Tuesday, 1 July 2025
NEWS

ตำรวจห่วง!! เยาวชนติดซีรีส์ดัง 'Squid Game' เลียนแบบพฤติกรรมรุนแรง

11 ต.ค. 64 - ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ออกมาเตือนการเลียนแบบพฤติกรรมความรุนแรงจากซีรีส์ชื่อดัง Squid Game อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาชญากรรมได้ โดยยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะภาพยนตร์ แต่เป็นนโยบายการสร้างการรับรู้ เพื่อให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลาน 

"หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธ์" ทรงประทานมาลัยกร 9 พวง ในพิธีงานสัตตนาคารำลึก ๒๕๖๔ จังหวัดนครพนม

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธ์ ทรงมีความเลื่อมใสต่อองค์พระพุทธศาสนาเป็นแก่นเเท้ในงานสัตนาคารำลึก ประจำปี ๒๕๖๕ (จัดการภายใน) ทรงประทาน "มาลัยกร  9 พวง" เพื่อถวายบูชาองค์สัตตนาคา/นาโคทั้ง 7 ที่สถิตย์รักษาองค์พระธาตุพนม เเละพร้อมด้วยเชิญผ้าไตรประทานถวายเเด่ "พระเทพวรมุนี" เจ้าอาวาส วัดพระธาตุพนม ที่ปรึกษาเจ้าคณะตภาค 10 โดยทรงโปรดให้ "ดร.พนธ์พันธ์เลิศจันทรางกูร" (ผู้ช่วยเลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธ์) เป็นผู้แทนองค์เชิญไปในการพิธี งาน "สัตตนาคารำลึก 2564"  เพื่อนำเชิญถวาย ณ พระตำหนักสัตตนาคา วัดพระธาตุพนม ตำบาลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564 โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธาน และหัวหน้าส่วราชการในจังหวัดประชาชนเข้าร่วมในพิธีอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ด้วย 

ชาวบ้านปลื้ม นายก สั่ง รมว.เฮ้ง จัดโครงการ DSD จิตอาสาเพื่อสังคม สร้างสุขาลอยน้ำ บรรเทาทุกข์อุทกภัยทั่วไทย

กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดโครงการ DSD จิตอาสาเพื่อสังคม สร้างสุขาลอยน้ำ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทยอยส่งช่วยในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ลพบุรี จ.ชัยนาท จ.ขอนแก่น จ.อ่างทอง และ จ.นครปฐม

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีส่งมอบ สุขาลอยน้ำเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 5 หลัง จังหวัดลพบุรี จำนวน 1 หลัง จังหวัดชัยนาท จำนวน 2 หลัง และจังหวัดนครปฐม ณ บริเวณชั้น 1 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีดังกล่าว โดยนายสุชาติ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือแรงงานและพี่น้องประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน และร่องมรสุมทำให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง เป็นการเร่งด่วน

จากสถานการณ์อุทกภัยดังกล่าว กระทรวงแรงงานได้มีมาตรการ ฟื้นฟูเยียวยาภายหลังน้ำลดแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน และผู้ประสบภัย จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน จัดโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือ สนับสนุนค่าตอบแทน รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ฝึกอาชีพเพื่อให้ประชาชนมีรายได้อย่างต่อเนื่อง กรมการจัดหางาน ให้บริการจัดหางานและส่งเสริมการประกอบอาชีพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้คำปรึกษาด้านสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม ดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัยเรื่องสิทธิประกันสังคม จัดทีมแพทย์และพยาบาลร่วมกับโรงพยาบาลในเครือข่ายให้บริการตรวจสุขภาพในเบื้องต้น และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดโรงครัวจิตอาสาจัดท้ำข้าวกล่อง ตรวจสอบความปลอดภัยของสายไฟภายในบ้าน บริการซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ และเครื่องมือทางการเกษตร

ทั้งนี้ หน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) จัดกิจกรรมโครงการ DSD จิตอาสาเพื่อสังคม สร้างสุขาลอยน้ำเพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย จำนวนทิ้งสิ้น 77 หลัง ซึ่งในวันนี้จะส่งมอบไปช่วยเหลือในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และชัยนาท รวมจำนวน 10 หลัง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากเครือข่ายพัฒนาฝีมือแรงงาน อาทิ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด มูลนิธิเอสซีจี ได้มอบ สุขภัณฑ์เคลื่อนที่ จ้านวน 300 ชุด บริษัท หิรัญ เอส เสวี จำกัด บริษัท แวนด้าแพค จำกัด มอบเรืออเนกประสงค์ ไฟเบอร์กลาส จำนวน 50 ลำ และบริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด มอบสุขภัณฑ์เพื่อนำไปจัดทำสุขาลอยน้ำ จำนวน 60 ชิ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย

อดีตรองอธิการมธ. โต้เฟกนิวส์ 3 นิ้ว! ร่ายยาวเปิดความจริงกรณีสวรรคต 'ร.8'

11 ต.ค. 64 - รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า วันที่ 13 ตุลาคมที่จะถึงนี้ จะเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวง ร.9 ของปวงชนชาวไทย

ไม่ทราบว่ารัฐบาลจะจัดพิธีรำลึกถึงพระองค์ท่านอย่างไรบ้าง ส่วนประชาชนทั่วไปก็คงจะทำบุญ ตักบาตร ถวายเป็นพระราชกุศล ใน social media ก็คงจะมีการโพสต์พระบรมฉายาลักษณ์ และข้อความเทิดพระเกียรติกันอย่างเนืองแน่น และแน่นอนว่าในเพจของสำนักข่าวต่างๆ ก็จะโพสต์เรื่องราวของพระองค์กันแทบทุกเพจ

เพจของสำนักข่าวต่างๆ ที่อยู่ในค่ายของกลุ่ม 3 นิ้ว ที่ผูกขาดเรียกตัวเองว่าเป็นสื่อประชาธิปไตย ก็คงจะโพสต์พระบรมฉายาลักษณ์และเรื่องราวของพระองค์กันทุกสำนัก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าสำนักข่าวเหล่านี้ ในโอกาสทำนองนี้ทุกครั้ง มักเลือกมุมที่เหมือนกับเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้ติดตามเข้ามาแสดงความเห็นที่เป็นลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

กระนั้น การแสดงความเห็นที่เป็นลบต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็มักจะวนเวียนอยู่กับเรื่อง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือกรณีสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เรื่องที่ 2 คือเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ก่อให้เกิดโครงการตามพระราชดำริต่างๆ ว่าเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินเพียงเพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ และไม่ได้ประโยชน์จริงต่อประชาชนที่เดือดร้อนแต่อย่างใด และยังมีการกล่าวหาว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือ propaganda อีกด้วย

ในโอกาสนี้จึงใคร่ขอนำไปสำรวจข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยขอเริ่มที่ กรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลก่อน

การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ขณะนั้นเป็นรัฐบาลของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ ในวันสวรรคต รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ฉบับแรกว่าสาเหตุของการสวรรคตเป็นอุบัติเหตุ จากอาวุธปืน

ในการสอบสวนชันสูตรพระบรมศพในชั้นแรกมิได้ทำอย่างละเอียด แพทย์ประจำพระองค์ หลวงนิตย์เวชวิศิษฐ์ เป็นแพทย์ที่ถูกตามมาเป็นคนแรก ได้ทำความสะอาด เช็ดพระโลหิต และได้พบบาดแผลเหนือคิ้วซ้าย และได้ทำความสะอาดบาดแผล ซึ่งลักษณะเป็นรอยแฉก 4 แฉก จึงทำความสะอาดบาดแผล และเย็บแผลให้ติดกัน โดยไม่พบรอยกระสุนออกแต่อย่างใด 

ต่อมา รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2489 มีประธานศาลฏีกาเป็นประธาน และมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นเลขานุการ คณะกรรมการได้อนุญาตให้ประชาชนเข้าฟังการสอบสวนได้ ชาวบ้านจึงเรียกคณะกรรมการสอบสวนชุดนี้ว่า "ศาลกลางเมือง"

ในวันเดียวกัน อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ได้เชิญคณะแพทย์มาร่วมเป็นกรรมการชันสูตรพระบรมศพ มีพลตรี พระยาดำรงแพทยาคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นประธาน

ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 10 มิถุนายน ขณะทำการเช็ดพระวรกาย นายแพทย์ หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ ได้พบรูกระสุนขนาด 1 นิ้ว ที่พระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) ซึ่งพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าเป็นรูกระสุนออกจริง และต่อมาคณะกรรมการแพทย์กับคณะกรรมการสอบสวนจึงได้ทำการตรวจ และชันสูตรพระบรมศพอย่างละเอียดในวันที่ 21 มิถุนายน 2489 และได้มีการทดลองยิงศพต่างๆ ณ ห้องตรวจศพ โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 22 มิถุนายน

ในการประชุมวันที่ 23 มิถุนายน คณะแพทย์ลงความเห็นว่า สาเหตุของการสวรรคตเป็นไปได้ 3 ประการคือ 1.) อุบัติเหตุ 2.) ปลงพระชนม์เอง 3.) ถูกลอบปลงพระชนม์

จากการสอบปากคำของผู้ที่เกี่ยวข้อง และอยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดของศาลกลางเมือง สรุปพอสังเขปได้ว่า

1.) หลังจากเสด็จประพาสสมุทรสาคร จังหวัดถวายเลี้ยงอาหารทะเล ผู้ที่กินปูทะเลมีอาการท้องเดินทุกคนพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลก็เช่นกัน ทรงประชวรพระนาภี (ท้อง) มาก วันที่ 8 มิถุนายน แพทย์จึงถวายน้ำมันละหุ่ง และพระโอสถออบตาลิดอน

2.) เช้าวันที่ 9 มิถุนายน เวลาประมาณ 5 น.เศษ สมเด็จพระราชชนนี พร้อมด้วยมหาดเล็กรับใช้อีก 2 คน เสด็จไปยังห้องบรรทม ทรงปลุกและถวายน้ำมันละหุ่ง นมสด และน้ำอุ่น จากนั้นบรรทมต่อ 

3.) เวลาประมาณ 8 น. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กเฝ้าหน้าห้อง เห็นว่าทรงตื่นบรรทม เสด็จออกจากห้องสรง จึงนำน้ำส้มคั้นไปถวาย พระเจ้าอยู่หัวโบกพระหัตถ์ไม่เสวย แล้วเสด็จขึ้นแท่นบรรทม

4.) เวลาประมาณ 9 น. สมเด็จพระอนุชาเสด็จมาหน้าห้องแต่งพระองค์ พระเจ้าอยู่หัว รับสั่งถามอาการจากนายบุศย์ ปัทมศริน และนายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กหน้าห้อง ทั้งคู่ทูลตอบว่าทรงสบายขึ้น ขณะนี้บรรทมต่อ สมเด็จพระอนุชาจึงเสด็จไปที่ห้องพระราชชนนี จากนั้นเสด็จประทับอยู่ที่ห้องเครื่องเล่น ซึ่งอยู่ติดกับห้องบรรทมของพระองค์

5.) เวลาประมาณ 9.30 น. มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด นายชิตได้ยินแต่ไม่แน่ใจว่าเสียงมาจากไหน ประมาณ 2 นาทีจึงเข้าไปในห้องบรรทม นายบุศย์คงรออยู่หน้าห้อง นายชิตให้การว่า เห็นพระเจ้าอยู่หัวบรรทมเหมือนปกติ แต่เห็นโลหิตเปื้อนพระศอและพระอังสา (ไหล่) ซ้าย นายชิตวิ่งไปที่ห้องพระบรรทมสมเด็จพระราชชนนี กราบทูลว่า ในหลวงยิงพระองค์ แต่ปรากฏความจริงในภายหลังว่า นายชิตเองไม่ได้เห็นเหตุการณ์เนื่องจากเข้าไปหลังได้ยินเสียงปืน 

6.) นางสาวจรูญ ตะละภัฏ ข้าหลวงของสมเด็จพระราชชนนี กำลังทำงานให้ห้องบรรทมของสมเด็จพระอนุชา ได้ยินเสียงปืน เสียงวิ่งและเสียงกราบทูลของนายชิต จึงวิ่งออกมาผ่านห้องเครื่องเล่น สมเด็จพระอนุชาประทับอยู่ห้องเครื่องเล่น ได้ยินเสียงคนวิ่ง เสียงสมเด็จพระราชชนนีกรรแสง จึงเสด็จออกจากห้องเครื่องเล่น พอดีได้พบกับนางสาวจรูญ จึงรับสั่งถามว่า "เกิดอะไรกัน" นางสาวจรูญกราบทูลไปตามที่ได้ยินจากนายชิต สมเด็จพระอนุชาจึงทรงรีบเสด็จตามไปยังห้องพระบรรทม

7.) สมเด็จพระราชชนนีเสด็จถึงก่อน นายชิตแหวกพระวิสูตร (มุ้ง) เห็นพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหงายอยู่ในท่าหลับธรรมดา นางสาวเนื่อง จินตดุลย์ พระพี่เลี้ยง ตามเข้าไป เห็นสมเด็จพระราชชนนีอยู่ปลายพระแท่น โถมกอดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหงายอยู่บนพระยี่ภู่ (ที่นอน) พระเศียรหนุนพระเขนยเอียงไปทางขวาเล็กน้อย มีผ้าคลุมจากพระบาทถึงพระอุระ พระกรทั้ง 2 ข้างเหยียดไปอย่างธรรมดา พระหัตถ์ไม่งอ พระพักตร์มีพระโลหิตไหลเปื้อนเปรอะ พระเนตรปิดสนิท ไม่ได้ทรงฉลองพระเนตร นางสาวเนื่อง เป็นผู้ที่เห็นปืนวางอยู่บนบนผ้าคลุมบริเวณข้อศอกซ้าย ใกล้ๆ พระกร หันปากกระบอกปืนไปยังปลายพระบาท จึงใช้นิ้วชี้มือขวา กับนิ้วหัวแม่มือ จับกลางตัวปืนไปวางไว้บนตู้ด้านซ้ายมือ

8 ความสำเร็จ สะท้อนพฤติกรรมมุ่งมั่นแบบจีน 'ก่อนเขาจะรวย' ทำตัวกันแบบไหน? 

คนไทยจำนวนมากยังมีค่านิยม “เจ้าคนนายคน” อยากรวยง่าย รวยเร็ว มีชีวิตหรูหรา แต่ไม่ทำชีวิตให้ไปถึงจุดนั้น ต่างกับอุปนิสัย และพฤติกรรมตอน “ก่อนจะรวย” ของคนจีน ข้อความจาก 'นายพงศ์พรหม ยามะรัต' ที่ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก และยังกล่าวต่ออีกว่า... 

เกือบๆ 5 ปีก่อน ผมบอกว่า mi หรือ Xiaomi (เสี่ยวมี่) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีมาก และวันนึงจะมาครองตลาดไทย

มีแต่คนหัวเราะเยาะผม!! 

หลายๆ คนพูดเยาะเย้ยว่า “เสี่ยวเอ้อราคาถูกๆ นั่นหนะเหรอ?”

ผมพูดเสมอว่าจีนเจริญได้เพราะขยัน หมั่นศึกษา หมั่นพัฒนา “ตนเอง”

แต่ไทยเรามักจะติดกับตัวเองในการ “วิจารณ์คนอื่น” ไปเรื่อย แต่ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่ลงมือทำ

จนผมได้พบกับรองประธาน Xiaomi ตัวเป็นๆ ตั้งแต่พูดคุย จนถึงทานข้าว ผมพบวัฒนธรรม... 

“ขยันเพื่อทำสินค้าให้ดีที่สุดเพื่อลูกค้า” 

ผมมั่นใจเลยว่าเขาจะครองโลก!! 

คนจีนมีความอยากรวยเหมือนคนไทย

แต่สิ่งที่ต่างกันคืออุปนิสัย และพฤติกรรมตอน “ก่อนจะรวย”

นิสัย “ก่อนจะรวย” นี่แหละครับ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในไทย

คนจีนไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ ก่อนจะรวยนั้นมีนิสัยคล้ายๆ กันหลายอย่าง ดังนี้... 

1.) ประหยัด แต่ไม่ขี้เหนียวในการพัฒนาตัวเอง

2.) จัดการการเงินดี มี 10 บาท ใช้ 2 บาท 

ชื่นชอบของแบรนด์เนม แต่ไม่ซื้อของแบรนด์เนมมาแข่งกัน เพราะมองว่าต้องประสบความสำเร็จซะก่อน 

เด็ก Startup ในจีนที่ผมรู้จักเยอะมาก จะไม่กิน Starbucks ก่อนจะรวยเด็ดขาด พวกเค้าจะเลือกทานกาแฟดีของท้องถิ่นที่ราคาไม่ต้องแพง แล้วเก็บเงินเพื่อลงทุนในการพัฒนาตัวเอง หรือหุ้น หรือลงทุนกิจการในอนาคต

3.) ใครซื้อของแบรนด์เนม เห่อซื้อรถราคาแพง โดยยังไม่ประสบความสำเร็จในการทำกิจการ จะไม่ได้รับการยอมรับ

4.) สังคมจีนให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่จับต้องได้ ไม่ใช่เขียนอะไรสวยๆ พูดดูดีๆ ขับรถแพงๆ แต่ต้องเปิดร้านบะหมี่ที่อร่อยจริง มีลูกค้ามาต่อคิว ไปจนถึงทำ Startup คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

5.) สังคมจีนไม่ยึดติด และฝันอยู่กับความสำเร็จในอดีตหรือปัจจุบัน

นายกฯ เปิดงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021 “พลิกโฉมประเทศ” วางเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ยกร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคลุมประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกมิติ

นายกฯกล่าวปาฐกถาพิเศษ “บทบาทผู้นำ มุ่งสู่การลงมือแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)” เปิดงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021 “พลิกโฉมประเทศ” วางเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ยกร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคลุมประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกมิติ

ณ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน  Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021 ภายใต้หัวข้อ “บทบาทผู้นำ มุ่งสู่การลงมือแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Leadership for Climate Actions)” ผ่านระบบการประชุมทางไกล  โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรสมาชิก GCNT 74 องค์กรในประเทศไทยจากภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม เข้าร่วมงาน ภายหลังเสร็จสิ้น นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ซึ่งมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ ที่ผ่านมายังได้มอบสัตยาบันสารเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสให้กับเลขาธิการสหประชาชาติด้วยตนเองเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเวทีสหประชาชาติได้ใช้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีสเป็นแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน โดยไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ตลอดจนหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา climate change

โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการลดและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูงเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตและพฤติกรรมการบริโภค ที่ผ่านมาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าบางประเภทแล้ว อาทิ กรณีการต่อต้านน้ำมันปาล์มที่ผลิตในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ในสหภาพยุโรป (อียู) และปัจจุบัน อียูอยู่ระหว่างร่างระเบียบมาตรการการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 ครอบคลุมสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม และมีแนวโน้มที่จะขยายไปยังสินค้าอื่น ๆ ในอนาคต ขณะเดียวกัน เริ่มมีกระแสในสหรัฐฯ และแคนาดาที่อาจพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นโอกาสที่ไทยจะ “พลิกโฉมประเทศ” สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า เน้นการเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สร้างพลวัตใหม่ให้แก่เศรษฐกิจ และจะเป็นประโยชน์สำหรับภาคธุรกิจทุกขนาด ทั้งนี้ไทยต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จากกองทุนระหว่างประเทศ และประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการทวิภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ และโครงการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมา ไทยได้ประโยชน์จากโครงการกลไกเครดิตร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2558 และกำลังพิจารณาขยายความร่วมมือไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ สวิตเซอร์แลนด์

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงภาคเอกชนไทยจำเป็นต้องปรับตัว แม้การปรับตัวจะมีค่าใช้จ่าย แต่การไม่ปรับตัวจะทำให้มีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าในระยะยาวซึ่งภาคเอกชนไทยหลายบริษัทเริ่มปรับตัวแล้ว โดยรัฐบาลให้คำมั่นว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำซึ่งกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ในปี 2573 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุดภายในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ โดยภาคพลังงานและขนส่งยังคงเป็นภาคส่วนหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพลังงาน ได้จัดทำเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2065 ด้วย ได้บรรจุประเด็น climate change ในนโยบายระดับประเทศ ภายใต้กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยมีหมุดหมายที่สำคัญ คือ หมุดหมายที่ 10 การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ และหมุดหมายที่ 11 การลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็น 2 หมุดหมายที่ตอบสนองต่อประเด็น climate change โดยตรง ขณะเดียวกัน รัฐบาลอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกมิติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยต่อยอดจากหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาทิ รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ 100 ล้านต้นภายในปี 2565 และขอเชิญชวนภาคเอกชนมีส่วนร่วมในโครงการนี้ รวมทั้งการริเริ่มโครงการอื่น ๆ ที่มุ่งใช้จุดแข็งในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรธรรมชาติของไทยและส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับตัวตามทิศทางบรรทัดฐานใหม่ ๆ ในเวทีระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมา รัฐบาลช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมทำความเย็นในการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอนที่ทำลายชั้นบรรยากาศและปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และผลักดันเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยสามารถเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและเปลี่ยนผ่านไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด รวมทั้งมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2578

“มูลนิธิเมาไม่ขับ” ร้อง “กมธ.กฎหมายฯ” แก้ไขบทลงโทษเมาแล้วขับ จี้ สอบคดีเมาแล้วชน 2 ผัวเมียพร้อมลูกน้อยที่ศรีสะเกษ ด้าน “สิระ” ลั่น ถึงเวลาทำให้คนเมาแล้วขับเป็นฆาตกร 

ที่รัฐสภา นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขามูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมเหยื่อเมาแล้วขับ ยื่นหนังสือถึงนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้กมธ.ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาแก้ไขบทลงโทษในฐานะความผิดเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขอให้ติดตามตรวจสอบคดีเมาแล้วขับในพื้นที่จ.ศรีสะเกษ

โดย นพ.แท้จริง กล่าวว่า จากความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรง ทั้งความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ ชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งในทุกปีจะมีคนไทยเสียชีวิตบนท้องถนนประมาณ 19,000 คน บาดเจ็บราว 1 ล้านคน มีผู้พิการไม่น้อยกว่า 60,000 คน ซึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมการเมาแล้วขับ ขณะเดียวกันบทลงโทษทางกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถหยุดยั้งพฤติกรรมผู้ที่เมาแล้วขับได้ มูลนิธิเมาไม่ขับ จึงขอให้กมธ.พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำการศึกษาเพื่อแก้ไขบทลงโทษฐานความผิดเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจากความผิดฐานประมาท และขอให้แก้ไขเป็นการขับขี่ที่มีอันตรายร้ายแรงเล็งเห็นผลได้ว่าจะเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต บาดเจ็บและพิการไต้

นพ.แท้จริง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ขอให้กมธ.ติดตามตรวจสอบคดี นายราเมศ มาด้วง อายุ 47 ปี เมาสุรา ขับรถชนนายสมปอง ลุนลา และน.ส.ยุวดี พลเยี่ยม 2 สามีภรรยาเสียชีวิตพร้อมกับบุตรชายอายุ 1 ขวบ และมีบุตรหญิง 3 ขวบ บาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 64 ที่ สภ.เมืองจันทร์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งหลังขับรถชนแล้ว รถปิคอัพได้ลากรถมอเตอร์ไซค์พร้อมกับร่างคนติดใต้ท้องรถไปไกลกว่า 200 เมตร หลังจากนั้นได้หยุดรถเพื่อดึงซากรถจักรยานยนต์ออกจากใต้ท้องรถ และพยายามขับหลบหนีต่อ แสดงให้เห็นเจตนาจะหลบหนีไม่ลงมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องของความประมาท น่าจะต้องดำเนินคดีว่ามีเจตนาทำร้ายผู้อื่นส่งผลให้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

รมว.เฮ้ง มอบ จักรเย็บผ้าช่วยเหลือผู้เดือดร้อนด้านอาชีพ จ.ชลบุรี ให้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้

นายสุชาติ ชมกลิ่น  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบจักรเย็บผ้า จำนวน 2 หลัง ให้แก่นางพรรณี เผือกหอย เนื่องจากที่มีผู้เดือดร้อนด้านการประกอบอาชีพในโอกาสเป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้งานประกันสังคมมาตรา 40 ณ บริเวณชายหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์  เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

โดย นายสุชาติ กล่าวว่า การมอบจักรเย็บผ้า จำนวน 2 หลัง ให้แก่ผู้เดือดร้อนด้านการประกอบอาชีพ
ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพรับงานไปทำที่บ้าน เนื่องจากที่มีผู้เดือดร้อนด้านการประกอบอาชีพได้ร้องขอความช่วยเหลือมายังกระทรวงแรงงาน ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและแรงงานนอกระบบที่มีความเดือดร้อนด้านอาชีพ และสั่งการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือโดยการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อให้มีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้อย่างยั่งยืน ผมจึงได้มอบหมายให้ สำนักงานจัดหางานจังหวัดชลบุรี โดยนายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ ได้ลงพื้นที่ ไปพบนางพรรณี เผือกหอย บ้านเลขที่ 166/ 117 ชอย 19 ถนนบางแสนสาย 2 ต.แสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เพื่อประสานงานและพบว่าผู้เดือดร้อนและครอบครัวประกอบอาชีพเย็บผ้าส่งตามคำสั่งซื้อจากเดิมมีรายได้เดือนละ ประมาณ 20,000 บาท แต่ประสบปัญหาด้านสุขภาพเส้นเลือดในสมองตีบ จึงทำให้ต้องขายจักรเย็บผ้า และอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ

'ชมรมแพทย์ชนบท' เตือนระบาดระลอกใหม่ ชี้!! ผลตรวจ ATK พุ่ง - คลัสเตอร์ใหม่ผุดเพียบ

เพจเฟซบุ๊ก ชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์โควิด-19 จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้งแล้ว โดยระบุว่า โปรดให้ความสนใจ และตื่นตัว ระมัดระวัง

วันนี้ (10 ต.ค.)บวกเพิ่ม 10,817 ราย แต่ดูให้ดีๆ…การตรวจหาเชื้อมี 2 วิธี วิธีมาตรฐาน RT-PCR พบผู้ติดเชื้อ 10,817 ราย แต่ข้างล่างยังตัวเลขการตรวจด้วย ATK พบเชื้ออีก 10,055 ราย รวมแล้วเป็นกว่า 2 หมื่นราย ในจำนวน ATK บวก ไม่ได้ตรวจยืนยันด้วย rt-pcr ทุกราย จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังขาขึ้นอีกครั้งอย่างชัดเจนแล้ว 

ผู้ป่วยหนักยังร่วม 3 พันราย ถือว่ายังไม่ลด ซึ่งสอดคล้องจำนวนผู้ติดเชื้อ ปกติป่วยสีแดงราว 10% หากคำนวณ 3,000 รายนี้กลับไป เราน่าจะมีผู้ติดเชื้อราวไม่ต่ำกว่าวันละ 30,000 คน ในขณะที่ยอดการตรวจเชิงรุกลดลง หากตรวจมากขึ้นในหลายพื้นที่อัตราการติดเชื้อในชุมชนสูงมาก กว่าร้อยละ 20 โควิดกำลังขาขึ้น พื้นที่สีแดงกำลังขยาย ภาระการควบคุมโรคได้กลายเป็นของวิชาชีพสุขภาพในกระทรวงสาธารณสุขโดยสมบูรณ์แล้วอีกครั้ง

'ระบบสาธารณสุขไทย' ยืน 1 ในอาเซียน พร้อมพ่วง 'อันดับ 13 ของโลก'

ระบบสาธารณสุขไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ 

ล่าสุดจากการจัดอันดับประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลกประจำปี 2021 สำรวจโดยนิตยสาร CEOWORLD ที่ได้รวบรวมข้อมูลจาก 89 ประเทศทั่วโลกนั้น ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน 

ซึ่งผลคะแนนที่นำมาใช้ในการจัดอันดับ มีเกณฑ์การประเมินคุณภาพของระบบสาธารณสุขในหลากหลายมิติ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานโดยรวมของระบบสาธารณสุขในแต่ละประเทศ คุณภาพของทีมบุคลากรการแพทย์ ศักยภาพในการบริหารองค์กร คลังเวชภัณฑ์ที่มีอย่างเพียงพอ และความพร้อมของรัฐบาล 

นอกเหนือจากนี้ ยังมีปัจจัยปลีกย่อยอื่นๆ ที่นำมาใช้ประกอบการพิจารณาอีก เช่น สิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัยภายในโรงพยาบาล การเข้าถึงน้ำสะอาด การบังคับใช้กฎหมายสำหรับสถานพยาบาล ซึ่งผลคะแนนเฉลี่ยรวมของประเทศไทยอยู่ที่ 59.52 ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศชั้นนำอย่าง เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์ หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่อยู่ในอันดับที่ 30 

ผบ.ฉก.ตชด.44 คนใหม่ ตรวจเยี่ยมกำลังพล เน้นย้ำให้กำลังพลห้ามยุ่งเกี่ยวเรื่องอบายมุข - การพนัน - ยาเสพติด และห้ามสร้างเงื่อนไขในพื้นที่!!

พ.ต.ท.จาริพัฒน์ ทองแดง ผบ.ฉก.ตชด.44 เดินทางตรวจเยี่ยมกำลังพล เจ้าหน้าที่ ตชด. ชป.พิทักษ์เขื่อนบางลาง ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติหน้าที่ ในโอกาสที่มารับตำแหน่ง ผบ.ฉก.ตชด.44  รวมถึงรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่และปัญหาต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานของของกำลังพลเจ้าหน้าที่ ตชด. พร้อมเน้นย้ำกำชับกำลังพลห้ามยุ่งเกี่ยวเรื่องอบายมุข การพนัน ยาเสพติด และห้ามสร้างเงื่อนไขในพื้นที่ ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังไม่ประมาทเข้มแข็ง สามารถตอบโต้เมื่อมีเหตุได้ทันที

จากนั้นได้เยี่ยมชมการฝึก ของข้าราชการตำรวจใหม่ ที่มาปฏิบัติหน้าที่ประจำ ชป.พิทักษ์เขื่อนบางลาง ในการบำรุงรักษาเครื่องเรือ 40 แรงม้า การบำรุงรักษาเครื่องเรือและส่วนควบเรือ 140 แรงม้า การขับขี่เรือท้องแบน การขับขี่เรือตรวจการ ซึ่งวิชาต่าง ๆ เหล่านี้ เจ้าหน้าที่ ตชด.ชป.พิทักษ์เขื่อนบางลาง ต้องใช้เป็นประจำในขณะตรวจตราทางน้ำ ในการรักษาความสงบ ความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชานที่อาศัยอยู่ติดกับลำน้ำเขื่อนบางลาง

 

“โคก หนอง นา โมเดล” ง่าย ๆ แต่ยั่งยืน | MEET THE STATES TIMES EP.28

 ???? “โคก หนอง นา โมเดล” ง่าย ๆ แต่ยั่งยืน
???? ปรัชญาพึ่งพาตนเอง! ต้นแบบของเกษตรกร – เกษตรกรรมแบบยั่งยืน ตามรอยศาสตร์พระราชา 

???? ในรายการ MEET THE STATES TIMES ข่าวคุยเพลิน

???? ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

“นิพนธ์” ชี้!! ท้องถิ่น คือหน่วยงานหลัก ช่วยลดสถิติอุบัติเหตุฯ เร่งสร้างความร่วมมือบูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ปลูกจิตสำนึกวินัยจราจร ตั้งเป้าลดความสูญเสียทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 10 ตุลาคม 2564 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมมอบนโยบาย โครงการความปลอดภัยทางถนน "สงขลาเมืองต้นแบบ" พัฒนากลไกจัดการความปลอดภัยทางถนน จากจังหวัดสู่อำเภอ และตำบล โดยมี นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา นายอำเภอทั้ง 16 อำเภอ หน.สนง.ปภ.สงขลา ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องถิ่นจังหวัด ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ ณ อาคารศรีเกียรติพัฒน์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา

โดยที่จังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดใหญ่ของภาคใต้และมีศักยภาพในด้านต่างๆอย่างสูง แต่ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางถนน ยังเป็นอุปสรรคส่วนหนึ่งจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูงและได้รับผลกระทบความสูญเสียมากขึ้นในด้านชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคง ทางถนนให้เป็นรูปธรรมโดยความมุ่งหวังที่จะสร้างเมืองสงขลาเป็นต้นแบบของการบูรณาการดำเนินการในการลดอุบัติเหตุทางถนน ให้เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วน และให้มีการขับเคลื่อนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มศักยภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่จะสร้างแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย นำไปเป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนต่อไป

นายนิพนธ์ รมช.มท. กล่าวว่า  วันนี้อุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้เป้าหมายด้านความปลอดภัยทางถนน เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ภายในปีพ.ศ. 2573

โดยตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ลงร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573 ดังนั้น การรณรงค์เรื่องความปลอดภัยทางถนน จึงเป็นวาระมีความสำคัญระดับโลก รายงานสถานการณ์โลกด้านความปลอดภัยทางถนนขององค์การอนามัยโลก ประมาณการอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อแสนประชากรในประเทศไทยปี พ.ศ. 2559 ยังอยู่ในระดับสูงถึง 32.70 มากกว่า 22,000 คนต่อปี แม้ว่าจะมีการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องปัญหาอุบัติเหตุ จากการใช้รถใช้ถนน ของประเทศไทย ก็ยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ ของประเทศ จากสถิติที่ผ่านมาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ความไม่เข้มงวดในการบังคับใช้กฏหมาย และปัญหาทางกายภาพของโครงสร้างพื้นฐานของถนน ปัญหาการเสียชีวิตที่เกิดจากรถจักรยานยนต์ก็ยังเป็นโจทย์ที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย"

รมช.มท.กล่าวต่ออีกว่า สำหรับปี พ.ศ. 2564 รัฐบาล โดย ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้กำหนดประเด็นเร่งด่วน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในระดับพื้นที่ โดยใช้กลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อบูรณาการการขับเคลื่อนการดำเนินงาน และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพหลักในการลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ เพื่อลดความสูญเสียและผลกระทบที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างแท้จริง โดยเป้าหมายหลักคือ ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน โดยใช้ ,Songkhla Model  หรือสงขลาต้นแบบ ในการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสานความร่วมมือกัน

เร่งเดินหน้า “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ครองแชมป์โลกยางพารา!! “อลงกรณ์” ปักหมุด 7 กลยุทธ์รุกตลาดน้ำยาง 5 หมื่นล้าน เพิ่มรายได้เกษตรกร อัพเกรด กยท.เป็นองค์กรระดับโลก!!

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางกล่าววันนี้(10ต.ค)ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินนโยบายบริหารจัดการยางพาราสินค้าเกษตรที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งมีเกษตรกรผู้ปลูกยางจำนวน 1.83 ล้านราย ครอบคลุมพื้นที่ 24.76 ล้านไร่ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยได้บูรณาร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง โดยมีการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนนโยบายพิจารณาแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการตลาดยางพารา โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่าง ผู้ซื้อ และผู้ขาย ประกอบด้วย ตลาดกลางยางพารา การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) 8 แห่ง ตลาดซื้อขายออนไลน์ และตลาดยางพาราท้องถิ่น รวมทั้งการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางด้านรายได้ในภาวะช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการลดผลกระทบจากวิกฤติโควิด19ด้วยการขับเคลื่อนโครงการประกันรายได้ชาวสวนยางตลอดจนการสร้างกลไกและกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการรักษาเสถียรภาพราคา และเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

การขับเคลื่อนนโยบายตลาดเชิงรุกโดยการให้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ทูตเกษตรประจำอยู่ต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (EU) ร่วมกับทูตพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ ตามโมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตได้ผนึกกำลังกันส่งเสริมการตลาดยางพาราในประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ พร้อมกับติดตามและรายงานข้อมูลสถานการณ์การนำเข้าและส่งออก สินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพาราไทย และสภาวะแวดล้อมด้านการค้าการแข่งขัน รวมทั้งการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะโอกาสทางการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ ถือได้ว่า เป็นการปรับมิติของกลยุทธ์การตลาดยางพารา โดยขับเคลื่อนร่วมกับการยางแห่งประเทศไทยเป็นกลไกขับเคลื่อนพัฒนาตลาดยางพาราในต่างประเทศ ทั้งในตลาดเก่า และการเปิดตลาดใหม่โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (Market Share)และขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางทุกชนิด

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ ดำเนินการเร่งดำเนินการจัดตั้ง”ตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริงของยางพารา”โดยกยท. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.พร้อมกันนั้นก็เร่งส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยส่งเสริมการลงทุนโรงงานผลิตถุงมือยาง รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ในยุคนิวนอร์มอล จากผลกระทบของโควิด-19

รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการผลิตการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพาราโดยร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ในงานด้านวิจัยและพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เน้นเทคโนโลยีเมดอินไทยแลนด์(made in Thailand)

พร้อมทั้งร่วมมือกับภาคเอกชนเช่นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้คณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กรกอ.)ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยางพารา เช่น “โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรม” และโครงการเกษตรแม่นยำ2ล้านไร่สู่ธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรยุคใหม่(Big Brothers)

รวมถึงข้อริเริ่มใหม่ ๆ เช่นโครงการ Rubber Valley ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (suitability and development of the rubber industry in Nakhon Si Thammarat Province) ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor) ของรัฐบาลสู่การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร ครอบคลุมทั้งกิจกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มยางพาราทั้งระบบ

วิกฤตโควิด-19 เป็นปัญหาและโอกาสที่ท้าทายประเทศไทยซึ่งข้อมูลและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อไปนี้คือคำตอบว่าเรามีศักยภาพมากแค่ไหนและเดิมพันก็สูงมากแต่ก็คุ้มค่าสำหรับอุตสาหกรรมยางพาราโดยเฉพาะน้ำยางข้น ยางพาราโลกปี2563 ไทยเบอร์ 1 ผลผลิตยางพาราโลกปี 2563 มีปริมาณ 12.9 ล้านตัน โดยประเทศไทยมีผลผลิตยางพารามากเป็นอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 4.4 ล้านตัน หรือ 38.2% รองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน มาเลเซีย และอินเดีย

เอเชียผลิตมากที่สุดในโลก ภูมิภาคเอเชียเป็นแหล่งผลิตยางพารา 93% ของผลผลิตยางพาราทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนเป็นแหล่งผลิตใหญ่ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศกลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam)  

ไทย...แชมป์โลกส่งออกน้ำยางข้นและยางแผ่นรมควัน

ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลางของโลก โดยเฉพาะน้ำยางข้นและยางแผ่นรมควันส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก

แนวโน้มการส่งออก

การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 5.0-8.0% ต่อปี ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ต่าง ๆ  โดยตลาดหลักยังคงเป็นประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำยางข้นรายใหญ่ของไทย และเป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ของโลก

ขณะที่ผู้ผลิตน้ำยางข้นยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องตามทิศทางความต้องการของอุตสาหกรรมขั้นปลาย ได้แก่ ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ และถุงยางอนามัยในตลาดโลก ประกอบกับการผลิตน้ำยางข้นในตลาดโลกยังมีน้อยเนื่องจากกระบวนการผลิตส่วนใหญ่ยังเน้นผลิตเพียงยางก้อนถ้วยและเศษยาง ทำให้ภาวะการแข่งขันในการส่งออกน้ำยางข้นไม่รุนแรงนัก

จุดแข็งและโอกาสของน้ำยางพาราไทย

1.การผลิตน้ำยางสด92%

การผลิตน้ำยางสดมีสัดส่วนถึง 92% ของผลผลิตยางพาราทั้งหมดซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบผลิตผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลางได้ทุกประเภท ต่างจากมาเลเซียและอินโดนีเซียที่ส่วนใหญ่ผลิตยางก้อนถ้วยจึงเน้นผลิตยางแท่งเป็นหลัก

2.ศักยภาพน้ำยางข้นไทยอันดับ1ของโลก

อุตสาหกรรมน้ำยางข้นของไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในปี 2563 (มูลค่ารวมส่งออกและใช้ในประเทศ) โดยส่งออกในสัดส่วน 75.9% และไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลกเกือบ 70% ของปริมาณการค้าน้ำยางข้นทั่วโลก

3.ตลาดใกล้กระจุกตัวแต่มีตลาดทั่วโลกรออยู่

ตลาดส่งออกหลักของไทยอยู่ใกล้บ้านในอาเซียนและเอเซียตะวันออกคือ มาเลเซียที่มีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมด รองลงมาเป็นจีน (33.5%) และเกาหลีใต้ (1.8%) แต่ในอีกแง่หนึ่งคือการมีตลาดดั้งเดิมกระจุกใน3ประเทศแสดงว่ายังมีตลาดใหม่ในอีกกว่า100ประเทศรอเราอยู่

4.Covid โอกาสในวิกฤติ

จากวิกฤติโควิด19 ทำให้ความต้องการน้ำยางข้นเพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมถุงมือยางและถุงยางอนามัย สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางมาเลเซีย The Malaysian Rubber Glove Manufacturers Association (MARGMA) คาดการณ์ความต้องการถุงมือยางทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 662 พันล้านชิ้นในปี 2566 หรือเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 23.1% ต่อปีในช่วงปี 2564-2566

“ประชาธิปไตยคนรุ่นใหม่ (มั้ง?) หัวใจใฝ่คอมมี่ เข้าทรงผีเหล่า Red Guard” ​​| MEET THE STATES TIMES EP.27

???? “ประชาธิปไตยคนรุ่นใหม่ (มั้ง?) หัวใจใฝ่คอมมี่ เข้าทรงผีเหล่า Red Guard”​​​ ​​​!!
???? กะเทาะความคิด ‘ประชาธิปไตยคนรุ่นใหม่’ เทียบให้ชัดต่างกันไหมกับ ‘Red Guard’ !!

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

ดำเนินรายการโดย หยกTHE STATES TIMES


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top