Saturday, 9 December 2023
NEWSFEED

สืบสวน ภ.จว.นครพนม ไล่ล่าขบวนการ ค้ากัญชาข้ามชาติ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 03.00 - 09.00 น. กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ตำรวจน้ำนครพนม เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขยายผลการจับกุม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภท 5 กัญชาแห้งอัดแท่ง ซึ่งลักลอบขนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งในพื้นที่ จ.นครพนม  โดยเจ้าหน้าที่จับกุมได้ผู้ต้องหา 2 คน ที่บริเวณสามแยกไฟแดงหน้าโลตัสสาขาธาตุพนม จากการตรวจสอบภายในรถยนต์ พบหีบห่อถุงพลาสติกสีดำ ภายในบรรจุกัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 13 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 520 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์กระบะโตโยต้า คันหมายเลขทะเบียน บต 4339 มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ธาตุพนม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เวลาต่อมาในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดเดิมได้สอบสวนขยายผลจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน โดยได้ติดตามจับกุม ขบวนการค้ากัญชาข้ามชาติกลุ่มเดียวกัน ได้ในขณะจอดพักที่บริเวณรีสอร์ท คุณเพียร รีสอร์ท ต.คำอาฮวน อ.เมือง จ.มุกดาหาร พิกัด 48Q VD 691256 ได้ผู้ต้องหา 3 ราย 1.นายสุวัชชัย แจ้งแสง อายุ 36 ปี 187 หมู่ 19 ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง  จ.นครราชสีมา 2.นายสมชาติ แสงสว่าง อายุ 36 ปี ที่อยู่ 628 ซ.บางบอน 3 ข.บางบอน เขตบางขุนเทียน กทม. และ 3.นายสุพัฒน์ โพธิ์ร่มขิง อายุ 32 ปี ที่อยู่ เลขที่ 4 ซอยบางกระดี่ 1 แยก 14 ข.แสมดำ ข.บางขุนเทียน กทม. พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 5 กัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 25 กระสอบ คาดว่าน้ำหนักประมาณ 1,150 กก. บรรทุกในกระบะหลังคาทึบของรถยนต์เชฟโรเล็ต โคโรลาโด สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 ฒน 4730 กทม. และรถร่วมขบวนการอีก 2 คัน เป็นรถตู้ โตโยต้า สีขาว หมายเลขทะเบียน นข 8712 ภูเก็ต และรถยนต์กระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ สีบรอนด์เทา ติดสัญญาณไซเรน หมายเลขทะเบียน ถข 7545 กทม. พร้อมด้วยโทรศัพท์มือถืออีก จำนวน 5 เครื่อง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางกลับไปสอบสวนขยายผล และแถลงข่าว จากนั้นจะนำส่งเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  เดวิท โชคชัย จ.มุกดาหาร

อช.แก่งกระจาน เปิดแผน “ปักษาแหวกรัง เต่าดำมุดบาดาล” ป้องปรามผู้บุกรุกป่าและล่าสัตว์

วันที่ 11 มิ.ย. นายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี เปิดเผยว่าทางอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้เปิดแผนปฏิบัติการ “ปักษาแหวกรัง เต่าดำมุดบาดาล” ระหว่างวันที่ 7-10 มิถุนายน 64 โดยสนธิกำลังร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจฯพญาเสือ กองร้อย ตชด.ที่ 144 ศพฐ.7 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สภ.แก่งกระจาน กองการบิน สป.ทส. สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ออกปฏิบัติการเพื่อพิสูจน์ทราบพื้นที่เป้าหมายในเขตอุทยาน ตามนโยบายของ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการดูแลรักษาป่าและป้องกันกระทำความผิดเกี่ยวป่าไม้ มี นายอิทธิพล ไทยกมล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

จัดตั้งกองบัญชาการเหตุการณ์ ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยส่งกำลังพลทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์รวม 15 นายลงสนาม ฮ.ชั่วคราว เพื่อเดินเท้าเข้าพื้นที่เป้าหมายระยะทางเดินเท้า 7 กม.ใช้เวลาเดินประมาณ 3 วัน 2 คืน ขณะที่ น.ส.เนตรนภา งามเนตร ผช.หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นำกำลังพลเดินลาดตระเวนตามพื้นที่เป้าหมายในห้วงเวลาดังกล่าว

ผลการปฏิบัติสามารถยึดเพิงพักรวม 3 หลัง หลังแรกพบเครื่องอุปโภคบริโภค ยารักษาโรค เครื่องกระสุนปืนไทยประดิษฐ์ ดินปืนจำนวนมาก ปลอกกระสุนปืนลูกซอง ซากสัตว์ป่าไม่สามารถระบุชนิดได้ซุกซ่อนอยู่ หลังที่ 2 และ 3 อยู่ห่างจากเพิงพักแรกที่ตรวจพบประมาณ 4 กม. ไม่พบบุคคลใดในเพิงพัก พบปลอกกระสุนปืนลูกซอง ผ้าห่ม เสื้อผ้าที่มีสภาพใหม่ ขวานที่ใช้สำหรับตัดไม้ ขวดน้ำ สลิงที่ใช้สำหรับทำแร้วดักสัตว์ จึงทำบันทึกตรวจยึดก่อนเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน ฐานความผิดตาม พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และ พรบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เพื่อติดตามหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ผู้ว่าฯนราธิวาส สั่งการให้เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายติดตามจับคุมยาเสพติด หลังสายข่าวแจ้งมียาเสพติดจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ชายแดน เตรียมส่งประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2564 เวลา 10.30 น.ภายใต้อำนวยการของ นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้สั่งการนายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก และนายอนิรุทธ บัวอ่อน นายอำเภอสุไหงปาดี ดำเนินการบูรณาการ กำลังฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร เข้าตรวจยึดยาเสพติด สืบเนื่องจากชุดเฉพาะกิจฝ่ายปกครองอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส

นำโดยนายพิมล จงรักษ์ ปลัดอำเภอ ได้จับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่จึงขยายผลไปอำเภอสุไหงปาดี โดยสามารถตรวจยึดยาเสพติดยาบ้าได้จำนวน 102,800 เม็ด ณ หลังบ้านเช่าไม่มีเลขที่ หมู่ 5 บ้านบือเจาะบือซา ตำบลปะลุรู อำเภอสุไหงปาดี  จังหวัดนราธิวาส 


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ตำรวจเพชรฯ จับแก๊งขนบุหรี่เถื่อนมูลค่า 6 ล้านบาท ปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้จดทะเบียน มาจำหน่ายให้ตามสถานบันเทิง

วันที่ 11 มิ.ย. ที่หน้าทำการ ภ.จ.เพชรบุรี พล.ต.ต.อุทัย กวินเดชาธร ผบก.ภ.จ.เพชรบุรี พร้อมด้วย นายกฤติเดช จิตรโอฬาร ฝ่ายบริหารการจัดเก็บภาษี สรรพสามิตพื้นที่เพชรบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวการจับกุมขบวนการลักลอบขนบุหรี่ผิดกฎหมาย พร้อมของกลางบุหรี่ปลอมยี่ห้อ SMS จำนวน 25,619 ซอง และบุหรี่เถื่อนยี่ห้อ Mond/John จำนวน 20,000 ซอง รวม 45, 619 ซอง คิดเป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.ชะอำได้รับแจ้งเหตุรถกระบะชนเสาไฟฟ้าบริเวณบ้านสระ ซอย 3 ริมถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ อ.ชะอำ จึงรุดไปตรวจสอบพบรถกระบะมิตซูบิชิ ไททัน สีขาว ป้ายทะเบียน ยข 8030 ชลบุรี ชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางก่อนเสียหลักแฉลบพุ่งชนกำแพงร้านอาหารเจ้กุ้งพ่นไฟได้รับความเสียหายด้วย ในที่เกิดเหตุพบบุหรี่เถื่อนบรรจุใส่ลังกระดาษจำนวนมากตกอยู่จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน ส่วนคนในรถหนีไปได้

พล.ต.ต.อุทัย กล่าวว่าภายหลังเกิดเหตุได้สืบหาตัวคนร้ายจนทราบชื่อว่า นายนฤพงศ์ ชุ่มสวัสดิ์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 810/5 ถ.เพชรเกษม(บ่อแขม) อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี จึงนำหมายศาล จ.เพชรบุรี ที่ 154/2564 ลงวันที่ 1 มิ.ย.64 เข้าจับกุมตัวได้ที่บ้านพักในหมู่บ้านบางควาย-บางไทรย้อย อ.ชะอำ นำมาดำเนินคดีในความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่าย จำหน่ายและเสนอจำหน่ายยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต ตรา SMS ซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม ปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย พร้อมกันนี้ได้ให้ชุดสืบสวนสืบหาตัวผู้ร่วมขบวนการเนื่องจากสืบทราบว่าเป็นแก๊งรายใหญ่ที่นำบุหรี่ผิดกฎหมายมาจำหน่ายให้ตามสถานบันเทิงต่าง ๆ ในเขต อ.ชะอำ และ อ.หัวหิน ซึ่งจะได้ดำเนินการจับกุมต่อไป


ภาพ/ข่าว  นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

กก.สส.บก.ตม.4 ตรวจเข้มต่างด้าวในพื้นที่ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 พบ Overstay หลายราย รวมกันกว่า 10 ราย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 ร่วมแถลงข่าวจับกุม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ตามนโยบายของ ผบก.ตม.4 ให้ตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่อยู่และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาติสิ้นสุดในพื้นที่ อีกทั้งเน้นย้ำป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บก.ตม.4 โดยกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตรวจคนเข้าเมือง 4 จึงนำรถยนต์ตรวจการอัจฉริยะ(BMW) ออกตรวจสอบพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อพบบุคคลต่างด้าวต้องสงสัย และเดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง จึงได้เชิญตัวมาตรวจสอบด้วยระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(Biometrics) ซึ่งสามารถตรวจพบและจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งสิ้น จำนวน 14 ราย ได้แก่

 1. Mr.Njibili สัญชาติ แคมเมอรูน overstay จำนวน 2,779 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดขอนแก่น

 2. Mr.Atemapac สัญชาติ แคมเมอรูน overstay จำนวน 1931 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดขอนแก่น

 3. MR.SEN อายุ 25 ปี สัญชาติ กัมพูชา overstay จำนวน 1,436 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดชัยภูมิ

 4. MR.MOHAMED อายุ 69 ปี สัญชาติ เมียนมา overstay จำนวน 1,350 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดอุดรธานี

 5. MR.YOGESH อายุ 29 ปี สัญชาติ อินเดีย overstay จำนวน 1,267 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดสุรินทร์

 6. MR.ANAND อายุ 19 ปี สัญชาติ อินเดีย overstay จำนวน 996 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดร้อยเอ็ด

 7. MR.SHRAVAN อายุ 29 ปี สัญชาติ อินเดีย overstay จำนวน 979 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดนครราชสีมา

 8. MR.BHOLA อายุ 31 ปี สัญชาติ อินเดีย overstay จำนวน 764 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดยโสธร

 9. MR.SHAILENDRA อายุ 32 ปี สัญชาติ overstay จำนวน 742 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดสุรินทร์

 10. MR.VALENDAR อายุ 31 ปี สัญชาติ อินเดีย overstay จำนวน 715 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดยโสธร

 11. MR.RAJESH อายุ 32 ปี สัญชาติ overstay จำนวน 672 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดนครราชสีมา

 12. MR.SANTOSH อายุ 41 ปี สัญชาติ อินเดีย overstay จำนวน 664 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดมหาสารคาม

 13. Mr.Nwofor สัญชาติ แคมเมอรูน overstay จำนวน 495 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดขอนแก่น

 14. MR.DINH อายุ 31 ปี สัญชาติ เวียดนาม overstay จำนวน 213 วัน จับกุมได้ที่จังหวัดหนองคาย

 จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนในพื้นที่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ทหารผาเมือง สกัดชาวเมียนมา นำ 3 คนไทย ลอบข้ามแดนเพื่อกลับภูมิลำเนา สารภาพได้ค่าจ้าง 2,000 บาท ด้านทหารเร่งตรวจเชิงรุกตามแหล่งพักของชาวต่างด้าวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

คืนวันที่ 10 มิ.ย.64 ที่ผ่านมา กำลังททหาร กองร้อยสกัดกั้นที่ 1 บก.ควบคุมที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง ภายใต้การอำนวยการของ พ.อ.สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 2 กองกำลังผาเมือง นำโดย  ร.ท.ธีรพล  ธิเสนา ผู้บังคับกองร้อยควบคุมที่ 2 ได้จัดกำลังทำการลาดตระเวณ ช่องทางข้ามพรมแดนทางธรรมชาติบริเวณ บ้านสันทรายใหม่  ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย  ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 รวมไปถึงสิ่งผิดกฎหมาย

โดยได้ตรวจพบบุคคลต้องสงสัย จำนวน 4 คน กำลังเดินข้ามลำน้ำสาสยมาจากประเทศเมียนมา ทางเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนขอทำการตรวจค้น ทราบชื่อภายหลังคือ 1.นาย ZAW NAING TUM สัญชาติ เมียนมาร์ อายุ 28 ปี เป็นผู้นำพา  2.ด.ญ. เอ (นามสมมุติ) สัญชาติ ไทย อายุ 14 ปี ชาว ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย 3.น.ส.ปราโมทย์ สงวนนามสกุล สัญชาติ ไทย อายุ 28 ปี ชาว ต.เคร็ง อ.ชะลวด จ.นครศรีธรรมราช 4.นายบี (นามสมมุติ)สัญชาติ ไทย อายุ 16 ปี  ชาว ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากการตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฏหมาย 

จากการสอบถามผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าลักลอบข้ามพรมแดนมาจาก จ.ท่าขี้เหล็กประเทศเมียนมา เพื่อจะเดินทางกลับยังภูมิลำเนา โดยมีนาย ZAW NAING TUM มารับที่ฝั่งไทย โดยได้ค่าจ้าง 2,000 บาท เพื่อนำพาทั้ง 3 คนข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย  หลังจากสอบปากคำเบื้องต้นแล้วทางเจาหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำหรับสถานการณ์การลักลอบข้ามพรมแดน ในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการลาดตระเวณ ตามแนวชายแดนรวมไปถึงนำสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันการลักลอบเข้ามาในประเทศ รวมไปถึงสิ่งผิดกฏหมาย โดยทางหน่วยเฉพากิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง ได้มีการตรวจเชิงรุกตามแหล่งพักของแรงงานต่างด้าวเพื่อตรวจสอบว่ามีผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองมาพักอยู่ในพื้นที่หรือไม่ นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัส โควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อด้วย


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดกาญจนบุรี “ทลายแก๊งลักลอบส่งออกรถจักรยานยนต์” ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว “จับกุมแก๊งคนจีนลักลอบเข้าเมืองพร้อมขบวนการ”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวจับกุม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1). ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดกาญจนบุรี “ทลายแก๊งลักลอบส่งออกรถจักรยานยนต์” ในห้วงที่ผ่านมา ตม.จว.กาญจนบุรี เข้มงวดกวดขันกับขบวนการลักลอบเข้า-ออกตามแนวชายแดนธรรมชาติอยู่เสมอมา โดยยกตัวอย่างในกรณีนี้ กลุ่มผู้ต้องหามีความพยายามนำรถจักรยานยนต์ออกจากประเทศไทยโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากรที่ถูกต้อง ทั้งยังให้การช่วยเหลือช่อนเร้น นำพา บุคคลต่างด้าวซึ่งหลบหนีเข้าเมืองโดยการขนย้ายฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯอีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้

ก่อนเกิดเหตุชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนทราบว่า จะมีกลุ่มบุคคลลักลอบขนย้ายรถจักรยานยนต์โดยใช้เส้นทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเมียนมาร์ ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายป่าห้วยวายอ ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี จึงได้วางแผนทำการจับกุมโดยได้บูรณาการกำลังกับหลายหน่วยงานราชการในพื้นที่ไปดักซุ่มอยู่บริเวณดังกล่าว ขณะซุ่มดูอยู่จนถึงเวลาประมาณ 00.30 น. ได้พบเห็นรถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน บรรทุกรถจักรยานยนต์ด้านหลังกระบะทั้ง 2 คัน ขับเข้ามาในที่เกิดเหตุลักษณะต้องสงสัยตามข้อมูลทางการสืบสวน ระยะเวลาต่อมาไม่นานขณะที่ซุ่มสังเกตอยู่พบว่ามีกลุ่มบุคคลลักษณะคล้ายคนเมียนมาเดินมาขึ้นรถ 2 คันดังกล่าว จึงเข้าไปตรวจสอบพบว่ารถกระบะคันแรก เป็นรถยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีน้ำตาล บรรทุกรถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน เป็นรถยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีขาว มีนายโลโซ อายุ 43 ปี  ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับและมีนายชยากร อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้นั่งโดยสารมาด้วยในรถ รถกระบะคันที่สอง เป็นรถยี่ห้อเชฟโรเล็ต สีขาว บรรทุกรถจักรยานยนต์ 2 คัน เป็นรถยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ125ไอ สีเทาดำ และรถยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟไอ สีดำ มีนายเชนโกอู อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ขับรถ มีนายนิชาออง อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาที่ 4 นายอองเมียวทู อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาที่ 5 และนายโซ้ง อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาที่ 6 เป็นผู้นั่งโดยสารมาด้วยในรถ ในส่วนกลุ่มคนต่างด้าวชาวเมียนมาอีก 19 คนนั้น ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นคนหลบหนีเข้าเมือง ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารอื่นติดตัวมาอย่างใด

การแจ้งข้อกล่าวหา : ผู้ต้องหาที่ 1-6 “ร่วมกันพยายามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากร”

ผู้ต้องหาที่ 1-2 “ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม”

ผู้ต้องหาที่ 7-25 (คนต่างด้าว 19 คน) “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการ ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548”

 การตรวจยึดของกลาง :

1. รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีน้ำตาล ทะเบียน กาญจนบุรี

2. รถยนต์กระบะ ยี่ห้อเชฟโรเล็ต สีขาว ทะเบียน กรุงเทพฯ

3. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ๑๒๕ไอ สีขาว ไม่ติดป้ายทะเบียน

4. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ๑๒๕ไอ สีเทา-ดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน

5. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟไอ สีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน

6. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง

สอบถามผู้ต้องหาที่ 1-6 ให้การรับสารภาพสอดคล้องกันว่า รับการว่างจ้างจากนายหน้าฝั่งประเทศเมียนมาโดยการติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ ให้บรรทุกรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยไปส่งที่เมียนมาโดยในระหว่างทางให้แวะรับผู้ต้องหาที่ 7-25 ไปด้วยและรับค่าจ้างเที่ยวละ 3,000 – 5,000 บาท จากการสืบสวนมีข้อมูลเป็นไปได้ว่ากลุ่มขบวนการนี้อาจลักลอบกระทำผิดในลักษณะเดียวกันอยู่หลายครั้ง

โดยในส่วนรถยนต์กระบะของกลางตรวจสอบประวัติย้อนหลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับการกระทำผิดข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ(เดินทางข้ามพื้นที่ควบคุมโรค) มาแล้วถึง 2 ครั้ง จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางนำส่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

2). ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว “จับกุมแก๊งคนจีนลักลอบเข้าเมืองพร้อมขบวนการ”

ในห้วงนี้ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วมีการเข้มงวดตรวจสอบตรึงแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกวดขันจับกุมบุคคล ที่ลักลอบเข้า–ออกไม่ผ่านช่องทางที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง ตลอดจนขบวนการที่คอยช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้อยู่ ในครั้งนี้ได้ทำการจับกุม กลุ่มคนจีนซึ่งใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติโดยต้องการจะลักลอบเดินทางออกไปประเทศกัมพูชา โดยสามารถจับได้พร้อมขบวนการช่วยเหลือซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ก่อนเกิดเหตุ ชุดสืบสวนตม.จว.สระแก้ว ได้ร่วมทำการสืบสวนทราบว่าจะมีการลักลอบเดินทางเข้าหลบหนีเข้าเมืองผ่านพื้นที่บ้านโคคลาน ม.1 ต.โคคลาน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดยใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว จึงได้บูรณาการกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันในพื้นที่วางแผนจับกุม  โดยทำการไปดักซุ่มบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อถึงเวลาประมาณ 10.00 น. ได้พบรถยนต์ลักษณะตรงตามข้อมูลที่สืบสวนมาจึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรถคันดังกล่าว พบว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว สระแก้ว มีนายศักดิ์ชายผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ตรวจพบคนต่างด้าวเชื้อชาติจีนอีกจำนวน 6 คน ผู้ต้องหาที่ 2-7 นั่งอัดกันโดยสารมากับรถตรวจสอบแล้วไม่มีเอกสารหลักฐานหนังสือเดินทางอย่างใด

การแจ้งข้อกล่าวหา : ผู้ต้องหาที่ 1 “นำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย”

ผู้ต้องหาที่ 2-7 (คนต่างด้าวชาวจีน) “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

การตรวจยึดของกลาง : รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน สระแก้ว

จากการซักถามผู้ต้องหาที่ 1 ให้การยอมรับสารภาพว่าได้รับการจ้างวานให้รับคนจีนไปส่งยังบริเวณใกล้พรมแดนธรรมชาติ บ้านกุดเตย ม.5 ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดยจะมีคนมารับอีกทอดรับค่าจ้างจำนวน หัวละ 800 บาท โดยรับว่าทำเป็นลักษณะเช่นนี้เป็นประจำหลายครั้ง

ซักถามผู้ต้องหาที่ 2-7 ให้การรับสารภาพว่า เดินทางมาจากเมืองยูนนาน ประเทศจีน เดินทางผ่านประเทศเมียนมา จำนวน 3 วัน ลักลอบเข้ามาประเทศไทยพักที่กรุงเทพฯ 2 วัน และเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ต้องการข้ามไปทำงานที่คาสิโนในประเทศกัมพูชา ทางชุดจับกุมจะได้สืบสวนขยายผลติดตามขบวนการซึ่งให้ความช่วยเหลือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

 

ตม.1 รวบฝรั่งคู่เกย์เฒ่าเจ้าเล่ห์ โอเวอร์สเตย์ เบี้ยวค่าเช่าอพาร์ตเม้นท์หรู ไฮโซวงการบันเทิง นานเป็นปีเกือบล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1,และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวจับกุม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กรณีสืบเนื่องจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของอพาร์ตเมนท์หรูแห่งหนึ่งย่านสาทร ว่าตนเป็นเจ้าของตึกอพาร์ตเมนท์เก่าแก่ระดับหรู มีชาวต่างชาติทั้งชาวยุโรปและอเมริกันเช่าอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีราคาค่าเช่าตั้งแต่ 50,000 - 100,000 บาท ตนต้องการจะร้องเรียนว่ามีชาวต่างชาติ สูงอายุ 2 นาย เช่าพักอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่ผู้เช่าไม่ยอมจ่ายค่าเช่าติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน (มูลค่าความเสียหายเกือบล้านบาท) ตนจึงได้ให้สำนักงานบริหารอพาร์ตเมนท์ทวงถาม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีทรัพย์สินเหลือพอจะจ่ายค่าเช่า และจะไม่ยอมย้ายออกจากอพาร์ตเมนท์ดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ทั้งเรื่องสถานการณ์โควิด–19 ความชรา และมนุษยธรรม

ทางอพาร์ตเมนท์ได้มีจดหมายขอให้บุคคลทั้งสองเก็บของและย้ายออกจากอพาร์ตเมนท์ โดยยังไม่ได้พูดคุยถึงค่าเช่าที่ค้างชำระ แต่เมื่อทั้งสองได้รับจดหมายเตือนดังกล่าว นอกจากจะไม่ย้ายออกจากอพาร์ตเมนท์แล้ว ยังมีพฤติกรรมดื้อดึงขัดขืนไม่ยอมย้ายออก และนอกจากนั้นคนต่างชาติทั้งสองยังมักมีพฤติกรรมชอบออกไปเที่ยวเมาสุราและกลับมาโวยวายที่อพาร์ตเมนท์ และมีครั้งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหัวฟาดพื้นบริเวณหน้าลิฟท์ เจ้าหน้าที่อพาร์ตเมนท์ได้เรียกรถพยาบาลเพื่อนำตัวไปรักษา แต่ปรากฏว่ายังพากันหนีออกมาจากโรงพยาบาลทั้งชุดผู้ป่วยกลับมาอาศัยในอพาร์ตเมนท์ตามเดิม และรักษาตัวกันเอง ทั้งยังนำกระดาษเขียนข้อความกล่าวหาเจ้าของอพาร์ตเมนท์ต่าง ๆ นา ๆ นำไปติดทั่วอพาร์ตเมนท์

ทางอพาร์ตเมนท์เห็นว่าบุคคลทั้งสองมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยได้รับอนุญาตในเหตุผลใช้ชีวิตบั้นปลาย ประกอบกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณนั้น ควรจะมีการวางแผนการใช้จ่ายที่เป็นเรื่องเฉพาะตัว และอพาร์ตเมนท์ที่เช่าอยู่ก็มีค่าเช่าสูง แต่ทั้งนี้ทางอพาร์ตเมนท์ก็มีจิตเมตตา ที่จะพร้อมเจรจาประนีประนอมค่าเช่า หรือให้ผ่อนชำระได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม จึงได้ร้องเรียนมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เดินทางมาตรวจสอบบุคคลทั้งสอง

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.1 ได้เคยเดินทางไปตรวจสอบเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2563 ตรวจสอบพบว่าชาวต่างชาติทั้งสองพึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้แนะนำให้ทางเจ้าของอพาร์ตเมนท์ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือดำเนินคดีฟ้องขับไล่ซึ่งเป็นคดีแพ่งไปก่อน ต่อมาทางเจ้าของอพาร์ตเมนท์ได้ทำการฟ้องคดีต่อศาล ผลคำพิพากษา ศาลตัดสินให้ชาวต่างชาติทั้งสองออกจากอพาร์ตเมนท์และชำระค่าเสียหายคือค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน เกือบ 1 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าชาวต่างชาติทั้งสองก็ยังดื้อดึงไม่ออกจากอพาร์ตเมนท์ ตนจึงแจ้งเรื่องต่อกรมบังคับคดีให้มาปิดหมายบังคับคดีที่อพาร์ตเมนท์ แต่ยังติดขัดเนื่องจากเป็นช่วงเวลาสถานการณ์โควิด-19 ทางอพาร์ตเมนท์มีความอัดอั้นใจว่าเหตุใดตนซึ่งไม่ได้มีความผิดอะไร จะต้องมาได้รับความเสียหายและรับภาระดูแลชาวต่างชาติทั้งดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือชี้แจ้งข้อเท็จจริงต่อ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขอให้พิจารณาไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทั้งสองอยู่ต่อตามอำนาจหน้าที่ และขอให้เดินทางมาตรวจสอบอีกครั้ง

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.1 จึงได้จัดกำลังไปตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปที่อพาร์ตเมนท์พบคนต่างชาติทั้งสองพักอาศัยอยู่ตามที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากการตรวจสอบปรากฎพบว่า นายโรส กับ นายรีส การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งสิทธิและจับกุมนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 จับยาไอซ์ มูลค่า 135 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 4 คน ขณะกำลังมาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส

วันนี้ ที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่หอประชุมพนมไพร กองบังคับการตำรวจตะเวนชายแดนภาค 4 อ.เมือง จ.สงขลา พันตำรวจเอกพหล เกตุแก้ว รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค4 และ พันตำรวจเอกกวินศักดิ์ พีรยศธนนนท์ รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมยาไอซ์ 135 กิโลกรัม มูลค่า 135 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 4 คน ประกอบด้วย นายวิฑูรย์ วิเชียรพงษ์ อายุ 23 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี นายอัครวินท์ สวัสดิ์อักษรชื่น อายุ 22 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี  นายภาณุพงศ์ เพิ่มเจริญ อายุ 32 ปี เป็นคนจ.สมุทรสาครและนางสาวอรวรรณ เถื่อนบำรุง อายุ 24 ปี เป็นคนกรุงเทพมหานคร

พร้อมด้วยรถยนต์ จำนวน 2 คัน เป็นรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊สสีขาว ฝากระโปรงหน้า-หลังสีดำ หมายเลขทะเบียน ขว 2597 ชลบุรี และ รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีขาวป้าย หมายเลขทะเบียน 2กฬ1109 กรุงเทพฯ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

สถานที่เกิดเหตุ ที่เก้าเส้งรีสอร์ท 8/23ถ.เก้าแสน ซ.1 ม.3 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 15.30 น.โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกลุ่มได้สืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจนพบว่ามีขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ตรวจพบรถต้องสงสัยจึงได้ติดตามรถคันดังกล่าวจนทราบว่าได้เข้าพักที่เก้าเส้งรีสอร์ท

เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจค้นห้องพักที่ผู้ต้องหาได้เปิดไว้ ผลการตรวจค้นพบยาไอซ์บรรจุในถุงพลาสติกสีเขียวเหลืองใส่กระสอบปุ๋ยจำนวน 135 กิโลกรัมอยู่ภายในห้องพัก แต่ไม่พบผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้ออกตรวจสอบรถต้องสงสัยที่เข้าพักในเก้าเส้งรีสอร์ท พบรถต้องสงสัยจำนวน 2 คันจึงได้ติดตามรถต้องสงสัยจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนที่1 คือ นายวิฑูรย์ วิเชียรพงษ์ อายุ 23 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี โดยจับได้ที่บริเวณสามแยกสำโรง ถนนกาญจนวนิช ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในเวลาต่อมาได้จับกุมผู้ต้องหาคนที่ 2 คือ นายอัครวินท์ สวัสดิ์อักษรชื่น อายุ 22 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี ได้ที่บริเวณหลังเซเว่นอีเลฟเว่น หนองข้อง อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา

ส่วนผู้ต้องหาคนที่ 3 คือ นายภาณุพงศ์ เพิ่มเจริญ อายุ 32 ปี เป็นคน จ.สมุทรสาคร และคนที่ 4 คือ นางสาวอรวรรณ เถื่อนบำรุง อายุ 24 ปี เป็นคนกรุงเทพมหานคร  ได้หลบหนีไปยังสถานีขนส่งหาดใหญ่โดยอาศัยรถตู้เพื่อหลบหนี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจความมั่นคงจุฬาภรณ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสกัดจับรถตู้คันดังกล่าวและสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนที่ 3 และ 4 ได้เมื่อเวลาประมาณ 22:20 น.วันเดียวกัน และนำตัวกลับมาที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 เพื่อดำเนินการสืบสวนและขยายผล

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายบอย หรือตี๋ (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีให้นำยาไอซ์ดังกล่าวมาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อำเภอตากใบจังหวัดนราธิวาส โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท

จึงได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ในข้อกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน/ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมตรวจยึดยาเสพติดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์

สลด !! ตายรายวัน “วัดหนามแดง” เปิดเมรุเผาศพเหยื่อโควิด เผย เพราะวัดเป็นของญาติโยม

ท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนามแดง ต.บางแก้ว  อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้เมตตาฌาปณกิจศพ  เหยื่อโควิด-19 และนับเป็นรายที่ 4 ที่ทางวัดหนามแดงได้รับฌาปณกิจศพ นับว่ายังคงมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19  อย่างต่อเนื่องและมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอีกเป็นจำนวนมาก

ท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนามแดง เปิดเผยว่า ทางวัดหนามแดง มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน รวมถึงผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงพักรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกทั้งยังมีความเป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ที่ยังคงทำงานหนักอย่างต่อเนื่องและมีความเสี่ยงสูงในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ

ซึ่งทางวัดหนามแดงได้รับฌาปณกิจศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เป็นรายที่ 4 โดยทางวัดหนามแดงมีมาตรการในการป้องกันดูแล และคุมเข้มในการเผาศพผู้เสียชีวิต ด้วยโรคโควิด-19 โดยทางเจ้าหน้าที่จะทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณพื้นที่โดยรอบ ก่อนจะนำร่างผู้เสียชีวิตใส่ภายในเมรุเผาศพ และหลังจากเผาศพร่างผู้เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจตามมาตรการในการดูแลป้องกันตามกฎระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ประชาชนไม่ต้องกังวลและไม่ต้องกลัวติดเชื้อ

ซึ่งในการเผาศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 นั้น  ทางวัดหนามแดง จะดำเนินการประสานทางเจ้าหน้าที่ รพ.สต.บางแก้ว พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองบางแก้ว เจ้าหน้าที่ อสม.ต.บางแก้ว เพื่อตรวจคัดกรองตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดทุกครั้ง

อีกทั้งทางวัดหนามแดง มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง จึงขอฝากไปยังประชาชนทุกคนให้ดูแลสุขภาพตนเอง และดูแลบุคคลในครอบครัว ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท และขอให้ประชาชนทุกคนลงทะเบียนฉีดวัคซีน  เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและสวมใส่ผ้าปิดจมูกทุกครั้ง เว้นระยะห่าง อดทน เพื่อที่เราจะได้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top