Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์’ เผย ผู้ใช้บริการสายสีส้มเตรียมเฮ หลังรฟม. ส่งสัญญาณหั่นราคาตั๋ว ‘สายสีส้ม’ จาก 17-62 บาท เหลือ 15-45 บาท แต่ยังหวั่นเป็นปมต้องแก้ในอนาคต เหตุราคาไม่ตรงกับเอกสารเลือกเอกชนร่วมลงทุน

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte’ ถึงกรณีรฟม.ประกาศปรับลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้ม ระบุว่า

เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ รฟม.ออกมาประกาศก้องว่าจะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจาก 17 - 62 บาท เหลือ 15 - 45 บาท จะทำได้จริงหรือไม่ ต้องติดตาม

หลังจากผมได้เขียนบทความเรื่อง "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง! ค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีส้มพอๆ กับสายสีเขียวที่ กระทรวงคมนาคมแย้งว่าแพง" ไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 ทำให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564

เนื้อหาในบทความของผมสรุปได้ว่าจากเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Request for Proposal หรือ RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ รฟม.ระบุค่าโดยสาร ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 ราคา 17 - 62 บาท ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ถูกกระทรวงคมนาคมแย้งว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง ดังนั้น ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มก็ต้องถือว่าแพงเช่นกัน ผมจึงเรียกร้องให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาลดค่าโดยสารลงมา

ในที่สุด รฟม.ในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ออกโรงมาชี้แจงว่าค่าโดยสารที่ระบุไว้ใน RFP ราคา 17-62 บาทนั้น ใช้เฉพาะให้เอกชนยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนโดยใช้สมมติฐานค่าโดยสารเดียวกันในการคำนวณรายได้จากค่าโดยสาร แต่เมื่อเปิดใช้งานจริง รฟม.จะลดค่าโดยสาร (ช่วงตะวันออก) ลงเหลือ 15 - 45 บาท การชี้แจงดังกล่าวเป็นไปตามที่ผมเรียกร้องให้หั่นค่าโดยสารลงมา เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีส้มได้รับเงินสนับสนุนด้านงานโยธาจากรัฐบาล ดังนั้น รฟม.จึงสามารถทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้

ผมดีใจที่ รฟม.รับปากว่าจะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้ม และเข้าใจดีว่าทำไม รฟม.ต้องออกมาชี้แจงเช่นนั้น

การลดค่าโดยสารให้ต่ำลงจากที่ระบุไว้ใน RFP ถือเป็นครั้งแรกในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐ การประมูลโครงการอื่นที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น การประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง รฟม.ระบุค่าโดยสารใน RFP ราคา 14 - 42 บาท เมื่อเปิดใช้งานจริง รฟม.ก็จะเก็บในอัตรานี้

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ระบุค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มไว้ใน RFP ราคา 17 - 62 บาท แต่ของจริงจะเก็บ 15-45 บาท เป็นเพราะต้องการให้เอกชนยื่นข้อเสนอโดยใช้สมมติฐานเดียวกัน นั่นคือค่าโดยสาร 17 - 62 บาท ถามว่าทำไม รฟม.จึงไม่ระบุให้เอกชนใช้ค่าโดยสารจริงคือ 15 - 45 บาท เป็นบรรทัดฐานเดียวกันในการคำนวณรายได้จากค่าโดยสาร ซึ่งสามารถทำได้ และ รฟม.ได้ทำมาแล้วในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าอื่นทุกโครงการ

ผมเห็นด้วยที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจะถูกลง แต่การลดค่าโดยสารแบบที่ รฟม.กำลังจะทำ จะก่อให้เกิดปัญหาต่อ รฟม. ดังนี้

1.) เอกชนผู้ชนะการประมูลจะขอลดผลตอบแทนที่เขาจะแบ่งให้ รฟม. เนื่องจากเขาคำนวณผลตอบแทนโดยใช้อัตราค่าโดยสาร 17 - 62 บาท เป็นฐานในการคำนวณ หาก รฟม.ลดค่าโดยสารลง ผลตอบแทนย่อมลดตามลงด้วย ด้วยเหตุนี้ รฟม.พร้อมจะรับผลตอบแทนน้อยลงหรือไม่?

2.) เอกชนผู้แพ้การประมูลจะร้องขอความเป็นธรรมจาก รฟม. เขาอาจอ้างว่าเขาสามารถเพิ่มผลตอบแทนแก่ รฟม. ให้สูงกว่าผลตอบแทนของผู้ชนะการประมูลที่ลดลงมาแล้วก็ได้ เพื่อทำให้เขาเป็นผู้ชนะการประมูล

หาก รฟม.ระบุอัตราค่าโดยสารใน RFP ให้ตรงกับความเป็นจริงที่จะใช้เมื่อเปิดเดินรถไฟฟ้า ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้น

การออกมาชี้แจงเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ รฟม.หรือไม่? แต่ปัญหาที่จะเกิดตามมาและรออยู่ข้างหน้า รฟม.จะทำอย่างไร? รวมถึงกรณีที่มีการแก้หลักเกณฑ์การประเมินคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มหลังจากปิดการขาย RFP แล้ว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ปัญหาเหล่านี้จะสร้างความยุ่งยากให้แก่ รฟม.ในภายหลังอย่างแน่นอน

ผมดีใจล่วงหน้าแทนผู้โดยสารรถไฟฟ้าที่จะจ่ายค่าโดยสารถูกลง แต่ก็เห็นใจ รฟม.จริงๆ ที่ต้องออกมาชี้แจงเช่นนี้

ข้อสงสัยและข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2270173689794188&id=232025966942314

‘ยูเออี’ จ่อเปิดสถานทูตใน ‘อิสราเอล’ ครั้งแรก หลังร่วมลงนามข้อตกลงด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การเปิดเที่ยวบินตรง เล็งส่ง ‘เอมิเรตส์-เอทิฮัด’ บินตรงลงเมืองเทลอาวีฟในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021

บัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี (UAE) กล่าวว่าคณะรัฐมนตรีของยูเออี ได้อนุมัติการก่อตั้งสถานทูตของประเทศในเมืองเทลอาวีฟของอิสราเอลแล้ว

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอาทิตย์ (24 ม.ค.) ซึ่งมีรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และเชค มูฮัมหมัด บิน รอชิด อัล มักตูม (Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum) เจ้าผู้ครองนครดูไบเป็นประธาน

ยูเออีและอิสราเอลได้ปรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีสู่ระดับปกติหลังจากลงนามในข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accord) เมื่อเดือนกันยายนปี 2020 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ

นับแต่นั้นเป็นต้นมา คณะผู้แทนหลายกลุ่มจากยูเออีและอิสราเอลได้พบปะกันเพื่อลงนามข้อตกลงทวิภาคีว่าด้วยการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว การเปิดเที่ยวบินตรง ความมั่นคง การโทรคมนาคม เทคโนโลยี พลังงาน ระบบดูแลสุขภาพ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การจัดตั้งสถานทูต และประโยชน์ร่วมกันด้านอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน คาดว่าสายการบินหลักของยูอีเอหลายสาย เช่น เอมิเรตส์ (Emirates) และเอทิฮัด (Etihad) จะเริ่มเปิดเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ไปยังเมืองเทลอาวีฟในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 หลังทั้งสองประเทศได้ลงนามข้อตกลงด้านการบินฉบับหนึ่งไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะอนุญาตให้มีเที่ยวบินระหว่างกันสูงสุดถึง 112 เที่ยวต่อสัปดาห์


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/pol/171743_20210125

‘สมคิด จิรานันตรัตน์’ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม.

รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง และล่าสุดกับ ‘เราชนะ’ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Chao Jiranuntarat’ เตือนสติคนไทยถึงเหตุผลที่แท้จริงของการปล่อยแต่ละโครงการเยียวยาจากรัฐว่า...

ในยามวิกฤติ ประเทศจะรอดได้ คนพอมีต้องยอมเสียสละ และเอาResources ที่น้อยอยู่แล้วไปช่วยคนที่ขาดแคลนที่สุด

แต่วันนี้ทุกคนอยากได้หมด แล้วเรียกร้องไปเอา Resources ในอนาคตมาใช้ โดยไม่ยอมรับรู้ว่าเราจะสร้างความสามารถในการใช้คืน Resources ในอนาคตได้อย่างไร ภาระหนักจะตกกับรุ่นหลัง แล้วลูกหลานเราจะอยู่ได้อย่างไร

เราควรต้องแก้ปัญหาที่หมักหมมด้วย เพราะมันเป็นสนิมกัดกร่อนประเทศมานาน เช่น การคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่กี่รัฐบาลพยายามกันมาก็แก้ไม่ได้ เพราะมันซับซ้อนมากกว่าที่จะพูดอย่างเดียว มันกินลึกเข้าไปถึงรากเหง้าของสังคมเสียแล้ว การให้เงินใต้โต๊ะ การอยากได้สิทธิพิเศษ การอยากได้ตำแหน่ง การฮั้วกัน แม้กระทั่งการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ก็ถือเป็นการคอร์รัปชันด้วยเช่นกัน แล้วเรามัวแต่พูด ทั้ง ๆ ที่โดยไม่รู้ตัว เราก็เป็นส่วนหนึ่งของการคอร์รัปชันไปแล้ว

ทางเดียวที่ผมพอจะเห็นทางออก คือ ความโปร่งใส ค่านิยม และ การบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ซึ่งเราควรเริ่มที่ความโปร่งใสก่อน โดยการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และไร้กระดาษมากขึ้น แล้วควรส่งเสริมค่านิยมที่ไม่ยอมรับการฉ้อฉล ไม่เลือกนักการเมืองที่คดโกง เต่าล้านปี และใช้เทคโนโลยีมาช่วยประจานให้สังคมรับรู้เรื่องที่ไม่ชอบมาพากล

คนไทยทุกคนอยากเห็นประเทศพัฒนา แต่พอเห็นประโยชน์ตรงหน้า หลายคนก็ชอบไปทางลัด วิกฤติที่เราเจอโควิดวันนี้แหละ จะสะท้อนให้เห็นว่าสังคมและคนไทยจะเดินหน้าอย่างไร


ที่มา: เฟซบุ๊ก Chao Jiranuntarat

‘นพ.ยง ภู่วรวรรณ’ อัปเดต ‘วัคซีนโควิด’ ทั่วโลกฉีดแล้ว 66 ล้านโดส ขณะที่อิสราเอลฉีดให้ประชากรมากสุด เริ่มพบสัญญาณที่ดี หลังผู้สูงอายุเกิน 60 ปี มีอัตราป่วยลดลง

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับ “วัคซีนโควิด-19” โดยมีเนื้อหาว่า

โควิด 19 วัคซีน

ขณะนี้ทั่วโลก มีการให้วัคซีนไปแล้ว มากกว่า 66 ล้านโด๊ส

ประเทศที่ให้วัคซีนเป็นอัตราส่วนของประชากรมากที่สุด คือ อิสราเอล

ประชากรได้รับวัคซีนไปแล้ว 1 โดส ถึง 1 ใน 3 วัคซีนที่ใช้ เป็นของ บริษัทไฟเซอร์

รองลงมาเป็นประเทศ อาหรับเอมิเรตส์ให้ไปแล้วถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร โดยใช้วัคซีนของจีน Sinopharm

การติดตามผลของวัคซีนในอิสราเอล เริ่มเห็นผลแล้วว่าผู้สูงอายุที่เกินกว่า 60 ปีมีอัตราป่วยลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนในการใช้จริง จะเริ่มเห็นผลและมีรายงานออกมาในไม่ช้านี้ โดยเฉพาะในประเทศอิสราเอล และ อาหรับเอมิเรตส์

สำหรับในประเทศอังกฤษ ก็มีการให้วัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ให้ให้เป็นเข็มแรกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากร

ส่วนในสหรัฐอเมริกาให้ไปแล้วประมาณ 5% ของประชากร

ผลการศึกษาต่างๆในการให้สภาพจริง จะมีตามมาในไม่ช้านี้


ที่มา : เพจ Yong Poovorawan

https://www.facebook.com/yong.poovorawan?fref=nf

‘ธนกร’ เดือด อัดเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจบิดเบือนใส่ร้าย ‘บิ๊กตู่’ ลั่นรัฐบาลไม่เคยอ้างสถาบันปิดบังความผิดตัวเอง มีแต่ปกป้องสถาบันตลอดมา เตือนใครหยิบข้อมูลเท็จไปอภิปราย ระวังหอกพุ่งกลับใส่ตัว

‘ธนกร’ เดือด อัดเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจบิดเบือนใส่ร้าย ‘บิ๊กตู่’ ลั่นรัฐบาลไม่เคยอ้างสถาบันปิดบังความผิดตัวเอง มีแต่ปกป้องสถาบันตลอดมา เตือนใครหยิบข้อมูลเท็จไปอภิปราย ระวังหอกพุ่งกลับใส่ตัว

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า รัฐบาลไม่ได้กังวลอะไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้มีปัญหาการทุจริตคอรัปชันเหมือนรัฐบาลในอดีต

แต่สิ่งหนึ่งที่ตนไม่สบายใจคือ เนื้อหาในญัตติหลายเรื่องสวนทางกับความเป็นจริง โดยเฉพาะการไม่ยึดมั่นและศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข นำสถาบันมาเป็นข้ออ้างแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเองนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นความจริงเลย ฝ่ายค้านมีเจตนาพิเศษ เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อโจมตีรัฐบาลมากกว่า

ธนกร ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลยึดมั่นและศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่มีพรรคฝ่ายค้านบางพรรคพยายามจะแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน แก้มาตรา 112 ใครกันแน่ไม่ยึดมั่น ส่วนที่บอกว่านำสถาบันมาเป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกประชาชนนั้นก็ไม่เป็นความจริง

เพราะรัฐบาลและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยึดมั่นและเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มีเครือข่ายของบางพรรคออกไปปลุกปั่นให้มีการแก้ไขมาตรา112 แกนนำคณะราษฎรมีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนไทยทั้งประเทศไม่ยอม

และสุดท้ายที่กล่าวหารัฐบาลแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เป็นการใส่ร้ายรัฐบาลด้วยข้อมูลเท็จ เพราะรัฐบาลนี้ไม่เคยกระทำ ไม่เคยแอบอ้างสถาบัน มีแต่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ ยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

ทั้งนี้ ตนผิดหวังมากที่เนื้อหาในญัตติเป็นแบบนี้ อยากจะเตือนไว้ว่า ใครอภิปรายประเด็นเหล่านี้ระวังเจอสวนกลับด้วยข้อเท็จจริงจนหน้าแหก หมอไม่รับเย็บ เพราะทุกอย่างไม่ใช่ข้อเท็จจริง

กระทรวงการคลัง โชว์ตัวเลขยอดใช้จ่ายคนละครึ่งทะลุ 7.1 หมื่นล้านบาท จากจำนวนคนใช้สิทธิกว่า 13 ล้านคน พร้อมย้ำให้ผู้ได้รับสิทธิรอบเก็บตกรีบใช้จ่ายภายใน 14 วัน ก่อนโดนตัดสิทธิ

26 ม.ค.2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 24 ม.ค. 2564 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 13,655,380 คน

โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 71,323 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 36,488 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 34,835 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ตามลำดับ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้ายังคงสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 รอบเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ที่ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ จะสามารถใช้จ่ายในโครงการได้ระหว่างวันที่ 25 ม.ค. – 31 มี.ค. 2564 และต้องเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ครั้งแรกภายใน 14 วัน หรือภายในวันที่ 7 ก.พ. 2564 มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ

“ขอให้รีบดำเนินการยืนยันตัวตน ซึ่งสามารถดำเนินการเองได้โดยง่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือดำเนินการผ่านตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทยกว่า 3,300 ตู้ทั่วประเทศ โดยสามารถค้นหาตำแหน่งของตู้เอทีเอ็มสีเทาได้ใน Google Maps โดยพิมพ์คำว่า ATM กรุงไทย ยืนยันตัวตน โดยไม่จำเป็นต้องไปยืนยันตัวตนที่สาขาของธนาคารกรุงไทยเพียงช่องทางเดียว” นางสาวกุลยา กล่าว

อย่างไรก็ดี ในส่วนของประชาชนที่ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิช็อปดีมีคืนได้

ข้อมูลจากหน่วยงานท่าเรือนครถังซาน มณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน ระบุว่าท่าเรือถังซานมีปริมาณการขนส่งสินค้าสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของบรรดาท่าเรือชายฝั่งทั่วโลก ในปี 2020 โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 702 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบปีต่อปี

ท่าเรือถังซานประกอบด้วยพื้นที่ท่าเรือ 2 ส่วน ได้แก่ จิงถังและเฉาเฟยเตี้ยน โดยมีปริมาณขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าผ่านท่าจิงถังมากกว่า 2.3 ล้านทีอียู (TEU: หน่วยนับสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ความยาว 20 ฟุต) ขณะที่ท่าเฉาเฟยเตี้ยนอยู่ที่มากกว่า 800,000 ล้านทีอียู

ถังซาน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน 150 กิโลเมตร และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลโป๋ไห่ เชื่อมต่อท่าเรือภายในประเทศ 39 แห่งใน 9 มณฑลของจีน และท่าเรืออีกมากกว่า 190 แห่งในกว่า 70 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยมีเส้นทางเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้า 41 เส้นทาง ครอบคลุมท่าเรือชายฝั่งหลักๆ ของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ท่าเรือถังซานมีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 493 ล้านตัน มาเป็น 702 ล้านตัน และมีปริมาณขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 1.52 ล้านทีอียู มาเป็น 3.12 ล้านทีอียู โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ร้อยละ 7 และร้อยละ 17.5 ตามลำดับ


ที่มา: xinhuathai

https://www.facebook.com/1660335044182511/posts/2864949053721098/

ภูมิภาคย่างกุ้งของเมียนมาเริ่มกระบวนการเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยมีวัคซีน ‘โควิชีลด์’ (Covishield)

ภูมิภาคย่างกุ้งของเมียนมาเริ่มกระบวนการเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยมีวัคซีน ‘โควิชีลด์’ (Covishield) ชุดแรกถูกขนส่งถึงเมียนมาเมื่อวันที่ 22 ม.ค. และจะเริ่มฉีดให้ประชาชนราว 750,000 คนภายในสัปดาห์นี้

อนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขและกีฬาของเมียนมาระบุว่าเมียนมามีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 137,574 ราย เมื่อนับถึงวันอาทิตย์ (24 ม.ค.)

สำหรับ วัคซีน ‘โควิชีลด์’ (Covishield) เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผลิตจากสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ที่เมืองปูเน่ รัฐมหาราษฎระ ที่พัฒนาโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ


อ้างอิง: China Xinhua News

https://www.facebook.com/1660335044182511/posts/2864901813725822/

เปิดเผยแล้ว! โควต้าจำนวนผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการฉีดวัคซีนล็อตแรก เคาะตัวเลขออกมากว่า 19 ล้านคน มีกลุ่มไหนที่จะได้ฉีดวัคซีนก่อนใครกันบ้าง ลองไปเช็กดูกัน

แม้จะยังเป็นช่วง ‘รอ’ วัคซีนโควิด -19 ไม่ว่าจะเป็นกรณีของวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการยื่นเอกสารขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือแม้แต่การสั่งจองวัคซีน (ยี่ห้ออื่นๆ) เพิ่มเติม แต่ล่าสุด ที่มีการอนุมัติออกมาแน่นอนแล้ว นั่นคือ ตัวเลขของประชาชนกลุ่มผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงวัคซีนก่อนใคร

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยถึงมติอนุคณะกรรมการอำนวยการการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา มีรายละเอียดว่า ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ในช่วงแรก มีจำนวนกว่า 19,014,154 คน

ทั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด -19, ผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ละกลุ่มจะได้รับโควต้าในจำนวนเท่าไร ลองตามไปเช็กกันดู

VinFast ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเวียดนาม รุกคืบอีกก้าว เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ 3 รุ่น พร้อมเจาะตลาดต่างแดนด้วย

VinFast เป็นบริษัทในเครือของ Vingroup ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม โดยเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์เมื่อ 3 ปีก่อน มีโรงงานผลิตรถยนต์ในจังหวัดทางตอนเหนือของไฮฟอง รวมทั้งมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในออสเตรเลีย, เยอรมนี และสหรัฐฯ โดดเด่นจากการเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ที่คนทั้งโลกจับตามอง

ล่าสุดจากรายงานข่าวของสำนักข่าว VnExpress ได้ระบุว่า VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ VinFast จะก้าวขึ้นเป็นค่ายรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่น

ความน่าสนใจ คือ รถรุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นมีชื่อว่า VF31 รถยนต์ไฟฟ้าตัวถังครอสโอเวอร์ C-Segment, VF32 รถครอสโอเวอร์ D-Segment และ VF33 รถครอสโอเวอร์ D-Segment เป็นรถยนต์ที่มีระบบขับขี่ด้วยตนเองหลายระบบ รวมถึงระบบช่วยบังคับเลี้ยว การควบคุมเลนแบบปรับอัตโนมัติ และที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งรถสามารถหาจุดจอดของตัวเองและคนขับสามารถเรียกรถให้ขับมาหาได้

อย่างไรก็ตามการเปิดตัวดังกล่าว มี 2 ใน 3 รุ่นที่เป็นระบบเชื้อเพลิง โดยรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง VF31 สามารถวิ่งได้ 300-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่น ขณะที่รุ่น VF32และVF33จะมาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติเลเวล 2 และ 3 รวมถึงตัวท็อปของทั้ง 3 รุ่นจะได้รับ Autopilot Lv.4 พร้อมฟังก์ชั่นเรียกรถ-นำรถจอดอัตโนมัติ ซึ่งทำงานร่วมกันระหว่างกล้อง 14 ตัว, เซ็นเซอร์ 360 องศา19 ตัว และเซ็นเซอร์ LiDAR ที่ไม่เปิดเผยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรายละเอียดที่เหลือจะเปิดเผยเพิ่มเติมในลำดับต่อไป

ทั้งนี้รถยนต์ที่วางเซ็กเม้นท์ไว้เป็นรุ่นพรีเมียม คาดว่าจะมีกล้อง 14 ตัว ที่สามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ห่างออกไปได้เกือบ 690 เมตรและทาง VinFast ยังได้อ้างอีกว่า ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองของตน เร็วกว่ารุ่นรถขับเคลื่อนด้วยตนเองที่มีอยู่ในตลาดแปดเท่า

VinFast กล่าวว่า รถยนต์เหล่านี้มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในโลก รวมถึงการจัดอันดับห้าดาวของสำนักงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ และการจัดอันดับห้าดาวของโครงการประเมินรถใหม่ของยุโรป

สำหรับ VF31 รุ่นมาตรฐานสามารถสั่งซื้อได้ในเวียดนามตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้และจะส่งมอบในเดือนพฤศจิกายน ส่วนรุ่น VF32 และ VF33 ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่เดือนกันยายนและการจัดส่งจะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ขณะเดียวกันบริษัทจะขายรถยนต์เหล่านี้ในสหรัฐ, แคนาดาและสหภาพยุโรปด้วย โดยเปิดรับออเดอร์ในเดือนพฤศจิกายนและส่งมอบในเดือนมิถุนายนปีหน้า

ส่วนในอนาคต VinFast จะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยด้วยหรือไม่นั้น ก็ต้องรอติดตามชมกัน


อ้างอิง:

https://www.carscoops.com/2021/01/vinfast-shows-off-three-new-evs-plans-to-come-to-the-us-in-2022/

https://www.posttoday.com/world/643481


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top