Saturday, 20 April 2024
POLITICSQUIZ

“นายก” เตรียมเคาะ “โผทหาร” คาดตกลงได้ ไม่ถึงขั้นโหวต “ตท.20-21” ทิ้งทวน ผนึกกำลังตรึงเก้าอี้ปลัด-ทร.-ทอ. “บิ๊กบี้”  เขย่า5เสือ ทบ. ขยับรุ่นน้องเข้าไลน์ 

การประชุมสภากลาโหมประจำเดือน   โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน คาดว่าช่วงก่อนหรือหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ จะหารือเฉพาะ คณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล ประกอบด้วย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทสส. พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวารขาน ผบ.ทร. และ พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผบ.ทอ. หรือ บอร์ด 7 เสือกลาโหม เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารรอบสุดท้าย  หลัง ผบ.เหล่าทัพ ได้จัดทำบัญชีรายชื่อเรียบร้อยแล้ว  

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้นโยบายว่าการปรับย้ายต้องให้เกิดความเป็นธรรมในทุกตำแหน่ง และให้เป็นอำนาจของ ผบ.เหล่าทัพ ในการดำเนินการ โดยให้พิจารณาถึง ความรู้ ความสามารถ และ ความอาวุโสเป็นหลัก ในขณะที่ตนเองจะดูในภาพรวมทั้งหมด หากที่ประชุมเห็นไม่ตรงกันในส่วนของส่งรายชื่อไขว้ระหว่างหน่วยโดยเฉพาะระดับหัว ก็ต้องมีการลงคะแนนโหวตกันในที่ประชุม แต่คาดในที่สุด นายกฯ ในฐานะ รมว.กลาโหม จะให้กรรมการได้เสนอเหตุผลและหาข้อยุติกันด้วยการพูดคุย 

มีรายงานว่า การพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม นอกจากยึดธรรมเนียมปฏิบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อควรคนในสำนักงานปลัดฯ แล้ว ยังต้องพิจารณาเรื่องความเหมาะสมอีกหลายปัจจัย เนื่องจาก พล.ร.อ.สมประสงค์  นิลสมัย (ตท.20) รองปลัดกระทรวงกลาโหมอาวุโสสูงสุด เคยได้รับผลกระทบจากการปรับย้ายสมัยที่ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์  ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) โดยถูกเตะจากกองทัพเรือมาอยู่ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม   จึงต้องพิจารณาคืนความชอบธรรมให้กับ พล.ร.อ.สมประสงค์  ให้กลับไปดำรงตำแหน่ง ผบ.ทร.หรือไม่   

แต่ในที่สุดต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาร่วมกันระหว่าง รมว.กลาโหม และ พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน  (ตท.20) ผบ.ทร.คน ที่ปัจจุบันเสนอชื่อ  พล.ร.อ.ธีรกุล กาญจนะ (ตท.21)เสนาธิการทหารเรือ ว่าจะเลือกใครดำรงตำแหน่ง 

จากนั้น จึงพิจารณาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมต่อไป ซึ่งมีแนวโน้มว่า พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ (ตท.20)ปลัดกระทรวงกลาโหม จะดึง พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ เสนาธิการทหารบก เพื่อน ตท.20 ข้ามมา เพื่อเสนอชื่อเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก  ( ผบ.ทบ.) จัดวางคนในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ.

สำหรับกองทัพอากาศ พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ (ตท.21) ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เสนอชื่อ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ (ตท.21)  ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพอากาศ  ขึ้นเป็นผบ.ทอ.คนใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอาจจะมีการพิจารณาชื่อของ “บิ๊กต่วย”พล.อ.อ.สุทธิพันธ์ ต่ายทอง  (ตท.21) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ( รอง ผบ.ทสส.) ที่ถูกปรับย้ายไปนอก ทอ.กลับมาพิจารณาร่วมด้วย  ขณะที่มีชื่อ พล.อ.อ.ธาดา เคี่ยมทองคำ (ตท.21)ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทอ. ขยับขึ้นเป็น รองผบ.ทอ.  พล.อ.อ.ชานนท์ มุ่งธัญญา เสธ.ทอ. (ตท.23) ขึ้นเป็น ผู้ช่วยผบ.ทอ.พล.อ.อ.ธนศักดิ์ เมตะนันท์ รองเสธ.ทอ.(ตท.22)  ผช.ผบ.ทอ. 

ส่วนของ กองทัพบก พล.อ.ณรงค์พันธ์  จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. คาดว่าจะขยับ พล.อ.อภินันท์ คำเพราะ (ตท.22)หัวหน้าสำนักงานผบ.ทบ. เป็น รอง ผบ.ทบ. พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ (ตท.22)รองเสนาธิการทหารบก เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์(ตท.23) แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก  และคาดว่าจะขยับ ตท.24 เข้ามานั่งเป็นเสนาธิการทหารบกต่อไป

ศปฉ. ปชป. ตัวกลางประสาน รพ.ต้นสังกัด- ชุมชนคลองเตย เร่งหารือกรณีรักษาส่งต่อผู้ป่วยโควิด และทำความเข้าใจร่วมกัน สร้างโมเดลชุมชนเข้มแข็ง ผนึกกำลังชุมชน-โรงพยาบาล

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าทีมประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) และนายปานชัย แก้วอัมพรดี ประธาน อพม. กรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่คลองเตย เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) เพื่อเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างตัวแทนชาวชุมชนคลองเตย และโรงพยาบาลต้นสังกัดย่านกล้วยน้ำไท ที่ประชาชนส่วนใหญ่ถือสิทธิบัตรทองอยู่ เพื่อเร่งหารือและทำความเข้าใจร่วมกันถึงแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 หลังผู้ป่วยเคสสีเหลือง-แดงในพื้นที่ประสบปัญหาเรื่องการตรวจ PCR และประสานเตียง

สืบเนื่องจากกรณีที่ก่อนหน้านี้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อแบบ Rapid Test ในชุมชนคลองเตยเป็นผู้สูงอายุจำนวน 2 ราย ที่มีอาการเหนื่อยหอบ และต้องการเข้าไปรับการรักษาต่อในสถานพยาบาลอย่างเร่งด่วนซึ่งจำเป็นต้องใช้ผลการตรวจแบบ PCR เพื่อทำเรื่องประสานเตียง แต่ทางโรงพยาบาลต้นสังกัดยังไม่มีคิวให้ตรวจ และทางผู้ป่วยไม่สามารถกลับเข้าสู่ชุมชนได้ เนื่องจากอยู่รวมกันอย่างแออัด อาจเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย และนายปานชัย แก้วอัมพรดี จึงได้ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ในฐานะผู้ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนคลองเตยมาโดยตลอด ได้รับทราบถึงความเดือดร้อนดังกล่าว จึงได้เป็นตัวกลางในการจัดพื้นที่พูดคุยระหว่างประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลย่านกล้วยน้ำไทและตัวแทนชุมชนคลองเตย เพื่อรับทราบถึงความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งข้อจำกัดของโรงพยาบาล เพื่อหาทางออกร่วมกัน ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการรุนแรงขึ้น ไม่สามารถกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ได้อีกต่อไป ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ขณะนี้โรงพยาบาลประสบปัญหาเตียงเต็ม หากผู้ป่วยอาการอยู่ในระดับสีเขียว ยังคงขอความร่วมมือให้กักตัวอยู่บ้าน แต่หากมีอาการอยู่ในระดับสีเหลือง - แดง ทางโรงพยาบาลจะทำการตรวจ PCR ให้ตามคิว เพื่อทำเรื่องส่งต่อผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษาโดยจะพิจารณาตามความต้องการเร่งด่วน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า ความสำเร็จในการพูดคุยกันวันนี้ คือสามารถช่วยประสานงานให้ทางโรงพยาบาลมีตัวกลางที่ชาวชุมชนคลองเตยสามารถติดต่อสื่อสารได้ตลอดเวลา และช่วยปรับความเข้าใจระหว่างคนในพื้นที่ รวมถึงความคลายกังวลของประชาชนลงไปได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ปัญหาการขาดแคลนเตียงยังคงมีอยู่ ประชาชนต้องกักตัวที่บ้านเป็นหลัก จึงอยากเน้นย้ำให้รัฐบาลเร่งการนำเข้าและแจกจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ให้แก่ผู้ติดเชื้อระดับสีเขียวโดยเร็วก่อนที่จะแย่ลงและจำเป็นต้องใช้เตียงในภาวะที่ขาดแคลน

ด้านนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน ชุมชนเข้มแข็งจะสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิดในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ทั้งการประสานงานเรื่องเตียงได้เป็นระบบ แยกผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัว และลดการแพร่เชื้อในชุมชนได้ ช่วยสร้างโมเดลความร่วมมือระหว่างชุมชนกับโรงพยาบาล และชุมชนก็พร้อมดูแลตัวเองรวมถึงรับเคสสีเหลืองที่รักษาหายจนกลายเป็นเขียวกลับไปรักษาตัวต่อในชุมชนจนหายดี ช่วยลดภาระโรงพยาบาลและภาระทางด้านสาธารณสุขของภาครัฐอีกด้วย

“ประวิตร” ถกปคม.ไฟเขียวแผนป้องค้ามนุษย์ ปี64-65 เห็นชอบตั้ง “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์” ปธ.อนุกกฯต้านค้ามนุษย์ไทย-สหรัฐฯ  ย้ำ ยกระดับการทำงานจนท.รัฐ รองรับมาตรการสากล 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.)ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยและนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วม

โดยที่ประชุมเห็นชอบ แผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 64-65 และโครงการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ 3 ด้าน คือ 1.ด้านดำเนินคดี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบ 2.ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ ให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯรับผิดชอบ และ 3.ด้านป้องกัน ให้กระทรวงแรงงานรับผิดชอบ และเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ไทย-สหรัฐ(ฝ่ายไทย) โดยมี พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ เป็นประธาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการต่อต้านการค้ามนุษย์ขับเคลื่อนการดำเนินงาน ให้มีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นที่ประชุมรับทราบรายงานผลการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ดังนี้โดยแนวโน้มสถานการณ์การค้ามนุษย์ในรูปแบบออนไลน์และแรงงานบังคับเพิ่มสูงขึ้น การจำกัดการเคลื่อนที่และการสื่อสารของผู้เสียหายที่ถูกบังคับกักตัวในสถานคุ้มครองของรัฐ ควรมีการวิเคราะห์ผู้เสียหายเป็นรายบุคคล ส่วนการคัดกรองคดียังประสบปัญหาความชัดเจน ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และขาดแคลนล่ามผู้เชี่ยวชาญ จึงควรยกระดับการแก้ปัญหาร่วมกัน  และรับทราบรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ทิปรีพอร์ต ประจำปี64 ของสหรัฐ ที่ปรับระดับประเทศไทยจากระดับ 2 (Tier 2)ไปอยู่ในระดับ 2 ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยสหรัฐฯได้เห็นถึงความพยายาม ของไทยและพร้อมให้ข้อแนะนำเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้บรรลุเป้าหมาย ต่อไป

จากนั้นพล.ประวิตร เป็นประธานประชุมคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยที่ประชุมเห็นชอบ แต่งตั้งพล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ เป็นประธานอนุกรรมการ พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้เป็นที่ยอมรับและยกระดับสู่มาตรฐานสากล ยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง และแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกมิติ

โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นกลไกสำคัญในการต่อต้านการค้ามนุษย์ จะต้องเร่งรัดดำเนินงานให้เห็นผล เป็นรูปธรรม เพื่อแสดงความจริงใจ ต่อการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และต้องบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม และเด็ดขาดให้มากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ให้มุ่งมั่นทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงหลักสิทธิมนุษยชน เป็นสำคัญ

"โฆษกพรรคกล้า" เสนอดึงวาระแก้ ม.272 ยกเลิกอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ ขึ้นพิจารณาก่อนดักทางหาก พปชร.- ส.ว. ไม่เอาด้วย เพื่อไทย - ปชป. ก็ไม่ควรเห็นชอบร่างแก้ไข รธน.ของ พปชร. เช่นกัน ย้ำอย่าให้การแก้ไข รธน. เป็นแค่การผลัดกันเกาหลัง เอื้อประโยชน์นักการเมือง 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระรับหลักการว่า ประเด็นสำคัญที่สังคมรวมถึงพรรคกล้า คาดหวังมากที่สุด คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อพิจารณาจากระเบียบวาระ 13 ร่าง พบว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 อยู่ลำดับที่ 4 และลำดับที่ 11 จึงอยากให้สมาชิกรัฐสภาเลื่อนการแก้ไขยกเลิกมาตรา 272 ขึ้นมาพิจารณาและลงมติก่อน จะได้รู้ว่าหากพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว. ไม่เห็นชอบยกเลิกอำนาจ ส.ว. หลังจากนั้นพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคที่เสนอยกเลิกอำนาจ ส.ว. อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ก็ควรลงมติล้มร่างรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชารัฐต้องการเช่นกัน ตามแนวคิดที่นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้เสนอแนวทางไว้ 

"การเสนอเลื่อนมาตรา 272 ขึ้นมาพิจารณาและลงมติก่อน จะมีผลต่อการตัดสินใจลงมติในประเด็นต่อๆ ไป หากผลออกมาว่าพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว. ไม่เห็นชอบยกเลิกอำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่มี ส.ส. เกินกว่าร้อยละ 20 ของพรรคที่ไม่มีรัฐมนตรี ประธานและรองประธานสภาฯ ตามเงื่อนไขการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรตั้งเงื่อนไขให้ชัดว่า จะไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชารัฐต้องการเช่นกัน" นายแสนยากรณ์ กล่าว 

โฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า ถ้ารัฐสภานำประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องอื่นๆ เช่นบัตรเลือกตั้ง หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 144,185 ตัดบทลงโทษ ส.ส.แปรญัตติเอางบประมาณแผ่นดินมาใช้ ขึ้นมาพิจารณาก่อน แล้วทุกฝ่ายลงมติเห็นชอบ จากนั้นเอาประเด็นยกเลิกอำนาจ ส.ว.ไว้ท้ายสุด แล้วหักมุมลงมติลงมติล้มตอนท้ายก่อนปิดประชุม หากออกมาเป็นแบบนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญคงเป็นเพียงแค่การผลัดกันเกาหลัง เห็นชอบแค่ประเด็นที่นักการเมืองได้ประโยชน์เท่านั้น 

“จุรินทร์” ออนทัวร์ขอนแก่น ลั่นอีสานพร้อมลต.ระดับ 7 โว คนอีสานยอมรับนโยบายปชป.สูงมาก ปัดตอบ “ธรรมนัส”นั่งเลขา พปชร. ส่งผลปรับครม.ชี้อยู่ที่นายกฯ

จ.ขอนแแก่น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะออนทัวร์อีสาน วันที่ 2 โดย ลงพื้นที่ จ. ขอนแก่น เป็นประธานในพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง และติดตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตศูนย์คนไร้บ้าน ณ สหกรณ์เคหสถานแก่นนคร พร้อมมอบเช็คโครงการฟื้นฟู เช็คชำระหนี้ มอบโฉนดที่ดินกองทุนฟื้นฟูเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้แก่เกษตรกร จ.ขอนแก่น ณ ห้องประชุมโรงแรมราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อําเภอเมือง จ.ขอนแก่น และเปิดโครงการโมบายพาณิชย์ ลดราคาช่วยประชาชน 
         
โดยนายจุรินทร์ กล่าวถึงเมื่อคืนวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีโอกาสได้พบปะสมาชิกพรรคว่า ตอนนี้ภาคอีสานถือว่ามีความพร้อมในระดับที่หากนับ 10 ก็มาถึง7 แล้ว ขณะนี้ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการจัดตั้งตัวแทนเขตครบทุกเขตในภาคอีสานทั้งหมดแล้ว จากนี้จะได้มีการเตรียมการพิจารณาตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งหลายเขตมีผู้ให้ความสนใจและแจ้งความจำนงไว้แล้ว บางเขตมีการเคาะตัวผู้สมัครไว้แล้ว แต่ยังไม่ขอบอกว่าเป็นใครบ้าง นอกจากนั้นยังได้พูดคุยกันกับบรรดาผู้ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้ว และในส่วนของตัวแทนเขตทั้งหมด ซึ่งได้ประเมินกันว่า สำหรับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้เป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชนภาคอีสานในระดับที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันรายได้เกษตรกร โดยเฉพาะในส่วนของข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ที่คนภาคอีสานปลูกมาก รวมทั้งมันสำปะหลัง แม้แต่ยางพารา ก็ถือว่าราคาดี และเป็นนโยบายที่พี่น้องประชาชนภาคอีสานให้การยอมรับ รวมทั้งการผลักดันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น เรื่องนี้ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากพี่น้องภาคอีสาน

เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ โดยร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งตามธรรมเนียม เลขาธิการพรรคจะต้องเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ และไม่ขอให้ความเห็นเรื่องพรรคพลังประชารัฐ เพราะเป็นเรื่องภายในพลังประชารัฐ ที่จะต้องไปพิจารณาตัดสินใจกันเองว่าจะจัดการกับการบริหารจัดการพรรคอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวและก้าวก่ายด้วย เพียงแต่ถ้าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ต้องดูว่านายกรัฐมนตรีมีความประสงค์อย่างไร จะปรับเฉพาะในส่วนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือว่าจะปรับอย่างไร ก็ต้องเริ่มต้นที่นายกฯ ตนไม่สามารถที่จะตอบไปล่วงหน้าได้

เมื่อถามว่า หากมีการปรับ ครม. พรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันตำแหน่งเดิมใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยังไม่มีสัญญาณอะไรว่าจะปรับครม. ทั้งนี้ประชาธิปัตย์ก็ยืนยัน ตนก็ยืนยันหลายครั้งว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะหน้าที่อะไร ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ เราก็จะทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ และยึดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง การมาอีสานครั้งนี้ก็เพื่อที่จะเดินหน้านโยบายโครงการที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องชาวอีสาน

พงศ์พรหม ยามะรัต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat กรณีการจัดอีเวนท์คิกออฟฉีดวัคซีนของรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมาโดยระบุว่า...

พงศ์พรหม ยามะรัต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat กรณีการจัดอีเวนท์คิกออฟฉีดวัคซีนของรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมาโดยระบุว่า การระดมฉีดวันแรกเป็นไปได้ดีทีเดียว แต่ขอฝากภาครัฐไว้ 1 เรื่องนะครับ อย่าเอาอีเว้นท์มาเป็นสาระสำคัญในการบริการที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของประชาชนเลย ช่วยเอาผู้นำประเทศเจริญๆ ที่เก่งกว่าท่านเป็นตัวอย่างหน่อย

เหมือนกับ รมว.ที่เอาน้ำมนต์ขวดละ 9 บาทพรมทับหลังหินทรายอายุ 1,000 ปี มีเสียงบ่นมาเยอะถึงการ “สั่งหยุดคิวฉีด” เพื่อรออีเว้นท์ผู้บริหารภาครัฐ ส่วนประชาชนนอกห้องก็ยืนรอดูตาปริบๆ เหมือนเป็นแค่อากาศ ใครอยู่ภาครัฐแล้วเถียงว่าไม่มี เผอิญมีผู้หวังดีกับภาครัฐส่งคลิปมาให้

ประชาชนถูกสั่งหยุดคิว คนต่อคิวมากมายถูกกองทัพสื่อ กองทัพคนภาครัฐ กองทัพบุคลากรของ กทม. เดินแทรกอยู่ใน hall ทั้งที่มีประกาศ social distancing

หนักกว่านั้น มีการสั่ง “ชะลอคิว” ประชาชนโดยอ้างว่ามี “ผู้ใหญ่” ขอฉีดก่อน อันนี้ฝาก รมว. และท่านผู้ว่าไปสืบสวน แต่ประชาชนเค้าเจอปัญหานี้ด้วยตัวเอง

เชื่อผมสิ ลองนึกภาพ รมว.ต่อคิว ผู้ว่า กทม.ต่อคิว ต่อคิวด้วยการรู้แจ้งว่าท่านทำงานด้วยภาษีพวกเรา ด้วยการรู้ว่าท่าน และเราไม่ต่างกัน

ผมว่านึกเป็นภาพออกมา เลือกตั้งครั้งหน้านี่ได้ใจประชาชนหลายล้านคน มาช่วยกันปรับวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดเยื้อ ขาดประสิทธิภาพ เสียทรัพยากร และมองประชาชนมาทีหลังกันเถอะครับ

 

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4360709553939149&id=100000004424101


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายกฯ ยัน ยังไม่สนับสนุนงบประมาณ 'การบินไทย' จนกว่าจะเดินหน้าตามแผนการฟื้นฟูกิจการ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ที่โรงพยาบาลบุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี จ. นนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ถึงแผนดำเนินการฟื้นฟูการบินไทยว่า ในโซเชียลมีเดียมีการนำเสนอกันเยอะเรื่องของการบินไทย ตนยืนยันว่ายังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาแผน ทำแผน ตนตัดสินใจว่า ช่วงนี้รัฐบาลยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของการจัดทำแผนของผู้บริหารแผนเพื่อให้แผนผ่านตามเจ้าหนี้

"แต่ผมยืนยันอย่างหนึ่งคือ รัฐบาลยังไม่สนับสนุนเงินอะไรให้ทั้งสิ้น ผมจำเป็นต้องพูดอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นก็วุ่นกันไปหมด จนกว่าจะมีการเดินหน้าตามแผน และบริหารแผน อย่าเอาตรงนี้ เป็นตัวชี้ออกไป ผมคิดว่าทุกคนคงไม่อยากให้การบินไทยล้มละลายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน ถ้าไม่ช่วยกันอย่างนี้ทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้อีก" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวยืนยันอีกว่า เมื่อการบริหารแผนเกิดขึ้นและทำได้ตามแผน ค่อยว่ากันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้รัฐบาลถือว่าเป็นการทำงานของผู้บริหารแผน

‘วิษณุ’ เปิดงาน “การอำนวยความยุติธรรมในยุควิถีใหม่ สู่ประชาชน” แนะ ใช้วิกฤตโควิดให้เป็นโอกาส ปรับระบบให้ดีกว่าเดิม เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ปชช. 

วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดงานผ่านระบบประชุมคอนเฟอเรนซ์ หัวข้อ “การอำนวยความยุติธรรมในยุควิถีใหม่ สู่ประชาชน” ครั้งที่18 

โดยนายวิษณุ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตอนที่โควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ ในช่วง 2563 คดีความต่าง ๆ ต้องเลื่อนออกไป และต้องนัดประชุมเพื่อให้ตามเรื่องให้ทัน เรื่องนี้มีผลกระทบไปทั่ว จึงทำให้เกิดคำใหม่ขึ้นมาคือ นิวนอร์มอล หมายถึงวิถีชีวิตใหม่ การระบาดของโควิด-19 ทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกด้านและทุกเรื่อง ต้องปรับปรุงวิธีการทำงาน และปรับปรุงวิธีคิด เพื่อให้เข้ากับการระบาด อะไรที่เคยทำก็ทำอย่างเดิมไม่ได้ ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี หรือศาสนา เช่น การเวียนเทียนออนไลน์ ในบางประเทศทำบุญ เช็งเม้งออนไลน์ เพราะไม่สามารถแออัดได้ หรือแม้แต่การแต่งงาน สิ่งเหล่านี้เข้ามาถึงเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องจัดระบบและเปลี่ยนแปลงใหม่ ในส่วนนี้จึงเกิดปัญหาขึ้นว่าอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลง แล้วจะต้องทำอย่างไร คือจะทำอย่างไรในยุคนิวนอร์มอล และให้ได้ผลเหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม หากทำใหม่แล้วแย่กว่าเดิมก็จะต้องแย่ไปหมด เช่น ความล่าช้าในการทำคดี 

นายวิษณุ กล่าวว่า หากจะได้ให้ผลที่พึงปรารถนาหรือเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อะไรในอดีตที่เคยทำไม่ได้ก็ดีขึ้น เพราะปัจจุบันเราเห็นการเรียนและการประชุมแบบออนไลน์ ประหยัดเวลา ประหยัดการเดินทางไปได้เป็นอันมาก ก่อนหน้านั้นรัฐบาลเคยคิดเรื่องเวิร์กฟอร์มโฮมมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยยุคน้ำมันแพง คือเมื่อหลาย 10 ปีมาแล้ว แต่ก็ทำไม่สำเร็จ พอยุคมีปัญหาทางเศรษฐกิจก็คิดเรื่องเวิร์กฟอร์มโฮมเพิ่มก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อเกิดการเกิดโรคระบาด ทำให้เกิดการเวิร์กฟอร์มโฮมโดยพร้อมเพรียงกัน อะไรที่เคยยากก็ง่าย และก็ทำให้หลายอย่างสามารถเดินหน้าไปได้ ความจริงเรื่องนี้มีตัวอย่างให้เทียบเคียงได้หลายเรื่อง

นายวิษณุ กล่าวว่า บางคนอาจจะพูดว่าดีอยู่แล้วจะปฏิรูปไปทำไม แต่เมื่อเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่แตกทุกคนก็รวมใจกันปฏิรูป ตอนนี้โควิด-19 เป็นวิกฤตก็ทำให้เกิดโอกาส ซึ่งโอกาสแผ่ซ่านไปในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี การจัดการศึกษา แม้กระทั่งการคิดค้นเทคโนโลยีมาใช้ในการประชุมทางไกล นี่ยังไม่รวมที่มีการพูดว่า เพราะโควิด-19 ระบาดทำให้มีการไปคุ้ยเรื่องบ่อนการพนัน แรงงานต่างด้าว และสถานบันเทิงผิดกฎหมาย คือถ้าไม่มีโควิด-19 ขึ้นมาก็คงไปคุ้ยและไปรื้อยาก ความจำเป็นมันเกิดขึ้นโดยไม่มีใครอยากละเว้น นิวนอร์มอลบังคับให้เราต้องทำในกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน แต่ปัญหามีอยู่ว่าเราจะทำอะไรและเราจะทำอย่างไร 

นายวิษณุ กล่าวว่า วันนี้เป็นการดีที่ผู้ใหญ่หลายท่านมาพิจารณาปัญหานี้สิ่งที่เราคิดกันอยู่ในเวลานี้คือประเทศไทยเรามีคณะกรรมการระดับชาติอยู่ชุดหนึ่งที่ชื่อว่า คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เป็นหนึ่งในกรรมการที่สำคัญมากของประเทศ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเพราะในด้านกระบวนการยุติธรรมนั้น คณะกรรมการชุดนี้เป็นเวทีเดียวที่ตำรวจ อัยการ ศาล ทนายความ ราชทัณฑ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือหน่วยงานอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมได้เข้ามานั่งอยู่ในที่เดียวกัน เมื่อทำงานหรือขับเคลื่อนอะไรก็จะทำไปพร้อมกันบนเวทีระดับชาตินี้ สมมติสมัยก่อนเมื่อจัดตั้งศาลขึ้นที่ไหนสักแห่งก็ไม่สามารถตั้งได้โดยง่าย เพราะแม้ศาลพร้อมจะไปจัดตั้งที่จังหวัดนั้น แต่จังหวัดยังไม่พร้อมหรืออัยการ และคุกไม่พร้อม ก็ไปต่อไม่ได้ แต่เวทีนี้คณะกรรมการชุดนี้ทำให้เมื่อจะเปิดศาลตั้งศาลหรือจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมก็จะมีเวทีนี้ที่จะทำให้มาคิดทีเดียว 

"ผมหวังว่าทุกท่านจะช่วยสร้างมิติใหม่ของกระบวนการยุติธรรม เพื่อที่จะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในยุคใหม่ เพื่อให้เขาได้รับความยุติธรรมเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม แม้ว่ากระแส โควิด-19 จะทำให้สถานการณ์ไม่น่าก้าวไปได้ แต่เราเชื่อว่า เราจะสามารถคิดอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ จากเดิมเพราะวิกฤตจะทำให้เกิดโอกาส โดยโอกาสหนึ่งที่เราอยากจะเห็นก็คือโอกาสที่จะประสิทธิ์ประสาทในการอำนวยความยุติธรรม" นายวิษณุ กล่าว

ศ.ดร.กนก แนะ 4 แนวทาง  สร้างความเชื่อมั่น-กางแผนนำเข้าวัคซีนต่อสาธารณะ-เพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีน-ให้คนลงทะเบียนง่าย กำหนดสถานที่และวันเวลาฉีดได้เอง เชื่อ แก้ปัญหาคนไม่อยากฉีดวัคซีนได้

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนวทางการกระจายวัคซีนให้เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึงว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำคือ การสร้างความมั่นใจให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อประโยชน์ของวัคซีนที่จะฉีด ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ตาม เพราะเหตุผลทางการแพทย์สรุปชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนดีกว่าไม่ฉีด นอกจากนี้ยังมีเรื่องการบริหารจัดการว่าจะฉีดอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เนื่องจากยังไม่ชัดเจนจะมีวัคซีนในประเทศไทยเท่าไหร่ เหมือนกับมีสินค้า ถ้ารู้ว่ามีกี่ชิ้นก็จะรู้ว่าจะกระจายขายที่ไหนบ้าง เพราะฉะนั้นโจทย์ข้อแรกต้องตอบได้ชัดเจนก่อนว่า เรามีวัคซีนจริงเท่าไหร่ ต้องกางแผนนำเข้าวัคซีนที่ได้แน่ ๆ พร้อมกำหนดเวลา ให้สาธารณชนรับทราบอย่างเป็นระบบ และสถานที่ฉีดเป็นอย่างไร ซึ่งรัฐบาลกระจายในกทม.ขณะนี้ 25 จุด แต่ยังไม่พอ เราต้องกระจาย ยังต้องเพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

“การลงทะเบียนเพื่อให้ประชาชนฉีดวัคซีน ต้องทำให้ง่ายและสะดวก เช่น ในบางประเทศ ประชาชนแค่คีย์ข้อมูลลงเวปก็สามารถบอกได้เลยว่า ขอเลือกฉีดวัคซีนที่จุดไหน วัคซีนยี่ห้ออะไร แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถเลือกยี่ห้อวัคซีนได้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องให้เขามีโอกาสเลือกสถานที่และวันเวลาฉีดวัคซีนได้ ไม่ใช่ให้เข้าไปลงทะเบียนแล้วต้องคอยการแจ้งกลับว่าจะได้ฉีดวันเวลาไหน ส่วนเรื่องระบบขนส่งวัคซีนไม่มีอะไรน่าห่วง ถ้าเราทำให้การลงทะเบียนเป็นเรื่องง่าย สร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนได้ คนจะมาลงทะเบียนครบตามต้องการ ขอให้บอกให้ได้ว่ามีวัคซีนเท่าไหร่ ฉีดแล้วเท่าไหร่ เมื่อลงทะเบียนกำหนดวันเวลาและสถานที่ที่ต้องการฉีดได้ ทุกอย่างก็เคลื่อนได้” ศ.ดร.กนก กล่าว

รมว.ดีอีเอส สั่งฟ้องนักข่าวไทยพีบีเอสปั่นเฟคนิวส์ ‘สาวอุดรฯ แพ้วัคซีน’ ลุยแจ้งความ สน.ทุ่งสองห้อง เอาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-พ.ร.บ.คอมฯ พบ 1 เดือนนำเสนอข่าวผิด 3 ครั้ง สั่งไล่สอบฟันไม่เลี้ยง ยันไม่เว้นแม้เป็น ‘สื่อ’ เพราะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป

จากกรณีที่สื่อหลายสำนักรายงานข่าวว่า มีหญิงสาวรายหนึ่งที่เข้ารับวัคซีนซิโนแวคที่ จ.อุดรธานี ได้เกิดผลข้างเคียงมีอาการชาทั้งตัว และมีเลือดออกในสมอง แต่มีการแอบอ้างภาพของผู้ป่วยรายหนึ่งที่โรงพยาบาลหนองม่วง จ.ลพบุรี ที่มีอาการแพ้ยา มีผื่นแดงเต็มตัว มาเผยแพร่ควบคู่กันจนเกิดความเข้าใจผิด และผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธไปแล้วนั้น

วันนี้ (12 พ.ค. 64) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กรณีสาวอุดรฯ อ้างแพ้วัคซีน ได้รับรายงานจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) รวมทั้งมีผู้ร้องเรียนเข้ามายังกระทรวงดีอีเอส จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้น ก็พบว่าต้นตอของข่าวดังกล่าวมาจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ รวม 3 ราย ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

โดยได้มอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงดีอีเอสเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘Wadfhan Niphawan’, ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ชื่อ ‘@tuykallaya’ และผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘กะทิ จ้า’ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว แม้ทราบว่า ทั้ง 3 รายได้ลบโพสต์ออกไป และบางรายก็ได้โพสต์ขอโทษไปแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่จะโพสต์หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังต่อสู้กับโควิด-19 ที่เป็นเรื่องความเป็นความตาย

“รัฐบาลได้ยกระดับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ตลอดจนหลายภาคส่วนออกมาร่วมรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน แต่ก็ยังมีขบวนการที่พยายามดิสเครดิต สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” นายชัยวุฒิ ระบุ

นายชัยวุฒิ เปิดเผยด้วยว่า นอกจากนี้ตนได้ตรวจสอบบัญชี ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘กะทิ จ้า’ ซึ่งพบว่าประกอบอาชีพสื่อมวลชน มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยบรรณธิการข่าวเช้า สำนักข่าวไทยพีบีเอส ซึ่งที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่สื่อมวลชนของสำนักข่าวไทยพีบีเอสว่า มีการนำเสนอข่าวผิดพลาดอย่างน้อย 2 ครั้ง

1.) เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นำเสนอข่าวชาวอินเดียเช่าเครื่องบินเหมาลำมายังประเทศไทยเมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย.

2.) เมื่อวันที่ 9 พ.ค. กรณีข่าวประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่เป็นเพียงการคาดการณ์ ผ่านมา ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างผิดสังเกต แล้วยังมีคนระดับบรรณาธิการมาโพสต์ข้อมูลทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนอีก

ทั้งนี้ในช่วงเวลา 1 เดือน สำนักข่าวไทยพีบีเอสนำเสนอข่าวผิดถึง 2 ครั้ง และมีพนักงานนำเฟคนิวส์มาเผยแพร่ จนสื่อมวลชนสำนักอื่น นำข้อมูลดังกล่าวไปผลิตซ้ำ รวมแล้วเกิดเฟคนิวส์ที่มีจุดเริ่มต้นจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส 3 ครั้ง จนทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่น แม้เป็นสื่อมวลชน หากกระทำผิดก็ไม่ละเว้น ยิ่งต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะสื่อมวลชนควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมที่สูงกว่าคนทั่วไป ต้องมีภูมิคุ้มกันที่สูงกว่า และเป็นผู้เสริมภูมิคุ้มกันในการเสพข่าวทางสังคมออนไลน์ให้กับประชาชน เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วต้องมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนการนำเสนอ ไม่ควรปล่อยให้มีการออกข่าวผิดพลาด และบ่อยครั้ง จนมีคำถามถึงเจตนาที่แท้จริงของสำนักงานแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อสาธารณะแห่งนี้

“แม้ที่ผ่านมาสำนักข่าวไทยพีบีเอส จะออกมาขอโทษที่นำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อน แต่ได้สร้างความสับสน และสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย ผมจึงจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการกระทำผิด 3 ครั้ง ภายใน 1 เดือน เป็นวิสัยที่ผิดปกติ และผมเกรงว่าหากไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายจะมีการกระทำผิดครั้งต่อไปเกิดขึ้นอีก” นายชัยวุฒิ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top