Tuesday, 1 July 2025
POLITICS

"เสกสกล"สวน"ย่ิงลักษณ์"โทษรัฐประหาร ฉุดประเทศถอยหลัง10 สติดีอยู่หรือไม่ ย้อนให้บริหารต่อยิ่งทำประเทศดิ่งจากทุจริตเชิงนโยบาย-เอื้อประโยชน์วงศ์ตระกูล แจง วิกฤตโควิด-19 ทำรัฐบาลตู่ ชะลอพัฒนาประเทศ

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์รำลึกถึงวันที่23 ส.ค.เป็นวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ที่สัญญาว่าจะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่มาถูกรัฐประหารเสียก่อน และผ่านมา10 ปีประเทศชาติกลับแย่ลง ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังสติสัมปชัญญะดีอยู่หรือไม่ หรือเป็นเพราะหนีคดีไปนาน เกิดอาการความจำเสื่อมกำเริบ จนจำความอะไรไม่ได้ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคนในตระกูลคอยสั่งการ โดยมีน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนอมินี หรือหุ่นเชิดของนายทักษิณ ชินวัตร ฉะนั้นอย่าบอกว่ามีสติปัญญาในการบริหารประเทศ คิดเองทำเองเป็น เพราะ ไม่มีใครเชื่อ และตอนเป็นพนักงานของ บ.ชินวัตรคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นเซลล์ขายสมุดหน้าเหลือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังขายไม่ได้สักเล่ม แล้วจะขี้โม้ขี้คุยว่าหาเสียงไม่ถึง 50 วันก็ขึ้นมาเป็นนายกฯ ทุกอย่างนายทักษิณ เป็นคนวางแผนสั่งการให้ทั้งนั้นมิใช่หรือ
 
นายเสกสกล กล่าวว่า โครงการจำนำข้าว ก็มาจากแนวคิดของนายทักษิณ ที่มีข่าวว่าเรียกพ่อค้าไปพบวางแผนที่ดูไบ และพ่อค้าคนดังกล่าวก็ติดคุก ซึ่ง เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทำให้ชาวนาขาดทุนจนต้องฆ่าตัวตาย รัฐบาลเสียหายมหาศาล จนทุกวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลต้องตามล้างตามเช็ดใช้หนี้ในสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำเอาไว้คือ หนี้จำนำข้าวร่วม9แสนล้านบาท
 
"อย่ามาบอกว่าตั้งใจจะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ความอยู่ดีกินดี คือคนของพรรคน.ส.ยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร ที่อยู่ดีกินดี มีกินไปจนไม่รู้กี่ชาติ แต่ประชาชน ยังยากจนยิ่งกว่าเดิม เอาชาวนามาบังหน้า ทำมาหากินโกงกันจนไม่อายฟ้าดินไม่มีสติปัญญาจะบริหารประเทศ พอไม่รู้จะโทษใคร ก็มาโทษว่าพล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหารประเทศจึงถอยหลัง10ปี ไม่เป็นธรรม ที่จริงน่าจะมองว่า ตนเองบริหารผิดพลาดล้มเหลวอย่างไรบ้าง แค่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยให้นายทักษิณ และคอร์รัปชั่นโครงการจำนำข้าว ขืนปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารไปแค่วันเดียว ประเทศชาติเสียหายพังพินาศย่อยยับแน่นอน จนประชาชนออกมาขับไล่ และคณะคสช.ต้องเข้ามาระงับความเสียหายที่จะเกิดกับประเทศชาติที่จะตามมา ถ้าคสช.ไม่ออกมา จะมีเงินทอนจากโครงการอภิมหาโปรเจ็ค2.2ล้านบาทเข้ากระเป๋าคนใกล้ชิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกมากมายมหาศาล”
 
นายเสกสกล กล่าวว่า อยากให้นายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ลืมตาดู จะได้หูตาสว่างว่าตลอด7ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพัฒนาไปถึงไหน มีรถไฟฟ้าเกือบครบทุกเส้นทาง โครงการอีอีซี ถนนมอเตอร์เวย์จากบางปะอินไปโคราชกำลังจะเปิดใช้ รถไฟความเร็วสูงอีกสองเส้นทาง ราคาพืชผลทางการเกษตร ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ดีขึ้นกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนฟ้ากับเหว เพียงแต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาเจอวิกฤตโรคโควิด-19 จึงทำให้การพัฒนาประเทศชะลอตัวเพราะต้องใช้สรรพกำลังทั้งคนและงบประมาณมาแก้ปัญหาสุขภาพอนามัยให้กับประชาชน อันเป็นวาระสำคัญลำดับแรก ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อโควิดในขณะนี้ คงจะหัวหมุนทำอะไรไม่ถูก และอาจทิ้งปัญหาลาออกไปดื้อๆก็ได้ เพราะตอนเจอปัญหาน้ำท่วมใหญ่ช่วงปี 54 ยังมึนทำอะไรไม่ค่อยถูก โชคยังดีที่มีพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผบ.ทบ.คอยช่วยเหลือทุกอย่าง น่าจะวัดความสามารถ วัดกึ๋นการบริหารประเทศกันได้แล้วว่าใครมีฝีมือกันแน่

นายเสกสกล กล่าวว่า อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ หยุดพูดมาก หยุดเล่าเรื่องราวในอดีตจะดีกว่า ยิ่งพูดมากยิ่งเข้าตัวเอง คนไทยไม่ได้โง่ และยังจดจำเรื่องราวในอดีตได้ดี อย่าแสดงความโง่แล้วอวดฉลาดเลย อยู่นิ่งๆเงียบๆเฉยๆ เอาเวลาไปเดินห้างหรู เดินช้อปปิ้งหาซื้อของแบรนด์เนม จิบไวน์ราคาแพง จะดีกว่ามารำพึงฟาดงวงฟาดงาคนอื่นรายวัน เพราะยิ่งเป็นการซ้ำเติมทำลายตัวเองมากกว่า

“บิ๊กตู่” เข้าทำเนียบฯ เช้าประชุมข้าว บ่าย นั่งหัวโต๊ะหารือสถานการณ์เศรษฐกิจในและต่างประเทศรวมถึงแผนการจัดซื้อวัคซีนให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยช่วงเช้านายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference

จากนั้นในช่วงบ่าย  มีรายงานว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) เข้าหารือนายกรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและในประเทศไทย

ก่อนที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมหารือเรื่องวัคซีน  ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือแนวทางการจัดหาวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ในประเทศไทยให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในปีนี้ 100 ล้านโดส

สำหรับ การประชุม ศบค. ครั้งล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแผนความก้าวหน้าในการจัดหาวัคซีน โควิด-19   แอสตราเซเนกา สั่งจอง 61 ล้านโดส  ซึ่งผู้ผลิตส่งมอบแล้ว 14.7 ล้านโดส แผนการส่งมอบเพิ่มเดือนละ 5 ล้านโดสขึ้นไปจนครบ 61 ล้านโดส  โดยมีการรับวัคซีนบริจาคแล้ว 1.46 ล้านโดส , สำหรับวัคซีนซิโนแวค (โคโรนาแวค) สั่งซื้อตามสถานการณ์ระบาด ผู้ผลิตส่งมอบแล้ว 13.4 ล้านโดส  แผนการส่งมอบเพิ่ม เหลือรับเพิ่ม 5.7 ล้านโดส 

สำหรับในเดือนส.ค.-ก.ย.64 มีการรับวัคซีนบริจาคแล้ว 1 ล้านโดส , ในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์ สั่งจอง 20 ล้านโดส และมีแผนได้รับบริจาคอีก 1 ล้านโดส  แผนการส่งมอบกำหนดส่งไตรมาส 4 รับวัคซีนบริจาคแล้ว 1.5 ล้านโดส , ในส่วนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ( J&J ) บริษัทขอเลื่อนลงนามสัญญาเนื่องจากพบปัญหาการผลิต , Sputnik รอขึ้นทะเบียนองค์การอาหารและยา (อย. ) , ชิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้า ผู้ผลิตส่งมอบแล้ว 5 ล้านโดส  แผนการส่งมอบเพิ่ม 5 ล้านโดส  และโมเดอร์นา องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย มีแผนนำเข้า โดยแผนการส่งมอบ 5 ล้านโดส กำหนดส่งมอบปลายปี 2564 

ส่วนแผนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ประเทศไทย พ.ศ.2564 โดยชิโนแวค ในเดือนส.ค.จำนวน 4 ล้านโดส  แอสตราเซเนกา 5.8 ล้านโดส และไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส รวม 11.3 ล้านโดส ทั้งนี้ในเดือนส.ค.มีการรับวัคซีนแล้วบางส่วนจากผู้ผลิต ขณะที่ในเดือนก.ย.-ธ.ค. รอรับจากผู้ผลิต  โดยเดือนก.ย.มีแผนการจัดหาซิโนแวค  4 ล้านโดส  แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส  และไฟเซอร์ 1 ล้านโดส รวม 11 ล้านโดส ,เดือนต.ค.แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส  และไฟเซอร์ 6 ล้านโดส รวม 12 ล้านโดส ,เดือนพ.ย. แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส ไฟเซอร์ 6 ล้านโดส รวม 12 ล้านโดส ,เดือนธ.ค.  แอสตราเซเนกา 6 ล้านโดส ไฟเซอร์ 7 ล้านโดส รวม 13 ล้านโดส ทั้งนี้ เพิ่มการใช้ชิโนแวค เนื่องจากมีการปรับสูตรการฉีด เป็นชิโนแวค-  แอสตราเซเนกา โดยจำนวนวัคซีนที่จะนำเข้ามานั้นขึ้นอยู่กับการส่งมอบวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิต

“บิ๊กตู่” ถก คกก.ข้าว “กำชับ” ทุกฝ่าย ดูแลประชาชนให้ดีที่สุดหลังประสบผลกระทบจากโควิด-19 

ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference โดยนายกรัฐมนตรึกล่าวในช่วงต้นการประชุมว่า  ทุกคนทราบดีว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัส โควิด-19 ส่งผลกระทบในด้านต่างๆโดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันดูแลประชาชนให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าการประชุมวันเดียวกันนี้ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอมติความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาดในการเดินหน้านโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีที่ 3 โดยใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการประกันรายได้ปีที่ผ่านมาทุกประการ นอกจากนี้มยังได้เสนอมาตรการคู่ขนานที่จะเข้ามาช่วยเสริมเกษตรเกษตรผู้ปลูกข้าว 3 มาตรการประกอบด้วย การสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวชะลอการขาย ในช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดมากเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวราคาตกจนเกินไป โดยเกษตรกรที่ชะลอขายข้าวจะได้รับเงินช่วยเหลือตันละ 1,500 บาท ,การช่วยเหลือดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสหกรณ์หรือสีโรงสีที่เก็บสต๊อกข้าวและไม่ปล่อยออกสู่ตลาด โดยชดเชยดอกเบี้ย 3% และ เร่งรัดส่งเสริมการส่งออกข้าว เพื่อระบายข้าวในประเทศเพราะฤดูการผลิตหน้าจะมีเข้าออกสู่ตลาดมากกว่าปีที่ผ่านมาถึงประมาณ 5% จึงมีมาตรการช่วยเหลือให้มีการส่งออกข้าวโดยช่วยดอกเบี้ย  3% เป็นเวลา 6 เดือน ในเดือนต.ค.64-มี.ค.65

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” โกหกคนไทยไร้ปัญญาแก้ปัญหาการเกษตร ชี้ เกษตรกรน่าห่วงหลังราคาสินค้าตกต่ำ ขายข้าวเปลือก1โลซื้อมาม่าได้ ห่อเดียว 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 7 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ไม่เคยให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด  ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ ใช้เวลาไปกับการไล่ล่ากลุ่มที่เห็นต่าง กำจัดนักการเมืองฝั่งตรงข้าม  หาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด

พี่น้องเกษตรกรถูกละเลยมากที่สุด รายได้ของพืชผลทางการเกษตรตกต่ำมาโดยตลอดยิ่งทำ ยิ่งจน ยิ่งทำ ยิ่งเจ๊ง ทั้งนี้เนื่องมาจาก ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าไถ ค่าหว่าน ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ยและค่าแรงที่สูงขึ้น  เกษตรกรช้ำใจมาก เพราะ ราคาข้าวเปลือก 1 กิโล แลกมาม่าได้เพียงห่อเดียว เกษตรกรต้องแบกรับภาระอย่างหนักมากภาระหนี้สินที่ เพิ่มขึ้น  รัฐบาลมีอำนาจแต่ไม่เคยทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพขายได้ราคาสูงขึ้น 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ เลือกที่จะโกหกประชาชน และไม่เคยทำตามคำพูดที่เคยประกาศไว้ในช่วงการเลือกตั้งได้เลย  ทั้งนี้เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งรัฐบาล ประกาศยกระดับราคาสินค้าเกษตร ให้สูงขึ้น ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 12,000 บาท/ตัน ยางพารา 65 บาท/กิโล อ้อย 1,000 บาท/ตัน ปาล์มน้ำมัน 5 บาท/กิโล   และมันสำปะหลัง 3 บาท/กิโล สุดท้ายแล้วไม่สามารถทำได้และไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึงนโยบายช่วงการหาเสียงทีผ่านมา

“ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ พลเอกประยุทธ์  ไม่เคยพูดถึงการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรอย่างมีแนวทางที่ชัดเจน  แต่พลเอกประยุทธ์ เก่งในการเผาผลาญงบประมาณของประเทศชาติ  ใช้เงินไม่ถูกที่ ไม่ถูกจุด  เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ท่านนำไปใช้ในโครงการต่างๆ  ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนเลย แต่ งบประมาณต่างๆในภาคการเกษตรใช้เพียงน้อยนิด เท่านั้น ทำไมไม่นำมาดูแลพี่น้องเกษตรกร” นายสงคราม กล่าว

"ศรีสุวรรณ" ร้อง กกต. สอบพรรคก้าวไกล ปมร่วมกิจกรรมตรวจโควิดกับแพทย์ชนบท พร้อมแจกบัตรสีส้มตรวจ เข้าข่ายหาผลประโยชน์และแทรกแซงงานขรก.

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อกกต.ให้ไต่สวนสอบสวนพรรคก้าวไกล กรณีไปร่วมกิจกรรมกับชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ที่ได้ระดมทีมบุคลากรทางการแพทย์จากต่างจังหวัด มาช่วยตรวจเชิงรุกหาเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ชุมชนกรุงเทพมหานคร แต่กลับปรากฏว่ามีการจัดทำบัตรคิวสีส้มที่ปรากฏชื่อพรรค ถือว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของพรรคและแทรกแซงการทำงานของข้าราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นการตรวจหาผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 เชิงรุกในชุมชนต่างๆ โดยใช้ชุดตรวจแบบเร่งด่วน หรือ Antigen Test Kits ที่สามารถรู้ผลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพบเชื้อก็จะแยกกักและรักษาตัวที่บ้าน ด้วยการทำ Home Isolation แต่หากสภาพบ้านที่อยู่อาศัยไม่เอื้อให้กักตัวได้ ก็ให้ทำการกักกันในชุมชน หรือ Community Isolation ซึ่งที่ผ่านมาผลการดำเนินการเป็นไปด้วยดี จนสถานการณ์ผู้ติดเชื้อตกค้างตามบ้านและในชุมชนลดลง เป็นที่ชื่นชมของสาธารณชนทั่วไป แต่กลับมีภาพปรากฏในลักษณะที่ประชาชนสงสัย และถูกนำมาแชร์กันมากในโลกออนไลน์ คือ ปรากฏว่ามีบางพรรคการเมืองเข้าไปใช้ชื่อของพรรคว่าทำงานร่วมกับชมรมแพทย์ชนบท หรือเป็นผู้ที่นำแพทย์มาตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้กับชาวบ้านเอง อาทิ การลงพื้นที่ตรวจโควิดใน "ชุมชนพหลโยธิน 24" ใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีภาพบัตรคิวสีส้มที่แจกให้กับชาวบ้านที่มาเข้าคิวรอตรวจ ได้เขียนข้อความด้านบนว่า "หมอชนบทร่วมมือกับพรรคก้าวไกล ดูแลชุมชนพหลโยธิน 24" แนบอยู่กับเอกสารประกอบการตรวจหาเชื้อ ซึ่งแนบติดกับบัตรคิวนั้น เป็นเอกสารที่มีโลโก้ของชมรมแพทย์ชนบทอยู่ด้านบนด้วย 

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่า เป็นการแอบอ้างการทำงานของชมรมแพทย์ชนบท เพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมืองดังกล่าวหรือไม่ เพราะบุคลากรทางการแพทย์ที่ลงพื้นที่ทำงานของชมรมแพทย์ชนบทร่วมกับ สปสช. นั้นเป็นข้าราชการ และอาจถือได้ว่าแพทย์ต่างๆเหล่านั้นใช้เวลาราชการไปทำภารกิจช่วยเหลือพรรคการเมือง ใช่หรือไม่ การกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 9 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ใน มาตรา184 และ มาตรา185 หรือไม่ ซึ่งบัญญัติห้ามนักการเมืองหรือพรรคการเมืองก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการในหน้าที่ประจำของหน่วยงานภาครัฐ ประกอบกับ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา28 กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ซึ่งหากเป็นความผิดมีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมืองนั้น ตาม มาตรา92(3)

ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สิน 4 กสม.ป้ายแดง พรประไพ 149 ล้าน วสันต์ 52 ล้าน ศยามล 33 ล้าน สุชาติ 14 ล้าน

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ กรณีเข้ารับตำแหน่ง ได้แก่ น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ตำแหน่งประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายสุชาติ เศรษฐมาลินี  ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์   ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายวสันต์ ภัยหลักลี้ ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  

น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ตำแหน่งประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 แจ้งสถานภาพโสด ไม่มีหนี้สิน มีบัญชีทรัพย์สินทั้งสิ้น 149,512,590 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 8,942,274 บาท เงินลงทุน 897,615 บาท ที่ดิน 134,576,700 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,050,000 บาท ยานพาหนะ 400,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 170,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,485,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับสตรี อาทิ ต่างหู แหวนและเข็มกลัด สร้อย กำไล เข็มขัด นาฬิกา ชุดเครื่องประดับทอง

นายวสันต์ ภัยหลักลี้ ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คู่สมรส น.ส.รุ่งมณี เมฆโสภณ อยู่กินกันฉันสามีภรรยา (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 52,159,376 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 103,200 บาท เป็น ทรัพย์สินของนายวสันต์ 39,115,293 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 381,743 บาท เงินลงทุน 15,411,774 บาท ที่ดิน 21,047,075 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวมอยู่ในที่ดิน ยานพาหนะ 750,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,524,701 บาท และหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 41,161 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น

เป็นทรัพย์สินของ น.ส.รุ่งมณี 13,044,083 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 1,246,810 บาท เงินลงทุน 3,528,300 บาท ที่ดิน 6,636,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวมอยู่ในที่ดิน ยานพาหนะ 50,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,582,971 บาท ส่วนหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 62,039 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น

น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์   ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คู่สมรส นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 32,950,893 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 8,346,635 บาท 

เป็นทรัพย์สินของ น.ส.ศยามล 28,185,914 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 241,040 บาท เงินลงทุน 332,200 บาท ที่ดิน 7,894,165 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 16,850,000 บาท ยานพาหนะ 369,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 2,499,509 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น ส่วนหนี้สินเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 8,014,537 บาท

เป็นทรัพย์สินของนายภาคภูมิ 4,758,201 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 776,425 บาท เงินลงทุน 200,000 บาท ที่ดิน 2,117,776 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,200,000 บาท ยานพาหนะ 464,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นส่วนหนี้สินเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 179,078 บาท หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 153,019 บาท ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน 6,777 บาทเป็นเงินฝาก

นายสุชาติ เศรษฐมาลินี  ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คู่สมรส นางอรวรรณ เศรษฐมาลินี และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 13,970,492 บาท เป็นทรัพย์สินของ นายสุชาติ 2,006,964 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 12,501 บาท เงินลงทุน 54,463 บาท ยานพาหนะ 640,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,300,000 บาท เป็นทรัพย์สินของนางอรวรรณ 11,963,527 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 370,431 บาท เงินลงทุน 500,095 บาท ที่ดิน 5,810,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3,500,000 บาท ยานพาหนะ 913,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 870,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นและไม่มีหนี้สิน

“องอาจ” จี้ ศบค. ดูแลแรงงานต่างด้าวนอกระบบติดเชื้อโควิด หวั่นกลายเป็น “คลัสเตอร์เคลื่อนที่”ส่งผลกระทบวงกว้าง

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน กทม. และปริมณฑลว่า จากการทำงานดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งอดีต ส.ส. อดีต ส.ก. ส.ข. และ ตัวแทนสาขาพรรคจากพื้นที่ต่างๆ พบว่าขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวนอกระบบทำงานรับจ้างต่างๆ พักอาศัยอยู่ตามชุมชนแออัดในห้องเช่าราคาถูก อยู่รวมกันหลายคน เมื่อติดเชื้อโควิดแล้วมักจะรักษากันเองตามยถากรรม เพราะไม่ทราบว่าจะเข้าสู่การรักษาตามระบบต่างๆ ที่ทางการกำหนดขึ้นมาอย่างไร บางรายได้รับการแนะนำจากเพื่อนคนไทยให้เข้าสู่ระบบก็ไม่สามารถเข้าได้เพราะเป็นแรงงานต่างด้าวนอกระบบ ไม่ได้อยู่ในระบบเหมือนแรงงานต่างด้าวที่ทำงานตามโรงงาน หรือทำงานก่อสร้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเมื่อติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ๆ แล้วก็จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกับแรงงานไทยตั้งแต่ตรวจหาเชื้อ ถ้ามีเชื้อก็รักษาไปจนถึงได้ฉีดวัคซีนด้วย แต่แรงงานต่างด้าวนอกระบบไม่ได้รับการดูแลเหมือนแรงงานต่างด้าวในระบบ 
          
นายองอาจ กล่าวต่อว่า แรงงานต่างด้าวนอกระบบที่ติดเชื้อโควิดเหล่านี้ มักใช้ชีวิตทำงานตามปกติ ขณะที่พยายามรักษาตัวเองจนกลายเป็นผู้ติดเชื้อเคลื่อนที่กลายเป็น “คลัสเตอร์เคลื่อนที่” กระจายแพร่เชื้อต่อกันไปเรื่อยๆ และแรงงานต่างด้าวนอกระบบส่วนหนึ่งเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย จึงไม่อยากติดต่อทางการเพื่อเข้าสู่การดูแลรักษาตามระบบ เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษทางกฎหมาย และส่งตัวกลับประเทศดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาคลัสเตอร์เคลื่อนที่ของแรงงานต่างด้าวนอกระบบที่ติดเชื้อโควิดไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาดต่อไปเรื่อยๆ คือ ทางการจะต้องดูแล นำแรงงานต่างด้าวเหล่านี้เข้ามาดูแลรักษาตามระบบ Home Isolation (HI) หรือ Community Isolation (CI) และระบบอื่นๆ ตามอาการอย่างทันท่วงทีเหมือนผู้ติดเชื้อชาวไทยที่ได้รับการดูแลตามสมควร ทางการไทยไม่ควรปล่อยให้ผู้ติดเชื้อต่างด้าวรักษากันเองตามยถากรรมเพราะจะทำให้เชื้อแพร่ระบาดมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อการแก้ไขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสังคมไทยตามไปด้วย
         
“จึงขอฝากให้ ศบค.พิจารณาให้หน่วยงานของทางราชการทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นดูแลรักษาแรงงานต่างด้าวตามระบบต่างๆ เหมือนดูแลรักษาคนไทยนอกจากเพื่อช่วยกันระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วยังเป็นการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านให้มีความรู้สึกที่ดีมีความประทับใจขณะที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยอีกด้วย”นายองอาจกล่าว

'โฆษกพรรคไทยภักดี' โพสต์ข้อความแจง หลัง นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี ถูกคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีมติยกเลิกการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินแห่งชาติ

จากเฟซบุ๊กของนายบุญเกื้อ ปุสสเทโว ทีมโฆษกพรรคไทยภักดี ได้มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับ นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ.2554 หลังถูกคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีมติยกเลิกการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินแห่งชาติว่า...

>> "ผมโพสต์เมื่อ 26 พค. 63 วันนี้ถือว่าเขาได้ชดใช้แล้ว" 

วันที่ 26พฤษภาคม เป็นวันคล้ายวันอสัญกรรมพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และเป็นวันเดียวกับที่นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ (ชั่ว) ได้เขียนบทประพันธ์ใส่ร้ายองคมนตรีออกเผยแพร่ในวันที่ท่านถึงแก่อสัญกรรม ซึ่งนับว่าเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ต่ำทรามของศิลปินผู้นี้ที่แสดงออกผ่านงานเขียนชิ้นนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด

โดยนายสุชาติ สวัสดิ์ศรี ได้เขียนเรียงเป็นร้อยแก้ว โพสต์ลงในเฟสบุ๊คสื่อตรงถึงพลเอกเปรม ไว้ดังนี้... 

********************************************
RIP พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประวัติส่วนตัวที่ถูกลืม บริบททางสังคม-การเมืองที่น่าจะสร้างเป็นภาพยนตร์'

'นายขวัญชัย วรสูตร' ชื่อนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูใครหลาย ๆ คน แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อ 25 ปีก่อน ชายผู้นี้เคยก่อวีรกรรมอันน่าตกตะลึงเอาไว้!

นายขวัญชัย วรสูตร นักศึกษา ม.รามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ เป็นนักมวย ในงานพิธีปิดกีฬาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาได้ก่อเหตุ 'ชกหน้าประธานในพิธี' ซึ่งประธานในพิธีก็คือพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ชกหมัดเดียว หนัก ๆ เน้น ๆ มหาอำมาตย์ใหญ่ก็ล้มตึงลงกับพื้น เลือดอาบเต็มหน้า ทหารที่อยู่รอบข้างก็ตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้น พลเอกเปรมรีบตะโกนบอกการ์ดที่มาด้วยทันทีว่า... "อย่าให้มันฉก (ชก) กู"

สาเหตุที่นายขวัญชัย วรสูตร ชกหน้าพลเอกเปรม ก็เพราะไม่ชอบพฤติกรรมของพลเอกเปรมที่ครองอำนาจเป็นเผด็จการมายาวนานถึง 3 สมัย

ซึ่งนอกจากชกแล้ว นายขวัญชัยยังยืนด่าพลเอกเปรมอย่างหยาบคาย แต่ไม่ได้ชกซ้ำ 

ผู้ใหญ่ของ ม.รามคำแหงได้ให้นายขวัญชัยขอขมาพลเอกเปรม แต่นายขวัญชัยก็ไม่ทำ คนก็หามพลเอกเปรมออกไป 

ข่าวว่าทหารและคนติดตามพลเอกเปรมถูกย้าย บางคนต้องหนีตายไปต่างประเทศเลยทีเดียว ส่งผลให้อาจารย์สุขุม นวลสกุลต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะอธิการบดี

พลเอกเปรมเข้าโรงพยาบาล ถ้าจำไม่ผิด นานเกิน 2 อาทิตย์ ซึ่งหมอบอกว่าโดนจุดสำคัญ มีสิทธิ์ตายได้เลยที่เดียว หลังจากรักษาตัวเสร็จพลเอกเปรมก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนด้วยอารมณ์ขันว่า "ป๋าเห็นดาวเลยลูก"

ส่วนนายขวัญชัย วรสูตร หลังจากเหตุการณ์นั้น ก็มีข่าวว่าถูกจับไปเข้าโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่า "บ้า" ไม่นานก็มีข่าวเล็ก ๆ - ข่าวสุดท้ายเกี่ยวกับนายขวัญชัย วรสูตรว่า "ถูกจับกดน้ำเสียชีวิต โดยผู้ป่วยในโรงพยาบาลด้วยกัน"

RIP ขวัญชัย วรสูตร
********************************************

>> นี่คือผลงานที่แสนอัปยศของศิลปินแห่งชาติที่เขียนขึ้นเพื่อใส่ร้ายป้ายสีในวันที่พลเอกเปรมถึงแก่อสัญกรรมซึ่งไม่มีวิญญูชนที่ไหนในโลกเขาจะกระทำกันเช่นนี้

>> ในที่สุดแล้วความจริงของเรื่องนี้ก็ปรากฏขึ้น เมื่อพ่อของนายขวัญชัย วรสูตร ที่นายสุชาติกล่าวอ้างถึง ได้ให้ข่าวชี้แจงแสดงหลักฐานบัตรประชาชนว่า 'นายขวัญชัย วรสูตรลูกชายตนยังมีชีวิตอยู่สบายดี' เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง

>> และหลังจากเกิดเหตุแล้ว เมื่อพลเอกเปรมรับทราบว่านายขวัญชัยสติไม่ดี ท่านยังได้เขียนจดหมายส่งมาถึงครอบครัวของตนเพื่อแจ้งว่าท่านให้อภัยต่อการกระทำของนายขวัญชัยบุตรชายตน สร้างความปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจให้กับครอบครัวของตนมาจนถึงทุกวันนี้ / จบข่าว

>> บัดนี้เมื่อปรากฏชัดเจนแล้วว่าศิลปินแห่งชาติคนนี้ได้ประพฤติตนโดยแสดงออกในสังคมอย่างไม่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งเช่นนี้แล้วกระทรวงวัฒนธรรมจะดำเนินการอย่างไรกับศิลปินจอมปลอมผู้นี้ได้บ้าง

@บุญเกื้อ ปุสสเทโว
26 พฤษภาคม 63

#ศิลปินแห่งชาติ
#คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
#ถอดถอนศิลปินแห่งชาติ


ที่มา : https://www.facebook.com/100014671957628/posts/1194245671074487/

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=879989149166809&id=100014671957628


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“นายกฯ” สั่ง จนท.บังคับใช้กม.เข้ม หากพบจัดปาร์ตี้-สังสรรค์” ชี้ ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-เสี่ยงแพร่เชื้อโควิด ขอปชช.แจ้งเบาะแสทำผิด -เลี่ยงกิจกรรมรวมกลุ่ม

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มีความห่วงใย หลังรับทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับการจัดงานเลี้ยง สังสรรค์ รวมกลุ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมั่วสุมในแหล่งอบายมุขหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรควิด-19และฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ห้ามการรวมกันทำกิจกรรมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดและท้องถิ่น ให้บูรณาการทำงานเพื่อป้องกันการรวมกลุ่มในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 พร้อมตรวจสอบสถานที่ที่มักมีการรวมกันจัดงานเลี้ยง หรือแหล่งอบายมุขในพื้นทีหากพบกระทำความผิด ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ห้ามละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มิเช่นนั้น เจ้าหน้าที่จะมีความผิดด้วย  และหากพบว่าเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจให้เกิดกิจกรรมมั่วสุ่ม จะต้องถูกลงโทษอย่างเด็ดขาดด้วยเช่นกัน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแล หากพบพฤติกรรมรวมตัวกันจัดงานเลี้ยง ปาร์ตี้ ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มดำเนินกิจกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค หลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมกลุ่มโดยไม่จำเป็น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ และลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทำงานหนักต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน 

ศบค.เตรียมพิจารณามาตรการป้องระบาดโควิด-19 ในตลาด พื้นที่แดงเข้ม ตรวจเชิงรุกผู้ค้า-ลูกจ้าง-ชุมชนโดยรอบตลาด วาง 3 ระยะ ครอบคลุมเป้าหมาย 2 แสนคน ตรวจ 4 รอบ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศ พบว่าในพื้นที่สีแดงเข้ม โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล พบผู้ติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับตลาดสด และตลาดนัด ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. -10 ส.ค. พบการติดเชื้อ 23 จังหวัด ในตลาด 132 แห่ง ผู้ติดเชื้อรวม 14,678 คน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในตลาด ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน จะพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตลาด ประกอบด้วยมาตรการ 3 ส่วน ได้แก่ มาตรการป้องกันคน ป้องกันสถานที่(ตลาด) และจัดการระบบเฝ้าระวังควบคุมโรค ในส่วนการป้องกันคนนั้นจะมีตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุดตรวจ ATK ในกลุ่มเป้าหมายได้แก่ผู้ค้า ลูกจ้าง แรงงานที่เดินทางเข้าออก ผู้อยู่อาศัยที่ประกอบธุรกิจอยู่โดยรอบ และมีการสุ่มตรวจผู้ซื้อที่เดินทางเข้าไปใช้บริการในตลาด  โดยดำเนินการในจังหวัดสีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด แบ่งดำเนินการเป็น 3 ระยะ  ระยะที่1 ดำเนินการใน 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ราชบุรี ชลบุรี นครราชสีมา สงขลา และสระแก้ว เป้าหมายที่ตลาดค้าส่งและตลาดขนาดใหญ่(500แผงขึ้นไป) ตลาดที่มีความเสี่ยงสูง มีชุมชนรอบตลาด  รวม 27 แห่ง  ระยะที่2 ดำเนินการตรวจในพื้นที่ตลาดทุกขนาด ในจังหวัดสีแดงเข้ม 16 จังหวัด ครอบคลุมตลาด 117 แห่ง  และระยะที่ 3 ดำเนินการครอบคลุมตลาดทุกขนาด ในพื้นที่สีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด  รวมตลาด 683 แห่ง 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการตรวจครอบคลุมเป้าหมาย 202,010 คน ตรวจทุกสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ใช้ชุดตรวจ ATK 808,040 ชุด  มีการสำรองสำหรับกรณีตรวจเชิงรุกอีก 41,960 ชุด รวมใช้ชุดตรวจ ATK ตามมาตรการนี้รวม 850,000 ชุด ซึ่งจะขอรับการสนับสนุนชุดตรวจจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ต่อไป นอกจากดำเนินการตรวจเชิงรุกแล้ว จะมีการให้วัคซีนแก่ผู้เกี่ยวข้องในตลาดตามลำดับความเสี่ยง รวมถึงดำเนินมาตรการอื่นควบคู่ เช่น การมีแผนเผชิญเหตุ การจัดเตรียมโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่แยกกัก เพื่อรองรับกรณีผู้ติดเชื้อหรือพบผู้มีผลตรวจ ATK เป็นบวก  
 

ปชป. นัดประชุม ส.ส. 23 ส.ค.เตรียมพร้อมถกแก้ รธน.”องอาจ” คาดผ่านความเห็นชอบ เพื่อเปิดทางให้ปชช.มีสิทธิ์เลือก

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 24 ส.ค.-วันที่ 25 ส.ค.นี้ว่า ตนได้นัด ส.ส. ของพรรคประชุมในวันที่ 23 ส.ค. เวลา 16.00 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอและคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องถกแถลงกันพอสมควร โดยเฉพาะประเด็นที่มีบางส่วนท้วงติงว่าการแก้ไขของคณะกรรมาธิการฯเป็นการแก้ไขเกินหลักการจากที่ผ่านการรับหลักการจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งกรรมาธิการฯเสียงข้างมากเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ ในส่วนของประชาธิปัตย์ มีความเชื่อมั่น ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านรัฐสภาวาระแรกมีความสมบูรณ์ และการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯไม่ได้ขัดหลักการแต่อย่างใด

ส่วนที่มีการพรรคการเมืองบางพรรคเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำขัดหลักการ จะยื่นให้มีการตีความก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่เพราะมีพรรคการเมืองบางพรรคไม่เห็นด้วยนั้น นายองอาจกล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเห็นพ้องต้องกันของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา เพราะรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ต้องมี ส.ส. จากฝ่ายค้านเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองรวมกัน และมีส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

“พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมั่นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นนี้จะผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นในการใช้สิทธิเลือก ส.ส. และพรรคการเมืองที่เห็นว่าเหมาะสมด้วยบัตร 2 ใบ ซึ่งทำให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตนอย่างแท้จริง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีส่วนร่วมของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”นายองอาจ กล่าว

“บิ๊กตู่” สั่งเร่งเยียวยาประชาชน-ภาคธุรกิจให้ครบทุกกลุ่ม

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งให้เร่งเยียวยาประชาชนทุกกลุ่มควบคู่ไปกับการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขณะนี้มีการดำเนินการอยู่หลายมาตรการ ทั้งการเยียวยาประชาชน ผู้ปกครองนักเรียน และการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิดในปัจจุบัน

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนนั้น ที่ผ่านมามีโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 38.25 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 66,150.3 ล้านบาท และตอนนี้อยู่ระหว่างการเร่งเชื่อมระบบแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่กับโครงการ “คนละครึ่ง” คาดว่าจะพร้อมใช้งานได้ในเดือนต.ค.2564 เพื่อให้ทันกับการรองรับการโอนเงิน “คนละครึ่ง” รอบ 2 อีก 1,500 บาท

ส่วนความคืบหน้าแนวทางในการช่วยเหลือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู นั้น ในส่วนของเงินเยียวยานักเรียน รัฐบาลจะจ่ายให้นักเรียนทุกคน ทุกสังกัด ทั้งภาครัฐและเอกชน ระดับอนุบาล-ม.ปลาย และ ปวช./ปวส. ทั่วประเทศ คนละ 2,000 บาท คาดว่าจะได้รับเงินภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ขณะนี้มีอยู่จำนวนกว่า 11 ล้านคน ซึ่งเบื้องต้นผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษา สามารถตรวจสอบสิทธิ์กับสถานศึกษา หรือโรงเรียนของรัฐตรวจสอบสิทธิและข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และในส่วนของโรงเรียนเอกชนตรวจสอบสิทธิและข้อมูลได้ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 

ขณะที่การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังได้ร่วมกันดำเนินการ 2 มาตรการหลัก คือ 1.มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท ความคืบหน้ามีสินเชื่อฟื้นฟูที่อนุมัติแล้ว 92,316 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือจำนวน 30,194 ราย โดยมีวงเงินอนุมัติเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 ล้านบาทต่อราย 2.มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง (มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท มีมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอน 10,510.61 ล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 65 ราย 

ทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการเป็นมาตรการที่รัฐบาลตอบสนองต่อภาคเอกชน ให้สามารถเข้าถึงเงินสินเชื่อได้มากขึ้น เสริมสภาพคล่องและการลงทุน สนับสนุนวงเงินในการดูแลสินทรัพย์ให้ภาคธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรงยังสามารถกลับมาทำธุรกิจตามปกติ หลังจำเป็นต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว ตามมติครม. วันที่ 23 มี.ค. 2564 ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19

“อรรถวิชช์” จี้รัฐ เร่งซื้อชุดตรวจโควิดเบื้องต้น ขออย่าเสียเวลาทะเลาะกัน  แนะทดลองใช้จริง ยี่ห้อไหนแน่ เปรียบเทียบหน้างาน

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อชุดตรวจโควิด 8.5 ล้านชุด มูลค่า 1,014 ล้านบาท แม้จะมีผู้ชนะการประมูลขององค์การเภสัชกรรมแล้วคือ บริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด แต่ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในมติ ครม. วันที่ 17 สิงหาคม ว่า ชุดตรวจต้องได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) จึงเป็นประเด็นว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ยังไม่กล้าเซ็นสัญญากับบริษัทที่ชนะประมูล แต่รัฐต้องแข่งกับเวลา ทุกชั่วโมงที่ชัตดาวน์คือความเดือดร้อนของประชาชน เป้าหมายคือการกันตัวผู้ป่วยออกมาให้เร็ว การตรวจเชิงรุกสำคัญมากอย่าทำให้สะดุด 

"ที่เถียงกันมันคือชุดตรวจ “เบื้องต้น” แบบ ATK เท่านั้น  ไม่ใช่กรณีการตรวจละเอียดแบบ RT-PCR  ท่านนายกฯ ต้องเข้าใจว่ายี่ห้อที่ได้ WHO  มันมีน้อยและแพง ถ้าท่านเป็น "นักปฏิบัตินิยม" และเข้าใจว่านี่คือวิกฤตใหม่ที่ต้องการรับมือต้องทันต่อสถานการณ์ ผมเห็นว่า ควรไปวัดกันที่หน้างาน บริษัทไหนแน่ ไปทดลองกัน โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ถ้าเสถียรพอๆ กัน ก็เอาอันที่ราคาถูกกว่าสิครับ จะได้กระจายให้ทั่วถึง" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวต่อว่า ถ้าทดลองภาคสนามแล้ว ชุดตรวจที่ชนะการประมูลมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายี่ห้อในรายการที่อนุญาตให้ใช้กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน  (Emergency Use Listing) ของ WHO ผมว่ามันก็ใช้ได้แล้ว อย่าติดยึด เพราะเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ถูกพัฒนาให้ทันเชื้อโรคที่พัฒนาไปอยู่เรื่อย วัดกันที่หน้างานสำคัญกว่า

“ประวิตร”  สั่ง กอนช. เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ “อ่างบางพระ" หวั่น กระทบผู้ใช้น้ำภาคตวอพื้นที่ภาคตะวันออก เร่งเติมน้ำ  จากแหล่งโครงข่าย เพิ่มศักยภาพเก็บน้ำ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำและปริมาณน้ำฝนพื้นที่ภาคตะวันออก จากการรายงานของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก ที่มีพล.ร.อ พิเชฐ ตานะเศรษฐ เป็นประธานอนุกรรมการฯ พบว่า อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี  เริ่มมีปริมาณน้ำลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาและใกล้ถึงเกณฑ์เตือนขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่ จึงกำชับให้กอนช. เร่งกำหนดมาตรการเร่งด่วน โดยนำน้ำจากแหล่งโครงข่าย จังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง มาเติมลง อ่างเก็บน้ำบางพระ ให้เต็มศักยภาพ เพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุน อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม อย่างเพียงพอและให้รายงาน ความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ

“ศรีสุวรรณ” จ่อร้อง ป.ป.ช.23 ส.ค.นี้ บี้เอาผิด คนฉีดวัคซีนเข็ม 4-คนอนุมัติให้-คนเหี่ยวข้อง ฐานทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้เผยภาพหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนของบุคคลปริศนาที่ระบุว่าได้ฉีดเข็มที่ 4 แล้ว โดยเป็นยี่ห้อไฟเซอร์ ทำให้สังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่กระทำการดังกล่าวว่าไร้ยางอายและไม่มีจิตสำนึก โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ออกมาเปิดเผยว่า

บุคลดังกล่าวเป็นบุคลากรทางการแพทย์  2 คนที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยอ้างว่าประเทศปลายทางที่จะเดินทางไปไม่รับรองวัคซีนซิโนแวค แต่รับรองวัคซีนไฟเซอร์ จึงต้องขอฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และทางอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็ออกมายืนยันว่าเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศจริง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แต่รองอธิบดีกรมควบคุมโรคชี้แจงว่า บุคลากรทางการแพทย์ 2 คน จะเดินทางไปปฏิบัติงานที่ประเทศแคนาดา ซึ่งมีระเบียบว่าจะต้องได้รับวัคซีนที่ประเทศแคนาดากำหนดจึงสามารถเข้าประเทศได้ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ได้แก่ แอสตร้าเซนเนก้า ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และโควิดชิลด์ ร่วมกับแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าประเทศเป็นลบ ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าว ตรงข้ามกับ ผอ.รพ.รามาธิบดีและอธิบดีกรมควบคุมโรค ที่อ้าวว่าไปปฏิบัติงาน ทั้งที่ไปศึกษาต่อชี้ให้เห็นถึงเล่ห์ฉลของกระบวนการที่อาจร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้ออ้างการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ให้กับพวกพ้องของตนเอง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า คำแถลงดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าวัคซีนชิโนแวคใช้ไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับ แล้วทำไมยังคงสั่งซื้อเข้ามาฉีดให้กับประชาชน และที่น่าตกใจเมื่อผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้ข้อมูลว่าขณะนี้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ไปแล้วรวมประมาณ 200 ราย ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อคนไทยเกือบ 50 ล้านคน ยังไม่ได้ฉีดแม้แต่เข็มแรก บางคนต้องสูญเสียพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพราะยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนเข็มที่ 1 ได้

แล้วกรมควบคุมโรคอนุญาตให้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 ได้อย่างไร ไม่ละอายใจกันบ้างเลยหรือ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย ที่มีมูลเหตุมาจากพวกอภิสิทธิ์ชนและผู้มีอำนาจเหล่านี้นี้เองใช่หรือไม่ กรณีเยี่ยงนี้ ศบค.ในฐานะผู้ควบคุมกฎจะปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร จึงจะพอใจกัน ดังนั้นทางสมาคมฯจะไม่ทนต่อพฤติการณ์ของบุคคลพวกนี้อีกต่อไป และจะนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ไต่สวนสอบสวนเอาผิดผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 รวมทั้งผู้ที่อนุมัติให้ฉีด และผู้บริหารหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในวันจันทร์ที่ 23 ส.ค.64 เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานป.ป.ช.นนทบุรี เพื่อหยุดยั้งกระบวนการนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top