Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

การบินไทยเดินหน้าคัดกรองพนักงานต่อรอบ 3 หลังไม่เข้าเป้า  สั่งขยายเวลายื่นเออร์รี่ ถึง 13 พ.ค.64  หวังลดให้เหลือ 1.5 หมื่นคน  

วันที่ 30 เมษายน 2564 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ตามที่บริษัท ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน และจะประกอบกิจการภายใต้โครงสร้างองค์กรใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งภายใต้โครงสร้างองค์กรใหม่ดังกล่าวมีพนักงานคงเหลือประมาณ 14,000 ถึง 15,000 คน ตามความเหมาะสมกับแผนธุรกิจของการบินไทยในอนาคตนั้น

ล่าสุดบริษัทได้ ทำการกลั่นกรองพนักงานสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ เป็นครั้งที่ 2เสร็จสิ้น ปรากฎว่า มีพนักงานสนใจและแสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองครั้งนี้ 3,500 คน ผ่านการพิจารณากลั่นกรอง 1,500 คน ส่วนอีก 2,000 คนไม่ผ่านการพิจารณาทั้งนี้ยังพบว่ายังคงมีตำแหน่งที่ว่างเหลืออยู่อีกกว่า 500 ตำแหน่ง เนื่องจากไม่มีผู้แสดงความจำนงเข้าสู่บางตำแหน่ง หรือไม่มีผู้แสดงความจำนงที่มีคุณสมบัติเหมาะสม รวมทั้งผู้ผ่านการกลั่นกรองสละสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จึงจัดให้มีกระบวนกลั่นกรองสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ ครั้งที่ 3 โดยจะเปิดให้พนักงานสามารถแสดงความจำนงผ่านระบบ ตั้งแต่วันที่ 1-2 พฤษภาคม 2564 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการกลั่นกรองครั้งที่ 3 ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ พนักงานที่ผ่านการกลั่นกรองครั้งที่ 3 จะเริ่มทำงานวันที่ 15 พฤษภาคม 2564

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายเวลาโครงการร่วมใจจากองค์กร (Mutual Separation Plan) แผน B (MSP B) และโครงการร่วมใจจากองค์กรแผน C (MSP C) เพื่อให้พนักงานสมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 13 พฤษภาคม 2564 ประกาศผลวันที่ 14 พฤษภาคม 2564รายงานข่าวแจ้งว่าขณะนี้ บริษัทฯได้เปิดคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานใหม่ จำนวน 2 ครั้งแล้ว ล่าสุดมีพนักงานที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้าทำงานในบริษัทรวมแล้ว 10,800 คน แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 จำนวน 9,300 คน และครั้งที่ 2 จำนวน 1,500 คน

คลอดมาตรฐานบริการอาหารรับท่องเที่ยว

กรมการท่องเที่ยว แจ้งว่า ขณะนี้จัดทำและปรับปรุงมาตรฐานบริการอาหารเพื่อการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีหลักเกณฑ์มาตรฐานที่เน้นในเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการอาหาร และเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ ซึ่งตามมาตรฐานได้กำหนดคุณสมบัติและข้อกำหนดเบื้องต้น คือผู้ประกอบการต้องจดทะเบียนตามกฎหมายและปฏิบัติตามกฎระเบียบ และพ.ร.บ.สาธารณสุขด้วย 

สำหรับคุณสมบัติและข้อกำหนดเบื้องต้น แยกเป็น 3 เรื่องใหญ่ คือ เรื่องสถานที่ ต้องมีสถานที่เตรียมปรุงอาหารที่สะอาด เป็นระเบียบถูกสุขลักษณะ ผนังและเพดานควรมีสีอ่อน มีแสงสว่างเพียงพอ โต๊ะเตรียมปรุงอาหาร แข็งแรง สะอาด สูงจากพื้นอย่างน้อย 60 ซม. ผนังบริเวณเตาไฟทนความร้อน ภายในมีการระบายอากาศดี มีที่ดูดอากาศหรือปล่องระบายควัน ขณะที่สถานที่รับอาหารก็ต้อง สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขลักษณะเช่นกัน และสถานที่ยังต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข รวมทั้งกฎระเบียบอื่น ๆ เช่นเดียวกับการมีระบบป้องกันภัยด้วย 

ส่วนต่อมาคือ เรื่องกระบวนการ โดยได้มีการกำหนดไว้ว่า ผู้ประกอบการต้องไม่มีการเตรียมปรุงอาหารหน้าหรือในห้องน้ำ และปรุงอาหารสุกโดยใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่วางอาหารนานเกิน 2 ชั่วโมง อีกเรื่อง คือ การจัดเก็บอาหารที่ปรุงเสร็จ กำหนดไว้ว่า จะต้องมีการป้องกันการปนเปื้อนระหว่างรอเสิร์ฟ และมีการป้องกันการปนเปื้อนระหว่างการขนส่งอาหารจากครัวไปสู่โต๊ะอาหารด้วย 

ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งเข็ม 1 และ 2 ในไทย 28 ก.พ.-28 เม.ย. 64 ยอดฉีดสะสมทะลุ 1.3 ล้านโดส

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ช่วงวันที่ 27 เมษายน ในประเทศไทย ดังนี้... 

- ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 20,761 ราย
- ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 44,172 ราย

ส่วนจำนวนผู้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 28 เม.ย. พ.ศ.2564 (60 วัน) มีการฉีดไปแล้ว 1,344,646 โดส ในพื้นที่ 77 จังหวัด ดังนี้... 

- ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 1,059,721 ราย
- ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 284,925 ราย

สำหรับ เป้าหมายการฉีดฉีดวัคซีนของรัฐบาลนั้น ตั้งใจจะฉีดคนไทยให้ได้ร้อยละ 70 หรือประมาณ 50 ล้านคนภายในปี 64 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในปีนี้และสามารถเปิดประเทศฟื้นเศรษฐกิจได้ในปี 65 ฟื้นเศรษฐกิจ


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/208016

“ครูกัลยา” ห่วงครู นักเรียน หนุนเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการศึกษา พร้อมให้ผู้บริหารสถานศึกษาในกำกับติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างใกล้ชิด 

เมื่อวันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ห่วงครู บุคลากรทางการศึกษา สนับสนุนให้เร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึง พร้อมให้ผู้บริหารสถานศึกษาในกำกับติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมพื้นที่พร้อมรองรับโรงพยาบาลสนามกรณีเชื้อไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้าง เตียงไม่พอ

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) เปิดเผยว่า คุณหญิงกัลยา เห็นถึงความสำคัญของครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จึงได้มีนโยบายเร่งด่วนตั้งแต่รักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้แถลงถึงโครงการที่จะต้องเร่งรัดและทำให้เกิดเป็นรูปธรรม หนึ่งในนั้นคือการเร่งผลักดันข้อเสนอกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับครู และบุคลากรทางการศึกษา และได้มีการเสนอประเด็นนี้เป็นกรณีเร่งด่วนในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของวิชาชีพครู ที่เป็นผู้ที่เสียสละในการทำงานใกล้ชิดกับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง และคนในชุมชน

ทั้งนี้ คุณหญิงกัลยาจึงขอสนับสนุนแนวทางของ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะได้มีการหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม ให้แก่ครู และบุคลากรทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน โดยให้ความสำคัญกับครูและบุคลากรที่อยู่ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงและมีความเสี่ยงสูงก่อน ซึ่งจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพี่น้องครูทั่วประเทศให้มีกำลังใจในการสอนนักเรียนอย่างเต็มความสามารถ

“การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ส่งผลกระทบกับทุกฝ่าย คุณหญิงกัลยาห่วงประชาชน โดยเฉพาะครูและนักเรียนเป็นอย่างมาก เพราะครูถือเป็นอาชีพที่เสียสละ จึงนำเรื่องการเร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการทันที ในขณะที่รักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และได้นำเรื่องดังกล่าวไปหารือใน ครม. ซึ่งคุณหญิงกัลยารู้สึกยินดีและพร้อมสนับสนุนท่านรัฐมนตรีว่าการฯ อย่างเต็มที่จะผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยเร็ว” นางดรุณวรรณ กล่าว

ทั้งนี้คุณหญิงกัลยา ยังแสดงความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนทุกคน และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐเองและเอกชนที่มีส่วนสนับสนุนในการช่วยเหลือและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคสวิด-19 โดยที่ผ่านมาคุณหญิงกัลยาได้ให้ผู้บริหารสถานศึกษาในกำกับติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมพื้นที่โรงเรียนในสังกัดเพื่อเป็นโรงพยาบาลสนามกรณีเชื้อไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างขึ้นร่วมด้วย 

ผอ.สถาบันวัคซีนฯ ชี้!! ซิโนแวคป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% เตือน!! กลุ่มวิจารณ์วัคซีน ไม่ควรยึดข้อมูลเดียวมาตัดสิน

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลประสิทธิผลวัคซีนชิโคแวคต่อไวรัสโควิด-19 ในประเทศบราซิล พบว่าสามารถป้องกันอาการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงได้ 50.4% อาการรุนแรงปานกลางได้ 83.7% และป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% ซึ่งวัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนตัวเดียวที่ได้รับการทดสอบในกลุ่มบุลากรทางการแพทย์

ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย จำนวน 61 ล้านโดส จะส่งมอบเดือนมิ.ย. มีข้อมูลตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีผลต่อไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ป้องกันอาการป่วยได้ 70% ส่วนไวรัสอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการกลายพันธุ์นั้นการป้องกันอยู่ที่ 85% ดังนั้นวัคซีนทั้ง 2 ตัวมีผลในการป้องกันอาการป่วยได้

นพ.นคร กล่าวอีกว่า การพิจารณาเรื่องวัคซีนนั้น ข้อสำคัญคือ ไม่สามารถจะมาเปรียบเทียบเฉพาะตัวเลข เพื่อบ่งชี้ถึงประสิทธิผลของวัคซีนเพียงลำพังเท่านั้น ต้องใช้ข้อมูลอื่นประกอบด้วยเช่น ผลการศึกษาระยะ 3 ที่แสดงผลของวัคซีนได้ทำในกลุ่มประชากรใด หากเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจำนวนมากจากพื้นที่ ที่มีการติดเชื้อสูงและพบเชื้อได้บ่อย จะไปเอาตัวเลขเปอร์เซ็นต์มาเปรียบเทียบกับวัคซีนบางตัวที่ใช้ในกลุ่มประชากรจากชุมชนทั่วไปไม่ได้ ต้องเอาทุกอย่างมาประกอบกัน

“ผู้ที่ออกวิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิผลของวัคซีนตัวนี้ ขอให้ใช้ข้อมูลความจริงทางด้านวิชาการตรงนี้ให้ครบถ้วน และพิจารณาเปรียบเทียบหลาย ๆ ส่วนกับวัคซีนตัวอื่น ที่มีการตีพิมพ์ผลงานของวัคซีนออกมาแล้ว ซึ่งจะเห็นความต่าง ความเหมือน หรือความใช้การได้ของวัคซีน ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนซิโนแวคที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีประสิทธิผลพอสมควรและมีประสิทธิผลมากในการป้องกันอาการรุนแรง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ และต้องฉีดให้ครอบคลุมอย่างมากและรวดเร็ว เราติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช้ความเชื่อหรืออคติแต่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในประเทศ และ ขององค์การอนามัยโลก”


ที่มา: https://www.facebook.com/101696788465808/posts/215848057050680/?sfnsn=mo

เปิด 5 มาตรการ ศบค. ยกระดับ 6 จว.สีแดงเข้ม งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค. 64

วันที่ 29 เมษายน 2564 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงผลการประชุมศปก.ศบค.ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดว่า โดยที่ประชุมพิจารณายกระดับการดูแลจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 ด้วยการยกระดับ 6 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ประกอบด้วย กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ

โดยมาตรการสำคัญสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ใน 6 จังหวัดคือ 1.ให้พื้นที่กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

2.ห้ามการจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 20 คน

3.มาตรการควบคุมสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กำหนดยกระดับมาตรการควบคุมบูรณาการขึ้นเพิ่มเติม สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

3.1ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในลักษณะของการนำกลับไปบริโภคที่อื่นได้เท่านั้น โดยงดบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และเปิดบริการได้ถึง 21.00 น.

3.2 สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนสให้ปิดบริการ ยกเว้นสถานที่ใช้เป็นเอกเทศตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ส่วนสนามกีฬาหรือสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ่ง เปิดให้บริการได้ไม่เกิน 21.00 น. และสามารถจัดแข่งขันโดยไม่มีผู้ชม

3.3ห้าง ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่คล้ายกัน ให้เปิดได้ตามปกติ จนถึง 21.00 น.ยกเว้นส่วนตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม และสวนสนุกที่งดบริการ

4.ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เกต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดปกติ แต่ไม่เกิน 21.00 น. ส่วนร้านเปิด 24 ช.ม. ให้เปิดเวลา 04.00 น.

5.การงดการเดินทางอออกนอกพื้นที่ ให้ประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด งดการเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่มีเหตุจำเป็น
โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค.2564 ซึ่งยืนยันไม่ได้เป็นการประกาศใช้เคอร์ฟิว

องค์นี้กินไม่ได้!! ช่างแกะสลักชาวสุโขทัย สืบสานงานศิลป์ แกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ อาชีพที่นับวันยิ่งหาช่างฝีมือ ที่ทำได้ประณีต และสวยงามได้ยาก

ช่างแกะสลักเป็นช่างประเภทหนึ่ง ในจำพวกช่างสิบหมู่ เป็นผู้มีความสามารถ และฝีมือในการช่างทำลวดลาย หรือรูปภาพต่าง ๆ บนเนื้อไม้ ที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของชาวชุมชนรอบ ๆ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ขึ้นชื่อเรื่องโบราณสถานเป็นต้น ๆ ของประเทศ

ชาวบ้านและคนในชุมชนเมื่อครั้งอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ อีกอาชีพที่ได้รับความสนใจ และฝึกฝนเป็นอาชีพของชาวชุมชนเก่าแก่แห่งนี้มายาวนาน จากอดีตถึงปัจจุบัน คือช่างแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ บ้างก็ทำเป็นอาชีพเสริม บ้างก็ทำเป็นอาชีพหลัก จำนวนไม่น้อยที่สร้างฐานะตัวเองและครอบครัวจากอาชีพนี้

นายวรรณะ (ช่างณะ) เชื้อบัว ถือเป็นช่างศิลปะการแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้คนหนุ่มรายหนึ่งในพื้นที่ ที่มีฝีมือดี ผลงานโดดเด่น มีลูกค้าจากทั่วประเทศ มาสั่งทำ และมารับซื้อในงานแกะสลักงานไม้ของเขาที่ได้รับการยอมรับในฝีมือของชายคนนี้ ‘ช่างณะ’ ใช้พื้นที่บ้านพักของตนเองและคนในครอบครัวดัดแปลงมาเป็นโรงงานย่อม ๆ ขนาดเล็ก ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 140/2 หมู่ 3 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ใช้เป็นที่ทำงานหารายได้ของเขาในการประกอบอาชีพช่างแกะสลักพระพุทธรูปบนตัวไม้ขนาดใหญ่ และทุกขนาดตามที่ผู้จ้างและลูกค้าสั่งทำ อย่างประณีต สวยงาม คมชัด ลึกและชัดเจน ไม่ผิดพิมพ์ถูกต้องตามต้นฉบับ

นายวรรณะ เล่าให้ฟังว่า ได้เรียนรู้ในการหัดฝึกแกะสลักไม้มาตั้งแต่อายุประมาณ 13-14 ปี ตอนแรกก็ไม่ได้ทำจริงจัง แต่ก็มีใจรัก เห็นคนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านทำกันก็สนใจชอบตามปะสาเด็ก ๆ พอเมื่อเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก็เริ่มมีฝีมือมากขึ้น มีความชำนาญขึ้นตามระยะเวลาที่ลงมือทำ ก็เลยเชื่อมมั่นว่าสามารถทำเป็นอาชีพได้ และน่าจะไปได้ดี มีอนาคต เดิมทีนั้นตนเองมีอาชีพทำนาแต่ชอบใช้เวลาว่างไปหาเก็บเศษไม้จากหัวไร่ปลายนามาฝึกแกะสลัก เริ่มจากแกะสลักเป็นรูปสัตว์ เช่น นก ปลา เสือ และช้าง

จากนั้นก็พัฒนามาเป็นการแกะสลักพระพุทธรูป พระพิฆเนศ และรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ แล้วฝากวางตามร้านขายของที่ระลึก จนลูกค้าเห็นผลงานเขาก็บอกต่อกันไป เริ่มมีคนรู้จักชื่อเสียง และมีความสุขมากที่เค้าเรียกนามเราว่านายช่าง จึงพัฒนาฝีมือโดยดูจากรูปภาพตัวอย่าง แล้วแกะสลักตามให้เหมือนรูปมากที่สุด ฝึกฝนเรื่อยมาจนเกิดความชำนาญและมีชื่อเสียงในเมืองเก่าสุโขทัย มียอดสั่งมากขึ้นตามลำดับ เมื่อยอดสั่งผลิตครบบางทีก็เอาไม้ทั้งขนาดเล็ก ใหญ่มาทำต่อให้เกิดรายได้อีกทาง ส่งขาย หรือมีคนมารับซื้อถึงบ้าน ลูกค้าจำนวนมากเมื่อมารับไม้และภาพสิ่งมงคลที่สั่งแกะ เมื่อเห็นงานชิ้นอื่นที่ตนทำไว้ก็ขอซื้อไปพร้อมกับงานที่ลูกค้าสั่งก็มีมาก

ปัจจุบันมีลูกค้าจากทั่วประเทศนำไม้มงคลอย่างเช่นไม้สัก ไม้กันเกรา ไม้ขนุน ไม่มงคล ไม้หาอยากมาจ้างให้แกะสลักเป็นพระพุทธรูปต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย พระปางลีลา พระนาคปรก และรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ โดยราคาขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายของงาน ส่วนพระลีลาสุโขทัยที่กำลังแกะสลักชิ้นนี้เป็นไม้สักที่ลูกค้านำมาให้

เดิน วิ่ง ปั่น ห่างกันสักพักช่วงโควิด-19

ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้ ควรงดออกกำลังกายในสวนสาธารณะออกไปก่อน นั่นเพราะจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเบลเยี่ยมและดัทช์ เกี่ยวกับเรื่องการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ในขณะออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน กิจกรรมเหล่านี้ ล้วนสามารถแพร่เชื้อได้ไกลขึ้นกว่าที่ยืนอยู่เฉย ๆ โดยการกระจายตัวของไวรัสโควิด สามารถกระจายตัวได้ไกลมากยิ่งขึ้นกว่าการไอและจามอีกด้วย

กระทรวงแรงงาน เผยมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปกาตาร์ ช่วงโควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจ้งคนหางานที่จะเดินทางไปทำงานรัฐกาตาร์ ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกาตาร์กำหนด โดยต้องมีวีซ่าทำงานประเภท Work-Yearly Resident และใบอนุญาตเข้าเมือง พร้อมทั้งตรวจสุขภาพ และตรวจหาเชื้อโควิด-19 ณ โรงพยาบาลที่รับรองจากฝ่ายกาตาร์ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากทำให้แรงงานไทยได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมี ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยสำหรับรัฐกาตาร์ กระทรวงแรงงานได้พิจารณาให้ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากประเมินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของรัฐกาตาร์ว่ามีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาด้านกฎระเบียบ และกฎหมายที่ดีขึ้น เอื้อประโยชน์แก่แรงงานไทย ตลอดจนตลาดแรงงานในรัฐกาตาร์ยังต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือ สำหรับโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก 

นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกระทรวงแรงงานให้แจ้งมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปยังรัฐกาตาร์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้

1.) คนหางานที่เดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์จะต้องได้รับการตรวจลงตราเพื่อการทำงานประเภท Work-Yearly Resident พร้อมใบอนุญาตเข้าเมือง (Exceptional Entry Permit) โดยนายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการให้โดยระบบออนไลน์

2.) คนหางานก่อนเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์ จะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากโครงการตรวจสุขภาพสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (Expatriate Health Check-up Program) ของสภาสาธารณสุขกลุ่มประเทศอ่าว (Gulf Health Council States) ซึ่งมีจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ (1.) โรงพยาบาลเวชธานี (2.) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (3.) โรงพยาบาลกรุงเทพ (4.) โรงพยาบาลปิยะเวท และ (5.) โรงพยาบาลรามาธิบดี 

3.) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ารัฐกาตาร์สามารถตรวจหาเชื้อ COVID-19 ภายใน 48 ชม. ก่อนเดินทางจากโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากฝ่ายกาตาร์ ได้แก่ (1.) โรงพยาบาลเวชธานี (2.) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ (3.) โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,500-8,000 บาท กรณีคนหางานตรวจหาเชื้อ COVID-19 จากโรงพยาบาลที่ได้รับรองจากรัฐกาตาร์ เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้ออีก แต่หากตรวจหาเชื้อ COVID-19 นอกเหนือจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งที่กล่าวมา เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่ท่าอากาศยานกรุงโดฮาอีกครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

4.) หากผู้ที่เดินทางเข้าไปรัฐกาตาร์ที่ยังไม่มีบัตรถิ่นพำนัก (QID) จะต้องกักตัวที่โรงแรมเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน โดยนายจ้างต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ทั้งนี้ หากแรงงานที่เข้ารับการกักตัวไม่สามารถพักห้องเดี่ยวได้จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

5.) เมื่อพ้นระยะเวลาการกักตัว นายจ้างจะต้องนำลูกจ้างไปตรวจโรคเพื่อจัดทำบัตรถิ่นพำนัก (QID) และจัดทำบัตรสุขภาพต่อไป

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้ประชาชน คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์  ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศและเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่

1.) บริษัทจัดหางานจัดส่ง

2.) กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง)

3.) นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ

4.) นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ

5.) คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการตามมาตรฐานที่พึงมี และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ 

“ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการไปทำงานในต่างประเทศ โทรศัพท์ 02-245-6708-9 ในวันและเวลาราชการ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694”  นายไพโรจน์ฯ กล่าว

เหล่าทัพอัพเดทจำนวนเตียง รพ.สนามทหาร ยังเหลือพร้อมช่วยปชช.

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ได้เปิดเผยความคืบหน้าการใช้โรงพยาบาลสนามของแต่ละเหล่าทัพ โดยกองทัพบกปัจจุบันได้เปิดใช้งานโรงพยาบาลสนามกองทัพบกแล้วตอนนี้จำนวน 9 แห่ง พร้อมรองรับผู้ป่วยได้ทั้งหมดจำนวน 1,013 เตียง ใช้บริการ 376 เตียง คงเหลือ 637 เตียง แบ่งเป็น

1.) กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 พร้อมรับ 300 เตียง ใช้บริการ 233 เตียง เหลือ 67 เตียง

2.) กรมพลาธิการทหารบก พร้อมรับ 100 เตียง ซึ่งยังไม่มีผู้เข้ารับการบริการ

3.) กองพันเสนารักษ์ที่ 1 จ.ลพบุรี พร้อมรับ 50 เตียง ซึ่งยังไม่มีผู้เข้ารับการบริการ

4.) ศูนย์การทหารราบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมรับ 100 เตียง ใช้บริการ 34 เตียง เหลือ 66 เตียง

5.) กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 5 จ.สงขลา พร้อมรับ 100 เตียง ซึ่งยังไม่มีผู้เข้ารับการบริการ

6.) กองพลทหารราบที่ 15 จ.สงขลา  พร้อมรับ 100 เตียง ซึ่งยังไม่มีผู้เข้ารับการบริการ

7.) กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 พร้อมรับ 40 เตียง ยังไม่มีผู้เข้ารับการบริการ

8.) โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (เกียกกาย) พร้อมรับ 136 เตียง ใช้บริการแล้ว 107 เตียง เหลือ 29 เตียง และ9.กรมยุทธศึกษาทหารบก และ

9.) กรมยุทธศึกษาทหารบก พร้อมรับ 87 เตียง ใช้บริการ 2 เตียง เหลือ 85 เตียง

สำหรับกองทัพเรือ เปิดใช้งานโรงพยาบาลสนามกองทัพเรือแล้วตอนนี้จำนวน 3 แห่ง พร้อมรองรับผู้ป่วยได้ทั้งหมดจำนวน 726 เตียง ใช้บริการ 156 เตียง คงเหลือ 570 เตียง แบ่งเป็น 1.ศูนย์ฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จ.ชลบุรี พร้อมรับ 320 เตียง ใช้บริการ 31 เตียง เหลือ 289 เตียง 2.ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า จ.ระยอง พร้อมรับ 174 เตียง ใช้บริการ 89 เตียง เหลือ 85 เตียง 3.สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทรเขลม จ.จันทบุรี พร้อมรับ 232 เตียง ใช้บริการ 36 เตียง เหลือ 196 เตียง นอกจากนี้กองทัพเรือยังได้เตรียมเปิดโรงพยาบาลแห่งที่ 3 ซึ่งจะใช้สนามกีฬาภูติอนันต์ 2 กรมสรรพาวุธทหารเรือ กทม. สามารถรองรับได้ 80 เตียง

ส่วนกองทัพอากาศ  เปิดใช้งานโรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศแล้วตอนนี้จำนวน 2 แห่ง พร้อมรองรับผู้ป่วยได้ทั้งหมดจำนวน 240  เตียง ใช้บริการ 109 เตียง คงเหลือ 131 เตียง แบ่งเป็น 1.โรงพยาบาลสนามทอ. ดอนเมือง  พร้อมรับ 120 เตียง ใช้บริการ 33 เตียง เหลือ 87 เตียง 2.โรงพยาบาลสนามทอ. โรงเรียนการบินกำแพงแสน จ.นครปฐม  พร้อมรับ 120 เตียง ใช้บริการ 76 เตียง เหลือ 44 เตียง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top