Monday, 7 July 2025
NEWS FEED

แจ้งข้อกล่าวหา ‘สุขุมพันธุ์' พร้อมพวกรวม 13 ราย ส่อ!! 'ทุจริต-ฮั้วประมูล' รถไฟฟ้าสายสีเขียว

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 10 ม.ค.66 ที่ผ่านมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเพมหานคร และพวก รวม 13 คน กรณีว่าจ้าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ไปจนถึงปี 2585 ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงและไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และเอื้อประโยชน์ให้แก่ BTSC เพียงรายเดียว ตามที่องค์คณะไต่สวนเสนอ

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 13 ราย ประกอบด้วย 1. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเพมหานคร 2. นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ตำแหน่งรองผู้ว่ารายการกรุงเทพหานคร 3. นายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด 4. นายอมร กิจเขวงกุล ตำแหน่งกรรมการบริษัท กรุงเทพอนาคม จำกัด 5. นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ ตำแหน่งปลัดกรุงเทพมหานคร 6. นางนินนาท ซลิตานนท์ ตำแหน่งรองปลัดกรุงเทพมหานคร 7. นายจุมพล สำเภาพล ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง

ผบ.ตร.สั่ง จเรตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบคดีเครือข่าย 'ทุนมินลัต' หากพบช่วยเหลือใคร ดำเนินการเด็ดขาด ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อยู่ระหว่างพิจารณา ยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู สั่ง ผบช.น.ตรวจสอบข้อเท็จจริง

วันนี้ (11 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “จากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย 'ทุนมินลัต' จนปรากฎเป็นข่าวที่เกิดขึ้นนั้น 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำสำนวนคดี ความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบให้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง และในส่วนที่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีดังกล่าวหลุดมา ได้สั่งการให้ ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสาร เป็นข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ 

เนื่องจากเนื้อหาในการกล่าวอ้าง เป็นการเปิดเผยขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานจาก ผบช.น. ว่ามีเหตุการณ์เช่นที่บรรยายในหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้น 

ส่วนประเด็นการดำเนินคดีกับ เครือข่าย 'ทุนมินลัต' คดีนี้ เริ่มจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. หลังสืบสวนพบว่าบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนกับการทำผิด ได้ยื่นขอหมายจับและศาลเพิกถอนหมายจับ ต่อมาจึงเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เมื่อวันที่  4 ต.ค. 2565 และ บช.ปส. เห็นว่าเป็นเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงได้เสนออัยการสูงสุดรับผิดชอบ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 65 ต่อมาอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ได้มอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแทน อัยการสูงสุด โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วยเมื่อวันที่ 21 พ.ย.65 

ต่อมาหลังจากมีประเด็นคดี 'ทุนมินลัต' เมื่อครั้งก่อน ผบ.ตร.ได้เรียก ผบช.ปส. และ ผบก.ปส.3 มากำชับให้ควบคุมกำกับดูแลการทำงานของพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ให้ทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ ไม่ละเว้นหรือช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งให้สนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนในด้านต่างๆที่จำเป็นอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ และวันนี้ได้สั่งการ ผบก.ปส.3 รายงานความคืบหน้าในทางคดี ในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดี มาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่งผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎตามข้อเท็จจริงทุกประการ

จะเห็นได้ว่า ในคดีนี้ พงส.บช.ปส.3 หลังจากที่รับคำกล่าวโทษประมาณ 1 เดือนกว่า ก็ได้เร่งรวบรวมหลักฐาน ทำสำนวนมาตลอด จนพบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด โดยไม่ได้มีการประวิงสำนวนเพื่อช่วยเหลือใครแต่อย่างไร และ มีการส่งรายงานเพิ่มเติมตามคำร้องขอของอัยการสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางคดีมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางคดีร่วมกันของอัยการ และตำรวจที่ทำคดี ที่ทำงานในรูปแบบคณะทำงาน ตำรวจไม่ได้ทำคดีฝ่ายเดียว โดยได้มีการหารือร่วมกันกับพนักงานอัยการมาโดยตลอด 

‘ชัชชาติ’ สั่งสอบ ผอ.เขตดัง ฝากเด็กเข้าเรียน เตือน! ห้ามใช้เส้นสาย ขอให้เด็กใช้ความสามารถของตัวเอง

(11 มี.ค. 66) ที่สำนักงานเขตธนบุรี นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงเพจเฟซบุ๊กเผยแพร่รูปภาพหนังสือราชการ ขอความอนุเคราะห์พิจารณาเด็กนักเรียนรายหนึ่ง โดยส่งจากสำนักงานเขตบางขุนเทียน ไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี

นายชัชชาติกล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องนี้เรียบร้อย แต่เบื้องต้นไม่ใช่โรงเรียนในสังกัด กทม. เนื้อหาภายในหนังสือเป็นการขอความอนุเคราะห์ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการนโยบายไม่ให้มีการออกหนังสือในลักษณะเช่นนี้อีก เพราะมันไม่ยุติธรรมกับประชาชน เหมือนเป็นการเขียนใบขอ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้มีการใช้เส้นสาย ใช้อภิสิทธิ์ หากเด็กจะเข้าศึกษาโรงเรียนใด ก็ขอให้เขาได้ใช้ความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่การแนะนำเด็กผ่านจดหมายราชการ อย่างไรก็ตาม ทราบมาว่าเด็กก็ไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้แต่อย่างใด

‘ตรีนุช’ นำทีมเปิดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย เดินหน้าแก้หนี้ครูใน 8 จังหวัดภาคตะวันออก

(11 มี.ค. 66) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 'Unlock a Better Life' สร้างโอกาสใหม่เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ครั้งที่ 3 ในภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว 

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 'Unlock a Better Life' สร้างโอกาสใหม่เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ครั้งที่ 3 ในภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว สำหรับครูในภาคตะวันออก 8 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก จันทบุรี ตราด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง โดยตั้งเป้าหมายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในภูมิภาคนี้กว่า 4,252 ล้านบาท เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานในพื้นที่เข้าร่วม อาทิ นายสุทิน แก้วพนา รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายเชาวเนตร ยิ้มประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว รวมถึงผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วมกว่า 2,000 คน

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือนนั้น กระทรวงศึกษาธิการที่มีบทบาทในการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้เร่งรัดการขับเคลื่อนตามนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเต็มที่ ด้วยกลไกเจรจาลดดอกเบี้ยกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู การปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน การจัดตั้งสถานีแก้หนี้ร่วมช่วยแก้ปัญหาลดหนี้สิน และการให้ความรู้ทางด้านวินัยการเงินและการลงทุน เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับครูไทยได้มีสุขภาพทางการเงินที่ดี โดยได้ดำเนินการจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทยในส่วนกลาง เมื่อช่วงสิ้นปี 2565 และขยายผลสู่ทั่วประเทศด้วยงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ซึ่งได้จัดขึ้นครั้งแรกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับกลุ่ม 4 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และขอนแก่น ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครูแบบพุ่งเป้าที่กลุ่มลูกหนี้วิกฤติได้กว่า 784,661,570.43 บาท 

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อว่า การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย สำหรับครูไทยภาคตะวันออกในครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายช่วยเหลือครูที่มีปัญหาหนี้สินกว่า 2,000 ราย จำนวนมูลหนี้ประมาณ 4,252 ล้านบาท โดยเป็นกลุ่มลูกหนี้วิกฤติ 205 ราย จำนวนมูลหนี้ประมาณ 173.4 ล้านบาท ซึ่งจะพุ่งเป้าหมายให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้วิกฤติเป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการมีการจัดการแก้ไขปัญหาหนี้ครูอย่างเต็มที่ เช่น การเจรจาขอลดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของครูทั้งประเทศ มีการตั้งสถานีแก้หนี้ครู 558 สถานีเพื่อเป็นกลไกช่วยเหลือครูในระดับเขตพื้นที่ ฯลฯซึ่งได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้เป้าหมายการแก้ไขปัญหาหนี้ครูในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้วิกฤติมีจำนวนไม่มาก การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการจัดการปัญหาหนี้ในเชิงรุก ที่จะช่วยให้ครูในกลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการเงินสำหรับครูมากยิ่งขึ้น

มูลนิธิร่วมกตัญญูอนุเคราะห์โลงศพสำหรับบรรจุร่างผู้อุทิศร่างกาย เพื่อการศึกษา ปีการศึกษา 2565

พร้อมเคลื่อนย้ายนำส่งไปยังวัดเวตวันธรรมาวาส(วัดเชิงหวาย) แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการฌาปนกิจ

(11 มี.ค.66) มูลนิธิร่วมกตัญญู นำโดย นาย เอกพัน บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัคร พรัอมจนท.และอาสาสมัคร มูลนิธิร่วมกตัญญู ,รถบรรทุก และ โลงศพ จำนวน 30 ใบ เพื่อใช้บรรจุร่างผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา (อาจารย์ใหญ่) และ จะเคลื่อนย้ายนำส่งไปยังวัดเวตวันธรรมาวาส (วัดเชิงหวาย) แขวงบางซื่อ เขตบางชื่อ กรุงเทพมหานคร 

เพื่อดำเนินการฌาปนกิจในเบื้องต้น โดยพี่ไทด์ เอกพัน บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครฯ นำกำลังเจ้าหน้าที่-อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าช่วยเหลือ เคลื่อนย้าย ตามการร้องขอของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทีได้จัดการเรียนการสอน วิชามหกายวิภาคศาสตร์ให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และ คณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยใช้ร่างผู้อุทิศร่างกายเพื่อประกอบการศึกษาในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ 

‘รองโฆษกรัฐบาล’ เตือน ปชช. อย่าร่วมขบวนการยื่นภาษีเท็จ ชี้ ‘โทษคุก 7 ปี-ปรับ 2 แสน’ แถมเสี่ยงถูกสวมรอยโอนเงิน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนให้ยื่นยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เป็นเท็จเพื่อขอคืนเงินภาษี โดยมิจฉาชีพทำหน้าที่รวบรวมเลขบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อนำมายื่นแบบภาษีและขอคืนเงินภาษีอันเป็นเท็จให้ และขอเงินส่วนแบ่งเป็นค่าดำเนินการ

ทางกรมสรรพากร แจ้งว่า หากระบบของกรมตรวจพบการขอคืนเงินภาษีที่ทุจริต นอกจากจะถูกระงับการคืนเงินและเรียกให้นำส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มแล้ว ยังถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขบัตรประชาชน เลขเลเซอร์หลังบัตร เบอร์โทร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงินได้ มากไปกว่านั้น การขอคืนภาษีโดยทุจริต มีความผิดตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร มีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับสูงสุดถึง 200,000 บาท และ

รวมพลคนบาดเจ็บ!! 'เจ๋ง ดอกจิก' รวมเสื้อแดงถูกเท ตั้ง 'กลุ่มรวมใจรักชาติ' ปลุกแดงทั่วไทย หนุน 'ประยุทธ์' หยุดแลนด์สไลด์

'เจ๋ง ดอกจิก' จับมือคนเสื้อแดงที่ถูกทอดทิ้งตั้ง 'กลุ่มรวมใจรักชาติ' เดินสายทั่วประเทศขอคะแนนเสียงหนุนพรรครวมไทยสร้างชาติดัน 'ประยุทธ์' นั่งนายกฯอีกสมัย ลั่นเป้าหมายหลักหยุดแลนด์สไลน์พรรคไทย ชี้หมดยุค 'สู้เพื่อเขาเราติดคุกถูกทอดทิ้ง'
.
(11 มี.ค.66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ 'เจ๋ง ดอกจิก' อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า ตนได้ร่วมกับ นายสมหวัง อัสราศี และอดีตแกนนำ นปช.หลายจังหวัดที่เคยเป็นคนเสื้อแดง ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาในอดีตมาตั้งกลุ่มรวมใจรักชาติ มีตนเป็นประธานกลุ่มฯ จุดประสงค์ก็เพื่อไปรวบรวมติดตามค้นหาเชิญชวนจูงใจพี่น้องเสื้อแดงในทุกจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน 17 ที่ถูกทำร้ายถูกทอดทิ้งมาหนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะยังมีคนเสื้อแดงจำนวนมากที่เคยร่วมทัพกันมาแต่ถูกกระทำแบบนี้ ตนติดคุกมา 4 รอบแต่ขาดการเหลียวแล หรือเขาเหลียวแลแต่ถูกอมกลางทางสู้เพื่อเขาแต่เราติดคุกสู้เพื่อเขาแต่เราขาดการเหลียวแลพอแล้ว
.
“กลุ่มรวมใจรักชาติจะร่วมมือกับคนเสื้อแดงทำประโยชน์เพื่อชาติ คนเสื้อแดงเหมือนเปรียบเสมือนหมาล่าเนื้อ ล่าเสร็จเขาก็เอาเนื้อไปแบ่งกันกิน ทอดทิ้งให้หมาเลียแผลตัวเองจากการต่อสู้ที่บาดเจ็บ พอเนื้อหมดก็ให้ออกไปล่าต่อ ขอโทษที่เปรียบเป็นหมาล่าเนื้อ แค่เพียงการเปรียบเปรยเท่านั้น เพราะคนเสื้อแดงถูกย่ำยีถูกทอดทิ้งมาตลอด ผมในนามประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ จะไปรวบรวมคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บขาดการดูแลถูกทอดทิ้งไม่ให้เกียรติมาเป็นกลุ่มรวมใจรักชาติ เพื่อเชิญชวนให้มาสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นพรรคที่ทำประโยชน์เพื่อประชาชนจริงๆ มีนโยบายดีๆออกมาดูแลประชาชนจำนวนมากและจับต้อง” นายยศวริศกล่าว
 

กวาดล้างเรียบ!! ‘ตำรวจไซเบอร์’ บุกทลายโกดัง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ พร้อมอายัดของกลาง รวมมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์บุกทลายโกดัง ยึดบุหรี่ไฟฟ้า มูลค่าของกลางกว่า 80 ล้านบาท

(11 มี.ค. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทอง พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รองผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 ร่วมกันแถลงข่าวผลปฏิบัติการทลายแหล่งซุกซ่อน-จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ 2 ราย ที่จำหน่ายให้กับผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ต่าง ๆ

พล.ต.ต.ไพโรจน์ เปิดเผยว่า รายแรก เป็นแหล่งซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เข้าตรวจค้น 3 จุด คือ อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง บนถนนจันทราคามพิทักษ์ ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม , บ้านหลังหนึ่งที่หมู่ 5 ตำบลถนนขาด อำเภอเมืองนครปฐม และโกดังแห่งหนึ่งบนถนนเทศา ตำบลพระประโทน อำเภอเมืองนครปฐม จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน น.ส.วีรวรรณ ลี่ผาสุข อายุ 33 ปี น.ส.นาริน หุ้มแพร อายุ 25 ปี 

พร้อมยึดของกลาง และตรวจยึดของกลาง น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า คละแบบ จำนวน 88,214 ชิ้น หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า คละแบบ จำนวน 70,589 ชิ้น บุหรี่ไฟฟ้าแบบดูดแล้วทิ้ง จำนวน 17,631 เครื่อง เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า คละแบบ จำนวน 10,350 เครื่อง คอยน์บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 1,000 ชิ้น อะไหล่หัวบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2,705 ชิ้น รวมมูลค่าของกกลางที่ตรวจยึดได้กว่า 50 ล้านบาท

พล.ต.ต.ไพโรจน์ เปิดเผยอีกว่า รายที่ 2 เป็นแหล่งซุกซ่อนในกรุงเทพมหานคร โดยเข้าตรวจค้นคอนโดมีเนียม บนถนนพญาไท แขวงพญาไท เขตราชเทวี จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน นายยุทธภูมิ ทองย้อย หรือโอม  อายุ 47 ปี และตรวจยึดของกลาง

บุหรี่ไฟฟ้า iqos ตัวแท่งดูด+เครื่องชาร์ต จำนวน 537 เครื่อง บุหรี่ไฟฟ้า IQOS ตัวแท่งดูด จำนวน 189 ตัว มวนบุหรี่สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อ TEREA จำนวน 6,529 คอตตอน มวนบุหรี่สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อmarlboro จำนวน 6,017 คอตตอน รวมมูลค่าของกกลางที่ตรวจยึดได้กว่า 30 ล้านบาท 

รวมผลการตรวจค้นทั้ง 2 ราย ยึดของกลางรวมมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท จึงดำเนินคดีผู้ต้องหาในความผิด พ.ร.บ.ศุลกากร นำสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร , พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค , พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นสินค้าต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และอยู่ระหว่างขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง

ตม.บุรีรัมย์ จับกุมคนไทยช่วยเหลือต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.กฤษฎากรณ์ กลิ่นเกษร และ พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน รอง ผบก.ตม.4 วันที่ 11 มี.ค.66  พ.ต.ท.พิศุทธิ์ สุวรรณภาษิต สว.ตม.จว.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ จนท.ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.บุรีรัมย์ สนธิกำลังกับ สภ.บ้านกรวด, ร้อย ทพ.2604 และ ร้อย ร.213 จับกุม นายปริญญา ศักดิ์ชัย อายุ 42 ปี ข้อหา "ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ" ตาม ม.64 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ นางยเกีย อายุ 42 ปี ข้อหา "เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่รับอนุญาต" สถานที่จับกุม ถนนรอยต่อจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นำตัวส่ง สภ.บ้านกรวด ดำเนินคดีต่อไป

ปชป.รุก!!! โชว์อีก 8 นโยบายล็อตสอง ชูถ้าเป็น”แกนนำรัฐบาล

อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด  -เรียนฟรีป.ตรี -ตรวจสุขภาพ รักษาฟรี -ชมรมผู้สูงอายุรับ 3 หมื่น -ช่วย sme มีแต้มต่อ -ปลดล็อค กบข. และกองทุนเลี้ยงชีพ เอาเงินไปซื้อบ้านได้-หนุนเกษตรแปลงใหญ่-อกม.มีค่าตอบแทน มั่นใจเรียกคะแนนฐานเสียงหลากกลุ่มทั่วประเทศ

 

11 มี.ค. 2566 เวลา 10.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ บุญญามณี นายอลงกรณ์ พลบุตร ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการนโยบายของพรรค ได้ร่วมกันแถลงเปิด 8 นโยบาย ชุดที่ 2 เพิ่มเติม หลังจากเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการเปิดนโยบายไปแล้ว 8 นโยบาย เพื่อสู้ศึกการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น

 

โดยนายจุรินทร์ กล่าวถึง 8 นโยบายใหม่ ที่ได้ประกาศในวันนี้ ประกอบด้วย

 

นโยบายที่ 1 “อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน”

ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าว หมายถึงชุมชนในเขตเมือง เขตเทศบาล เขตหน่วยการปกครองท้องถิ่น รวมทั้งในพื้นที่ชุมชนของกรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งจะมีทั้งหมดประมาณ 80,000 หมู่บ้าน/ชุมชน และจะมีอินเทอร์เน็ตฟรี รวมกันในหมู่บ้าน/ชุมชน ประมาณ 6 แสนจุด สำหรับห้องเรียน ทั่วประเทศมีประมาณ 350,000 ห้อง โดยจะจัดให้มีอินเทอร์เน็ตฟรีประมาณ 400,000 จุด รวมอินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกห้องเรียน

 

นโยบายที่ 2 “เรียนฟรี ถึงปริญญาตรี สาขาที่ตลาดต้องการ”

จากการสำรวจเบื้องต้น โดย อว. พบว่ามีสาขาที่ตลาดต้องการ มีอยู่อย่างน้อยจำนวน 1.8 แสนคน โดยประมาณ ใน 12 สาขาสำคัญ หากประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนให้มีการเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาด เพื่อให้เรียนจบแล้วมีงานทำ สนองตลาดนำการผลิตทางการศึกษาได้ทันที

 

นโยบายที่ 3 “ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว”

นโยบายนี้มี 2 เรื่องอยู่ในนโยบายเดียวกัน เรื่องที่ 1 คือ รักษาฟรี ที่เป็นมาตรการในการรักษาพยาบาล เรื่องที่ 2 คือตรวจสุขภาพฟรี เป็นมาตรการในการป้องกัน ดังนั้นถ้าพบว่ามีปัญหาสุขภาพก็จะทำการตรวจรักษาได้ทันท่วงที ถือเป็นการต่อยอดนโยบายเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ทำมาตั้งแต่อดีต โดยย้อนไปตั้งแต่ก่อนที่ท่านชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน เป็นเลขารัฐมนตรี ช่วงปี 31-32 เราได้มีการจัดให้มีการรักษาฟรี สำหรับเด็กประถม ผู้นำชุมชน รวมทั้งผู้สูงอายุ ต่อมาเมื่อนายจุรินทร์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี 53 จึงได้ริเริ่มนโยบาย บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี 48 ล้านคน โดยไม่ต้องเสีย 30 บาท และสามารถดำเนินนโยบายนั้นได้ด้วยความราบรื่น เพราะฉะนั้นนโยบายนี้จึงเป็นการต่อยอดในสิ่งที่ได้ทำสำเร็จมาแล้วทั้งหมด เพื่อมาเดินหน้าต่อไป

 

นโยบายที่ 4 “ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน”

ปัจจุบันประเทศไทยมีชมรมผู้สูงอายุที่จดทะเบียนอยู่ประมาณ 30,000 ชมรม และถ้าประชาธิปัตย์เป็นการตั้งรัฐบาลก็จะช่วยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อประโยชน์ทั้งทางด้านสุขภาพ ร่างกาย จิตใจและการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุต่อไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top