Monday, 10 February 2025
NEWS FEED

คนเป็นหนี้ต้องรู้!! แบงก์ชาติ ผสานสถาบันการเงิน ขยายระยะเวลาให้ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดระลอกใหม่ สามารถสมัครรับความช่วยเหลือ พร้อมให้ผู้ให้บริการทางการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกช่วยลูกหนี้ผ่านช่วงวิกฤติ

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้น ธปท. จึงขอให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (ผู้ให้บริการทางการเงิน) เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ขยายเวลาให้ลูกหนี้รายย่อยสมัครรับความช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 (จากเดิมที่ครบกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2563) โดยลูกหนี้สามารถสมัครขอรับความช่วยเหลือด้วยตนเอง หรือนายจ้างหรือเจ้าของกิจการสมัครขอรับความช่วยเหลือแทนลูกหนี้ได้ เช่น ในกรณีสินเชื่อสวัสดิการ โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ที่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง เพื่อให้การขอรับความช่วยเหลือของลูกหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันเหตุการณ์

2. ให้ผู้ให้บริการทางการเงินเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทุกประเภท (ลูกหนี้รายย่อย ลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่) ตามความเหมาะสมกับประเภทสินเชื่อและคำนึงถึงความเสี่ยงของลูกหนี้ จำแนกตามลักษณะธุรกิจและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีแนวทางต่าง ๆ ดังนี้

2.1 ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เช่น ลดค่างวด ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุวงเงินหรือคงวงเงิน เปลี่ยนประเภทหนี้จากสินเชื่อระยะสั้นเป็นสินเชื่อระยะยาว ปลอดชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยชั่วคราว ลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าอัตราตลาด เป็นต้น

2.2 ให้เงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติม

2.3 พิจารณาชะลอการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก. soft loan

2.4 ผ่อนปรนเงื่อนไขอื่นตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือควรรีบติดต่อศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า (call center) ของผู้ให้บริการทางการเงินแต่ละแห่งได้โดยตรง หรือ โทร 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. หรือผ่าน "ทางด่วนแก้หนี้" เว็บไซต์ https://www.1213.or.th/App/DebtCase

ธปท. จะติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ ธปท. สามารถทบทวนมาตรการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป

รัฐบาล ยืนยัน ห่วงใยพระสงฆ์ช่วงโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ย้ำขอให้ยึดหลักปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม ปรับศาสนกิจสู่วิถีใหม่ งดรับกิจนิมนต์พื้นที่เสี่ยง งดกิจกรรมบรรพชา-อุปสมบทหมู่ และงดจัดงานบุญที่มีคนร่วมงานจำนวนมาก

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับพระภิกษุ-สามเณรว่า นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุ-สามเณร หลังปรากฏข่าวพระภิกษุสงฆ์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องปรับวิถีปฏิบัติศาสนกิจในลักษณะ New Normal

โดยยึดหลักปฏิบัติตามมติของมหาเถรสมาคม (มส.) อาทิ การงดรับกิจนิมนต์ในจังหวัดที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 งดการจัดกิจกรรมงานบรรพชาสามเณร และงานอุปสมบท ประจำปี 2564 รวมทั้งให้งดจัดกิจกรรมทางพระศาสนาที่มีประชาชนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เช่น การจัดงานวัด งานบุญประจำปี และงานบุญประเพณีต่างๆ ส่วนการออกบิณฑบาตหรือกิจกรรมภายในวัด การทำวัตรเช้า-เย็น การรับถวายภัตราหารหรือสิ่งของ ยังทำได้ตามปกติ เพียงแต่พระภิกษุ-สามเณร และพุทธศาสนิกชน จะต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างกัน และงดให้ศีลให้พร

ขณะที่งานศพซึ่งเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข แต่หากเป็นศพของผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ไม่ให้มีการเปิดศพ และให้สวดอภิธรรมจากรูปถ่ายแทน

นายชาญกฤช เปิดเผยถึงการแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 แก่พระภิกษุสงฆ์ว่า ที่ผ่านมาภาคเอกชนและประชาชนได้บริจาคแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้กระจายแจกจ่ายไปยังวัดต่างๆ โดยให้เน้นวัดที่มีความเสี่ยงก่อน ทั้งนี้ หากพบพระภิกษุ-สามเณรมีอาการผิดปกติ ไข้ขึ้นสูง ให้รีบไปพบแพทย์หรือโทรแจ้งสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 เพื่อขอรับข้อมูลและความช่วยเหลือ

รัฐบาล ย้ำขณะนี้ยังอยู่ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และพ.ร.บ. โรคติดต่อ ขอความร่วมมือประชาชน หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน หวั่นการชุมนุมทางการเมือง เป็นเหตุแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องด้วยขณะนี้ยังมีความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ เพื่อควบคุมโรคระบาดอยู่ ดังนั้นรัฐบาลจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนได้หลีกเลี่ยงการรวมตัวกันโดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเวลานี้ ซึ่งรัฐบาลขอขอบคุณประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการร่วมมือกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างดียิ่ง

นอกจากนี้ รัฐบาลก็กำลังเร่งพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้ รวมถึงการเร่งเตรียมการในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขั้นต่อไป ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่อยากเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจากเหตุของการรวมตัวกันเพื่อชุมนุมทางการเมืองในช่วงนี้

จึงขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือสื่อมวลชนได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการรวมตัวกันด้วยอีกทางหนึ่ง

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ จ่อบุกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอีกรอบ จี้สอบ กอ.รมน. กรณีโซลาร์เชลล์แม่ฮ่องสอน มูลค่ากว่า 45 ล้านบาท ถูกทิ้งร้าง ชี้เข้าข่ายมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีเพจชื่อดังรายงานว่า โครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของ กอ.รมน. มีสภาพทิ้งร้างในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเพจดังกล่าวได้รายงานว่าเป็นโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยติดตั้งเป็นระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 3 จำนวน 20 ระบบ 20 หมู่บ้าน จุดละประมาณ 2 ล้านกว่าบาท รวม 45,590,000 บาท ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 จุด และจังหวัดตาก 8 จุด เมื่อปี 2561 ซึ่งผ่านมากว่า 2 ปี มีพลเมืองดีไปตรวจสอบพบว่า ทุกจุดอยู่ในสภาพไม่ได้ใช้งาน บางแห่งอยู่ในสภาพทิ้งร้างนั้น

กรณีดังกล่าวอาจมีลักษณะใกล้เคียงกับโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลค่าและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไปหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบราคากับกรณีของพิมรี่พาย ที่ไปดำเนินการที่หมู่บ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้นำความไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบไปแล้วเมื่อ 13 ม.ค.34 ที่ผ่านมา

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการที่ กอ.รมน.ดำเนินการที่ จ.แม่ฮ่องสอนและ จ.ตาก ดังกล่าวเกินระยะเวลามากว่า 2 ปีแล้วจึงน่าจะเกินเวลาของการประกันผลงานตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่า ไม่มีผลสัมฤทธิ์ หรือไม่มีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด และอาจขัดต่อ พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 และ พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 หรืออาจมีการกระทำการอันเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือการใช้จ่ายเงินแผ่นดินของ กอ.รมน. ที่อาจมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือไม่ด้วย

“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความพร้อมหลักฐานไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ให้ตรวจสอบโครงการโชลาร์เชลล์ทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าวว่าเหตุใดจึงปล่อยทิ้งร้างและเสียหายและดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร หากพบว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมายต่อไป และจะนำหลักฐานกรณีโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ไปมอบเพิ่มเติมให้ สตง.ตรวจสอบเพิ่มเติมอีกด้วย โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 18 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซ.อารีย์ พญาไท กทม. “ นายศรีสุวรรณ กล่าว

"รองโฆษกพรรคกล้า" ดักคอพวกสีเทาค้านคาสิโนถูกกฎหมาย กลัวกระทบผลประโยชน์ ฝากถึง "สิระ" สาปแช่งคนเห็นต่างไม่ใช่การเมืองสร้างสรรค์ ย้อนเกล็ดเป็น ส.ส.มาปีกว่า แต่กลับมีบ่อนผุดในเขตหลักสี่ เพิ่งจับได้หลังโควิดระบาดระลอกสอง

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี ส.ส.บางคน ออกมาคัดค้านข้อเสนอของพรรคกล้าให้มีการพนันถูกกฎหมายว่า ต้องรับฟังความเห็นรอบด้าน ฝ่ายที่แสดงความเห็นต่างโดยสุจริตนั้นน่ารับฟัง แต่ก็จะมีพวกที่ค้านเพราะมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ เช่น นักการเมือง คนในเครื่องแบบ ที่มีผลประโยชน์อยู่กับบ่อนเถื่อนในเมืองใหญ่ หรือมีหุ้นกับคาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ออกมาคัดค้านด้วยการสาปแช่งและท้าให้ข้ามศพไปก่อน รองโฆษกพรรคกล้า มองว่า เป็นการใช้วาทกรรมการเมืองที่รุนแรง ไม่สร้างสรรค์ ผลักคนเห็นต่าง ไม่ได้นำสังคมไปสู่การหาข้อสรุปร่วมกัน จึงรู้สึกเห็นใจพรรคพลังประชารัฐที่มีลูกพรรคแบบนี้ และขอให้ยอมรับความจริงว่า บ่อนเถื่อนคือปัญหาผลประโยชน์คนมีสี เกิดการมั่วสุมแพร่โรคระบาด หากนายสิระเกลียดบ่อนจริง ทำไมเป็น ส.ส.มาปีกว่า แต่บ่อนแจ้งวัฒนะ 14 เขตหลักสี่ เพิ่งโดนจับหลังโควิดระบาดระลอกสอง เมื่อเดือนที่แล้ว

นายแสนยากรณ์ กล่าวย้ำว่า พรรคกล้ามีเจตนาให้การพนันเป็นพิษภัยกับสังคมให้น้อยที่สุด ด้วยการนำเข้ามาอยู่ในการควบคุมของรัฐ ซึ่งนอกจากการจัดการปัญหามั่วสุมแพร่ระบาดโรคติดต่อได้แล้ว ยังป้องกันเงินไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากพบว่านักพนันส่วนใหญ่ในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านกว่าร้อยละ 90 เป็นคนไทย เงินไหลออกนอกประเทศปีละไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ จึงเชื่อว่าหากอยู่ในการควบคุมของรัฐ จะก่อให้เกิดทั้งการสร้างรายได้ ตัดตอนผู้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เปลี่ยนส่วยเป็นภาษีพัฒนาประเทศ

นายกรัฐมนตรี ดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ‘เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว’ เครื่องจักรตัวใหม่ขับเคลื่อนประเทศ ตั้งเป้าเพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการประชุมเพื่อพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569  พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลของการพัฒนาดังกล่าวต้องแลกด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ เกิดของเหลือทิ้งที่สร้างมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ จึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา

ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะ “ทำมากได้น้อย” เนื่องจากไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรได้เต็มศักยภาพ เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เป็นอย่างมาก

โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG"  หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่พัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทยคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นการเชื่อมโยงหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป็นการสานพลังของจตุภาคีทั้งภาคประชาชน เอกชน หน่วยงานภาครัฐ และเครือข่ายต่างประเทศ โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทำหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและวัฒนธรรม

กิจกรรมหลักภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย (1) อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา เพิ่มพูนทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (2) บริหารจัดการ การใช้ประโยชน์และบริโภค อย่างยั่งยืน (3) ลดและใช้ประโยชน์ของทิ้งจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ (4) สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่ภาคเกษตรที่เป็นต้นน้ำ จนถึงภาคการผลิตและบริการ และ (5) สร้างภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเอง และเพิ่มสมรรถนะในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569  อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4  สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์  3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2561 รวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีการจ้างแรงงานรวมกัน 16.5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการจ้างงานรวมของประเทศ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน  

“ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มีศักยภาพเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 6 ปีข้างหน้า และการรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุลระหว่างการมีอยู่และใช้ไปเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ BCG Model คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”

คณะกรรมการบริหารโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์

ธรรมชาติไม่ใช่เพียงทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้แล้วหมดไป แต่ธรรมชาติจะเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและทุกสรรพสิ่งบนโลก เป็นพื้นฐานของความอยู่ดีกินดีของมนุษย์รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำตามหลักการหมุนเวียน

ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่

ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้นการตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่เป็นอันดับแรก ใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งของ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดและยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

นำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมายกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ หรือการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ยกระดับมาตรฐานและให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นลักษณะเศรษฐกิจแบบ “ทำน้อยได้มาก” แทน

ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

เน้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปเพิ่มศักยภาพของชุมชน ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต/บริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ ที่ประชุมฯได้เห็นชอบกรอบแผนยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ยกเป็น “วาระแห่งชาติ” สำหรับการดำเนินวิถีชีวิตใหม่หลังการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (Post COVID-19 Strategy) พร้อมให้นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้าคือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ การแปรปรวนของภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดลงของทรัพยากร ด้วยเหตุนี้การพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะสามารถสร้างการพัฒนาอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังเปลี่ยนแรงกดดันหรือข้อจำกัดเป็นพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการเร่งรัดพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัว และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว”

17 มกราคม พ.ศ. 2417 ‘อิน-จัน’ แฝดสยามที่สร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลก เสียชีวิตลงในวัย 63 ปี

วันนี้เมื่อกว่า 147 ปีมาแล้ว ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง เมื่อ ‘อิน-จัน’ แฝดสยามที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เสียชีวิตลงในวัย 63 ปี

แม้เวลาจะผ่านมานานนับร้อยปี แต่ชื่อเสียงของ ‘อิน-จัน’ ยังคงถูกพูดถึงกันอยู่เสมอ พวกเขาเป็นฝาแฝดที่มีลักษณะแปลกไปกว่าแฝดทั่วไป ที่ไม่ใช่เพียงมีใบหน้าที่เหมือนกัน แต่พวกเขายังมีร่างกายส่วนบนติดกัน

‘อิน - จัน’ เกิดที่จังหวัดสมุทรสงคราม ในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยมีบิดาเป็นชาวจีนอพยพ และมารดาเป็นคนไทย โดยทั้งคู่มีร่างกายที่ติดกันมาตั้งแต่แรกเกิด ตามปกติของฝาแฝดลักษณะนี้ มักจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่อิน-จันกลับสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเรื่อยมา

วันหนึ่งมีชาวต่างชาติมาพบพวกเขาเข้า ด้วยความแปลกที่ไม่เคยพบเจอที่ไหน อิน-จัน จึงถูกพาออกเดินทางไปโชว์ตัวไกลถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากวันนั้น พวกเขาก็ออกตระเวณโชว์ตัวไปทั่วเป็นเวลานับ 10 ปี ในที่สุดจึงได้ไปลงหลักปักฐานชีวิตอยู่ต่างประเทศ พร้อมกับมีลูกหลาน และไม่ได้กลับมายังประเทศไทยอีกเลย

แม้จะมีร่างกายที่ติดกัน แต่ทั้งคู่มีนิสัยที่แตกต่างกัน อิน เป็นคนใจเย็น สุขุม ส่วนจันเป็นคนอารมณ์ร้อน และชอบดื่มเหล้า ทำให้เขามีโรคประจำตัวหลายโรค กระทั่งเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2417 จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว ๆ 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วย ผลจากการชันสูตร ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้วผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อกนั่นเอง

ความโด่งดังของแฝดสยามคู่แรกที่มีร่างกายติดกัน ทำให้ปัจจุบันที่พิพิธภัณฑ์ Mutter เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ยังเก็บ ‘ตับ’ ของทั้งคู่เอาไว้ ส่วนข้าวของเครื่องใช้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกาเช่นกัน ส่วนที่ประเทศไทยมีการสร้างอนุสรณ์สถานแฝดสยามอิน-จัน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเป็นการระลึกถึงฝาแฝดที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก

เกินกว่าเหตุหรือไม่ ? “พล.ต.ต.สุพิศาล” ตั้งคำถาม กรณีการจับกุม นศ.-ประชาชน ร่วมกิจกรรมเขียนป้ายผ้า หวั่นอาจยิ่งเติมลมโหมกระหน่ำกองไฟ ชี้ตำรวจเพื่อประชาชนจะไม่ทำแบบนี้

พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการจับกุมตัว นักศึกษาและประชาชนที่มาร่วมกันเขียนป้ายผ้า ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิว่า เกินกว่าเหตุหรือไม่?

โดยระบุด้วยว่า “น้องๆ ตำรวจทั้งหลายครับ ผมว่าน้องๆ คงต้องมาทำหน้าที่เพราะมีอำนาจ ที่ประชาชนมอบให้นะครับ การจับกุมแบบใช้แนวคิดการบังคับใช้กฎหมายนั้น มิได้แก้ไขปัญหาในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ การแสดงออกขั้นพื้นฐานของปวงชนคนไทย น้องๆ คงรู้แก่ใจดีว่า การบุกรวบตัว จับกุมตัวนักศึกษาและประชาชนที่มาทำกิจกรรมเขียนป้ายผ้าวันนี้นั้น “เกินกว่าเหตุ”หรือไม่ ? และนี่อาจจะเป็นการเติมลมโหมกระหน่ำกองไฟให้ลุกลามบานปลายใหญ่โตได้

“แค่กิจกรรมเขียนป้ายผ้า แค่การแสดงออก แค่การแสดงความคิดเห็น อันเป็นพื้นฐานประชาธิปไตยของพวกเราคนไทยทุกคน น้องๆ ตำรวจทั้งหลายทำราวกับพวกเขากำลังก่ออาชญากรรมร้ายแรง เป็นอาชญากรที่ต้องจับกุมตัวให้ได้ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตาม ตำรวจเพื่อประชาชนจะไม่ทำแบบนี้

กระบวนการขั้นตอนต้องเป็นไปตามหลักรัฐศาสตร์มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในการทำหน้าที่ของตำรวจไม่ใช่การใช้กำลังที่เหนือกว่าอย่างโกรธแค้น รุนแรง หิ้วร่างลากถูไปเช่นนี้ พูดคุยสิครับ แจ้งข้อกล่าว อันเป็นความผิดซึ่งหน้าที่มีอำนาจ แล้วบอกว่าพวกเขาว่าถูกจับแล้ว จะเอาตัวไปสถานีตำรวจอะไร ตอบประชาชนที่พบเห็นไป ตั้งแต่ก่อนควบคุมตัว ความสุภาพทำได้ครับ ไม่ยากอย่างที่คิด” พล.ต.ต.สุพิศาล ระบุ

อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุด้วยว่า นี่ยังไม่นับถึงเรื่องที่ตำรวจควรต้องทำตาม ป.วิอาญา (ที่ราษฎรไม่รู้อีกมากในระเบียบตำรวจ ซึ่ง ป.วิอาญา กำหนดให้ ตำรวจต้องทำ) ที่ผ่านมา ถามว่าตำรวจผู้จับกุมนักศึกษา ประชาชนเหล่านี้ ได้ไปทำหรือไม่ ภารกิจที่ยังมีอยู่อีกหลายเรื่อง รวมถึงการละเมิด สิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน ตำรวจเองก็ต้องจัดการผู้ละเมิดนั้นด้วยครับ

"ครูโอ๊ะ กนกวรรณ" รมช.ศึกษาธิการ เตรียม MOU ผนึกกำลัง ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข-กระทรวงศึกษาธิการ พัฒนาหลักสูตรกัญชาของ กศน. อย่างครบวงจร สร้างอาชีพ รายได้ สู่วิสาหกิจชุมชนทั่วไทย

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมเดินหน้าทลายทุกข้อจำกัด เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงาน กศน. เตรียมที่จะลงนามความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข-กระทรวงศึกษาธิการ ผนึกกำลังบูรณาการอันเข้มแข็ง ในการพัฒนาหลักสูตรการประกอบธุรกิจอาหารจากกัญชา และกัญชง

ขานรับนโยบาย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมต่อยอดภูมิปัญญาไทยที่มีมาอย่างยาวนาน

"กระทรวงศึกษาธิการ ได้หารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการพัฒนาภูมิปัญญาการใช้กัญชา ในทุกส่วน ใบ ราก ลำต้น และดอก ซึ่งกัญชาเป็นพืชสมุนไพรไทยที่มีมาช้านาน พร้อมต่อยอดสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขทำไว้ดีแล้วได้อย่างไร เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจในหลากหลายโมเดลธุรกิจ และที่สำคัญคือต้องส่งสู่ชาวบ้านให้ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ด้วย

โดยในเร็ว ๆ นี้ จะมีจัดให้มีการลงนามความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข-กระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาหลักสูตรการประกอบธุรกิจอาหารจากกัญชา และกัญชง เพื่ออบรมผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนาธุรกิจอาหาร โดยในระยะแรกจะเน้นไปยังศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนของจังหวัดที่มีวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชา และจะขยายไปต่อในผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชงในที่สุด โดยใช้ต้นแบบอาหารที่ปรุงจากกัญชา ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่มีการเปิดตัวไปแล้วหลายเมนู และได้รับความสนใจจากประชาชน ตลอดจนสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาครูโอ๊ะได้ริเริ่มนำแนวคิดการเรียนรู้ “กัญชา” สู่ระบบการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อสร้างการเรียนรู้และภูมิคุ้มกันที่ดีแก่ผู้เรียน กศน. ร่วมกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และกระทรวงสาธารณสุข โดยพัฒนาเป็นรายวิชากัญชา และกัญชงศึกษา เพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด พร้อมจัดอบรมพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอน และบุคลากร กศน. ให้สามารถจัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียน กศน. ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นมา

พร้อมลงพื้นที่เยี่ยมชมระบบเพาะปลูกกัญชา ของวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชา เพื่อเป็นข้อมูลพัฒนาหลักสูตร กศน.ต่อไป อาทิ โครงการปลูกกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ระบบแปลงปลูกกลางแจ้ง ภายใต้โครงการผลิตและจำหน่ายกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ตำบลบ้านพระ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

‘ไบเดน’ เลือก ‘แทมมี่ ดักเวิร์ธ’ นักการเมืองเชื้อสายไทย-อเมริกัน เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการแห่งชาติของพรรคเดโมแครต โดย ‘เจม แฮร์ริสัน’ จากรัฐเซาท์แคโรไลนา เป็นประธาน

ทีมงานของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ไบเดนเลือกให้พันโทหญิง ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ จากรัฐอิลลินอยส์เชื้อสายไทย-อเมริกัน จากพรรคเดโมแครต เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการแห่งชาติของพรรคเดโมแครต หรือ DNC (Democratic National Committee) ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ เดอะ ชิคาโก ซัน-ไทมส์

ทีมงานของไบเดนยังประกาศด้วยว่า เจม แฮร์ริสัน จากรัฐเซาท์แคโรไลนา จะเป็นประธานของ DNC โดยแฮร์ริสันเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการรัฐเซาท์แคโรไลนาพรรคเดโมแครตมาก่อน โดยปัจจุบันเขาเป็นรองประธานและที่ปรึกษาอาวุโสของ DNC อย่างไรก็ตาม เขาแพ้เลือกตั้งให้วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม จากพรรคริพับลิกันไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ส.ว. ดักเวิร์ธ เคยมีชื่อเข้าชิงเป็นว่าที่รองประธานาธิบดีของไบเดน และเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกชิงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ หรือรัฐมนตรีกระทรวงการทหารผ่านศึกสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

ส.ว. ดักเวิร์ธ จะมีหน้าที่ดูแลงานภายในพรรคเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมในปีค.ศ. 2022 ซึ่งแทมมีเองจะลงเลือกตั้งเพื่อรักษาเก้าอี้วุฒิสมาชิกด้วยเช่นกัน

ทางด้านแฮร์ริสัน ก็ได้รับการสนับสนุนจากประธานพรรคเดโมแครตระดับรัฐทั่วประเทศ รวมถึงการสนับสนุนจากจิม ไคลเบิร์น ประธานวิปส.ส. พรรคเดโมแครต พันธมิตรใกล้ชิดของไบเดนและเป็นชาวผิวดำที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในสภาคองเกรส โดยแฮร์ริสันก็เป็นชาวผิวดำเช่นกัน ซึ่งจะช่วยสร้างความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ให้กับทีมงานของไบเดนได้

แฮร์ริสันวัย 44 ปี เติบโตในย่านยากจนของรัฐเซาธ์แคโรไลนา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล และจบด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ก่อนจะเริ่มมีบทบาททางการเมืองเมื่อทำงานให้กับคณะทำงานวิปของไคลเบิร์น

โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Associated Press เมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า ประสบการณ์ทั้งในระดับรัฐและระดับประเทศ ประสบการณ์ทำงานในรัฐสภา รวมถึงความสัมพันธ์ของเขากับไบเดนและคามาลา แฮร์ริส ทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งประธาน DNC หากได้รับการทาบทามจากไบเดน

ตามธรรมเนียมแล้ว ประธานาธิบดีจะเป็นผู้เลือกผู้บริหารระดับสูงของพรรคในระดับชาติ เพื่อที่ว่าทั้งแฮร์ริสัน แทมมี และผู้บริหารคนอื่นๆ จะไม่มีผู้ท้าชิงในกระบวนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในการประชุมออนไลน์ในวันที่ 21 มกราคมนี้ โดยผู้บริหารของ DNC ชุดนี้ จะดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปีค.ศ. 2025


ที่มา: VOA Thai


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top