Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

‘ณวัฒน์’ เคลียร์ดรามา รับสอน ‘เฌอเอม’ ในฐานะที่มีสิทธิ์คว้ามงฯ ลั่น ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย แต่เป็นธุรกิจที่ตกลงกัน ใครเคร่งศาสนาอย่ามาประกวด

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 เป็นอีกประเด็นเดือดในเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2023 เมื่อ 'เฌอเอม ชญาธนุส' มิสแกรนด์ลำพูน 2023 ปฏิเสธการทำกิจกรรมดูดวงกับ 'แพม เปรมิกา' มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 ด้วยเหตุผลว่านับถือศาสนาคริสต์ ไม่สะดวก และขออนุญาตคืนไมค์

ด้าน 'ณวัฒน์ อิสรไกรศีล' เจ้าของเวที ก็สวนกลับ พร้อมไลฟ์เดือดบอกว่า หาคนพร้อมใช้ ที่ไม่มีเงื่อนไข และอีกต่างๆ นานามากมาย ซึ่งมีทั้งคนที่เห็นต่างและสนับสนุนบอสณวัฒน์ แต่จนท้ายที่สุดแล้ว เฌอเอม ก็ได้ออกมาโพสต์โซเชียลกราบขอโทษณวัฒน์ ที่แสดงกิริยาไม่น่ารักและไม่ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง พร้อมบอกอีกว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

ล่าสุด ณวัฒน์ ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้งกับสื่อมวลชนว่า…

“มันไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย แต่นี่มันคือธุรกิจที่เรามีข้อตกลงเหมือนกัน อันนี้เป็นการยืนยันสำหรับข้อกำหนดบางข้อ ซึ่งอันนี้มันคือมาตรฐานของมิสแกรนด์ฯ น้องอ่านและเซ็นทุกข้อ หากขาดกิจกรรม 2 ครั้ง เราสามารถปลดได้ นี่คือระเบียบการของมิสแกรนด์ฯ ทั้งหมด คำว่าประชาธิปไตยคือเราต้องมีสิทธิ์ที่เหมือนคนอื่น

เรื่องต่อไปก็คือน้องนับถือศาสนาคริสต์ อันนี้ผมต้องยอมรับว่าผมไม่ทราบ แล้ววันที่ผมประกาศว่ามีเกมนี้ออกมา เนื่องจากว่าเราต้องการที่จะทำกิจกรรมเพื่อเสริมคนดูทางบ้านโดยปกติอยู่แล้ว และงานมันจะหมดอีเวนต์แล้วเราก็เลยขออีกรอบหนึ่ง ซึ่งเราเลือก แพม เปมิกา เพราะเขามีความสนุกเรื่องนี้มีพรสวรรค์เรื่องนี้ ก็เลยบอกกล่าวให้กับผู้เข้าประกวดทุกคนเรียบร้อย สามารถดูได้จากไลน์กลุ่ม และการโพสต์ให้ทุกคนเข้า

แต่น้องบอกไม่ทราบ แสดงว่าน้องบกพร่องในการอ่านรายละเอียดเพราะใน Facebook และ LINE กลุ่มนางงาม ผมก็เป็นคนแจ้ง ต้องยืนยันว่าเราเป็นคนทำงานมีระบบ ซึ่งในไลน์กรุ๊ปอยู่ทั้งหมด 97 คน ในภาวะฉุกเฉินถ้ามีขอแก้ไขหรือมีอะไรสามารถแจ้งผมโดยตรงได้”

เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุ เห็นอาการ ท่าทางของ 'เฌอเอม' ไม่ดีตั้งแต่เดินมาแล้ว
“ผมเองมีการแจ้งไปอย่างชัดเจนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราต้องการอะไรเราก็จะมีการแจ้งทุกอย่าง เราทำงานเป็นขั้นตอนทั้งหมดและในกลุ่มด้อมน้องรู้เรื่องนี้ทั้งหมดและระดมโหวต พอไลฟ์สดเฌอเอมยังไม่มา ผมเลยสังเกตสีหน้าว่าเดินมาแล้วหน้าหงิก และไม่สนใจใคร ผมก็โฟกัสไปแล้วตรงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นเราก็ให้ผู้ช่วยเข้าไปถามว่าหนูเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นแหละ ผมก็กลับมานั่งที่เดิม ผู้ช่วยผมถึงจะส่งสัญญาณว่าเหมือนน้องจะไม่อยากทำกิจกรรมนี้ และคนดูเยอะมากวันนั้นในไลฟ์สด

พอถึงเวลาน้องเข้ามาผมก็เริ่มต้นจากการถามน้องว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งผมต้องบอกถึงคนที่เป็นคนขยี้โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อะไรก็แล้วแต่ ให้ใช้เวลาดูคลิปตั้งแต่ต้นก่อนที่จะใช้วิจารณญาณในการเขียน ซึ่งหลังจากที่ตัวเองบอกว่าตัวเองเป็นคริสต์ ผมเลยเอะใจว่าทำไมไม่แจ้งผมก่อนหน้านี้ และที่บอกว่าน้องแจ้งทีมงานไปแล้ว แต่ทำไมเขาไม่แจ้งผม ซึ่งเราก็มีไลน์กันตั้งแต่มาแจ้งก่อนงาน”

สอน 'เฌอเอม' ในฐานะที่มีสิทธิ์คว้ามงฯ มากที่สุดการอยู่ในคนหมู่มากควรต้องทำยังไง
“ซึ่งผมก็ตกใจและอธิบายให้ฟังว่าการที่ผมอธิบายมันเป็นความรู้สึกเป็นเรื่องของกฎหมาย จงอย่ามาก้าวก่ายในเรื่องที่เราพูด ซึ่งผมบอกว่าถ้าเป็นผม ผมไปได้ทุกศาสนา ผมให้เกียรติทุกที่ และผมก็สอนน้องว่าการที่เราอยู่กับคนหมู่มากมันต้องทำยังไง และต้องยอมรับว่าเพื่อน 30 คนก็เลือกน้อง

น้องมีสิทธิ์คว้ามงฯ มากที่สุดคนนึง เราจึงต้องการความเคลียร์ว่าจะมาทำงานบริษัทเราใช่ไหม งั้นเราขอนำเสนอความคิดของเราว่ามันเป็นแบบนี้ แล้วผมไม่ได้บอกเลยว่าต้องทำแบบนี้หรือเป็นการบังคับว่าต้องทำแบบนี้ ถ้าน้องเกิดได้เป็นนักแสดงต้องบวงสรวง หรือต้องไปทำงานกับสปอนเซอร์ในเรื่องของความเชื่อ มันก็จะเป็นปัญหา ไม่ว่างานที่รับไว้มันจะทำไม่ได้ ผมก็เลยถามว่าถ้าจะอยู่ในวงการบันเทิงมันจะต้องคิดอีกแบบหนึ่งว่าอะไรที่มันเป็นการทำเพื่องาน หรือว่าน้องอยากเป็นนักการเมืองก็ต้องทำงานตามกฏหมาย

คือเราก็มองภาพรวม แล้วเราก็บอกว่าถ้าเราทำไม่ได้ และไม่รู้จะไปทางไหนดีแค่นั้นเอง แล้วก็ไปบดขยี้หาว่าไม่ถูกต้องไม่อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ผมก็ไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นความคิดของผมว่าทำไมผมจะไม่ถูกต้อง เพราะว่าผมกำลังสอนคน เพราะว่าเขาอยากเดินตามความฝันแต่ว่ามันจะทำยังไงเขาจะรู้จักวางตัวให้มันเป็นไปได้”

ลั่นที่ตนพูดเช่นนั้นกับ 'เฌอเอม' ไม่ได้เป็นการละเมิดศาสนาแต่อย่างใด ตนให้สิทธิ์เลือกจะไม่ทำแล้ว แต่กลับทุบจนกลายเป็นประเด็นขึ้นมา

“ผมไม่ได้มองว่าใครละเมิดศาสนาหรือกฎใดๆ ทั้งสิ้น ผมยินดีและประโยคสุดท้ายก่อนที่น้องจะวางไมค์ผมพูดว่าอะไรไปย้อนดู ซึ่งคนที่พิมพ์ด่าเราว่าผมรู้สึกว่าผมเสียดายกับคำว่าคุณวุฒิที่อยู่ข้างหน้า เพราะว่าศาสนาไหนก็แล้วแต่ ผมก็ยังพูดว่าถ้าอย่างนั้นไม่ต้องดูก็ได้ กลับไปย้อนดูได้ รบกวนช่วยฟังผมด้วย เพราะผมยังพูดว่าไม่ต้องดูก็ได้

ถ้าเป็นคนเข้าใจที่ผมพูดอย่างนั้น จะบอกว่าหนูขอไม่ดู หนูขอโทษพี่ณวัฒน์ด้วยนะคะ หนูขอโทษคนดูด้วยนะคะ และทุกอย่างจะจบลง แต่หนูไม่จบน้องบอกว่าหนูขอใช้สิทธิ์ในการให้เพื่อนออกมาแทน ซึ่งผมก็รู้สึกว่ามันเป็นเกณฑ์ ถ้าน้องจะมาเพิ่มกติกาเองมันก็เป็นไปไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิ์เหมือนกันทุกคน จะไปเรียกคนอื่นมาพูดไม่ได้ ผมก็เลยบอกว่ามันไม่ได้จริงๆ ก็เลยไปเปรียบเทียบว่าถ้าวันนึงวันใดหนูไม่อยากประกวด และหนูเรียกเพื่อนมาเดินแทนมันก็ทำไม่ได้

และที่สำคัญที่สุดคุณเป็นผู้ถามเราเป็นโจทย์ถ้าทำไม่ได้ไม่เป็นไร มีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะไม่ถามแต่คุณยังเลือกที่จะอยากทำแต่ให้เพื่อนมาช่วยทำมันไม่น่ารัก และยังไม่จบเท่านั้นยังไม่พออาจจะเข้าใจ เขายังบอกว่าขอหนูพูดกับแฟนคลับได้ไหม แต่อันนี้มันไม่ใช่ทอล์กโชว์สำหรับทุกคน เขาก็ยังพูดต่ออีกว่าขอหนูพูดหน่อย อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายผมเลยมองว่าทำไมต้องทุบหลังให้ผมหลังแอ่นขนาดนี้”

รู้สึกผิดหวังอยู่ในวงการมาไม่เคยเจอเด็กแบบนี้ คิดแต่จะต่อต้าน แหกกฎตลอด ทำตัวไม่น่ารักขอโทษสักคำวันนั้นยังไม่มี

“ผมอยู่ในวงการมาผมไม่เคยเจอเด็กต่อต้านหรือปฏิเสธหรือพยายามกระแทกแหกกฎได้เยอะขนาดนี้ ผมเลยบอกว่าไม่ได้ครับทุกคนต้องเสมอภาค ถ้าอยากพูดก็ไปพูดในด้อมแต่จะมาพูดตอนนี้ทางแฟนคลับคนอื่นจะมารับรู้อะไรได้ยังไง ผมก็รู้สึกผิดหวังและรู้สึกว่าถ้าขอโทษมันก็คือจบ ขอโทษสักคำก็ไม่มีก้มหัวสักครั้งก็ไม่มี ไหว้สักทีก็ไม่ได้ เชิดหน้า รุ่นพี่ 2017 ผู้บริหารบริษัทเต็มไปหมด ที่โกรธคือมารยาทและการต่อรองที่มีควรจะต่อรอง ทำไม่ได้ก็จบ

จนกลายเป็นแบบว่าคนที่ไม่รู้ไม่ได้เสพตั้งแต่ต้นจนจบมาเอาประเด็นคริสต์ดูดวงได้ไหมไปขยี้กัน มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมไม่อยากให้เขาดู ถ้าคริสต์ดูดวงไม่ได้ ผมสนับสนุน ไม่ต้องดู บอกผมตั้งแต่แรก ส่งไลน์มาเลย ผมยินดีที่จะปฎิบัติ ถึงตรงหน้าแล้วก็ยังมีสิทธิ์ไม่ดูก็ได้ ก็จบ ผมให้สิทธิ์วิธีการจบหลายทอดแล้วแต่ ไม่แน่ใจว่าน้องอยากมีแสงหรืออยากทะเลาะ หรืออยากเป็นประเด็น ทำไมยื้อตลอดเวลา จบก็คือจบ แล้วเวลาจบ เชิ่ด 5 เชิ่ด 10 ไม่สนใจ ไม่ไหว้ ไม่ขอโทษ เชิ่ดหน้า สะบัด 180 องศา เดินตัวตรง ไม่เหลียวแลสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือความไม่น่ารัก”

‘กรมแพทย์แผนไทยฯ’ ห่วงเด็กไทย หลังพี้กัญชาว่อนโซเชียล ย้ำ!! ห้ามขายกัญชาให้เด็ก-เยาวชน ฝ่าฝืนมีโทษ มุ่งเน้นกัญชาทางการแพทย์เท่านั้น

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย.66) นายแพทย์เทวัญ ธานีรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ตามสื่อสังคมออนไลน์ จะพบภาพของเด็กและเยาวชนสูบกัญชา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีความห่วงใย ต่อเหตุการณ์เหล่านี้และขอชี้แจงให้ทราบว่า การสูบกัญชา หรือการจำหน่าย ขาย แจก แลกเปลี่ยนกัญชาแก่เด็ก และ เยาวชน เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ถือเป็นการจำหน่าย สมุนไพรควบคุม คือกัญชา โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษอาญาถึงขั้นจำคุก ตามประกาศ “สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565” ข้อ 1.3 กำหนดชัดในเรื่อง ห้าม จำหน่ายแก่เด็ก และ เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี

ซึ่งการจำหน่ายหมายความรวมถึง การขาย จ่าย แจก หรือแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลในประเด็นนี้ จะเห็นว่า เด็ก และ เยาวชนนำกัญชามาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ได้ 2 ทาง ทางที่ 1 คือ ได้รับการจำหน่าย จ่าย แจก มา ตามข้อนี้ กฎหมายสามารถเอาผิดกับผู้ที่จำหน่าย จ่าย แจกกัญชาให้เยาวชนได้ตามมาตรา 78 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ ทางที่ 2 คือ เด็ก และ เยาวชน ปลูกกัญชาเพื่อไว้เสพ กรณีนี้ ผู้ปกครองที่ดูแลบุตรหลาน ต้องมีการควบคุมดูแล เช่นเดียวกับการห้ามสูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุรา ผู้ปกครอง หรือผู้ใกล้ชิด จึงมีบทบาทที่ต้องเข้ามาเฝ้าระวัง และให้แนวทางที่ถูกต้องแก่เด็ก และ เยาวชน

‘น้องโดเมสท์’ อดีตน้องหมาทหาร K9 ฐาน ฉก.ยะลา 12 ได้เดินทางกลับดาวหมาแล้ว

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย.66) เพจเฟซบุ๊ก ช้างเผือก ได้โพสต์แสดงความเสียใจกับข่าวการตายของ 'น้องโดเมสท์' อดีตน้องหมาทหาร K9 พร้อมระบุว่า "เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว แอดไปมอบของให้ที่ฐาน (ฉก.ยะลา12) น้องโดเมสท์ อยู่กับบัดดี้ 'จ่าแน็ก' ด้วย"

ขณะที่ ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องโดเมสท์จำนวนมาก

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยจัดแถลงข่าวโครงการ 'พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการจ้างงานคนพิการทางจิตอย่างยั่งยืน'

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยจัดแถลงข่าวโครงการ 'พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการจ้างงานคนพิการทางจิตอย่างยั่งยืน และประชุมสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๒๐' ประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี ๒๕๖๕ 

​โดยมี คุณนุชจารี คล้ายสุวรรณ (นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย) , คุณณฐอร อินทร์ดีศรี (ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) ผู้แทนกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ , แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ (ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา) , นายแพทย์ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ (ที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย และ รองผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจสนับสนุนและพัฒนาเครือข่ายบริการ โรงพยาบาลศรีธัญญา , คุณรัตน์ จิรธรรม (ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ) และผู้แทนสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และ คุณชัญญ์ญาณ์ ธำรงวินิจฉัย (ผู้จัดการใหญ่ กิจกรรมการตลาดศูนย์การค้าบริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ปจำกัด)  ร่วมแถลงข่าว ในวันที่ 26 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 4 โรงพยาบาลศรีธัญญา จังหวัดนนทบุรี

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย จัดงาน “โครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการจ้างงานคนพิการทางจิตอย่างยั่งยืน และประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี ๒๕๖๕ สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๒๐” โดยงานในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางจิตได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ทัดเทียมกับประชาชนทั่วไป และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีออกสู่สังคม นาง นุชจารี คล้ายสุวรรณ นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สำหรับงานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ให้สังคมรับรู้ว่า ปัจจุบันผู้บกพร่องทางจิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป และมีความสุข อยากจะให้ทุกๆคนในสังคมหันกลับมาให้ความสำคัญและให้ความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นในสังคมไทย”
​สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรอิสระ ที่ก่อตั้งขึ้นโดย ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมด้วย พ่อแม่ ผู้ปกครอง ของผู้ทุพลภาพทางร่างกาย ในปี 2556 

ปัจจุบันมีเครือข่ายองค์กรกว่า 200 องค์กร ทั้งในองค์กรส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานองค์กรชมรม  สมาคม ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ให้ผู้บกพร่องทางจิตได้รับการยอมรับจากสังคม ได้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข เท่าเทียม และให้ผู้บกพร่องทางจิตเกิดความเชื่อมั่นต่อตนเองภายในสังคมอย่างบูรณาการ สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ 47 ตึกหญิง 10 โรงพยาบาลศรีธัญญา, กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี

'ชาวเน็ต' โดนใจ!! สุดยอดอาชีพ 'ยิ่งโกหก ยิ่งได้ดี' ช่วยเตือนความจำ ไทยถูกปกครองด้วยคนไร้เกียรติมานานแล้ว

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 ติ๊กต็อกในชื่อ ‘p1forall’ ได้นำเสนอคลิปในหัวข้อ ‘อาชีพที่ยิ่งโกหก ยิ่งได้ดี’ โดยระบุว่า…

“ในชีวิตของผมนะครับ มีอาชีพอยู่อาชีพหนึ่งที่โกหกตลอด ยิ่งโกหกยิ่งได้ดี คิดว่าอาชีพนั้นคืออาชีพอะไร ถ้านึกไม่ออก ผมจะเล่าให้ฟัง ลองไปฟังกันครับ”

- ‘ปฏิวัติ รสช.’ ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่ปฏิวัติแล้วบอกว่า “จะไม่เป็นนายกฯ” แต่ก็ยอม ‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’ จนได้เป็นนายกฯ

- ‘ปฏิบัติการลับ ลวง พราง’ ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยบอกว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติจะให้บ้านเมืองเสียหาย” (แต่สุดท้ายก็ได้ทำการรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร 19 ก.ย. 2549)

‘นักเขียนดัง’ รีวิว หนังสือเรียน ‘ภาษาพาที’ ทั้ง 6 ระดับชั้น เผย เล่มของชั้น ป.5-6 เนื้อหาสุดบ้ง!! ยัดเยียดทัศนคติล้าหลัง

(26 เม.ย. 66) หลังประเด็นดรามาถูกตั้งคำถามในเรื่องเนื้อหาของหนังสือภาษาพาที ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน

ล่าสุด น.ส.พนิตชนก ดำเนินธรรม หรือ ‘นิดนก’ นักเขียน และ โฮสต์พอดแคสต์ ‘The Rookie Mom’ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว รีวิวการอ่านหนังสือภาษาพาที โดยระบุว่า…

ได้อ่านหนังสือชุดนี้ครบทั้ง 6 เล่ม 6 ระดับชั้นแล้วเป็นที่เรียบร้อย คิดว่าพยายามอ่านอย่างมี Empathy (ความเข้าอกเข้าใจ) มากแล้ว คือพยายามไม่ตั้งธงในใจ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานความเอ๊ะที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดการอ่านได้ คิดว่าการอ่านในตอนที่โตแล้ว เราก็มีภูมิต้านทานประมาณนึง จริงๆ ก็อยากไปนั่งอ่าน หรือไปนั่งดูเด็กๆ อ่านเหมือนกัน ว่าพวกเขาคิดเห็นยังไง รีแอ็คชันเป็นยังไงน่ะนะ

ขอว่าไปเป็นข้อๆ
– เล่ม ป.1 ยังไม่มีอะไรให้ลุ้นมาก เพราะยังเป็นคำโดด เน้นหัดอ่าน ผ่านเรื่องราวของตัวละคร ใบโบก ใบบัว ช้างสองตัวเพื่อนรักของเด็กๆ

– พอขึ้น ป.2 เป็นต้นไป เนื้อหาจะเริ่มยาวขึ้นตามความเหมาะสมของช่วงวัย มีส่วนนึงที่ชอบ คือเห็นความตั้งใจที่จะส่งตัวละครใบโบก ใบบัว ออกจากหนังสือไป ช้างสองตัวนี้เป็นเหมือนตัวแทนความเป็นเด็ก ที่ปรากฏมาตอน ป.1 วัยเริ่มเรียนเขียนอ่าน อ่านออกครั้งแรกก็ได้รู้จักกับเพื่อนสองตัวนี้ ทีนี้พอขึ้น ป.2 หนังสือไม่ตัดฉับ แต่ยังเลี้ยงใบโบกใบบัวเอาไว้ถึงประมาณเทอมหนึ่ง ซึ่งก็เป็นช่วงสิ้นสุดปฐมวัยพอดี มีการปูเรื่องมาให้เห็นเหตุผล ก่อนที่เด็กๆ จะต้องอำลาเพื่อนช้าง และเนื้อเรื่องหลังจากนั้นก็จะเป็นชีวิตของเด็กๆ กับการใช้ชีวิตในสังคมนี้

– ซึ่งความชิบหายวายป่วงก็คือเริ่มต้นหลังจากช้างไปแล้วนั่นแหละ 5555555 สามารถหาจุดเอ๊ะได้ตั้งแต่เล่ม ป.2 เลย

– พีกหนักมากๆ จะอยู่ที่เล่ม ป.5-6 เข้าใจว่าเป็นเพราะมันคือวัยที่อ่านคล่องแล้ว คนเขียนก็เลยมันมือ เขียนเรื่องราวประโลมโลก ยัดเยียดทัศนคติล้าหลังเข้าไปให้อ่านกันด้วยสำนวนนิยายสมัยก่อนสงครามโลก อินสะไปร์บาย ทมยันตี กฤษณา อโศกสิน แต่ฝีมือไม่ถึงเท่า ดังนั้นเราจึงได้เห็นคอนเทนท์บ้งทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะมาจากสองเล่มนี้แหละ แต่จริงๆ เล่มอื่นก็มีเยอะเหมือนกัน

– ที่น่าแปลกใจสำหรับเราคือเล่ม ป.4 ไม่แน่ใจว่าเป็นฉบับปรับปรุง หรือว่าแยกทีมงานคนละชุด หรืออย่างไรไม่ทราบได้ แต่ถือว่าเป็นเล่มที่มีจุดชวนอึดอัดน้อยที่สุดจากทั้งหมด คือเขียนเรื่องราวมาด้วยความตั้งใจที่ต่างจากเล่มอื่นชัดเจนเลยนะ เห็นถึงความพยายามนำเสนอเรื่องราวร่วมสมัยชวนให้พูดคุยต่อ

เช่น มีบทหนึ่งเขียนเรื่องเพื่อนร่วมห้องที่เป็นเด็กพิเศษ ด้วยน้ำเสียงที่สำหรับเราคิดว่าโอเคมากๆ เลยนะถ้าคิดว่ามันคือ ‘ตำราไทย’ เล่มนี้จะแตะไปยังเรื่องรอบตัวรอบโลก เล่าด้วยทัศนคติที่ค่อนข้างไม่ตัดสิน สั่งสอนในระดับกำลังดี ความยาวและยากของเนื้อหาดูเหมือนจะยากกว่าป.6 อีกนะ 555 เลยค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นทีมงานคนละชุดกันแน่ๆ

– ซึ่งพอได้อ่านเล่ม ป.4 เลยทำให้คิดว่า เอาจริงๆ มันมีความเป็นไปได้อยู่ที่จะทำให้มันดี คือป.4 ก็ยังไม่ใช่หนังสือที่ดีที่เราอยากให้ลูกเรียนหรอกนะ แต่มันดีที่สุดในซีรีส์นี้ และสัมผัสได้ถึงความพยายามออกจากกรอบบางอย่าง คิดว่าถ้าได้คุยกับคนทำงานเล่มนี้น่าจะดี

– ตัดมาที่ ป.5-6 เละเทะไม่มีชิ้นดี คือสองชั้นนี้เด็กเข้าสู่วัยรุ่นแล้วเนาะ เค้าเริ่มจะไม่อยากฟังผู้ใหญ่สอนแล้ว แต่หนังสือสอนมาก สอนจนอึดอัด ไม่มีความเป็นเพื่อนที่อยากจะนั่งลงคุยกับเขาเลย ในทางภาษา ชั้นพี่ใหญ่ของระดับประถมนี่เขาคล่องแคล่วทางภาษามากแล้ว แต่หนังสือไม่มีความรุ่มรวยทางภาษาให้เขาเลย มันจืดชืดและอยู่ในกรอบ ไม่มีการทดลอง กลอนก็ไม่เพราะ ไม่ใส่ใจกับพวกสัมผัสในหรือการเล่นคำฉวัดเฉวียน ที่เราว่ามันสำคัญมาก ข้อเขียน บทกวีดีๆ มันจะส่งพลังให้เด็ก โดยเฉพาะกับคนที่เขาชอบภาษา จำได้ว่าตอนเด็กๆ สิ่งที่เราได้อ่านมันท้าทายเรามากกว่านี้ และทำให้อยากสู้ อยากรู้ต่อ จนทำให้ภาษาไทยเป็นวิชาที่ชอบเรียนมากที่สุด

– มีคนถามถึงคนเขียน ซึ่งในเล่มจะไม่ปรากฏ มีแค่ชื่อคณะกรรมการจัดทำยาวเหยียด จากการอ่านแล้วทั้งหมด พอจะจินตนาการคนเขียนได้ว่า เป็นคนอายุมากแล้วที่ชอบอ่านนิยายไทยประโลมโลก จึงได้เก็บเอาชุดคำและสำบัดสำนวนเชือดเฉือนยุคหลังสงครามโลกมาไว้ได้ครบถ้วน และเชื่อเอาแล้วว่าชุดภาษาในยุคนั้นนั่นล่ะคือตัวแทนความเป็นไทย ที่ควรบรรจุไว้ในตำราเรียน เมื่อได้รับโอกาสให้เขียน จึงลงมือตั้งใจเขียนจากประสบการณ์ จากคลังคำที่ตนมีอย่างเต็มที่ ทำงานอย่างคุ้มภาษีประชาชน

– แต่สำหรับการจัดทำตำราอันเป็นมาตรฐานที่จะส่งไปให้เด็กในประเทศไม่ว่ายากดีมีจนได้เรียน ลำพังมีแค่ความตั้งใจอาจจะไม่พอ ต้องทำงานหนักกว่านั้นมาก ต้องทำงานเป็นทีมให้มาก ทีมที่ว่าต้องไม่ใช่พวกเดียวกันเองด้วย แต่ต้องคัดสรรทีมทำงานที่มีความคิดหลากหลายมาช่วยกันเสนอช่วยกันค้าน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหลายด้านมาช่วยรับรองเนื้อหา มิใช่ปล่อยให้อยู่ในมือนักเขียน ที่เราเองก็อาจจะไม่ได้รู้รอบ แถมยังทำการบ้านมาน้อย และอีโก้สูงเสียอีก

– Narrative (เรื่องเล่า-การบรรยาย) ส่วนใหญ่จะเป็นการเล่าจากมุมมองของเด็ก ที่จะตรงกับช่วงวัยในตำราแต่ละระดับชั้น แต่ปัญหาของการใช้วิธีแบบนี้คือ มันเขียนมาแล้วไม่เด็กจริง เป็นเด็กที่ใช้สำนวนภาษาโคตรโบราณ ถ้านึกไม่ออกว่าประมาณไหน ให้ไปอ่านเพจนักเรียนดี เป็นอะไรทำนองนั้นแหละ หรือว่าจริงๆ แล้วคนเขียนตำราเล่มนี้ที่ทุกคนกำลังตามหา อาจจะเป็นคนเดียวกับแอดมินเพจนักเรียนดีก็เป็นไปได้

– อีกปัญหาของวิธีการแบบนี้ นอกจากเรื่องภาษาที่มันปลอมไม่เนียนแล้ว วิธีคิดมันก็ชวนอึดอัดมาก ลองนึกถึงวรรณกรรมเยาวชนที่เด็กอ่านติดกันงอมแงม แฮร์รี พอตเตอร์, ปิ๊บปี้ถุงเท้ายาว, นิโกลา, บรรดาเด็กๆ ในงานของโรอัลด์ ดาห์ล หรือแม้กระทั่งโต๊ะโตะจัง ผู้เขียนที่แม้ไม่ใช่เด็ก เขาเล่าเรื่องผ่านมุมมองวิธีคิดแบบเด็ก ที่สำคัญคือ เข้าไปเป็นพวกเดียวกับเด็กๆ ดังนั้นมันจะไม่มีเลยที่ตัวละครเด็กลุกขึ้นมาพูดว่า “ใช่แล้ว การขโมยนั้นเป็นสิ่งไม่ควรทำ” “เรามาไม่ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองกันเถอะ” คือมันฝืนนนนน มันเป็นคำที่ผู้ใหญ่อยากได้ยิน แต่มันไม่ใช่ธรรมชาติที่เด็กจะพูด

– มนุษย์เราโดยธรรมชาติแล้วก็จะใฝ่ไปในทางดีนั่นแหละไม่ต้องเป็นห่วง แต่มันไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่มั่นใจได้ว่าไอ้พวกนี้มันจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็น ก็เลยยัดเยียดเอาทุกอย่าง ทุกชุดคำที่อยากบอก ใส่เข้าไปในเนื้อเรื่องกันแบบดื้อๆ ฝืนๆ ไปอย่างนั้นแหละ อยากให้ประหยัดไฟก็พูดเลยว่าประหยัดไฟสิ

– ย้อนแย้งไหม ในหนังสือตำราเรียนภาษา ที่ปลายทางเราต้องการสร้างผู้ใช้ภาษาเพื่อสื่อสารได้อย่างสร้างสรรค์และไม่อับจนหนทาง มีศิลปะในการใช้มันเป็นเครื่องมือรับใช้ความคิดความต้องการของตัวเอง แอดวานซ์ไปกว่านั้นคือมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง สอดแทรกสารที่เราต้องการสื่อเข้าไป อย่างที่งานเขียนดีๆ หลายชิ้นเขาทำกันได้

‘ดร.เอ้’ ควง ‘แนน ศิริภา’ ลุยทำคะแนนฝั่งธนฯ ชู ‘Wrap ตึกก่อสร้าง’ เล็งติดตั้งเครื่องวัดฝุ่น 2,000 จุดทั่วกรุงฯ ดัน กม.ควบคุมมลพิษจริงจัง

(26 เม.ย. 66) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลงพื้นที่ตลาดสำเหร่ เขตธนบุรี ขอคะแนนเสียงสนับสนุนให้กับ น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร ผู้สัมคร ส.ส. กทม.เบอร์ 11 เขตธนบุรี คลองสาน ราษฎร์บูรณะ พรรคประชาธิปัตย์ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีการพบปะมีพี่น้องประชาชนที่มาจ่ายตลาดยามเช้า นำเสนอนโยบายของพรรค และรับฟังการสะท้อนปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อรวบรวมและผลักดันให้มีการแก้ไข โดยมีการสะท้อนถึงปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ปัญหาค่าครองชีพปากท้อง และที่สำคัญคือ ปัญหาสุขภาพ จากฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานกระทบต่อวิถีชีวิตคนในชุมชน เนื่องจากคนในพื้นที่จำนวนไม่น้อยเป็นผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ นายสุชัชวีร์ ได้นำเครื่องตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ที่ได้มาตรฐานไปตรวจวัด ในจุดที่ประชาชนร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบอย่างมาก ที่บริเวณถนนเจริญนคร 23 ด้วย เนื่องจากเป็นพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัย ที่มีโรงเรียนอนุบาล และเป็นพื้นที่ที่มีการก่อสร้าง กระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ทั้งนี้ จากการตรวจวัดในระดับพื้นที่พบ ค่าฝุ่น PM 2.5 ถึง 65 มคก./ลบ.ม. ถือว่าเกินค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ที่กำหนดค่า PM 2.5 ไม่ควรเกิน 25 มคก./ลบ.ม.

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีนโยบาย ติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นคุณภาพสูงอย่างน้อย 2,000 จุดทั่วกรุงเทพฯ และขอความร่วมมือป้าย LED แจ้งปริมาณฝุ่น พร้อมส่งสัญญาณเตือนเมื่อเกินค่ามาตรฐาน ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ จะกำหนดเงื่อนไขในกฎหมายอากาศสะอาด ให้ตึกที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างต้อง Wrap ตึก และสามารถเคลมเป็นภาษีได้ ถ้าไม่ Wrap ต้องมีมาตรการเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างหรือโดนภาษีหนัก และในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในที่มีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาลมากมาย ควรเป็นเขต LEZ (Low Emission Zone) เช่น ถ้ารถสิบล้อเข้าเขตนี้ต้องเสียภาษีเพิ่ม รถควันดำห้ามเข้า เป็นต้น

คนไทยในสหรัฐฯ ส่งมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง กลับคืนสู่ไทย เพื่อเป็นสมบัติของชาติ 13 รายการ

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย.66) ณ ห้องรับรอง 2 กระทรวงการต่างประเทศ นายณัฐพล ขันธหิรัญ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และคณะ ประกอบด้วยนางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ และนายณัฐพล ณ สงขลา ผู้อำนวยการกองทูตวัฒนธรรม เป็นผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ทำพิธีมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง จำนวน 13 รายการ ที่ชาวไทยในสหรัฐอเมริกาประสงค์ส่งมอบคืนให้กับประเทศไทยผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ให้แก่กรมศิลปากรเพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยนางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นผู้แทนกรมศิลปากรรับมอบ

การส่งคืนโบราณวัตถุในครั้งนี้เกิดจาก นายมะลิ นงเยาว์ ชาวไทยในสหรัฐอเมริกา ประสานมายังสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ว่ามีความประสงค์มอบโบราณวัตถุ กลับคืนสู่ประเทศไทยเพื่อเป็นสมบัติของชาติ ประกอบไปด้วย ภาชนะดินเผา จำนวน 5 รายการ และกำไลสำริด จำนวน 8 รายการ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส เป็นผู้แทนรับมอบโบราณวัตถุดังกล่าว ณ วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้จัดส่งโบราณวัตถุดังกล่าวผ่านถุงเมล์การทูตพิเศษมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2566

สืบนครบาล รวบตัวตึงหลอกขายรถผ่านเฟซบุ๊กเสียหายกว่า 5 ล้านบาท หมายจับเพียบ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กับ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศปอส.ตร. (PCT) ให้ปราบปรามคนร้ายที่ก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยเฉพาะอาชญากรรมทางออนไลน์  อีกทั้ง ทางเพจเฟสบุค "สืบสวนนครบาล" ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย ให้ติดตามคนร้ายหลอกขายรถยนต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยมีบัญชีเฟซบุ๊กกว่า 10 บัญชี และมีบัญชีธนาคารที่ใช้รับเงินจากลูกค้าอีกจำนวนมาก ก่อเหตุมาแล้วไม่ต่ำกว่า 500 ครั้งและมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท บางวันได้เงินหลายพันบาท บางเดือนได้เป็นแสนบาท มีหมายจับจำนวน  8  หมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมตัวได้เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ประกอบอาชีพ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยออกไปข้างนอกหาเงินจากการหลอกลวงอย่างเดียว

วันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2566 เวลาประมาณ 08.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หน.PCT ชุดที่ 5 ,พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฏศรี, พ.ต.ท.ยิ่งยศ  ลีชัยอนันต์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น.  พ.ต.ต.ทศรัสมิ์ กิติธารา , พ.ต.ท.ธีวร์ราธิป ชูดวง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ , ร.ต.อ.ธนพล มโนษร , ร.ต.อ.พีระเกียรติ ศิริฤทัยวัฒนา , ร.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ สนิทไทย รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ   ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT 5

ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ รอง สว.กก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.2 , ร.ต.อ.หญิง ธิดารัตน์ ผดุงประเสริฐ รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.ภ.2  ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายเชาวลิตร สว่างศรี อายุ 37 ปี  เลขที่ 160/1 หมู่ที่ 9 ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี

โดยกล่าวหาว่า ฉ้อโกงประชาชน , ทุจริตโดยการหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน

ผู้ต้องหาตามหมายจับ 
1.ศาลอาญา ที่ 2217/2565 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน , ทุจริตโดยการหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน ” 
 

2.หมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 635/2565 ลงวันที่ 21  พฤศจิกายน  2565  ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ”

3.หมายจับศาลจังหวัดระยอง ที่ 63/2565 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง และ โดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ”

4.หมายจับศาลจังหวัดเพชรบุรี ที่ 370/2565 ลงวันที่  27  ธันวาคม  2565  ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน , โดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน, เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นเท็จซึ่งอาจเกิดความเสียหายกับประชาชน ”

5.หมายจับศาลจังหวัดหลังสวน ที่ 125/2564 ลงวันที่  27 ตุลาคม 2564  ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ”

6.หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ 54/2564 ลงวันที่ 17  ธันวาคม 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกง , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดย ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ”

7.หมายจับศาลแขวงดอนเมือง ที่ 21/2563 ลงวันที่ 28  มกราคม  2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกง ” 

8.หมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 625/2558 ลงวันที่ 1 กันยายน 2558 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ”รวม 8 หมายจับ สถานที่จับกุม บริเวณใต้ อาคารเอ เดอะแมทตริกซ์ คอนโดมิเนียม นครปฐม ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

“ตำรวจไซเบอร์ รวบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นสรรพากร หลอกติดตั้งแอปดูดเงิน พบเชื่อมโยง 144 คดี เสียหายกว่า 10 ล้านบาท”

เมื่อวันที่ (25 เม.ย. 2566) ณ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีการจับกุมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหลอกลวงสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างจริงจัง

สืบเนื่องจากช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 คนร้ายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรโทรศัพท์หาผู้เสียหายขอตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษี แล้วจึงหลอกให้กดลิงค์ติดตั้งแอพพลิเคชั่นสรรพากรปลอม จากนั้นดูดเอาเงินจากบัญชีผู้เสียหายจนหมดบัญชี เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 กล่าวว่า มิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงโทรศัพท์และเครือข่ายจากระยะทางไกลเข้าควบคุมโทรศัพท์เครื่องเป้าหมาย จากนั้นจึงโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก เชื่อมโยงมีผู้เสียหาย 144 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top