาศมีโครงการจัดซื้อเครื่องบินโจมตีเบาปี 64-66 วงเงิน 4,500 ล้านบาท ท่านสามารถชะลอจัดซื้อออกไปก่อนได้ ทำไมไม่ทำ ที่เหลือเชื่อคือมีโครงการพัฒนาปฏิบัติการในห้วงอวกาศ ระยะที่ 1 ปี 64 -67 วงเงิน 1,470 ล้านบาท ท่านอย่าไปเพิ่งอวกาศ มาเอาชนะโควิดก่อน สรุปคืองบปี 65 วัคซีนไม่แน่นอนแต่รถถัง เครื่องบินรบและเรือดำน้ำมีแน่นอน ดังนั้นหากสมาชิกเห็นว่าการจัดงบไม่ตรงความต้องการของประชาชนและประเทศ ขอให้ช่วยกันคว่ำร่างฉบับนี้

นายกฯ ปลื้ม ‘สยามไบโอไซเอนซ์’ ล็อตแรกส่งมอบให้แอสตร้าเซนเนกา ยัน จัดหา 100 ล้านโดส ทันปีนี้แน่

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แสดงความยินดีที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล็อตแรก แก่บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ตามกำหนด และทางแอสตร้าเซนเนกาจะได้ทยอยส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อกระจายฉีดให้กับประชาชนไทยต่อไป โดยวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนกา 61 ล้านโดส จะทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ธ.ค. 2564 ทั้งนี้การเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวในอาเซียนได้สร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนตามข้อตกลง และคนไทยมีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาวัคซีนจากความร่วมมือระหว่างบริษัทแอสตราฯ และบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ยังสนับสนุนให้ประชากรในภูมิภาคอาเซียนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากจะมีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนคนไทยทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป และเป้าหมายในปีนี้จะจัดหาวัคซีนทั้งสิ้น 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน และจะครบทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ในปีต่อไป และจะมีการจัดหาให้ครอบคลุมถึงชาวต่างชาติที่ทำงานและอาศัยในประเทศไทยโดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนรายงานว่ามีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกที่จะเข้ามายังประเทศไทยภายในปีนี้ในจำนวนที่แน่นอนแล้วประกอบด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนกา 61 ล้านโดส ทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือนมิ.ย. วัคซีนซิโนแวค ส่งมอบแล้ว 6 ล้านโดส และจะส่งมอบในเดือนมิ.ย. 3 ล้านโดส และมีอีก 10-15 ล้านโดสที่ได้ทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว รวมถึงรัฐบาลจีนบริจาคอีก 1 ล้านโดสที่จะทยอยส่งมอบในระยะต่อไป

สำหรับวัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค จำนวน 20 ล้านโดส ขณะนี้อยู่ระหว่างต่อรองเงื่อนไขสัญญา คาดว่าจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่3 เป็นต้นไป ส่วนวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จำนวน 5 ล้านโดส อยู่ระหว่างต่อรองเงื่อนไขสัญญา และคาดว่าจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 เช่นเดียวกัน และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้ทราบนำนวนที่แน่นอน เช่น วัคซีนของโมเดิร์นน่า ซิโนฟาร์ม เป็นต้น

‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ โต้ ‘ลุงตู่’ ปมใช้หนี้จำนำข้าว อ้า งเพราะถูกทำรัฐประหาร และรัฐบาลปล่อยปละให้เกิดทุจริตจัดเกรดข้าวดีเป็นข้าวเน่า ขายข้าวต่ำกว่าราคาจริง

‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ โต้ ‘ลุงตู่’ ปมใช้หนี้จำนำข้าว อ้า งเพราะถูกทำรัฐประหาร และรัฐบาลปล่อยปละให้เกิดทุจริตจัดเกรดข้าวดีเป็นข้าวเน่า ขายข้าวต่ำกว่าราคาจริง 
.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก Yingluck hinawatra โต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีหนี้จำนำข้าวว่า วานนี้ (1 มิ.ย.) ได้ฟังคุณประยุทธ์ชี้แจงในสภาฯ ว่า หนี้สาธารณะเพิ่มเพราะมีหนี้จำนำข้าวในลักษณะที่เป็นการพาดพิงถึงดิฉัน โดยอ้างว่า ท่านใช้หนี้ไปแล้ว 7 แสนห้าพันล้านบาท และเหลือภาระหนี้อีก 2.8 แสนล้านบาท ต้องใช้หนี้อีก 12 ปีถึงจะหมด นั้น ขอยืนยันว่า "คุณประยุทธ์กล่าวเท็จในสภาฯ" และก็อยากบอกว่า 
.
1.) เมื่อคุณประยุทธ์ทำรัฐประหารยึดอำนาจนั้น ยอดหนี้สาธารณะของโครงการฯ เป็นภาระค้ำประกัน และมียอดไม่ถึง 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน และโครงการฯ ยังมีสต็อกข้าวสารหลายแสนล้านบาท ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปสอบถาม รมว.คลังของท่านดู เสียดายที่รัฐบาลท่านปล่อยปละให้มีการทุจริต นำข้าวดีๆ เหล่านั้นไปจัดเกรด ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำมาก่อนมีผลให้นำไปขายในราคาต่ำกว่าราคาจริง เป็นอาหารสัตว์บ้าง เป็นพลังงานบ้าง ซึ่งถ้าขายข้าวกันอย่างสุจริต ภาระคงค้างที่เกิดจากภารกิจช่วยเหลือชาวนาอย่างจริงจังในครั้งนั้นก็ย่อมจะไม่มาก และโครงการฯ ก็มีความคุ้มค่าต่อภารกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม ตามรายงานของสภาพัฒน์ฯ อีกด้วย 
.
2.) ส่วนคำกล่าวหาในลักษณะที่ว่ารัฐบาลดิฉันสร้างหนี้มาก มาดูข้อมูลจริงกันค่ะ ในช่วง 3 ปีงบประมาณ (2555-2557) ที่ดิฉันบริหารงาน การกู้เงินเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลลดลง ต่อเนื่องทั้ง 3 ปี จาก 400,000 ล้านบาท เป็น 300,000 ล้านบาท และ 250,000 ล้านบาท (และวางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นงบประมาณสมดุล ในปี 2560) รวมยอดหนี้ฯ 3 ปีงบประมาณ เท่ากับ 950,000 ล้านบาท

3.) มาดูฝีมือสร้างหนี้ของคุณประยุทธ์ กันสิคะว่าเป็นอย่างไร การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ที่กำลังลดลงและควรจะลดลงอีก กลับทะยานเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 ที่มียอดเงินกู้ 250,000 ล้านบาท ปรากฏว่ามีการกู้เงินที่มียอดสูงขึ้นในช่วงเวลาอีก 4 ปี ต่อเนื่องก่อนการเลือกตั้ง (2559-2562) เป็น 390,000 ล้านบาท; 552,921.7 ล้านบาท; 550,358 ล้านบาท และ 450,000 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นช่วงก่อนจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียอีก

พอปี 2563 และ 2564 ก็ยิ่งกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ คือ 683,000 ล้านบาท และ 623,000 ล้านบาท และในสองปีนี้ยังออก พรก.กู้เงินเพื่อภารกิจโรคระบาด อีกสองฉบับ ปี 2563 กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และในปี 2564 เมื่อไม่กี่วันก่อนก็กู้อีก 5 แสนล้านบาท และนี่ยังไม่รวมที่ คุณประยุทธ์กำลังเสนอ พรบ.งบประมาณ 2565 ที่ต้องกู้ชดเชยขาดดุลอีก 7 แสนล้านบาท รวมเป็นยอดเงินกู้ถึง 5.699 ล้านล้านบาท หนี้ขนาดนี้ใช้นานเท่าไหร่จะหมดคะ

4.) มาดูดอกเบี้ยจ่ายกันบ้างก็พอจะบอกได้ว่าหนี้ที่ท่านก่อไว้สร้างภาระแค่ไหน งบประมาณปี 2565 ที่กำลังอภิปรายกันอยู่ มียอดรวม 3.1 ล้านล้านบาทนี้ ต้องจัดเตรียมไว้จ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 182,988 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น ถึง 67 % เมื่อเทียบกับ สมัยรัฐบาลดิฉัน ในปีงบประมาณ 2557 ก่อนรัฐประหาร งบฯ จ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่เพียง 109,511 ล้านบาท ดอกเบี้ยสูงขึ้นมาก เพราะคุณประยุทธ์กู้เงินมากมาย

5.) รัฐบาลดิฉันวางระบบชำระคืนหนี้สาธารณะก้อนโตที่ทิ้งค้างไว้ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ทำให้รัฐบาลคุณประยุทธ์นอกจากจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ยังลดยอดหนี้สาธารณะลงไปหลายแสนล้านบาทโดยท่านไม่ต้องทำอะไรเลย แทนที่จะชื่นชมรัฐบาลก่อน กลับเอาแต่โทษโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเพื่อเบี่ยงเบนความเสียหายที่ท่านก่อขึ้น

วันนี้ดิฉันไม่ได้บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว คุณประยุทธ์หัดโทษตัวบ้างเถอะค่ะ อย่าโทษแต่ดิฉันเลย ดิฉันฟังมา 7 ปีแล้ว สุภาพบุรุษ ชายชาติทหารเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกค่ะ

 

ที่มา : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/posts/4413336982044056


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'หมอเอก' นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.ก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กเผย ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแนวหน้าที่มีนโยบายสร้างประเทศปลอดควันบุหรี่ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้ามีผู้สูบบุหรี่ไม่เกิน 5%

ในโพสท์ดังกล่าว ยังได้ระบุถึงรายงานล่าสุดของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ของอังกฤษที่ปรับปรุงคำแนะนำเรื่องการควบคุมบุหรี่ใหม่ และมีข้อที่ระบุชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าถูกบรรจุเป็นอุปกรณ์เพื่อช่วยในการเลิกบุหรี่ และยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายไว้ว่าให้มีการส่งเสริมการเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ดั้งเดิมมาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีการควบคุมการเข้าถึงของเยาวชน และการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัย

สส. เอกภพยังได้ให้ข้อเสนอว่าควรต้องนำข้อมูลวิชาการมาปรับปรุงนโยบายควบคุมบุหรี่ในประเทศไทย พร้อมตั้งคำถามว่าถึงเวลาหรือยังที่นโยบายควบคุมบุหรี่ในประเทศไทยไม่ควรเป็นการตัดสินใจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเสนอความคิดเห็นและถกเถียงด้วยข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อหาทางนำบุหรี่ไฟฟ้าที่อยู่ใต้ดินยากต่อการควบคุมให้ขึ้นมาบนดินที่เราสามารถควบคุมการเข้าถึงของเยาวชนได้

โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ในวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เพื่อประโยชน์ด้านภาษีและสุขภาพผู้สูบบุหรี่ ซึ่ง สส. เอกภพได้เข้าไปตอบข้อความของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยว่าได้มีการพูดถึงการพิจารณาบุหรี่ไฟฟ้าในหลายกรรมาธิการฯ และก็มีญัตติรอเข้าพิจารณาในสภาอยู่ด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ประภัตร” แจง นายกฯสั่งสกัด"ลัมปี สกิน" ทุกพื้นที่ ฝากส.ส.ช่วยทำความเข้าใจเกษตรกร ไม่ติดต่อถึงคน ยัน วัว-ควาย ตาย มีเงินชดเชยให้

นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงข้อห่วงใยของสมาชิกเกี่ยวกับโรค"ลัมปี สกิน "ซึ่งเกิดขึ้นในโคและกระบือ ว่า ขอขอบคุณแทนเกษตรที่ส.ส.ทุกคนมีความห่วงใย "ลัมปี สกิน" เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และเกิดขึ้นกับโคและกระบือเท่านั้น โดยอาการขั้นแรกของโรคนี้ วัวจะมีไข้สูง จากนั้นจะมีตุ่มขึ้นที่ผิวหนังเหมือนฝีและแตก แต่ยืนยันว่ารักษาได้ โดย นายกรัฐมนตรีได้ใส่ใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงสั่งให้กระทรวงเกษตรฯ รีบสกัดกั้นโรคดังกล่าว ดังนั้น เราจึงสั่งห้ามนำสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านปิดด่านตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีเล็ดลอดเข้ามาบ้าง ทำให้เชื้อเกิดขึ้นครั้งแรกที่อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพาหะคือยุง ริ้น ไร แมลงวัน จึงต้องรีบสกัดกั้น ต้องหยุดการเคลื่อนย้ายสัตว์โค กระบือทั้งหมด หากจำเป็นให้ขอเป็นรายๆ ไป 

นายประภัตร กล่าวต่อว่า ขอฝากสมาชิกส.ส.ส่งต่อข้อมูลให้ประชาชนได้เข้าใจว่าโรคนี้ทางองค์การสุขภาพสัตว์โลกยืนยันออกมาแล้วว่ารักษาหาย ใช้เวลารักษาประมาณ 30 วัน เนื้อบริโภคได้ และไม่ติดต่อถึงคน ทั้งนี้ เข้าใจว่าเมื่อเป็นโรคอุบัติใหม่ จึงสั่งให้ปศุสัตว์ทุกจังหวัด ปศุสัตว์อำเภอทุกแห่ง ลงพื้นที่สกัดกั้น และรับผิดชอบในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้วัคซีนมาถึงแล้วโดยได้รับ 6 หมื่นโดส และสัปดาห์หน้าจะมาอีก 3 แสนโดส แต่ก็ยังไม่พอ เราจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยอธิบดีกรมปศุสัตว์ ทำหน้าที่ประธาน มีเจ้าหน้าที่และเอกชน ร่วมพิจารณาจุดเสี่ยงว่าอยู่ในพื้นที่ใด เพื่อจะได้รีบป้องกันก่อน ทำให้การกระจายวัคซีนแต่ละจังหวัดจะได้ไม่เท่ากัน

"ยืนยันว่าเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุด"ลัมปี สกิน" ให้ได้ ส่วนโคและกระบือที่ตาย เราจะมีการชดเชยและเยียวยาตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย จึงขอให้เกษตรกร ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย นอกจากนี้อยากฝากเพื่อเป็นทางเลือกคือการทำประกันโค กระบือซึ่งโครงการนี้จะช่วยบรรเทาและช่วยเหลือเกษตรกรได้” นายประภัตร กล่าว

‘ลุงป้อม’ ห่วงเยาวชนภาคใต้ ส่งที่ปรึกษา รมว.เฮ้ง มอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย สู้ภัยโควิด-19 แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการ จ.เพชรบุรี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ห่วงใยเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี ตามโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ มอบหมายที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ส่งมอบชุดธารน้ำใจและอาหารฮาลาลจากสภากาชาดไทย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจสู้โควิด-19 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี ตามโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จังหวัดเพชรบุรี และ ศอบต. ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย และอาหารฮาลาลแก่เยาวชนชายแดนใต้ ซึ่งเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ณ พื้นที่สวนสาธารณะ บางเค็ม และมณฑลทหารบกที่ 15 อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี

นางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบชุดธารน้ำใจและอาหารฮาลาลจากสภากาชาดไทย แก่ลูกจ้าง ในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งทางกระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากสภากาชาดไทยให้ความอนุเคราะห์ชุดธารน้ำใจ ซึ่งเป็นอาหารฮาลาลให้เยาวชนชายแดนใต้ได้รับประทาน โดยมี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเพชรบุรี สถานีกาชาดที่ 8 เพชรบุรี หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมเป็นตัวแทนในการมอบ ผู้แทนแรงงานจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นผู้รับมอบในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ฝากความห่วงใยมายังเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการต่อสู้โควิด-19 ให้ก้าวข้ามไปด้วยกัน

รมว. แรงงาน ประชุม คบต. แก้ไขข้อขัดข้องการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวช่วงสถานการณ์โควิด ระลอกใหม่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอครม.ปรับเวลาหานายจ้างของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เป็น 60 วัน ขยายเวลาตรวจโควิด-19 และยื่นขออนุญาติทำงาน (บต.48) ต่างด้าวกลุ่มมติ 29 ธ.ค. 63 ออกไป และผ่อนผันให้ต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 มติครม. 4 ส.ค. 63 และมติครม. 10 พ.ย. 63 อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการตามประกาศที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานกำหนดให้แล้วเสร็จ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน  รับทราบข้อขัดข้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ และมีความห่วงใยผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง/สถานประกอบการ และการทำงานแรงงานต่างด้าว ทั้งสิ้น 2,150,663 คน และเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องนี้ วันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 4/2564 จึงมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขข้อขัดข้องฯ เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ ดังนี้

1.) ขยายระยะเวลาการตรวจคัดกรองโควิด-19 ของคนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 โดยให้ดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 และขยายระยะเวลาตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงาน (ยื่นบต. 48) กับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ออกไปตามที่ที่ประชุมคบต.เสนอ สำหรับผลการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 18 ต.ค. 64

2.) ขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงาน ที่การผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศใกล้จะสิ้นสุด แบ่งเป็น

(1.) กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 และมติครม. 4 ส.ค. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้เป็นการชั่วคราวต่อไป โดยที่ต้องยื่นขอก่อนการอนุญาตทำงานตามสิทธิปัจจุบันของแต่ละกลุ่มสิ้นสุด ทั้งนี้ กรณีหนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ คนต่างด้าวต้องมีเอกสารฉบับใหม่ภายใน 1 ปี เพื่อให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ย้ายตราประทับการอนุญาตให้อยู่ในประเทศต่อไป

(2.) กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 10 พ.ย. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่หนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีก 1 ปี เพื่อทำเอกสารประจำตัวฉบับใหม่ และตรวจลงตราวีซ่ากับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

3.) แก้ไขข้อขัดข้องกรณีแรงงานต่างด้าวตาม MoU กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค.62  มติครม. 4 ส.ค.63 มติครม. 10 พ.ย.63 และมติครม. 29 ธ.ค.63 (เฉพาะที่อนุมัติ บต.48 แล้ว) ที่ออกจากนายจ้างเดิมและไม่สามารถหานายจ้างใหม่ได้ทัน แบ่งเป็น

(1.) กลุ่มที่การอยู่สิ้นสุดแล้ว (1 ม.ค. 64 จนถึงก่อนวันที่ ครม.มีมติ) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ผ่อนผันให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษถึง 13 ก.พ. 66 และ2.กลุ่มที่การอยู่ยังไม่สิ้นสุด (วันที่ ครม.มีมติ -13 ก.พ. 66) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ให้ปรับระยะเวลาหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานในประเทศไทย ที่การผ่อนผันดังกล่าวใกล้จะสิ้นสุด มีจำนวนถึง 2,150,663 คน แบ่งเป็น

1.) กลุ่มคนต่างด้าวถือบัตรชมพู จำนวน 1,364,214 คน แยกตามมติครม. 20 ส.ค. 62 จำนวน 1,162,443 คน และตามมติครม. 4 ส.ค. 63 จำนวน 201,771 คน

2.) กลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี จำนวน 131,585 คน และ

3.) กลุ่มคนต่างด้าวที่สิ้นสุดการให้อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตทำงานตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 จำนวน 654,864 คน คบต.จึงจำเป็นต้องแก้ไขข้อขัดข้องนี้โดยเร็ว เพื่อให้การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวของนายจ้าง/สถานประกอบการด้วย

ทั้งนี้ หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

ราเมศ จวก โรม อย่าคิดว่าพรรคอื่น จะเหมือนก้าวไกล แน่จริงโหวตคว่ำ พรบ งบ ไม่ร่วม เป็น กมธ.

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นแค่การปาหี่ว่า

คำพูดของนายโรมบ่งบอกถึงความรู้สึกนึกคิด ประสิทธิภาพของการทำหน้าที่ผู้แทนราษฏรเป็นอย่างมาก ที่ยังไม่เข้าใจการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่โดยหลักการสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสามารถอภิปรายในวาระที่หนึ่งชั้นรับหลักการได้อย่างกว้างขวาง มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแต่คนที่อภิปรายไว้ ติติงไว้ ความเห็นอันมีค่านั้นจะถูกส่งต่อไปยังวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการคือในชั้นการพิจารณารายละเอียดต่างๆ คนที่ทำหน้าที่กรรมาธิการของทุกพรรคการเมืองก็จะสามารถปรับปรุงได้อยู่แล้วเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเกิดความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด

นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ดีไม่ต้องกังวลเพราะจะมีคำตอบให้กับประชาชนได้อยู่แล้ว และต้องคิดให้เป็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศก็ควรมองและทำตามความเป็นจริง ไม่ใช่อยู่ตรงกันข้ามกันแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายทำอะไรก็ผิดไปทั้งหมด เรื่องงบประมาณก็เช่นกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนและประเทศ ไม่ควรใช้อารมณ์และความรู้สึกหรือประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ส่วนพรรคมาอยู่เหนือส่วนรวม แต่หากพรรคก้าวไกลคิดว่าเรื่องงบประมาณไม่สำคัญกับประชาชนและประเทศก็ประกาศโหวตไม่รับและไม่ต้องส่งคนไปร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ ก็ลองคิดดู

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ยืนยันการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ จริงใจ ตรงไปตรง มีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นการปาหี่อย่างที่กล่าวหา และจะมีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ส่วนไหนที่ต้องปรับแก้ กรรมาธิการในส่วนของพรรคก็จะไปทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ประชาชนและประเทศต่อไป

“อนุทิน” เผย เริ่มส่งวัคซีนแอสตราเซเนกา-ซิโนแวค ลงพื้นที่ทั่วประเทศไทยแล้ว ย้ำ หลักการกระจายวัคซีน ต้องเป็นธรรม 

ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวหลังการประชุมเรื่องวัคซีนโควิด-19 ระบุว่า เรื่องการจัดหา และกระจายวัคซีน ยังเป็นไปตามแผนงานที่นายกรัฐมนตรี และ ศบค. มอบให้กระทรวงสาธารณสุข นำไปปฏิบัติ ข่าวสารต่างๆ ขอให้รับจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะทางกระทรวงฯ เป็นฝ่ายจัดหา และจัดการ ล่าสุด วานนี้ ได้ส่งวัคซีนประมาณ 1.1 ล้านโดส ทั้งของแอสต้ราเซนเนกา และซิโนแวค ลงพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย กระจายไปตามหน่วยงานด้านสาธารณสุข วัคซีน จะต้องให้บริการกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด 

สำหรับการจัดหาวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนกา ขอย้ำว่า ผู้ผลิต และรัฐต่างมีสัญญาระหว่างกันที่ต้องยึดถือ ตามสัญญา กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จะต้องตกลงกับแอสต้ราเซนเนกา ในเรื่องของความต้องการ และกำลังการจัดส่งที่ต้องสอดคล้องกัน และต้องหารือให้ได้บทสรุปในแต่ละเดือน การจัดสรรวัคซีน ทางรัฐบาลยึดหลักความเป็นธรรม คำนึงถึงสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่

"วัชระ" จ่อ ยื่นหนังสือ จี้ "บิ๊กตู่" เอาผิด "สมศักดิ์" จัดงานเลี้ยงสงกรานต์ ฝ่าฝืนกม.คุมโควิดหลายฉบับ

ที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้ทำจดหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายและพิจารณาการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประพฤติฝ่าฝืนกฎหมายในสถานการฉุกเฉิน โดยมีเนื้อหาว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย. เวลา 19.00 น. นายสมศักดิ์ และคณะ ได้เดินทางไปร้านคาเฟ่ เดอทรี จ.สุโขทัย เพื่อร่วมกิจกรรมชุมนุม มีการจัดรดน้ำตามประเพณีสงกรานต์ งานเลี้ยงสังสรรค์ มีการร้องเพลงคาราโอเกะ ดื่มไวน์ต่างประเทศ โดยไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย มีผู้ร่วมงานประมาณ 21 คน ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ และฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ห้ามมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และพ.ร.บ.โรคติดต่อ ฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งของนายกฯและจ.สุโขทัย ซึ่งผลจากการจัดงานครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 จำนวน 3 คน 

นายวัชระ กล่าวต่อว่า การกระทำของนายสมศักดิ์ เข้าข่ายผิดมาตรฐานตามจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วนงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 7, 11, 17, 21 และ 23 จึงส่งหนังสือมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป และในวันนี้ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกฯ และจะเดินทางไปหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยซัด “ประยุทธ์” ติดหล่ม เลิกยกจำนำข้าวมาปกปิดความล้มเหลวของตัวเองได้แล้ว

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ระบุในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2565 ว่าด้วยสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เพราะต้องใช้หนี้โครงการจำนำข้าวสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า พล.อ.ประยุทธ์อ่านงบประมาณแล้วไม่รู้เลยหรือว่านายกฯ คนใดใช้งบประมาณ ใช้เงินกู้ อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 7 ปี ใช้งบจากภาษีประชาชนไปถึง 24.9 ล้านล้านบาท กู้ตั้งแต่ยังไม่เกิดโควิด หลังโควิดก็ยิ่งกู้ แทนที่เศรษฐกิจไทยจะโตแบบก้าวกระโดด แต่ 7 ปีผ่านไปเศรษฐกิจไทยมีแต่ทรุดกับทรุด ความล้มเหลว ความไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นอย่างไร หลักฐานมันฟ้อง 

ประชาชนที่ติดตามการอภิปรายของ พล.อ.ประยุทธ์ แยกไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นคลิปการอภิปรายปีไหน ไม่รู้อันไหนเป็นคลิปใหม่คลิปเก่า เพราะตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ท่องคาถาพูดเหมือนเดิม ติดหล่มวาทกรรมจำนำข้าวที่พวกเดียวกันสร้างขึ้นมา พอจวนตัวไปไม่เป็น ก็จะงัดเอาเรื่องจำนำข้าวมาใช้เป็นเครื่องป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวตลอดการบริหาร 7 ปีของตัวเอง คนดีชอบแก้ไข นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดก่อนกำหนด ไม่เห็นต้องไปโทษรัฐบาลเก่าพร่ำเพรื่อ อย่าคิดว่าจะรื้อฟื้นคดีได้ฝ่ายเดียว เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ความจริงจะได้ปรากฏ ใครคือไอ้โม่งที่สั่งให้นำข้าวดีไปจัดเกรด ไปขายเป็นอาหารสัตว์ เป็นพลังงานในราคาต่ำกว่าราคาจริง เพื่อให้เกิดความเสียหายให้มากขึ้น ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต เอื้อพวกพ้อง 

“การจัดทำงบครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาล-รัฐสภาชุดนี้ ใจคอพล.อ.ประยุทธ์ จะโทษรัฐบาลเก่าอีกกี่ปี จะยกจำนำข้าวมาปกปิดความล้มเหลวของตัวเองอีกนานแค่ไหน” นายอนุสรณ์ กล่าว

"จิรายุ” ย้ำมติฝ่ายค้านไม่รับร่างพ.ร.บ.งบ 65 เผยถ้าได้โอกาสนั่ง กมธ.งบ เตรียมตรวจสอบเข้ม พร้อมจับตาค่ำนี้ พรรคไหนลงมติเป็นสะพานทอด “ประยุทธ์” อยู่ต่อ 8 ปี

ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการทำงานของคณะกรรรมาธิการงบประมาณว่า ถ้าตนได้มีโอกาสเข้าไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณก็จะติดตามตรวจสอบโดยเฉพาะงบเหลือจ่ายว่ามีการใช้จ่ายงบเหลือจ่ายไปในทางที่ถูกหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการเทกระจาดใช้ และนี่จะเป็นครั้งแรกที่พรรคฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณใหญ่อย่างเข้มข้นและเราจะส่งขุนพลฝีมือดีเข้าไปในกมธ.ในฐานะฝ่ายค้านเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างจริงจัง ทั้งนี้ยังคงย้ำมติของพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายค้านว่ายังคงยืนยันเจตนารมณ์เหมือนเดิมคือลงมติไม่รับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 ในร่างแรก ซึ่งเรามีความจำเป็นที่จะลงมติไม่รับร่างเพราะจำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ทั้งนี้การที่งบประมาณไม่ผ่านก็เป็นเรื่องของรัฐบาลว่าจะลาออกหรือยุบสภาตามแต่ดุลยพินิจที่จะรับผิดชอบต่อสังคมและการเงิน 

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ตลอดทั้ง 2 วันของการอภิปรายพรรคร่วมรัฐบาลยังคตำหนิติเตียนรัฐบาลในการจัดทำงบประมาณ ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร แต่เชื่อว่าสังคมจะตัดสินใจในสิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ให้สัตยาบรรณกับประชาชนในช่วงเลือกตั้งว่าไม่อยากร่วมกับรัฐบาลเผด็จการ ฉะนั้นในช่วงค่ำของวันนี้ขอให้ประชาชนได้ติดตามการลงมติ ว่าพรรคการเมืองใดจะเป็นสะพานทอดให้กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยู่ต่อเข้าสู่ปีที่ 8 หรือไม่

นายจิรายุ กล่าวถึงกรณีงบประมาณกระทรวงกลาโหม ว่า เวลาที่มาของบประมาณกับสภา ท่านก็เขียนมาอย่างชัดเจนโดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีระบบไว้ในยุทธศาสตร์ชาติจนถึงปี 80 ว่าจะค่อยๆ เพิ่มวัสดุอุปกรณ์โดยนำเข้าจากต่างประเทศ 50% และใช้ของไทยอีก 50% โดยเมื่อปีที่แล้วทางกองทัพอากาศได้มานำเสนอลดปริมาณการนำเข้าและจะใช้วัสดุอุปกรณ์ในประเทศ ทางกมธ.งบยังได้ชื่นชมกองทัพอากาศแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยากให้ตรวจสอบว่าเหล่ากองทัพได้ใช้งบประมาณอย่างถูกต้องตามที่ให้ไว้กับรัฐสภาหรือไม่ หรือมีการไปคุยกับพ่อค้าอาวุธยุทโธปกรณ์หรือไม่ ฉะนั้นจึงควรมีคำตอบต่อประชาชน

กบฉ.ต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ 20มิ.ย.-19 ก.ย. ปรับลด ‘อ.กาบัง จ.ยะลา’ จากพื้นที่ประกาศฉุกเฉินฯ สั่ง ลักลอบเข้าเมือง หวั่นแพร่โควิด

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.)ครั้งที่ 2/2564 

โดยที่ประชุมเห็นชอบขยายเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาค ยกเว้น อ.แม่ลาน อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี อ.เบตง อ.กาบัง จ.ยะลา และอ.สุไหงโก-ลก อ.สุคิริน,อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.-19 ก.ย.64 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนในพื้นที่ และเห็นชอบตามที่กอ.รมน.ภาค 4 เสนอปรับลดพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินแล้ว ได้แก่พื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา เป็นไปตามแผนงานปรับลดพื้นที่ฯสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเห็นชอบให้เพิ่มเติมตัวชี้วัด ความพึงพอใจของประชาชน ต่อเศรษฐกิจ สังคม ควบคู่สถิติทางคดี

นอกจากนั้นรับทราบ ผลการปฎิบัติงานตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระหว่างวันที่ 20 มี.ค.-18 พ.ค.ที่ผ่านมา สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้น การก่อเหตุความรุนแรงมีแนวโน้มลดลงและประชาชนเข้าใจการปฏิบัติงานของภาครัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19  และขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกนายที่เสียสละ ทุ่มเทการทำงาน จนสามารถปรับลดพื้นที่ประกาศฉุกเฉินบางส่วนได้ผล ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล และขอเป็นกำลังใจการปฏิบัติงานของจนท.ให้ประสบความสำเร็จปลอดภัยจากภารกิจ และโควิด-19 ทุกคน

“องอาจ” ย้ำ ส.ส. ปชป. วิพากษ์งบเพื่อส่วนรวม ไม่มีวาระซ่อนเร้น

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีปรารภในที่ประชุม ครม. ถึง ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลอภิปรายวิพากษ์วิจารณืการจัดทำงบประมาณโดยระบุว่า “ขอให้ช่วยๆ กัน ตรงไหนเกี่ยวข้อง ก็ให้ช่วยเร่งตอบ ปากก็ว่าโอเค แต่ปล่อยให้ลูกพรรคซัดโครมๆ” ว่า ในส่วนของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าเราทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานของการทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง

การเป็น ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน เราจึงคำนึงถึงประโยชน์ของราษฎร และเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็น ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล เราก็อภิปรายบนพื้นฐานของ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล นอกจากจะวิพากษ์วิจารณ์ข้อด้อยของการจัดทำงบประมาณแล้ว เรายังมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์

ถ้ารัฐบาล ผู้บริหารกระทรวง หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ที่ใช้งบประมาณ นำไปปรับปรุงแก้ไขก็จะช่วยทำให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประโยชน์ของราษฎรและส่วนรวมอย่างแท้จริง

ขอยืนยันว่าการอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์การจัดทำงบประมาณของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง หรืออภิปรายเพื่อต่อรองทางการเมืองแต่อย่างใด แต่เป็นการอภิปรายงบประมาณอย่างตรงไปตรงมา ว่าไปตามเนื้อผ้า เพื่อให้ได้งบประมาณที่เหมาะสมต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นต่อไป

หวังว่านากยรัฐมนตรีจะพิจารณาทำหน้าที่ของพรคการเมือง ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลแบบแยกแยะ และเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้การทำงานร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งใน ครม. ทั้งในสภาเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาประชาชนได้ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งเป้าหมายไว้ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top