Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

ปปร.21 สถาบันพระปกเกล้า รวมพลังมอบน้ำใจเงินสด 50,000 บาท ผ่านโครงการ Com Covid-19 ของมูลนิธิ IHRI เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถหาเตียงรักษาในโรงพยาบาล

เมื่อวันพุธที่ 21 ก.ค. 64 เวลา 14.00 น. พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ประธานนักศึกษาหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูงรุ่นที่ 21 (ปปร.21) สถาบันพระปกเกล้า พร้อมด้วย คุณแสนผิน สุขี และคุณศุภสิทธิ์ สิมะอารีย์ เป็นตัวแทนรุ่นมอบเงินจำนวน​ 50,000 บาท สนับสนุนโครงการ Com Covid-19 ของมูลนิธิ IHRI เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถหาเตียงรักษาในโรงพยาบาลได้

นอกจากนี้ยังสนับสนุนการจัดให้มีหมอพยาบาลคอยดูแล ผู้ป่วยโควิดแบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยหวังว่า ปปร.21 จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเยียวยาและเป็นกำลังใจให้แก่คนไทยทุกคน เราจะผ่านวิกฤต Covid-19 ไปด้วยกัน

ข้อปฏิบัติ!! ประชาชนที่จำเป็นต้องข้ามเขตพื้นที่สีแแดง

ตร.แนะนำข้อปฏิบัติประชาชนที่จำเป็นต้องเดินทางข้ามจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม

วันที่ 21 ก.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ รัฐบาล โดย นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ได้แถลงเรื่องการประกาศยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่​ 20 ก.ค.64 โดยใช้กำลังทหาร- ตำรวจสนธิกำลังร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ในการจัดตั้งด่านตรวจเข้มแข็งบนเส้นทาง หลักและรอง โดยรอบพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี และฉะเชิงเทรา นั้น 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน จึงขอประชาสัมพันธ์แนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) ว่า

หากเป็นการเดินทางข้ามจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด​ (13 จังหวัด) สิ่งที่จะต้องปฏิบัติ คือ...

1.เอกสารรับรองที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการเขต

2. ถ้าไม่มีเอกสารตามข้อ 1​ ให้ลงทะเบียนการเดินทางข้ามพื้นที่ ผ่านทางเว็บไซต์ "หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" https://covid-19.in.th เพื่อนำ QR code แสดงแก่เจ้าหน้าที่

3. ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ที่ด่านตรวจ ทุกครั้ง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร.) ขับเคลื่อนนโยบายของทางรัฐบาลและ ศบค.ตามข้อกำหนดออกตามความมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) ลงวันที่ 17 ก.ค. 64 โดยได้สั่งการและกำชับการปฏิบัติไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทุกพื้นที่โดยเฉพาะเน้นย้ำไปยังพื้นที่ควบคุมสุดและเข้มงวดโดยให้ตรวจรถทุกคันตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทุกเส้นทางข้ามจังหวัดเพื่อสกัดกั้นการเดินทางออกนอกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ในการกำหนดจุดตรวจ จุดสกัด ให้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัดและบูรณาการกำลังพลปฏิบัติร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร และสาธารณสุข 
นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ทุกหน่วยกวดขันตรวจสอบกิจการ กิจกรรมตามมาตรการที่กำหนด ได้แก่ การห้ามมิให้มีการมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค การจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน และตรวจตราห้ามมิให้บุคคลออกนอกเคหสถานในห้วงเวลา 21.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น พร้อมแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยกำชับและกำกับดูแลกำลังพลให้ระวังป้องกันตนเองและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดในระหว่างปฏิบัติงาน

จึงขอให้พี่น้องประชาชนโปรดปฏิบัติตามมาตรการและข้อปฏิบัติ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) ลงวันที่ 17 ก.ค. 64 และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงาน ทั้งนี้เพื่อลดอัตราการติดเชื้อ และบรรเทาสถานการณ์ฉุกเฉินให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุดต่อไป

เดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือจากโควิด แจ้งผ่านหน่วยทหาร ทบ.

กองทัพบกขอแจ้งประชาชน  ผู้ที่เดือดร้อน ติดขัดเรื่องการรักษาพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด การจัดพิธีศพผู้เสียชีวิตจากโควิด สามารถประสานขอความช่วยเหลือ ผ่าน หน่วยทหารของกองทัพบกใกล้บ้านทั่วประเทศ หรือโทรแจ้งได้ที่ ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก  CALL CENTER: 02-270-5685-9 ตลอด 24 ชม.  ทบ.พร้อมประสานความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ 

นอกจากนี่ กองทัพบกได้จัดเตรียม โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลค่ายในจังหวัดต่างๆ 37 แห่งทั่วประเทศ ไว้รองรับผู้ติดเชื้อ ซึ่งประชาชนตรวจสอบที่ตั้งโรงพยาบาลของกองทัพบกได้ตามแผนที่ : Google Map 

https://bit.ly/3zbcaLw 

รพ.สนาม : รพ.ค่ายทหาร 37 แห่งทั่วประเทศ : ฌาปนสถาน ทบ. 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบก กำชับและมอบให้หน่วยทหารเร่งประสานความช่วยเหลือให้ประชาชนอย่างเต็มกำลัง

'ศรีสุวรรณ' เข้าแจ้งความเอาผิดมือเผาหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ณ สน.นางเลิ้ง

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ที่สน.นางเลิ้ง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษพร้อมพยานหลักฐาน เพื่อให้ตำรวจดำเนินการสอบสวน และขอศาลออกหมายจับ เพื่อนำบุคคลที่ร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่กระทำการอย่างผิดกฎหมายมาดำเนินการลงโทษโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่ฝ่าฝืน ปอ.มาตรา 112 โดยบุคคลดังกล่าวได้กระทำการมิบังควร ด้วยการทำให้เสียหาย ซึ่งซุ้มพระบรมพระฉายาลักษณ์ หรือได้กระทำการโดยเจตนา ด้วยการพ่นสีสเปรย์สีดำบนพระบรมพระฉายาลักษณ์

จากนั้น ได้จุดไฟวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ใกล้ตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์ และพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย เหตุเกิดบริเวณริมทางเท้าหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พณิชยการพระนคร ถนนนครสวรรค์ ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมาก

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดหลายกรรม อาทิ

ข้อ 1 ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชินี อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ข้อ 2 ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ฯ ของผู้อื่นและทำให้เสียทรัพย์ โดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217

ข้อ 3 ความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2564

ข้อ 4 ความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงฯ (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ที่ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโควิด-19 ในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ข้อ 5 ความผิดฐานร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมกันหรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันง่าย ชุมนุม ทำกิจกรรม หรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดใด ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือในลักษณะที่มีการเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558

ดังนั้น สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้พวกที่ทรยศแผ่นดิน ไม่รู้จักบุญคุณแผ่นดิน ที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงปกป้องคุ้มครองและรักษาแผ่นดินไทยมาอย่างยาวนาน ได้มีที่ยืนในสังคมต่อไปได้ จึงต้องนำความมาแจ้งความเอาผิดบุคคลที่มีพฤติการณ์ดังกล่าว เพื่อเอาตัวมาสอบสวน และส่งศาลเพื่อพิพากษาลงโทษขั้นสูงสุด


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ 8 แนวทาง และ 5 วิธีปฎิบัติ สำหรับ 'หญิงตั้งครรภ์' ในการเข้ารับวัคซีนโควิด-19

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่า ‘หญิงตั้งครรภ์’ ที่มีความเสี่ยงป่วยเป็นโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป และเพิ่มความเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษ

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้แนะ 8 แนวทางให้แก่ โรงพยาบาลและคลินิกฝากครรภ์ ให้ความรู้ คำแนะนำ เรื่อง ‘ฉีดวัคซีนโควิด-19’ ลดอาการป่วยหนัก ลดเสี่ยง เสียชีวิตทั้งแม่และเด็ก รวมถึง 5 วิธีปฏิบัติของ ‘หญิงตั้งครรภ์’ ในการดูแลตนเองเป็นพิเศษ มีอะไรบ้าง ? ไปติดตามกันเลย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อาชีวะเกษตรและประมง เร่งช่วยเหลือชุมชน แจกจ่ายฟ้าทะลายโจรและกระชาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด-19

ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) และประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์อาชีวะเกษตรและประมง เปิดเผยว่า ดร. คุณหญิงกัลยา ได้มอบนโยบายเร่งด่วนให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในทุกชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อน

โดยนอกจากให้การช่วยเหลือด้านสถานที่และอาหารแล้ว ยังให้สถานศึกษาอาชีวะเกษตรฯ ทั้ง 47 แห่งเพาะพันธุ์ปลานิล ซึ่งแพร่ขยายพันธุ์ง่าย มีรสชาติดี และดีต่อสุขภาพ รวมถึงพืชสมุนไพรไทยอย่างกระชาย และฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีสรรพคุณทางการแพทย์ในการเสริมภูมิคุ้มกัน เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

“สืบเนื่องจากนโยบายของคุณหญิงกัลยา ให้เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จึงได้จัดการประชุมหารือผ่าน ระบบ Zoom เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายโดยมี ดร. ชาติชาย เกตุพรหม ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรและประมง นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษาผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค และผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ โดยวิทยาลัยเกษตรและประมงทั้ง 47 แห่ง เตรียมดำเนินการ แจก-ปล่อย ปลานิลจำนวน 999,999 ตัว และเพาะ-แจกต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวนกว่า 2 แสนต้นภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19” ดร.ศุภชัย กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/110537


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘เฉลิมชัย’ เดินหน้านโยบาย “พืชอนาคตพืชเศรษฐกิจ” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เร่งพัฒนา “กัญชง” เชิงพาณิชย์ต่อยอด 10 คลัสเตอร์ อุตสาหกรรม สวก.-สวพส.-สถาบันเอสเอมอี ผนึกความร่วมมือพัฒนากัญชงทำ MOU 6 สิงหาคม นี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (21 ก.ค.) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งให้เร่งขับเคลื่อนนโยบายพืชอนาคตพืชเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด-19

ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ผนึกความร่วมมือกับมูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สพว. ยกระดับภาคเกษตรพัฒนากัญชงเชิงพาณิชย์สู่คลัสเตอร์อุตสาหกรรม โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการทำงานและการใช้ทรัพยากรร่วมกันของทั้ง สวก. สวพส. และ สพว. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านกัญชงอย่างครบวงจร และร่วมกันนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยไปต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ ตลอดจนถ่ายทอดเทคโนโลยีและส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานได้มีการดำเนินงานในการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมในเรื่องของกัญชงมาอย่างต่อเนื่อง

“กัญชง สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น ช่อดอก เมล็ด เปลือก ลำต้น และราก ในการแปรรูปสร้างมูลค่าอย่างน้อยใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มเวชภัณฑ์ยา, กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์, กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเครื่องดื่มและอาหารเสริม (Super Food), กลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษ, กลุ่มผลิตภัณฑ์สิ่งทอเสื้อผ้า, กลุ่มผลิตภัณฑ์นิรภัย, กลุ่มก่อสร้างและวัสดุภัณฑ์, กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี่ เช่น ซูเปอร์คาพาซิเตอร์ (Super Capacitor) เป็นต้น จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยและเกษตรกรของเราที่จะมีพืชเศรษฐกิจฐานรากใหม่เป็นพืชแห่งอนาคต เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาผ่านกฎหมายฟาร์มบิลล์ (Farm bill2018) ปลดล็อคกัญชงสร้างงานสร้างอาชีพใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น ในขณะที่จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกหลายประเทศทั่วโลกก็ส่งเสริมสนับสนุนกัญชงจนกล่าวได้ว่าเป็นเฮมพ์อีโคโนมีพืชเศรษฐกิจแสนล้านของไทยและของโลก” นายอลงกรณ์ กล่าว

ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า สวก. เป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยด้านการเกษตรของประเทศ ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการโครงการวิจัยด้านสมุนไพรไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557– ปัจจุบัน เป็นจำนวนกว่า 240 โครงการ งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท เพื่อวิจัยและพัฒนาต่อยอดสมุนไพรไทยในด้านการรักษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ตลอดจนขับเคลื่อนงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร ทำให้เกิดความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งผลการวิจัยที่ได้ต้องมีเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดย สวก. ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการสนับสนุนกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและประเทศ โดยจะมีบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนทุนวิจัยและบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร รวมถึงการให้ทุนวิจัยด้านกัญชงเพื่อสร้างเศรษฐกิจ ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ ที่ผ่านมา สวก. ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยนเรศวร ในโครงการการวิจัยและพัฒนากัญชง เพื่อการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย การทดลองปลูกกัญชงในโรงเรือนระบบปิด การศึกษาวิจัยข้อมูลด้านประสิทธิภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชง

สำหรับความร่วมมือในขั้นแรก สวก. จะสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาการเก็บข้อมูลต้นทุนตลอดห่วงโซ่การผลิตกัญชง ตั้งแต่การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งที่ผ่านมา สวพส. และ สพว. ได้มีการดำเนินงานร่วมกันมาในระยะหนึ่งแล้ว แต่ประสบปัญหาในด้านต้นทุนการเก็บผลผลิตที่สูง เนื่องจากต้องใช้แรงงานคนในการเก็บเกี่ยวผลผลิต ด้วยเหตุนี้ สวก. จึงจะสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือ/เครื่องทุ่นแรงในการเก็บเกี่ยว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการลดต้นทุนและลดเวลาในการดำเนินงาน รวมถึงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านการวิเคราะห์ปริมาณสาร CBD THC ที่เหมาะสมของกัญชงในการทำเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ นอกจากนี้ สวก. ได้หารือกับ ISMED ในการรวบรวมข้อมูลในทุก ๆ ด้านของกัญชง เพื่อจัดเป็นฐานข้อมูลด้านกัญชงของประเทศต่อไป ด้วยความร่วมมือในครั้งนี้ สวก. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนการพัฒนากัญชงให้สามารถพัฒนา ต่อยอดไปสู่ภาคอุตสาหกรรมของประเทศต่อไปได้

ด้านนายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กล่าวว่า สวพส. ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้วิจัยและพัฒนากัญชง (Hemp) เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน โดยผลการวิจัยและพัฒนาทำให้มีข้อมูลและองค์ความรู้ที่นำมาสู่แก้ไขกฎหมาย เพื่อส่งเสริมกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน และผลการวิจัยและพัฒนาจำนวนไม่น้อย นับจากปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน กว่า 15 ปี  เริ่มจากการพัฒนาพันธุ์เพื่อให้มีสารเสพติดต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด การพัฒนาวิธีการเพาะปลูก การแก้กฎหมาย และสร้างการตลาด เพื่อให้สามารถปลูกเป็นอาชีพได้จริง ในช่วงแรก มุ่งการใช้ประโยชน์จากเส้นใยสำหรับในครัวเรือน ต่อมาขยายการศึกษาวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จากแกน ลำต้น เมล็ด และเส้นใยในเชิงอุตสาหกรรม และนำไปสู่การศึกษาวิจัยที่มุ่งการใช้ประโยชน์ครอบคลุมทุกส่วน ทั้งเส้นใย เมล็ด และช่อดอก สำหรับอาหาร เวชสำอาง และการแพทย์ โดยมีผลงานที่สำคัญคือ ระยะที่ 1 (ปี พ.ศ.2549-2554) ปรับปรุงและขึ้นทะเบียนพันธุ์ ระยะที่ 2 (ปี พ.ศ.2555-2559) วิจัยและพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง และระยะที่ 3 (ปี พ.ศ.2560-ปัจจุบัน) ศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์และพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูก ในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ประโยชน์

นายธนนนทน์ พรายจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย กัญชงมีความสำคัญต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความต้องการใช้กัญชงเป็นวัตถุดิบเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับอุตสาหกรรมมานานแล้ว ขณะที่ภาคการเกษตรต้องการปลูกพืชกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชมูลค่าต่ำอื่น ๆ  รวมถึงปัจจุบันกฎหมายกำลังเปิดกว้างเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชงออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น

ที่ผ่านมา สพว. มีองค์ความรู้และประสบการณ์ในการศึกษาและพัฒนาพืชกัญชงมาไม่น้อยกว่า 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – ปัจจุบัน โดยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ สวพส. และการสนับสนุนงบประมาณจากหลายหน่วยงาน โดยมีประสบการณ์ครอบคลุมทั้งด้านสถานการณ์การตลาด การผลิต กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของกัญชง การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสอดคล้องกับกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรมของภาคเอกชนไทย การขยายขนาดการผลิต (Scaleup) ไปสู่ระดับอุตสาหกรรม คลัสเตอร์กัญชง การบริหารจัดการซัพพลายเชน และการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางธุรกิจในการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ สำหรับการลงทุนในระดับกลางน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปกัญชง จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านในสาขาต่าง ๆ  เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับเทคโนโลยีในระดับกลางน้ำ เพื่อให้ได้วัตถุดิบเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำในสาขาต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนแก้โจทย์ที่สำคัญให้กับภาคอุตสาหกรรมกัญชงของประเทศไทย และตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)  ตามนโยบายประเทศไทย 4.0

สำหรับการถ่ายทอดสดการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว สามารถรับชมได้ทาง https://www.facebook.com/ardathai ในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ เผยข่าวดี ไอโอซี ลงมติโหวตรับ "มวยไทย" และ สหพันธ์กีฬามวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ หรือ "อิฟม่า" อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ปูทางลุ้นบรรจุเข้าชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์ ในอนาคต

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 มร.โธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) เป็นประธานในการประชุมสมัชชาใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมโอกุระ กรุงโตเกียว โดยงานนี้ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์หญิงไทย ซึ่งเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมประชุมพร้อม ๆ กับคณะกรรมการบริหารคนอื่น ๆ ด้วย

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ กล่าวว่า สำหรับวาระสำคัญของงานประชุมสมัชชาใหญ่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 อยู่ที่การโหวตลงมติอย่างเป็นทางการให้ สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ได้รับรองอย่างเป็นทางการ ให้เป็นสหพันธ์กีฬานานาชาติอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งก็ถือเป็นการปูทางไปสู่การบรรจุแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ในอนาคตข้างหน้า ร่วมกับสหพันธ์เชียร์นานาชาติ, สหพันธ์แซมโบ้นานาชาติ, สหพันธ์ไอซ์สต็อคสปอร์ต, สมาคมองค์กรบ็อกซิ่งโลก และเวิลด์ ลาครอส

สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ หรือ "อิฟม่า" ก่อตั้งขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ก้าวไกลของสุภาพบุรุษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอีกไม่นานก็จะมีกลุ่มสุภาพสตรีเข้าร่วมด้วย โดยมีเป้าหมายรวมมวยไทย ที่มีอยู่ทั่วโลกนั้นให้มาอยู่ภายใต้กฏกติกาอันเดียวกัน โดยปี 2549 มวยไทยกลายเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ หลังได้รับการเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น โดยขยับอยู่ในฐานะเดียวเทียบเท่ากับฟีฟ่า (FIFA) ของวงการฟุตบอล, ฟีบ้า (FIBA) ของบาสเกตบอล และ ฟีน่า (FINA) ของกีฬาว่ายน้ำ โดยการรับรองจากสมาคมสหพันธ์กีฬานานาชาติ (General Association of International Sports Federations : GAISF) ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "มวยไทย" และอยู่ภายใต้การดูแลของ "อิฟม่า"

ในปี 2555 อิฟม่า ประกาศตัวให้สังคมโลกและโอลิมปิกได้รับทราบถึงความตั้งใจ ก่อนจะยื่นขอการรับรองชั่วคราวจากไอโอซี และได้รับการรับรองในปี 2559 หลังผ่านเกณฑ์สำคัญทั้งหมด 54 ข้อใน 8 หมวด ก่อนที่ล่าสุดจะได้รับการรับรองอย่างเต็มรูปแบบในที่ประชุมสมัชชาใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 ซึ่งถือเป็นการปูทางไปสู่การผลักดันให้กีฬามวยไทยให้ยิ่งเป็นที่รู้จัก ให้บรรจุเป้าหมายมีจัดชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมอำนวยการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกและคณะอนุกรรมการดำเนินการการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิก เปิดเผยว่า ในฐานะที่ไอโอซีได้รับรองมวยไทยและอิฟม่าให้เข้าเป็นสมาชิกถาวร ตน ในฐานะประธานคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการ คณะรัฐบาล และประชาชนชาวไทย รู้สึกภาคภูมิใจ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“ผมต้องขอขอบคุณท่านประธานไอโอซี โธมัส บาค รวมถึงคณะกรรมการทุกท่าน ที่ได้ให้การยอมรับกีฬามวยไทยในครั้งนี้ ผมอยากจะขอชื่นชมอิฟม่า และสมาชิกทั้ง 146 ประเทศ ที่ได้ร่วมมือกัน ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของโอลิมปิก จนได้รับความไว้วางใจอย่างดีจากไอโอซี ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะส่งเสริมมวยไทย และสนับสนุนการดำเนินงานของอิฟม่าอย่างเต็มที่ เพราะพวกเรามีเป้าหมายร่วมกัน คือ การผลักดันให้กีฬามวยไทยได้บรรจุเข้าร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ภายในอนาคตอันใกล้” พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ ประธานอิฟม่า เปิดเผยว่า ตนต้องขอขอบคุณ สำนักงานระหว่างประเทศของอิฟม่าเป็นพิเศษ ซึ่งนำโดยผู้อำนวยการ ชาริสซ่า ไทนัน ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ได้จริงและมีการจัดทำเอกสารในแอปพลิเคชันที่มีความหนากว่า 1,000 หน้า เพื่อแสดงให้ไอโอซีได้เห็นถึงความสอดคล้องของเรากับวาระโอลิมปิก 2020+5


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เดือดร้อนหนักมาก! 'ครูเป็ด มนต์ชีพ'​ ขอ 'บิ๊กตู่'​ รีบสั่ง กยศ. พักชำระหนี้-เบี้ยปรับ 6 เดือน ย้ำ สถานการณ์วิกฤตต้องช่วยกัน อย่าซ้ำเติมประชาชนทั้งน้ำตา

นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร กรรมการบริหารพรรคกล้า ฝ่ายการศึกษา เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเยียวยามาตรการเพิ่มเติม ให้กับลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพราะลูกหนี้กองทุนนี้ก็มีสภาพไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เช่นเดียวกัน จึงขอเรียกร้องให้พักการชำระหนี้ ลดและพักเบี้ยปรับไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

“บางคนโดนดึงเงินในบัญชีทั้งที่ตกงานเพราะโควิด-19 บางคนจะไปคลอดลูกก็ไม่มีเงินไปคลอดลูก ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาอีกทอด เกิดภาระหนี้ไม่รู้จักจบสิ้น เกิดปัญหาต่อกันเป็นลูกโซ่ โดยที่หน่วยงานของรัฐยังคงตั้งหน้าตั้งตาทวงหนี้ต่อไป ไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แบบนี้เหมือนกับการซ้ำเติมประชาชนทั้งน้ำตา” นายมนต์ชีพ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม. ให้ ทส. ประชุมออนไลน์ ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสีย 26-30 กค.นี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสีย สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 15 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 10 และการประชุมรัฐภาคี อนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 10 ปี พ.ศ.2564 

ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ  ซึ่งจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เพื่อส่งมอบให้สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาทั้งสามฉบับ ก่อนการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาทั้งสามฉบับ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 30 ก.ค.64 ในรูปแบบออนไลน์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ฉบับนี้ เป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการจัดการสารเคมีและของเสียที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้อนุสัญญาบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.ป้องกันการเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายและสารเคมีข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย และให้สัตยาบันเร่งด่วนสำหรับข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลฯ ในการห้ามการส่งออก (Basel Ban Amendment) เพื่อการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสารเคมีและของเสีย

2.เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบรรจุรายชื่อสารเคมีอันตรายของอนุสัญญาต่างๆ

3.จัดการสารเคมีอันตรายและของเสียตลอดวงจรชีวิต ลดการเกิดของเสีย ตามหลักการ 3Rs และหลักการว่าด้วยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตามกรอบกฎหมายของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน

4.วิจัยและพัฒนาทางเลือกในการใช้สารเคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยกระดับกรอบการดำเนินงานเกี่ยวกับการจำกัดสารเคมี

5.ดำเนินการร่วมกับภาคีอื่นและองค์กรพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อสร้างขีดความสามารถ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และแบ่งปันข้อมูลเพื่อจัดการของเสียอันตรายและสารเคมี รวมทั้งการลักลอบขนส่งอย่างผิดกฎหมายในภูมิภาค


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top