Tuesday, 1 July 2025
NEWS

'โฆษกรัฐบาลฯ' เผยข่าวดี! คลังเปิดเก็บตกคนละครึ่งเฟส 3 อีก 1.1 แสนสิทธิ เริ่มลงทะเบียน 1 พ.ย.นี้ กระตุ้นการใช้จ่ายรับเปิดประเทศ ขณะยอดใช้จ่ายมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐสะสมกว่า 1.3 แสนล้านบาท

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ว่า เป็นโครงการที่ครองใจประชาชนมากที่สุด มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเต็มจำนวน 28 ล้านสิทธิแล้ว แต่ทางกระทรวงการคลังได้ทำการตรวจสอบประมวลผล พบว่ามียังมีผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ อีกจำนวนทั้งสิ้น 119,974 สิทธิ จึงได้ทำการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้สำเร็จ  ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 อีกครั้งในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวันจนกว่าจะเต็มจำนวนสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ http://www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เป็นกระกระตุ้นการใช้จ่ายให้มีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น สอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย  1 พฤศจิกายน นี้ ทั้งนี้ ในส่วนของความคืบหน้ามาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564) ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 40.47 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 131,013.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 25.58 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 116,589.3 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 59,267.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 57,321.7 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 85,740 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 2,838 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 148 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.54 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 10,643.8 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 794.7 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาชนที่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 อยู่แล้ว รัฐจะมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนให้อีก จำนวน 1,500 บาทต่อคน ในวันพรุ่งนี้ (1 พ.ย. 64) ซึ่งจะได้รับโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ได้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่ายทั้งสิ้น 4,500 บาทต่อคน และสามารถใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564  ส่วนบริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ขณะนี้มีทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ GRAB  LINEMAN และ TRUE FOOD

ทั้งนี้ ในส่วนของข้อมูลการใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีการใช้จ่ายสะสมประมาณ 932.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนใช้สะสมจ่าย 481.5 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 450.8 ล้านบาท สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มียอดใช้จ่ายของประชาชนสะสม 595,542 บาท และมูลค่าการใช้ e-voucher สะสม 179,112 บาท โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มให้บริการผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มแล้ว กว่า 65,000 ราย

“พระเกี้ยว” ความจริงแห่งความเท่าเทียมทางการศึกษา | MEET THE STATES TIMES EP.33

???? “พระเกี้ยว” ความจริงแห่งความเท่าเทียมทางการศึกษา !!
????สวนกระแสดราม่า!! รู้จัก “พระเกี้ยว” ความเท่าเทียมที่แท้จริง!!

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

6 เดือน แห่งการเปลี่ยนแปลง แบบ Fast Forward ของ THE STATES TIMES

6 เดือนผ่านไป (พฤษภาคม-ตุลาคม) ไวซะจน มารู้ตัวอีกทีก็ใกล้ครบขวบปีของ THE STATES TIMES เข้าให้แล้ว!!

6 เดือนนี้ มีอะไรน่าสนใจเพิ่มขึ้นไหม?

มีอยู่แล้ว!! ตอนนี้ครอบครัวใหม่ ที่เริ่มกลายเป็นเพื่อนประจำให้ทุก ๆ ท่านได้ติดตาม ก็เริ่มมาประจำการแบบไม่เขินอายกันเพียบ 

ไม่ว่าจะเป็นรายการ Click on Clear THE TOPIC เคลียร์ทุกประเด็นร้อน ร่อนทุกตะกอนข่าวในรอบวัน

MEET THE STATES TIMES ช่วงเวลาแห่งการตกผลึก ลงลึกปมเด่น

KNOWLEDGE TIMES รอบรู้แบบรู้สึก เกาะทุกกระแสโลก ผ่านเรื่องเล่าที่ย่อยง่าย 

ส่วนเพื่อนเก่าอย่าง NEWS GEN TIMES ชวนคิดกับ กิตติธัช / LOCK LENS GURU / BIZ MAX THE TOPIC และ THE STATES TIMES Story ก็ยังประจำการไม่ขาดไม่เกิน ^^

ส่วนสถานการณ์ข่าวรายวัน ก็ยังคงเกาะติดหลากประเด็นเด่นให้ได้มากที่สุด ภายใต้การปรับภาพลักษณ์ Template เพื่อให้การสื่อสารย่อยง่ายและอ่านง่ายขึ้นไปอีกขั้น!!

ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่แวะผ่านมากดชม!! ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์  

ตลอด 6 เดือนมานี้ พวกเรายังคงสนุกกับ THE STATES TIMES สนุกกับทุกการก้าวทันโลกข่าวสาร สนุกกับทุกการลองผิดลองถูก และทุกความท้าทายที่ผ่านเข้ามา 

Next Times พวกเราก็ยังพร้อมก้าวไปข้างหน้า ปรับตัว และพัฒนา เพื่อสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ให้ผู้ติดตามทุกท่านต่อไป

“กดไลก์ กดแชร์ และกด Subscribe ให้พวกเราด้วยนะคะ”

“อลงกรณ์” เล็งฟื้นส่งออกเกลือทะเลไทย ประสานทูตเกษตรทูตพาณิชย์เปิดตลาดจีน พร้อมดึงสภาอุตสาหกรรมจับคู่สหกรณ์นาเกลือกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอาหารเพิ่มยอดขายในประเทศ มอบบอร์ดเกลือฟื้นฟูประเพณี “แรกนาเกลือ” สร้างคุณค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย เปิดเผยวันนี้ (30ต.ค) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5 / 2564 โดยผ่านระบบประชุมทางไกล (ZOOM Cloud meeting) พร้อมด้วย คณะกรรมการ อาทิ นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชาญยุทธ์ ภาณุทัต ประธานคณะทำงาน Ad-Hoc เกลือ นายสมศักดิ์ อยู่รอด รักษาการรองเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ผู้แทนกรมการค้าภายใน ผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายคทาวุธ บุญมา ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทย ดร.จุฑามาศ ทะแกล้วพันธุ์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ในฐานะศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านเกลือทะเล (Salt Academy :AIC-COE) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผู้แทนเกษตรกรชาวนาเกลือ 

โดยมีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นฝ่ายเลขานุการ เข้าร่วมประชุมหารือและพิจารณาการพัฒนาเกลือทะเลไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

(1) การจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการแก้ไขปัญหาเกลือทะเล ปี 2564 วงเงิน 12,570,300 บาท เพื่อระบายเกลือทะเลค้างสต๊อกปี 2562/63 ปริมาณ 48,817.20 ตัน ในแหล่งผลิตสำคัญ ในอัตราตันละไม่เกิน 250 บาท ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม 

(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อนุมัติหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้ช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่เสียหายจริง ในอัตราไร่ละ 1,220 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ ที่เริ่มบังคับใช้ 1 กันยายน 2564 

(3) การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาเกลือทะเลไทย ปี 2566 - 2570 พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานโครงการ และงบประมาณ บรรจุลงในแผนปฏิบัติงาน 

และ (4) รายงานจากคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาเกลือทะเล (Ad Hoc) ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ได้ประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลไทย ในปี 2565 ในระยะเร่งด่วน

คณะกรรมการฯ ได้มีมติมอบหมายให้ประธานช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือที่ประสบปัญหาหนี้สินโดยประสานความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 

กองบัญชาการศึกษาประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน 'การสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการและผู้บังคับการของ ตร. ปีงบฯ 2565'

กองบัญชาการศึกษาประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการขับเคลื่อนการสัมมนา 'โครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565'​ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.2564 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 

(29 ต.ค.64)​ พล.ต.ต.ญาณพงศ์ โสมาภา รอง ผบช.ศ./โฆษก บช.ศ.เปิดเผยในกรณี  บช.ศ.เสร็จสิ้นภารกิจจากการขับเคลื่อนงานสัมมนาตาม 'โครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565'​ ว่า พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผบช.ศ. (อดีต ผบช.รร.นรต.) มีความยินดีที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.อนุมัติให้จัดโครงการนี้ขึ้นและมอบความไว้วางใจให้ตนในฐานะ ผบช.ศ.เป็นหน่วยรับผิดชอบขับเคลื่อนการสัมมนาตลอดระยะเวลารวมทั้งสิ้น 3 วัน (ระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.2564) ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งบัดนี้ได้จัดงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.นิรันดร กล่าวว่า โครงการสัมมนาดังกล่าวนี้ได้จัดพิธีเปิดไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2564 โดยมี ผบ.ตร. ให้เกียรติเป็นประธาน โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบนโยบายและทิศทางการปฏิบัติงานให้นำไปพัฒนาและเสริมสร้างประสิทธิภาพของหน่วยงาน เพื่อให้ผู้นำหน่วยได้รับทราบถึงนโยบายและทิศทางการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้นำหน่วยได้รายงานปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อผู้บังคับบัญชาระดับตำรวจทราบ เพื่อจะได้นำข้อมูลไปแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาองค์กรให้เกิดผลสัมฤทธิ์สู่ระดับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา และ ผบ.ตร. ยังให้เกียรติในการบรรยายพิเศษแก่ข้าราชการตำรวจระดับผู้นำหน่วยที่เข้าร่วมการสัมมนา ในหัวข้อ 'ทิศทางตำรวจยุคใหม่'​

นอกจากนั้นยังมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. พร้อมด้วยคณะวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมากด้วยประสบการณ์ให้เกียรติเป็นผู้บรรยายพิเศษหัวข้อต่างๆ ด้วย ซึ่ง ผบ.ตร.ได้กล่าว ทิ้งทายเน้นย้ำให้กับผู้ร่วมโครงการว่า “ขอให้วางเป้าหมาย ตั้งมั่น ตั้งใจทำอะไรกันสักคนละหนึ่งอย่าง แล้วทำให้สำเร็จ เพื่อนำไปสอนลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชา และท่องคติพจน์ทำงานร่วมกันไว้เสมอแบบ ร่วมทุกข์ ร่วมสุข”

พล.ต.ต.ญาณพงศ์ ในฐานะโฆษก บช.ศ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของการสัมมนาครั้งนี้ได้แก่ การจัดสัมมนากลุ่มย่อย ซึ่งได้จัดขึ้นในวันสุดท้าย (27 ต.ค.2564) โดยผู้ร่วมสัมมนาจากแต่ละกลุ่มได้นำเสนอแนวทางการบริหารงานในด้านต่างๆ ได้แก่... 

1) การป้องกันมิให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดไปพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์, ยาเสพติด, แหล่งอบายมุข การทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นต้น

2) การบริหารงานสายงานสอบสวนให้เกิดความสมดุลแบบยั่งยืน

3) แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ

4) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งในทางการสืบสวนสอบสวนและการบริหารจัดการทางเทคโนโลยีเชิงรุก

5) แนวทางในการประชาสัมพันธ์เชิงรุก การให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อโต้ตอบเขาลวงและข้อมูลข่าวสารเชิงลบที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

6) การสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้เกิดขึ้นกับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอำนวยความยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่

7) การบริหารจัดการด้านการข่าวเชิงรุก การจัดการชุมนุมสาธารณะ การสืบสวนสอบสวนคดีความมั่นคง

‘หมอยง’ ชี้!! โควิดคงไม่หมดไป ผู้คนต้องปรับตัวให้ได้แบบ Next Normal

‘หมอยง’ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุถึง การใช้ชีวิตของผู้คนต่อจากนี้บนวิถีชีวิตปกติแบบ Next Normal ว่า...

โควิด-19 กับวิถีชีวิตปกติต่อไป (Next Normal)

เกือบ 2 ปีที่มีการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกและเราคุ้นเคยกับคำว่าวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) จากนี้ต่อไป เชื้อโควิดคงไม่ได้หมดไป เราจะต้องอยู่กับไวรัสโควิด เราจะอยู่กับวิถีชีวิตปกติต่อไป ข้างหน้า (Next Normal) หลังโควิด 

การดำรงชีวิตปกติต่อไปหรือที่เรียกว่า Next Normal ทุกคน จะต้องปรับตัว เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ดูแลสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือ การกำหนดระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย ยังคงต้องอยู่อีกระยะหนึ่ง

การใช้อุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จะลดการสัมผัสลง 

การใช้เงินผ่านระบบ e-Money ที่เงินลอยไปลอยมาโดยไม่ต้องจับธนบัตร 

เทคโนโลยีต่าง ๆ จะเปิดปิดไฟด้วยเสียง สั่งผ่าน Smartphone 

ประตูมีเซ็นเซอร์ การใช้ลิฟต์ก็คงไม่ต้องแตะกดปุ่ม ที่ปุ่มจะมีเซ็นเซอร์เพียงเอานิ้วมือไปใกล้ก็เพียงพอไม่ต้องสัมผัส 

ศบค.ยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ เว้น 7 จังหวัดแดงเข้ม หวั่นปลดล็อกดื่มเหล้า อาจทำระบาดรอบใหม่

ศบค. ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ ยกเว้น 7 จังหวัดสีแดงเข้ม แต่ยังหวั่นปลดล็อกดื่มแอลกอฮอล์ ในจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดอีกรอบ โดยเฉพาะ กทม. เหตุเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อน 

วันที่ 29 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. เป็นประธาน

ที่ประชุมมีมติปรับพื้นที่ควบคุมและเข้มงวดสูงสุด (สีแดงเข้ม) 23 จังหวัด เหลือ 7 ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา

พื้นที่ควบคุมสูงสุด 30 จังหวัด เป็น 38 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุม 24 จังหวัด เป็น 23 จังหวัด

พื้นที่เฝ้าระวังสูง 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม น่าน บึงกาฬ มุกดาหาร สกลนคร

นอกเหนือมติการปรับพื้นที่สี เพื่อรองรับการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 2564 การยกเลิกการออกนอกเคหสถาน (ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้ม 7 จังหวัดที่ยังคงเวลา 23.00 - 03.00 น.) การผ่อนคลายให้ดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา ภูเก็ต

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนคลายให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ว่า สำหรับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 4 จังหวัดที่ประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต นั้น โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวย้ำว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาเรื่องนี้กันพอสมควร มีความห่วงใยในส่วนของผู้บริหาร ผู้อาวุโส รวมถึงที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของ ผอ.ศบค. ที่ได้พูดถึงความห่วงใยในประเด็นมาตรการที่ต้องออกมากำกับอย่างเต็มที่

“เพราะถ้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวตรงนี้ สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยเฉพาะการดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย จะปล่อยให้เกิดขึ้นแบบวิถีปกติไม่ได้ เพราะจะเป็นเหตุของการติดเชื้อและเกิดการแพร่ระบาดกลับคืนมาได้ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีความซับซ้อนในเชิงของการจัดการควบคุมโรค” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว 

'ก้าวไกล' จี้!! เยาวชนถูกยิงดับหน้า ‘สน.ดินแดง’ ชี้!! คดีไม่คืบหน้า สังคมยังมีข้อกังขาหลายจุด

พันตำรวจตรี ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวในฐานะรองประธานในคณะทำงานสืบหาข้อเท็จจริง (Fact finding) กรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมทางการเมืองบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ภายหลังจากที่สื่อมวลชนรายงานว่าเมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม 2564) นายวาฤทธิ์ สมน้อย หนึ่งในเยาวชนอายุ 15 ปี ที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ จากการสลายการชุมนุมที่แยกดินแดง บริเวณหน้าสน.ดินแดง เข้ารักษาตัวที่ร.พ.ราชวิถี ด้วยอาการวิกฤตเนื่องจากกระสุนฝังบริเวณไขสันหลังส่วนบน ร่วมกับมีภาวะสมองบวมจากการขาดออกซิเจนเสียชีวิตแล้ว

พันตำรวจตรีชวลิต กล่าวว่า กว่า 2 เดือนแล้วจากเหตุการณ์ยิงเยาวชนหน้า สน.ดินแดง ในขณะที่ตนและคณะทำงานของกรรมาธิการได้เปิดหลักฐานในบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงจนพบกลุ่มคนต้องสงสัยที่ตำรวจควรจะตามตัวมาได้ไม่ยาก แต่คดีนี้ในชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จนกระทั่งผู้ถูกกระทำได้จากไปแล้ว 

“ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพ วาฤทธิ์ วิ่งอยู่บนถนนมิตรไมตรี มุ่งหน้าแยกโรงกรองน้ำ ก่อนถูกยิงล้มลง ซึ่งมีรอยกระสุนอีกนัดที่กำแพง ระบุทิศทางการยิงมาจากซอยหน้า สน.ดินแดง ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ ที่สำคัญรัฐจะต้องเร่งหาตัวคนร้าย ผู้ก่อเหตุและผู้สั่งการต้องถูกนำตัวมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม”

ทั้งนี้ พันตำรวจตรีชวลิต กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนร่วมใจกันทวงถามความยุติธรรมจากรัฐ เราจะต้องไม่ปล่อยให้ครอบครัวของเขาต้องสู้อย่างเดียวดาย และจะต้องไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และสิ่งที่เกิดขึ้นคุ้มแล้วหรือกับเยาวชนอนาคตของชาติที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ ต้องมาแลกกับชีวิตของตนด้วยปลายกระบอกปืน อย่าปล่อยให้เป็นความอยุติธรรมที่ถูกกลืนหายไปโดยไร้คำตอบ

เผย 3 สัญญาณลับ !! สงครามโลกรอวันปะทุ!! | Knowledge Times EP.31

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
????เผย 3 สัญญาณลับ !! สงครามโลกรอวันปะทุ!!

เชื่อหรือไม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สงครามโลกอาจปะทุขึ้นอีกครั้ง !! 

แน่นอนว่าการเกิดสงครามไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามโลกในเวลานี้มีสูงมาก 

หากประเมินระยะเวลาแบบช้าที่สุด สงครามโลกนั้นมีโอกาสปะทุขึ้นภายใน 4 - 10 ปีนี้ และแน่นอนว่าก่อนทำการใหญ่ต้องมีการเตรียมการอย่างรัดกุมและแน่นหนา ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 - 5 ปี เพื่อให้เกิดความพร้อมที่สุด

แล้วอะไรคือสัญญาณการเกิดสงครามโลกขึ้นอีกครั้ง?

ประการที่ 1 จุดยุทธศาสตร์ที่จะเกิดสงครามได้ คือ บริเวณทะเลจีนใต้ อย่างที่รู้กัน กลุ่มชาติตะวันตกไม่ต้องการให้จีนขึ้นมามีอำนาจ เพราะจะทำให้ระบบการเงิน การค้า ทรัพยากร เสียระบบ อันจะเห็นได้จากสัญญาณที่เริ่มปรากฏจาก บริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ หรือ (TSMC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิต ชิป นาโนชิป ที่ครองส่วนแบ่งตลาดชิปทั่วโลก กว่า 55.6% 

ที่ปัจจุบันเริ่มมีการย้ายฐานการผลิตมาที่ญี่ปุ่น เนื่องจากไต้หวันนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่เป็นชนวนขัดแย้ง จึงมีการถอนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สำคัญจำนวนมากในไต้หวัน ย้ายฐานการผลิตออกมาทีละนิด เนื่องจากต่างรู้กันดีว่า หากยังคงอยู่ที่ไต้หวันต่อไป อาจเกิดความเสียหายต่อบริษัทได้

ประการที่ 2 สหรัฐอเมริกา เริ่มถอนกำลังทหารสำคัญออกมา เช่น ในอัฟกานิสถาน เป็นต้น แม้ว่าการถอนกำลังในครั้งนี้ ดูเหมือนสหรัฐฯ นั้นได้รับความพ่ายแพ้ แต่แท้จริงแล้วนี่คือกลยุทธ์ ที่สหรัฐฯ ถอนกองกำลังทหารออกมาจากภูมิภาคที่ไม่จำเป็น หรือ จุดที่ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ เพื่อกลับมารวบอำนาจไว้กับตนเองก่อน

ประการที่ 3 เริ่มมีการกักตุนเชื้อเพลิง ในจุดต่าง ๆ ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำสงคราม นั่นก็คือ ‘น้ำมัน’ ซึ่งมีความสำคัญขนาดที่สามารถชี้ชะตาสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว และเมื่อย้อนกลับไป ในสมัยนาซีเยอรมันเอง ก็เคยทำลายจุดยุทธศาสตร์ของรัสเซียมาแล้ว นั่นก็คือ สตาลินกราด ที่มีความสำคัญเพราะเป็นทางผ่านไปสู่ เมืองบากู ของประเทศอาเซอร์ไบจานปัจจุบัน 

ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันในทะเลสาบแคสเปียน อีกทั้งการสูญเสียยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลางและแถบแอฟริกาเหนือก็นำมาสู่การแพ้สงครามของนาซีเยอรมัน ดังนั้น น้ำมัน จึงเป็นเสมือนปัจจัยชี้ขาด ทั้งกำลัง อาวุธ พาหนะ อุปกรณ์ในสงคราม รวมไปถึงเครื่องบิน ล้วนแต่ต้องพึ่งพาน้ำมันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี แม้สหรัฐฯ ได้ถอนกองกำลังออกจากจุดยุทธศาสตร์ที่ไม่จำเป็น แต่ล่าสุดกลับมีการเพิ่มกองกำลังบริเวณฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ บริเวณเกาะลูซอน และเกาะกวม โดยเกาะกวมนั้นมีความสำคัญ เพราะเป็นดินแดนสุดท้าย ที่สหรัฐฯ มีอิทธิพล และจุดยุทธศาสตร์นี้เองจะเป็นจุดที่สหรัฐฯ ใช้ในการส่งกำลังบำรุง 

อีกทั้งเกาะกวมยังเป็นทางผ่านไปจนถึงเกาะลูซอน ในประเทศฟิลิปปินส์ และโอกินาวา ในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น หากคิดว่าการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ คือ ความพ่ายแพ้ แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงการย้ายฐานกองกำลังมาที่ เกาะลูซอน เกาะกวม และเสริมทัพที่โอกินาวา  

และอย่างที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นนั้นเป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากับจีน ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่า ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการร่วมรบ เนื่องจากสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการดูแลด้านความมั่นคงให้กับญี่ปุ่น นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

นอกจากนี้หากสงครามโลกปะทุขึ้น อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จะเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ก็จะขาดแคลนอุปกรณ์เหล่านี้มากขึ้นไปอีก

ดังนั้นอาณัติสัญญาณที่เกิดขึ้น อันเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายของบรรดาบริษัทเอกชนต่าง ๆ หรือการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสัญญาณ ที่แสดงให้เห็นถึงสงครามที่กำลังก่อตัวและรอวันปะทุในอีกไม่ช้า...

รมว.พิพัฒน์ ผลักดันกีฬามวยไทยให้ได้รับการบรรจุในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ณ นครหางโจว

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมหารือการผลักดันกีฬามวยไทยให้ได้รับการบรรจุในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับ Mr. Gou zhongwen (โก่วจ้งเหวิน) รัฐมนตรีสำนักกิจการกีฬาแห่งชาติจีน และประธานโอลิมปิกจีน โดยมีนายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Appication Zoom) ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

สถานบันเทิงขอ “บิ๊กตู่” เปิดขายเหล้า 17 จังหวัด ผับ-บาร์เปิด 1 ธ.ค.

กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และกลุ่มจังหวัดที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวหลัก คือ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต รวม 311 ร้าน ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ขอให้พิจารณาการอนุญาตให้จำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ในเขตพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 17 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ และขออนุญาตให้เปิดกิจการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.64 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ตัวแทนผู้ประกอบการยอมรับว่า นับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 กว่า 19 เดือน ผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานประกอบการได้แก่ ผับ บาร์ คาราโอเกะ รวมถึงพนักงานหลายหมื่นคน ได้ปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แม้ว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง ยาวนาน ต่อทั้งธุรกิจ พนักงาน และครอบครัว จนส่งผลให้ผู้ประกอบการกว่า 40-50% จำเป็นต้องปิดตัวลงอย่างถาวร เนื่องจากขาดรายได้และขาดสภาพคล่อง จึงเสนอขอให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ

กลุ่มผู้ประกอบการยังได้จัดทำข้อเสนออื่น ๆ เช่น จัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือในราคาที่ถูกที่สุดแก่สถานประกอบการเพื่อให้พนักงานทำการตรวจด้วยตนเองอย่างน้อยทุก 7 วัน, จัดลำดับความสำคัญในระดับต้นสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (booster) หรือวัคซีนที่พัฒนารุ่นใหม่ เช่น กลุ่ม Protein Subunit และ mRNA ให้ผู้ประกอบการและพนักงานของสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 

ห้ามพลาด!! คลังเปิดเก็บตกคนละครึ่ง 1 แสนสิทธิ เริ่ม 1 พ.ย.นี้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ประมวลผลผู้ที่ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค.2564 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เต็มจำนวน 28 ล้านสิทธิแล้ว แต่มีผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ มีจำนวน 119,974 ซึ่งจะนำสิทธิที่เหลือมาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวันจนกว่าจะครบ 28 ล้านสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง 

สำหรับประชาชนที่ได้เข้าร่วมโครงการอยู่แล้ว จะมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่าย รอบที่ 3 จำนวน 1,500 บาทต่อคน ในวันที่ 1 พ.ย.2564 ซึ่งวงเงินสนับสนุนเพิ่มเติมดังกล่าวจะได้รับโดยอัติโนมัติ และสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 จะได้รับวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่ายทั้งสิ้น 4,500 บาทต่อคน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564

ธพว. ร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกระทรวงอุตสาหกรรม

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เข้าร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 โดยมี นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธี พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่ โรงเรียนวัดสร้อยทอง และ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดสร้อยทอง นอกจากนี้ ภายในพิธียังมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงาน กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานในสังกัด ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีดังกล่าวฯ ณ วัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร 

“ศบค.” เปิด4จ.สีฟ้า ให้ขาย-ดื่มแอลกอฮอล์ แต่จำกัดโซนพื้นที่

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวหลังประชุม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ศบค.เห็นชอบให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สีฟ้า(นำร่องการท่องเที่ยว) 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และ ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดต่างๆ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเป็นผู้ไปออกข้อกำหนด โดยเบื้องต้นจะมีการกำหนดโซนพื้นที่ให้จำหน่ายและดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้เปิดเสรีเป็นการทั่วไปในทุกพื้นที่

"ปลัดสธ."ยัน ความพร้อมด้านสาธารณสุข รับเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ เผย 4 จชต.สถานการณ์โควิดดีขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบค.พิจารณาปรับโซนสีจังหวัดแดงเข้ม แต่ยังคงพื้นที่สีแดงเข้ม ใน  4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มดีขึ้นและถือว่าผ่านระยะที่แพร่ระบาดสูงสุดมาแล้ว โดยการควบคุมในพื้นที่ภาคใต้ก็ดีขึ้น และมีการกระจายวัคซีนลงไปแล้ว ในภาพรวมการแพร่ระบาดทั่วประเทศดีขึ้น ทำให้สามารถที่จะควบคุมการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มจังหวัดได้  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top