Sunday, 6 July 2025
NEWS FEED

‘สืบพงษ์’ คืนเก้าอี้อธิการฯ ม.รามอีกครั้ง หลังศาลปกครองกลางสั่งคุ้มครองรอบ 2

แห่มอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ ‘สืบพงษ์ ปราบใหญ่’ หลังศาลปกครองกลางสั่งคุ้มครองรอบ 2 กลับมานั่งเก้าอี้อธิการบดีอีกครั้ง ยืนยันตั้งใจ-ทุ่มเทให้กับรามฯ

(14 ก.พ.66) เมื่อเวลา 08.00 น.ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกครั้ง ท่ามกลางอาจารย์-เจ้าหน้าที่มอบกุหลาบแดง (วาเลนไทน์) ให้กำลังใจ และอวยพรให้ฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ การกลับมารับตำแหน่งอธิการบดีอีกครั้งเกิดจากศาลปกครองกลาง สั่งคุ้มครองชั่วคราว อธิการบดี ม.รามคำแหง

ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 หลังจากที่ถูกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ออกคำสั่งให้ถอดถอน เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 และตามมาด้วยมติเลิกจ้างด้วย ซึ่งถือว่าร้ายแรง ผศ.ดร.สืบพงษ์ก็ดิ้นสู้ในขบวนการยุติธรรมด้วยการฟ้องศาลปกครองกลาง และฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางด้วย และเมื่อวาน (13 ก.พ.66) ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จนกว่าศาลจะตัดสินออกมา

ผศ.ดร.สืบพงษ์ กล่าวว่า ในการเริ่มต้นการทำงานโดยส่วนตัวตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาทำงานในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทุกคนในมหาวิทยาลัยรู้ดีว่าตนทำงานอุทิศตนให้มหาวิทยาลัยแค่ไหน

“ผมทุ่มเทเวลาให้กับมหาวิทยาลัยมากกว่าครอบครัวด้วยซ้ำ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่เว้นแม้วันเสาร์-อาทิตย์ และตลอดสิบปีที่ผ่านมาก็ไม่มีเรื่องราวอะไรเสื่อมเสีย แต่ตำแหน่งอธิการบดี เป็นตำแหน่งทางการเมือง การที่ผมไม่เห็นด้วยกับผลประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผมโดนเล่นงาน”

‘เสี่ยเฮ้ง’ สั่งตรวจเข้ม ‘ต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย’ ย้ำ!! ตรวจเจอ จับดำเนินคดี ไม่มีข้อยกเว้น

(14 ก.พ. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงคนไทยถูกแรงงานต่างชาติแย่งงาน แย่งอาชีพ จึงสั่งการให้กระทรวงแรงงานบริหารจัดการแรงงานต่างชาติในประเทศไทยอย่างรอบคอบ เป็นระบบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้กำชับให้กรมการจัดหางานติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมายหรือแย่งอาชีพคนไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 13 กุมภาพันธ์ 2566 มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างชาติทั่วประเทศแล้ว จำนวน 14,104 แห่ง ดำเนินคดี 500 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 196,402 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 145,764 คน, กัมพูชา 32,916 คน, ลาว 10,181 คน, เวียดนาม 103 คน และสัญชาติอื่น ๆ 7,438 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 1,143 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 629 คน, กัมพูชา 175 คน, ลาว 187 คน, เวียดนาม 49 คน, และสัญชาติอื่น ๆ 103 คน ซึ่งพบเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 600 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 264 คน, กัมพูชา 121 คน, ลาว 97 คน, เวียดนาม 39 คน, อินเดีย 51 คน และสัญชาติอื่น ๆ 28 คน โดยอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ และงานนวด ตามลำดับ

“พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระบุว่า คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งกระทรวงแรงงานจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยไม่มีข้อยกเว้น” รมว.แรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีทั้งสิ้น 40 งาน เป็นงานห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด 27 งาน ตามบัญชีที่ 1 ได้แก่ 
1.งานแกะสลักไม้ 
2.งานขับขี่ยานยนต์ ยกเว้นงานขับรถยก (Forklift) 
3.งานขายทอดตลาด 
4.งานเจียระไนเพชร/พลอย 
5.งานตัดผม/เสริมสวย 
6.งานทอผ้าด้วยมือ 
7.งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ฟาง ไม้ไผ่ ขนไก่ เส้นใย ฯลฯ 
8.งานทำกระดาษสาด้วยมือ 
9.งานทำเครื่องเขิน 
10.งานทำเครื่องดนตรีไทย 
11.งานทำเครื่องถม 
12.งานทำเครื่องทอง/เงิน/นาก 
13.งานทำเครื่องลงหิน 
14.งานทำตุ๊กตาไทย 
15.งานทำบาตร 
16.งานทำผ้าไหมด้วยมือ 
17.งานทำพระพุทธรูป 
18.ทำร่มกระดาษ/ผ้า 
19.งานนายหน้า/ตัวแทน 
20.งานนวดไทย
21.งานมวนบุหรี่ 
22.งานมัคคุเทศก์ 
23.งานเร่ขายสินค้า 
24.งานเรียงอักษร 
25.งานสาวบิดเกลียวไหม 
26.งานเลขานุการ 
และ 27.งานบริการทางกฎหมาย 

'ลุงแมว' หนุ่มวิ่งพิสูจน์รักแท้ ลงใต้หาสาวสตูล ถึงที่หมายแล้ว เตรียมจดทะเบียนวันวาเลนไทน์

(14 ก.พ. 66) นายสุเทพ ล้อมจิตร อายุ 52 ปี หนุ่มใหญ่ชาวยโสธร วิ่งพิสูจน์รักแท้หาสาวสตูล ระยะทาง 1,200 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นที่จังหวัดนครนายก ตั้งแต่ 14 ม.ค. 2566 และวิ่งเข้าสู่บริเวณด่านคีรีวง อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 13 ก.พ. 2566 โดยมีตำรวจ สภ.ทุ่งหว้า และชาวบ้านในพื้นที่มารอรับที่ชายแดน เขตรอยต่อระหว่างจังหวัดสตูลและจังหวัดตรัง เมื่อเข้าเขตจังหวัดสตูล พี่แมวยิ้มด้วยความดีใจว่าเข้าเขตจังหวัดสตูลแล้ว และเตรียมเข้าพักบ้านเพื่อนที่ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู

และจะเริ่มต้นวิ่งในวันที่ 14 ก.พ. จากบ้านสะพานวา ตำบลป่าแก่บ่อหิน อำเภอทุ่งหว้า เพื่อจดทะเบียนสมรสกับพี่ยุ ซึ่งรออยู่ที่อำเภอในวันเดียวกัน ถือเป็นการพบกันครั้งแรก

'พี่แมว' หรือ 'ลุงแมว' เปิดใจว่า "ตลอด 1 เดือนที่วิ่งจากภาคกลางลงสู่ภาคใต้ ได้สัมผัสถึงมิตรภาพ ความมีน้ำใจของพี่น้องชาวใต้ ที่บอกว่าคนใต้ใจดำนั้นไม่จริงเลย ขอบคุณน้ำใจที่ให้ทั้งที่พัก อาหารน้ำดื่ม กราบขอบคุณน้ำใจของทุกคน ตอนนี้น้ำหนักลดไปกว่า 10 กิโลกรัม เปลี่ยนรองเท้าไปหลายคู่ ตื่นเต้นที่จะได้พบคุณยุ

สวนนงนุชพัทยา จัดงานจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 รับวันแห่งความรัก 14 กุมภาวันวาเลนไทน์

(14 ก.พ. 66) เวลา 09.09 น. นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา มอบหมายให้นางพัทธนันท์ ขันติสุขพันธุ์ ผู้จัดการทั่วไปสวนนงนุชพัทยา จัดกิจกรรมจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง โดยมีนายสุนทร มูเนาวาเราะ นายอำเภอสัตหีบ และนายวันชาติ วรรณพราหมณ์ ปลัดอำเภอสัตหีบ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงาน และทางอำเภอสัตหีบ ได้จัดส่งหน่วยเคลื่อนที่เพื่อรับจดทะเบียนสมรส สำหรับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างในวันที่ 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ โดยจัดขึ้นบริเวณสวนลอยฟ้าซึ่งเป็นสวนที่แปลกและใหม่ล่าสุดล่าหนึ่งเดียวในโลก

ในวันนี้สวนนงนุชพัทยา ได้จัดขบวนแห่ขันหมากขึ้น อย่างยิ่งใหญ่ โดยนำคู่สมรส 9 คู่แรก นั่งบนหลังช้างเพื่อร่วมขบวนแห่ขันหมาก สร้างความตื่นตา ตื่นใจให้กับคู่บ่าวสาวที่มาร่วมงาน และในกิจกรรมจดทะเบียนสมรสวันนี้ ทุกคู่ที่ร่วมกิจกรรม จะได้ขึ้นบนหลังช้างเพื่อรับทะเบียนสมรสทุกคู่ พร้อมกับรับของที่ระลึกเป็นไม้มงคล จากสวนนงนุชพัทยา ทุกคู่

'พระพยอม' ให้ข้อคิดเนื่องใน 'วันวาเลนไทน์' เตือนสติวัยรุ่น ระวังถูกหลอก แนะรักอย่างถูกวิธี

(13 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันพรุ่งนี้ก็จะเข้าสู่เทศกาล 'วันแห่งความรัก' หรือ 'วันวาเลนไทน์เดย์' (Valentine's Day) เป็นวันที่ 14 ก.พ. 66 นี้ ของทุก ๆ ปี ที่จะมีหนุ่มสาวและอีกหลายผู้คนทั่วโลก ออกมาแสดงสื่อถึงการบอกรักกัน หรือมอบสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่กันและกัน เพื่อเเสดงออกถึงวันแห่งความรัก เป็นสากลกันทั่วโลกในวันนี้

'พระราชธรรมนิเทศ' หรือ 'พระพยอม กัลยาโณ' พระนักเทศน์ชื่อดัง เจ้าอาวาสแห่งวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ได้เทศน์ฝากเตือนสติหนุ่มสาวในวันแห่งความรัก หรือวันวาเลนไทน์เดย์นี้ 

"ช่วงวาเลนไทน์ อยากจะเตือน น้อง ๆ สาว ๆ รุ่น ๆ อย่าหมกหมุ่นกับวันวาเลนไทน์ แบบเสื่ยมเสีย แบบเสียหาย เขาเรียกว่า วันหิวกระหายเสียตัว อย่าให้กิเลสตัณหา ความเป็นเสือหิว เรื่องเพศนี้เข้ามาผลักไส จนเราเข้าสู่มุมอับของชีวิต สุดท้ายถูกหลอก จากภาพหนุ่มหล่อ ๆ สาวสวย ๆ หรือของแบรนด์เนมฝรั่งหรู ๆ อะไรแบบเนี่ย มาล่อลวงติดต่อเรา ทั้งที่จริงบางทีคนติดต่อลวงเรา อาจไม่สวย หล่อ ตรงปกเหมือนภาพที่ส่งให้เราดูแต่แรก ในเมื่อก่อนวันวาเลนไทน์ ผลเสียมีไม่มาก 

แต่ช่วงนี้มีการเปลี่ยนมาจับทิศทางการหลอกลวงทางเทคโนโลยี มันวิวัฒนการไปสู่ความวินาศทางเพศ ข้อสำคัญฝากไว้ อย่าลืมหลัก ถ้าคิดจะมีรัก ต้องมีรู้ มีรักค่อยมีลูก ถ้าเรียนยังไม่ถึงไหนเลย ม.1-ม.2 ไปมีรักแล้ว รู้ก็ยังไม่รู้เลย หากพลาดพลั้งมีลูก ต้องดรอปเรียนอีก ระวังกันด้วยพวกที่อยู่ในวัยเรียน ควรจะพรากเพียรศึกษาก่อน รักรอได้ แต่ระวังอย่าให้รักเป็นต่อขึ้นตา ที่เขาว่ากัน รักทำให้คนตาบอด

มสส.ร่วมกับสสส.ถก 'สางปม บุหรี่ไฟฟ้า' ชี้สุดอันตรายและไม่ช่วยเลิกบุหรี่มวน

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง 'สางปม บุหรี่ไฟฟ้า... หลากปัญหา รอวันแก้'

(13 ก.พ.66) มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง "สางปม บุหรี่ไฟฟ้า... หลากปัญหา รอวันแก้" ณ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ รัชดา โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมพูดคุย พร้อมด้วยนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่ากฎหมายไทยกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามทั้งการนำเข้า จำหน่ายหรือให้บริการ ในปี 2564 มี 32 ประเทศทั่วโลกที่ประกาศใช้กฎหมายห้ามเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าจากที่ในปี 2557 มีเพียง 13 ประเทศ เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าทั่วโลกตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าเพราะมีข้อมูลชัดเจน เช่น เด็กมัธยมปลายอเมริกันสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 1.5%ในปี2554 เป็น19.6%ในปี 2563 ประเทศนิวซีแลนด์เด็กอายุ14-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 1.9%ในปี 2560เป็น9.6 %ในปี 2564 ส่วนเด็กมัธยมต้นของไทยอายุ13-15 ปีสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก3.3% ในปี2558 เป็น8.1%ในปี 2564 

รายงานการวิจัยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลกส่วนใหญ่สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจเพราะละอองลอยมีสารโลหะหนักหลายชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง นิกเกิล สังกะสี โครเมี่ยม และตะกั่วที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังพบว่าสารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของสมองเด็กและวัยรุ่น บุหรี่ไฟฟ้าหลายยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับสูบบุหรี่ 20 มวน และบางยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง50 มวน          

ส่วนข้ออ้างที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในการช่วยเลิกบุหรี่มวนนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ในปี 2564 องค์การอนามัยโลกระบุว่าหลักฐานที่บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ยังสรุปไม่ได้ ส่วนองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกายืนยันเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาว่าไม่เคยรับรองให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียก็ระบุว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ สอดคล้องกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2564-2565 ไม่มีข้อสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ หนำซ้ำยังพบว่า 60 %ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่กลับมาสูบบุหรี่ชนิดมวนใหม่ 

ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่าปัญหาใหญ่สุดของบุหรี่ไฟฟ้าคือทำให้เด็กที่ไม่เคยสูบบุหรี่เข้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้าและเด็กที่เริ่มต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่าเด็กที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2-4 เท่า รวมทั้งคนที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาไปแล้วจะกลับมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน ดังนั้นสื่อมวลชนต้องช่วยกันเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง หาแนวทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆที่เข้าถึงเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคุมการโฆษณาในสื่อสมัยใหม่ทุกรูปแบบเพราะบริษัทบุหรี่ไฟฟ้ามักใช้สื่อออนไลน์และสนับสนุนเงินในการจัดกิจกรรมดึงดูดกลุ่มเยาวชน

นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมีหมวดที่ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการทำให้มีการออกคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ โดยมีค่าตอบแทนรวมถึงการซื้อมาเพื่อขายต่อ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  นอกจากนี้ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ายังมีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กับให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย และยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

พี่ยุ สาวรอรักแท้ ลุ้นนอนไม่หลับ รอหนุ่มอีสานด้วยความตื่นเต้น มาขอความรัก 1,200 กก. พรุ่งนี้ ขณะนักข่าวญี่ปุ่นขอสัมภาษณ์ งานอีเว้นท์ติดต่อ เพียบ

(13 ก.พ. 66) สาวสตูลผู้รอรักแท้จากหนุ่มอีสานที่เดินทางไกลด้วยเท้า 1,200 กิโลโดยใช้เวลา 1 เดือนเพื่อมาขอรับรักสาวในวันพรุ่งนี้ที่จะครบตามคำมั่นสัญญานั้น โดยสาวสตูลหรือที่รู้จักในนามพี่ยุ หม้ายสาวใหญ่แม่ค้าออนไลน์ (นางสาวธนาภา เขียวอ่อน) อายุ 56 ปี บ้านเลขที่ 132 หมู่ที่ 8 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ยอมรับกับสื่อมวลชนว่าได้เฝ้ารอวันเวลาที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้อย่างตื่นเต้น เพราะตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาทางติ๊กต็อกไม่เคยพบหน้าเห็นตากันมาก่อน ยอมรับว่าต้องรู้สึกเขินและอายเหมือนกัน พี่ก็จะบอกอาการไม่ถูก

ซึ่งในวันพรุ่งนี้ก็มีเซอร์ไพรเล็ก ๆ ต้อนรับพี่แมว หรือ (นายสุเทพ พร้อมจิต อายุ 52 ปี ชาวยโสธร) โดยมีการทำเสื้อสีชมพู ข้อความ “พิสูจน์รักแท้ 1,200 กก.” สวมใส่ภายในงาน โดยคนที่มาร่วมงานในวันดังกล่าวจะสวมเสื้อสีชมพูกันทุกคนให้พี่แมว ที่เดินทางมาถึงที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า ตามหาว่าคนไหนคนพี่ยุ (พูดพลางหัวเราะ) พี่ยุ บอกด้วยว่า การพิสูจน์รักในครั้งนี้ของพี่แมว ทำให้ตนยอมรับและรับรักเพราะนี่คือบทพิสูจน์ที่ใครหลายคนมักมองว่า การคบหรือรู้จักกันผ่านโซเซียลสุดท้ายอยู่ที่การกระทำมากกว่า ว่าเขารักและจริงใจกับเรามากแค่ไหน หลังจากจดทะเบียนสมรสกันแล้ว มีคนติดต่อให้มาออกงานอีเว้น ในอำเภอทุ่งหว้า และอำเภอละงู เพื่อโปรโมทรักแท้จังหวัดสตูลให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งความรักในครั้งนี้ยังได้รับความสนใจนอกจากสื่อในประเทศแล้ว สื่อต่างแดนอย่างประเทศญี่ปุ่นก็ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ ที่จะบอกรักให้คนทั่วโลกรับรู้ว่านี่คือการพิสูจน์รักแท้ ของคนไทยที่มีต่อกัน ส่วนอนาคตวางแผนจะมีบุตรด้วยกันหรือไม่นั้น  พี่ยุ บอกด้วยน้ำเสียงตกใจและหัวเราะลั่นว่า ไม่เอาบุตรแน่นอน เพราะพี่ยุก็มีลูกติดแล้วถึง 4 คนเช่นเดียวกันกับพี่แมวก็มีลูกติดเหมือนกัน ซึ่งอนาคตหลังจากนี้จะไปจัดงานแต่งที่บ้านของพี่แมว และจะตระเวนท่องเที่ยวอย่างที่ใจของเราทั้งสองวางแผนไว้

รมว.พิพัฒน์ เปิดงาน'Amazing Ruk Rim Lay'

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 18.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(รมว.กก.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Amazing Ruk Rim Lay" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และยกระดับต่อยอดการท่องเที่ยวของจังหวัดตรัง ซึ่งเปรียบเสมือนดินแดนแห่งความรัก และมีชื่อเสียงด้านการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลแห่งความรัก ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และส่งมอบประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่มีคุณค่า และมีความหมาย (Meaningful Travel) ให้กับนักท่องเที่ยว โดยมี ดร.นาที รัชกิจประการ ประธานคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล), นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง, นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุรัตน์  จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม ณ หาดราชมงคล จังหวัดตรัง

ทหารกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจยึดกัญชา ริมฝั่งแม่น้ำโขง 420 กก. ลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 18.00น. มว.ปล.ที่ 2 ร้อย.กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ชปข.กอ.รมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการขนย้ายยาเสพติดนำข้ามมาฝั่งไทย ที่บริเวณบ้านบางทรายน้อยฯ จึงได้จัดกำลังพลออกเฝ้าตรวจเพื่อป้องกันและสกัดกั้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ.บางทรายน้อย ม.2 ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พิกัด 48 QVD 721391

ครั้นเมื่อ 12 ก.พ. 66 เวลา 0630 จนท. ได้ตรวจพบเรือกีบติดเครื่องยนต์ข้ามมาจากฝั่ง สปป.ลาว มุ่งตรงมาที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ.บางทรายน้อย ม.2 ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พิกัด 48 QVD 721391 ห่างจากจุดซุ่มประมาณ 100 เมตร จากนั้นมีกลุ่มคนประมาณ 6-7 คน เดินลงมาที่เรือและได้แบกกระสอบสีดำขึ้นฝั่งไป จึงได้แสดงตัวว่าเป็น จนท. เพื่อขอตรวจค้น กลุ่มคนดังกล่าวเมื่อเห็น จนท. จึงได้ทิ้งกระสอบและอาศัยความชำนาญในพื้นที่วิ่งหลบหนีไปได้ ส่วนคนขับเรือได้ขับเรือข้ามกลับไปยังฝั่ง สปป.ลาว จากนั้นจึงได้เข้าตรวจสอบบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงตรวจพบกระสอบห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำจำนวน 20 กระสอบ จึงได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นกัญชาอัดแท่งและช่อดอกกัญชาตากแห้ง 

GISTDA เปิดภาพ 'พื้นที่ป่ารูปหัวใจ' ในเชียงราย มุมมองจากอวกาศ เติมหวานรับวาเลนไทน์

GISTDA เปิดภาพ 'พื้นที่ป่ารูปหัวใจ' หวานรับวาเลนไทน์ ด้วยภาพจากดาวเทียม spot-6 ภาพที่ปรากฏเป็นพื้นที่ป่าเต็งรัง บริเวณตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย เมื่อมองจากมุมมองอวกาศจะเห็นพื้นที่ดังกล่าวเป็นรูปหัวใจ ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดดอยม่อนป่ายาง (วัดสันติธรรม) และสำนักสงฆ์สันติธรรม เป็นเสมือนหนึ่งหัวใจที่อยู่ใกล้ธรรมะ และธรรมชาติ

ภาพที่เห็นเป็นพื้นที่ป่ารูปหัวใจสีเขียวเปรียบเสมือนหัวใจของชุมชนที่ตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางหมู่บ้าน สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งฟอกอากาศชั้นดี พื้นที่รอบ ๆ รายล้อมไปด้วยพื้นที่นาและพื้นที่เกษตรประเภทอื่น ๆ เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และลำไย เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top