Monday, 2 December 2024
NEWS FEED

เลขาพรรคก้าวไกล ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ จี้หยุดใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมือง อัดตำรวจทำเกินกว่าเหตุ เผย "ก้าวไกล" เตรียมเสนอชุดร่างแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออก

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีตำรวจนำกำลังเข้าจับกุม นายศิริชัย นาถึง หรือ นิว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ของวานนี้ (13 ม.ค.) จากข้อหาตามมาตรา 112 โดยกล่าวหาว่า เขากระทำความผิดจากการพ่นข้อความ "ยกเลิกมาตรา 112" และ "ภาษีกู" ว่า ตนเห็นว่านี่เป็นอีกครั้งที่เจ้าหน้าที่ได้บังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างไม่เป็นธรรม และละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน จนกลายเป็นเครื่องมือในการปราบปรามทางการเมือง ซึ่งในกรณีของนิว เจ้าหน้าที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกหมายจับก่อนออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนปกติ

นอกจากนี้ยังเป็นการบุกจับกุมในยามวิกาล ละเมิดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ไม่ให้ติดต่อทนายความ และมีการบุกค้นสถานที่พักก่อนแสดงหมายค้น และกรณีดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แถลง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ว่าจะใช้กฎหมายทุกฉบับ รวมทั้งมาตรา 112 ต่อนักเรียน นักศึกษาที่ออกมาชุมนุม และแสดงออกทางการเมือง เพื่อให้บ้านเมืองสงบ ส่งผลให้ถึงขณะนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้ว 40 รายใน 28 คดี โดยผู้ถูกดำเนินคดีที่มีอายุน้อยที่สุดคือ 16 ปี

"พรรคก้าวไกลยืนยันว่านโยบายเช่นนี้ของรัฐบาล ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการรับมือต่อการแสดงออกทางการเมืองของนักเรียน นักศึกษา ที่มีการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะนอกจากจะไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมืองได้แล้ว การบังคับใช้มาตรา 112 ในสถานการณ์ปัจจุบัน จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนแย่ลงในสังคมประชาธิปไตย ผมหวังว่านิวจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันนี้ เพื่อสามารถออกมาใช้สิทธิในการต่อสู้คดีและขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้มาตรา 112 รวมทั้งกฎหมายความมั่นคงอื่นๆ เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมืองและละเมิดสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน" นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เมื่อสภาเปิดประชุมอีกครั้ง พรรคก้าวไกลจะยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททั้งหมด รวมถึง มาตรา 112, ร่างแก้ไข พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560, และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองและประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามหลักการขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย.

ประสบการณ์ไม่รู้ลืม!! ภาพบาดใจประชาธิปไตยสหรัฐฯ! ทหารนอนเกลื่อนรัฐสภา ราวกับครั้งเกิดสงครามกลางเมือง ช่วงทศวรรษ 1860

กำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิหลายร้อยนายต้องหลับนอนบนทางเดินของอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าเป็นครั้งแรกที่ทหารมาปักหลักค้างคืน ณ ที่แห่งนี้ นับตั้งแต่คราวเกิดสงครามกลางเมืองในช่วงทศวรรษ 1860

ภาพต่างๆ จากตอนเช้าวันพุธ (13 ม.ค.) พบเห็นกำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิพร้อมรบ กำลังหลับนอนอยู่เกือบทั่วทุกหนทุกแห่งของอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ จำนวนมาก พร้อมปืนไรเฟิลจู่โจมอยู่เคียงข้างกาย

กองทหารเข้าประจำการและหลับนอนในอาคารรัฐสภา หลังได้รับการร้องขอในตอนเวลา 18.00 น.ของวันอังคาร (12 ม.ค.) โดยเวลานี้คาดหมายว่ามีกำลังพลของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิอย่างน้อยๆ 20,000 นายอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ท่ามกลางความกังวลที่มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อภัยคุกคามเกิดจลาจลรุนแรง ก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ในวันพุธหน้า (20 ม.ค.)

ในภาพที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน พบเห็นบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องก้าวข้ามร่างของกำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเพื่อเข้าไปประชุมสภา ที่เปิดพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อเหตุจลาจลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต้องส่งทหารเข้าประจำการรักษาความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายหนึ่งของรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า “มันเป็นครั้งแรกที่มีทหารมาป้วนเปี้ยนในรัฐสภานับตั้งแต่สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ 1860”

การปรากฏตัวของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ มีขึ้นจากความล้มเหลวด้านการประสานงานที่ทำให้กำลังพลของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไม่ได้ถูกเรียกเข้ามาช่วยเหลือตำรวจรัฐสภาครั้งเกิดเหตุอลหม่านเมื่อวันพุธที่แล้ว จนกระทั่งตำรวจถูกบรรดาผู้ชุมนุมบุกฝ่าเข้าไปอย่างง่ายดาย ก่อความวุ่นวายแก่ที่ประชุมรับรองชัยชนะในศึกเลือกตั้งของไบเดน

เดิมทีก่อนหน้าเกิดจลาจล ทางกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของวอชิงตัน ดี.ซี. คาดหมายเพียงแค่จะส่งกำลังพลเพียง 340 นายเข้าช่วยเหลือจัดการด้านจลาจลและให้การสนับสนุนทางโลจิสติกส์ สำหรับพิธีสาบานตนในวันพุธหน้า แต่ “ตอนนี้คุณคาดหมายได้เลยว่าจะได้เห็นสมาชิกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมากกว่า 20,000 นายในเมืองหลวง” รักษาการผู้บัญชาการตำรวจ ดี.ซี.กล่าว

บริเวณด้านนอก เจ้าหน้าที่ยังได้วางแนวเหล็กโดยรอบพื้นที่สำคัญๆ ของรัฐบาล ด้วยรั้วความสูง 8 ฟุต และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยประจำการอยู่หนาแน่น

ท่ามกลางทหารจำนวนมากที่ถูกส่งเข้าประจำการ เจฟฟรีย์ โรเซน รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกก่อการร้ายภายในประเทศจะลงมือโจมตีอีก

“ผมต้องการส่งสารที่ชัดเจนถึงใครบางคนที่คิดใช้ความรุนแรง ขู่ใช้ความรุนแรงหรือทำผิดทางอาญาอื่นๆ เราจะไม่อดทนต่ออะไรก็ตามที่พยายามก่อความปั่นป่วนการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ ในนั้นรวมถึงความพยายามใช้กำลังบุกยึดอาคารราชการต่างๆ” เขากล่าว “ไม่มีข้ออ้างสำหรับความรุนแรง ทำลายทรัพย์สินของรัฐ หรือรูปแบบไร้ขื่อแปอื่นๆ”

การประจำการทหารในรัฐสภา มีขึ้นตามหลังมีคำเตือนจากเอฟบีไอว่ากลุ่มติดอาวุธสาวก “ทรัมป์” เตรียมป่วนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ “ไบเดน” ทั้งในกรุงวอชิงตัน และทั่วอเมริกาสัปดาห์หน้า

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้ออกเอกสารภายในเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่พวกผู้สนับสนุนทรัมป์ซึ่งติดอาวุธ เช่น กลุ่มขวาจัด “บูกาลู บอยส์” มีแผนก่อการประท้วงและบุกที่ทำการรัฐบาลในเมืองเอกของทั้ง 50 รัฐในวันที่ 20 นอกจากนั้นยังมีกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งขู่ก่อความรุนแรงถ้ารัฐสภาพยายามถอดถอนทรัมป์


(ที่มา: นิวยอร์กโพสต์)

Cr https://sondhitalk.com/detail/9640000003587

เลขานุการประธานรัฐสภา ‘ราเมศ รัตนเชวง’ เดือด เกรียนคีย์บอร์ดตัดต่อภาพปืนจ่อหัว “ชวน” สวนกลับ “ภาพแบบนี้ทำกับพ่อคุณคุณจะรู้สึกอย่างไร” เตรียมแจ้ง ปอท. เอาผิด 15 ม.ค.นี้

นายราเมศ รัตนเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา เปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ม.ค.เวลา 13.30 ตนจะเดินทางไป กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ศูนย์ราชการ อาคาร B ชั้น 4 ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จนได้รับความเสียหาย รวมถึงบุคคลที่โพสต์ข้อความใส่ร้าย หมิ่นประมาท ในทวิตเตอร์ และ เฟซบุ๊ก หลังมีผู้ร้องเรียนแจ้งข้อมูลมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งการนำภาพไปตัดต่อภาพ ใช้ปืนจ่อศีรษะของนายชวนที่สื่อถึงความรุนแรง และอาจส่งผลต่อความปลอดภัย และเป็นการละเมิดสิทธิประธานรัฐสภา

หลังจากที่นายราเมศทวิตเรื่องนี้ มีผู้มาแสดงความเห็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งอยากให้ดำเนินคดีอย่างจริงจังเพื่อให้เข็ดหลาบ เพราะปัจจุบันแม้จะเป็นแอคเคาท์ที่ไม่เปิดเผยตัวตนก็สามารถตามตัวมาดำเนินคดีได้ ขณะที่บางคนวิจารณ์ว่าเป็นความพยายามที่จะใช้กฎหมายกับประชาชนมากเกินไปหรือไม่ ทำแล้วประชาชนก็จะมีความสุข กินดีอยู่ดี ไม่มีบ่อนไม่มียาเสพติดใช่หรือไม่ ทำให้นายราเมศต้องตอบโต้กลับเหตุผลที่ใช้สิทธิตามกฎหมาย ว่า “ภาพแบบนี้ทำกับพ่อคุณคุณจะรู้สึกอย่างไร” และมีอีกหลายภาพที่แย่กว่านี้อย่าพูดแค่ปลายเหตุการณ์

“กระทำต่อคนอื่นก่อน พอเขาใช้สิทธิตามกฎหมายก็เบี่ยงประเด็น คิดว่าจะด่าจะใส่ร้ายคนอื่นอย่างไรก็ได้หรือครับ สุดยอดเลย ส่วนงานช่วยเหลือประชาชนไม่ต้องกังวลครับ เพราะมันคนละเรื่องกัน และเป็นสิ่งที่ทำอยู่แล้ว เปลี่ยนความคิดใหม่นะครับ” นายราเมศ ระบุ

‘บิ๊กป้อม’ อุบตอบ หลังเพจเฟซบุ๊ก ‘FC ลุงป้อม ประวิตร’ ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน โพสต์ข้อความเชียร์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อดีตผบ.ตร. ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ปัดแล้วแต่ที่ประชุมของพรรคพลังประชารัฐ

‘บิ๊กป้อม’ อุบตอบ หลังเพจเฟซบุ๊ก ‘FC ลุงป้อม ประวิตร’ ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน โพสต์ข้อความเชียร์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อดีตผบ.ตร.ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ปัดแล้วแต่ที่ประชุมของพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเพจเฟซบุ๊ก ‘FC ลุงป้อม ประวิตร’ ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน โพสต์ข้อความเชียร์  พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ว่า ยังไม่ได้ประชุมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เลย ซึ่งเรื่องนี้ต้องแล้วแต่ที่ประชุมของพรรค อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องไปถามพล.ต.อ.จักรทิพย์เอาเอง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา

เมื่อถามย้ำว่าในนามหัวหน้าพรรค พปชร. พร้อมสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้าถามในนามหัวหน้าพรรคก็ต้องตอบว่า ต้องรอให้มีให้ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค แต่ประชุมเมื่อไหร่ยังไม่ทราบ เมื่อถามว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะส่งลงสมัครในนามพรรคที่จะชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ และ เรื่องนี้ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด  ซึ่งเราต้องหารือกับพรรคและ คณะกรรมการบริหารพรรคเสียก่อน ซึ่งที่ผ่านมาพล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังไม่เคยมาปรึกษาตนในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถามถึงคุณสมบัติของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่ามีความพร้อมและเหมาะสมจะเป็นผู้ว่าฯกทม.หรือไม่

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มราษฎรนัดชุมนุมที่ศาลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี หลัง  ตำรวจจับกุม นายสิริชัย นาถึง หรือนิว นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในข้อหาความผิด ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า เรื่องนี้ก็ให้ไปถามผู้ชุมนุมแล้วกัน

กระทรวงพาณิชย์ เตือน ผู้ประกอบการโชวห่วย นิ่งเฉยไม่ได้หลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ระวังเรื่องความสะอาดของร้านค้าและสินค้าโดยต้องปราศจากเชื้อโรค ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยกระดับจาก New Normal เป็น Next Normal

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น โดยอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวังมากขึ้น และมีการยกระดับการดำเนินชีวิตจาก ‘วิถีปกติใหม่’ (New Normal) เป็น ‘วิถีปกติถัดไป’ (Next Normal) ที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตและเข้ามามีบทบาทในทุกมิติ โดยทุกคนต้องหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น

ดังนั้น ร้านค้าโชวห่วยของไทยจึงไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค เช่น ปรับวิธีการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นระบบ/ระเบียบมากขึ้น ต้องให้ความใส่ใจเรื่องสุขอนามัยที่ดี ร้านค้า/สินค้าต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค และต้องหมั่นทำความสะอาดร้านค้าให้บ่อยมากขึ้น

รวมทั้ง ต้องใช้ระยะห่างทางสังคมเข้ามาช่วยในการบริหารลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านค้า สินค้าในร้านต้องหาง่าย เนื่องจากลูกค้าจะใช้เวลาอยู่ภายในร้านไม่นาน ฯลฯ และที่สำคัญ คือ ต้องเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ควบคู่กับการขายสินค้าหน้าร้าน (Omni-Channel) ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่

ซึ่งผู้ค้าไม่จำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเอง แต่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ เช่น แอพพลิเคชั่นไลน์ หรือ แมสเซนเจอร์ เป็นช่องทางการตลาดให้กับผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่จะมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวกันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพิ่มเติม เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ และผู้ขายก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบเดลิเวอรี เช่น จักรยานยนต์ หรือ จักรยาน เป็นต้น”

“นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังเดินหน้าผลักดันให้ร้านค้าโชวห่วยมีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้า เช่น ระบบการขายหน้าร้าน (Point of Sale : POS) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน/เพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุค Next Normal และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน”

รมช.พณ. กล่าวต่อว่า “ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโชวห่วยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ของรัฐบาล ทำให้มียอดขายและสภาพคล่องดีขึ้น รวมทั้ง ส่งผลดีต่อผลประกอบการของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้ขับเคลื่อนได้อย่างตรงจุด

ซึ่งจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มกราคม 2564 : กระทรวงการคลัง) มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า มีผู้ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่ง และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แล้วจำนวน 12,050,115 คน มียอดการใช้จ่ายสะสม 53,431.90 ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,353.40 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 26,078.50 ล้านบาท) โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และ นครศรีธรรมราช ตามลำดับ”

“ร้านค้าโชวห่วยท้องถิ่นถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย รวมถึง เป็นแหล่งกระจายสินค้าท้องถิ่นและสินค้าชุมชนของประเทศ อย่างไรก็ดี ร้านค้าโชวห่วยและร้านค้าชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ค่อนข้างรุนแรงจากการเข้ามาของร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวทั้งด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า การตลาด การบริหารคลังสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในร้านค้าอย่างเหมาะสม” รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจค้างค้าปลีกโชวห่วยขนาดกลาง จำนวน 6,217 ร้านค้า และโชวห่วยขนาดเล็กประมาณ 400,000 ร้านค้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2547 5986 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th

ถึงคุณชัชชาติและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ: กรณีวัคซีนโควิด เราต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลสร้างระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เช่นนี้

จากกรณีที่คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้(13 มกราคม 2564) ถึงแนวคิดให้ทางการกรุงเทพมหานคร ใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนสำหรับประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่จำนวน 8 ล้านคน ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง เช่นที่เทศบาลนครนนทบุรี และเทศบาลนครแหลมฉบัง ที่จะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนในเขตของตนเอง

ซึ่งถือว่าเป็นข้อเสนอ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน เป็นความหวังดีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดการได้ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้เราย้อนกลับมาฉุกคิดตรงนี้ ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่มีงบประมาณเหลือมากที่สุด และมีหน้าที่โดยตรงในการจัดการปัญหานี้คือใครกันแน่? สำหรับผมแล้วเห็นว่าเป็นหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐบาลไทย

หากได้ติดตามการทำงานของ ส.ส. หมอเอก เอกภพ เพียรพิเศษ ที่เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกล อภิปราย พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 หรือเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว จะเห็นได้ว่าพรรคก้าวไกลเราเสนอให้รัฐบาลไทยจัดงบประมาณ 67,000 ล้านบาท เอาไว้เพื่อจัดหาวัคซีน บนพื้นฐานของหลักการว่าจะต้องฟรีสำหรับประชาชนทุกคน “Vaccine For All”

เมื่อวานนี้คุณหมอเอกก็ได้ลงรายละเอียดประเด็นนี้เพิ่มเติมว่าการแยกกันจัดการ/จัดหา จะยิ่งเพิ่มภาระทางการเงินการคลังของแต่ละท้องถิ่น และยังส่งผลต่อการบริหารจัดการแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนทั้งประเทศอย่างเป็นธรรมตามหลักการทางการแพทย์ด้วย

เพราะวัคซีนโควิดนั้นไม่ใช่ส่วนเสริมให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นแบบใครจะทำเพิ่มหรือไม่ทำก็ได้เหมือนกับการสร้างหอชมเมืองที่แต่ละท้องถิ่นตัดสินใจเลือกเองว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร แต่นี่เป็น ”ความจำเป็น” ในสถานการณ์วิกฤต ที่ทุกคนจะต้องได้ฟรี เหมือนกับวัคซีนอื่นๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขฉีดให้ประชาชนฟรีอยู่แล้ว เช่นวัคซีนวัณโรค คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ฯลฯ (โดยความคาดหวังว่าวิถีชีวิตจะกลับสู่ปกติโดยเร็วเพื่อให้การทำมาหากินของประชาชนกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แต่วัคซีนโควิดก็เป็นเพียงการใช้ในภาวะฉุกเฉินหรือ Emergency Use Approval เท่านั้น ซึ่งหมายความต้องมีระบบติดตามและวางแผนยุทธศาสตร์ในการฉีดที่ดีมากและต้องเป็นเอกภาพ)

ไม่นับว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดในประเทศไทย ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชนในเขตตนเองหรือไม่ เพราะมีอีกหลายแห่งที่ขาดงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีน กลายเป็นว่าจะมีบางแห่งที่ประชาชนได้วัคซีน บางแห่งไม่ได้ เพราะไม่มีงบประมาณ กลายเป็นระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”

ดังนั้น หากเรามองในภาพใหญ่ทั้งประเทศ เป็นการดีที่สุดที่จะต้องยึดตามหลักการเดิมไว้ นั่นคือให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยในการใช้งบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชนที่ตนเองมีเหลือใช้อยู่แล้ว เพื่อจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทุกคนในประเทศนี้

(แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ รัฐบาลเปิดเผยแผนว่าจะมีการจัดหาวัคซีนให้เพียงครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเท่านั้น และมีท่าทีสนับสนุนให้ท้องถิ่นจัดซื้อหาวัคซีนกันเอง เท่ากับว่าประชาชนไทยอีกครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพิงกับแต่ละท้องถิ่นว่าจะทำหรือไม่ทำ)

ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศนั้น ผมเห็นว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันจัดการกระจายวัคซีนไปยังประชาชนในพื้นที่เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้มีข้อมูลประชาชนในพื้นที่ละเอียดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ

และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ก็คือการช่วยเหลือ เยียวยา สนับสนุน ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันของประชากร ทั้งอาชีพ วัย ลักษณะการใช้ชีวิต ฯลฯ ย่อมมีความต้องการช่วยเหลือแตกต่างกัน ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดการงบประมาณตรงนี้ได้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนได้ดีเพราะใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า ท่ามกลางมาตรการของรัฐบาลที่ยังไม่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักมากเพียงพอต่อความต้องการ ซ้ำร้ายยังไม่ครอบคลุมแรงงานในระบบด้วยซ้ำไป

สุดท้าย ผมขอฝากความหวังดีไปยังคุณชัชชาติและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนว่า เราต้องอย่าหลงลืมทวงบทบาทหน้าที่สำคัญของรัฐบาลในวิกฤตครั้งนี้ อย่าปล่อยให้รอดจากความรับผิดชอบหลักของตัวเองไปได้

เรื่อง “งบประมาณ” ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนมีคุณภาพและมีจำนวนเพียงพอให้ประชาชนทุกคน

เราเองต้องไม่ปล่อยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควักเงินจ่ายกันเอง เอื้อให้รัฐบาลสร้างระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เช่นนี้

วัคซีน Sinovac ยังคงมีปัญหา เมื่อค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 ไม่เท่ากันในหลายประเทศที่นำไปทดสอบใช้ จึงยังเป็นวัคซีนทางเลือกที่ทั่วโลกยังต้องพิจารณา

กลายเป็นข่าวที่ไม่สู้ดีเท่าไร สำหรับทีมพัฒนาวัคซีน Covid-19 ของจีน ที่ผลการทดสอบล่าสุดจากบราซิล ประเทศที่มีกลุ่มทดสอบวัคซีนของ Sinovac มากที่สุด ได้สรุปผลการใช้งานล่าสุดว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกัน Covid-19 เพียงแค่ 50.4% เท่านั้น

ผลลัพธ์ล่าสุดเรียกได้ว่า น่าผิดหวัง ไม่เฉพาะกับชาวบราซิล แต่รวมถึงหลายประเทศทั่วโลก ที่เริ่มตั้งคำถามกับความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน ที่ประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง เคยออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนพัฒนาวัคซีน Covid-19 ให้ชาวโลกได้ฉีดอย่างทั่วถึง และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาสาธารณะ

แต่ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้มาจากการทดสอบของสถาบันวิจัย Butantan ในเมืองเซา เปาโล ที่เป็นผู้ผลิต และทดสอบวัคซีนของ Sinovac เน้นว่าผลล่าสุดที่ได้ 50.4% นั้น เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากกลุ่มทดสอบที่มีอาการน้อยมาก ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเพิ่งจะออกมาประกาศว่าวัคซีนของ Sinovac ใช้ได้ผลดีถึง 78% กับกลุ่มทดสอบที่มีอาการระดับเบา ถึงปานกลาง แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอาการระดับกลาง ไปจนถึงหนัก วัคซีนตัวนี้ใช้ได้ผล 100%

ยิ่งสร้างความสับสนให้กับคนทั่วไป จนรัฐบาลบราซิลยอมรับว่า ทีมวิจัยควรหาวิธีสื่อสารให้ดีกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เข้าใจง่ายและโปร่งใส

สำหรับวัคซีน Covid-19 จากบริษัท Sinovac Biotech ที่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของวัคซีนจากจีน ที่มีข่าวว่าเข้าสู่การทดสอบช่วงท้าย ๆ และน่าจะผลิตออกมาได้ในเร็ว ๆ นี้

นอกเหนือจาก Sinavac ก็ยังมี Sinopharm ที่ได้ทดลองในกลุ่มตัวอย่างในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปแล้ว และได้ผลถึง 86% ส่วนอีก 2 บริษัทคือ CanSino Biologics ที่ได้ทดลองไปแล้วที่ซาอุดิอารเบีย และ Anhui Zhifei Longcom ที่กำลังทดลองในเฟส 3

ส่วน Sinavac นอกจากจะมีการทดลองใช้ในบราซิลแล้ว ยังมีการทดสอบในตุรกี ที่เพิ่งออกมาบอกว่าวัคซีนตัวนี้ใช้ได้ผลถึง 91.25% และในอินโดนีเซีย ที่ได้ผลลัพธ์ 65.3%

ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีความต่างกันมาก จนหลายประเทศที่ได้สั่งซื้อวัคซีนของ Sinovac ไปแล้ว อย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยเราด้วย ก็คงหวั่นไหวกับผลทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ไม่น้อย

แต่ทั้งนี้การใช้วัคซีน Sinovac ก็มีข้อดีอยู่บางประการที่หลายประเทศใช้ประกอบการพิจารณา เช่น กลไกการทำงานของวัคซีน Sinovac จะใช้เซลล์เชื้อไวรัสที่ตายแล้วนำมาพัฒนาเป็นวัคซีน ซึ่งเป็นเทคนิคการพัฒนาวัคซีนแบบดั้งเดิมที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับวัคซีนจาก Moderna และ Pfizer ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการสกัดเอา mRNA จากเชื้อไวรัส หรือของ AstraZeneca ที่ใช้ DNA สกัดของไวรัส เอามาพัฒนาเป็นวัคซีน ที่ผลข้างเคียงในอนาคตเป็นเรื่องที่ยังคาดเดาไม่ได้

นอกจากนี้ อุณหภูมิที่ใช้ในการจัดเก็บสต็อควัคซีนของ Sinovac ใช้ตู้แช่ที่มีความเย็นเพียง 2-8 องศาเซลเซียส ที่เป็นอุณหภูมิของตู้เย็นปกติ เช่นเดียวกับของ AstraZeneca ซึ่งจะแตกต่างจากวัคซีนของ Moderna และ Pfizer ที่ต้องเก็บในตู้แช่อุณหภูมิติดลบ ตั้งแต่ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียส

แต่ทั้งนี้ ก็คงต้องรอบริษัท Sinovac ออกมาอธิบายถึงผลทดสอบต่าง ๆ ที่ผ่านมา และวิจารณญาณของทีมรัฐบาลของเราว่าจะไปต่อกับ Sinovac หรือจะรอ AstraZeneca ที่คิวจองนานมาก หรือจะลองพิจารณาวัคซีนของเจ้าอื่นไว้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยในวันวิกฤติเช่นนี้


แหล่งข่าว

https://www.aljazeera.com/.../brazil-trial-finds-efficacy...

https://edition.cnn.com/.../sinovac-covid.../index.html

https://www.bbc.com/news/world-latin-america-55642648

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55212787

นายกรัฐมนตรีเชิญชวนร่วมงานวันครูออนไลน์ “วิถีใหม่” น้อมรำลึกพระคุณครู พร้อมมอบคำขวัญวันครูปี 64 "ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ"

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการจัดงานวันครู ประจำปี 2564 ว่า ในปีนี้จัดรูปแบบ “New Normal” สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานวันครู โดยให้จัดกิจกรรมวันครูออนไลน์ ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล”

ประกอบด้วย พิธีระลึกพระคุณ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระว่างครู และความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน และยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดีหรือทำคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษา ให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณชน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบคำขวัญวันครู ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ว่า "ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ" พร้อมเชิญชวนทุกคนที่มีครูร่วมระลึกถึงพระคุณครู และเข้าร่วมกิจกรรมงานวันครูออนไลน์กับคุรุสภา ร่วมทำความดี เป็นจิตอาสา และร่วมแชร์ความรู้สึกดี ๆ ส่งต่อถึงพระคุณของครู

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมการจัดงานในปีนี้ ส่วนกลางประกอบด้วย 3 เฟส โดยเฟสแรก การจัดงานวันครูออนไลน์ วันที่ 16 มกราคม 2564 ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตรออนไลน์ พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ครูผู้วายชนม์ พิธีบูชาบูรพาจารย์และระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ การอ่านสารเนื่องเนื่องในโอกาสวันครูของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิธีคารวะครูอาวุโสของนายกรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปาฐกถาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ครั้งที่ 4 เรื่อง “พลังครูไทยวิถีใหม่ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช รักษาการนายสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ "คุรุสภา" และทาง YouTube Channel “TBL Suandusit” ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

เฟส 2 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านทาง www.วันครู.com เผยแพร่นิทรรศการการพัฒนาวิชาชีพ การเสวนาทางวิชาการออนไลน์ และการเรียนหลักสูตรออนไลน์การพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพ ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม - 30 เมษายน 2564 และเฟส 3 กิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะกำหนดจัด หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ดีขึ้นแล้ว

“ในส่วนภูมิภาค ให้จัดงานวันครูตามความเหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ โดยยึดปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.ในแต่ละพื้นที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้รับมอบดอกกล้วยไม้ และซีดีเพลงเทิดเกียรติคุณครู จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรณรงค์การจัดกิจกรรมวันครูด้วย”นายอนุชากล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า "กรณ์" เสนอแก้บ่อนเถื่อน ยกมาไว้บนโต๊ะ เป็นพนันถูกกฎหมาย แก้ปัญหาทุจริต เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี เปิดช่องรัฐเข้าควบคุมระบาดโควิด-19 ได้ ฝาก "บิ๊กตู่" ถ้ากล้า ทำได้แน่นอน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความลง Facebook กรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุถึงการแก้ไขปัญหาบ่อนการพนันว่า "ต่อให้ร้อยนายกฯก็ทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน" โดยนายกรณ์ เสนอแนวทางแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน ด้วยการทำให้การพนันอยู่บนโต๊ะ มีกฎหมายรองรับกำกับดูแล มีการเสียภาษีให้รัฐ ป้องกันเงินรั่วไหลไปบ่อนต่างประเทศ แก้ปัญหาการทุจริตวงการคนในเครื่องแบบ สามารถเข้าถึงการควบคุมการแพร่ระบาดเชื่อโควิด-19 ได้ โดยมีข้อความดังนี้

"นายกฯ คนเดียว ก็แก้ได้ ถ้ากล้าเอาไว้ "บนโต๊ะ"
#เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี นำเม็ดเงินกลับมาใช้เพื่อประชาชน

ถ้าพรรคกล้าเป็นรัฐบาล เราจะเอา ‘การพนัน’ ขึ้นไว้บนโต๊ะเลยครับ

ผมคิดว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การขอให้คน ‘ร่วมมือ’ เลิกเล่นการพนัน แต่การทำให้การพนัน ‘อยู่บนโต๊ะ’ โดยมีกฎหมายรองรับ และมีการกำกับดูแล

ปัญหาสังคมเราคือ ‘บ่อนเถื่อน’ ซึ่งเป็นที่มารายได้ของผู้มีอิทธิพล เป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการคนมีเครื่องแบบ การรั่วไหลเงินไปบ่อนถูกกฎหมายในต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลบๆซ่อนๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาการแพร่เชื้อ Covid-19 ตามที่ปรากฏ

ดังนั้นถ้าตั้งโจทย์ให้คนเลิกเล่นการพนัน เราเห็นด้วยกับนายกฯ ว่า.. ไม่ต้องร้อยนายกฯหรอกครับ - พันนายกฯ คนก็แก้ไม่ได้ แต่นี่คือโจทย์ที่ผิดโจทย์ที่ถูกคือทำอย่างไรให้การเล่นการพนันเป็นภัยต่อสังคมให้น้อยที่สุด

คำตอบคือ การพนันที่มีใบอนุญาตบนโต๊ะอย่างถูกกฎหมาย มีการกำกับดูแล และมีการเสียภาษีให้รัฐเข้าระบบ เพื่อนำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน แทนการเข้ากระเป๋ามาเฟีย

ถ้าตามนี้นายกฯ คนเดียวที่มีความกล้า ทำได้แน่นอนครับ"


ที่มา: https://www.facebook.com/71254499739/posts/10159289526159740/

สภาพัฒน์’ ยันไม่ติดใจแผนฟื้นฟู ขสมก. ระบุส่งเสียงหนุน ให้คณะรัฐมนตรีนานแล้ว รอแค่คมนาคมส่งแผนลงทุนซื้อรถเมล์ใหม่ มาให้เคาะตามขั้นตอนเท่านั้น

ภายหลังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สคม.) ตีกลับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้หารือในรายละเอียดกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) อีกครั้ง ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้ใช้รถเมล์โฉมใหม่ ที่เป็นรถพลังงานไฟฟ้า ลดมลภาวะ PM 2.5 แอร์เย็นฉ่ำในราคาสบายกระเป๋า

ล่าสุด นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้แผนฟื้นฟูฯ ขสมก. ไม่ได้ติดอยู่ที่สภาพัฒน์ และกระทรวงคมนาคม ไม่จำเป็นต้องนำแผนฟื้นฟูฯ มาให้สภาพัฒน์พิจารณาก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่กระทรวงคมนาคม ต้องเสนอมาให้สภาพัฒน์พิจารณาคือ แผนการลงทุนในการจัดหารถโดยสารประจำทางใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในแผนฟื้นฟูฯ ถือเป็นกระบวนการปกติของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหากต้องจัดซื้อจัดจ้างต้องส่งมาให้สภาพัฒน์พิจารณาด้วย ไม่ได้เกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ

“ยืนยันว่าสภาพัฒน์ไม่ได้มีประเด็นอะไรเกี่ยวกับแผนฟื้นฟู ขสมก. ซึ่งก่อนหน้านี้สภาพัฒน์ได้ส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ ไปยัง ครม. นานมากแล้ว โดยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เวลานี้หากแผนพื้นฟูฯจะเข้าครม. ก็เข้าไปได้เลย ไม่ต้องส่งมาที่สภาพัฒน์ ส่วนเรื่องที่ต้องส่งมาคือแผนที่ ขสมก. จะลงทุนซื้อรถเมล์ใหม่ อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์พร้อมที่จะชี้แจง และเตรียมนัดหารือกับทางกระทรวงคมนาคมในเร็วๆ นี้ หากเรื่องนี้จะมีประเด็นน่าจะอยู่ที่เรื่องภาระหนี้ของ ขสมก. มากกว่า โดยเป็นเรื่องของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ไม่ได้เกี่ยวกับสภาพัฒน์แต่อย่างใด” นายดนุชา กล่าว

ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ในหลักการแผนฟื้นฟูฯดังกล่าวถือว่าเป็นแผนที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการจ้างเอกชนวิ่งรถโดยสารตามระยะทางที่ให้บริการ โดยจ่ายค่าจ้างเป็นกิโลเมตร (กม.) เป็นแนวคิดที่ดีมาก เพราะ ขสมก. จะได้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าซ่อมบำรุง และค่าเสื่อมสภาพของรถโดยสารจำนวนมากเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดนี้คิดกันมาหลายยุคหลายสมัย แต่ยังไม่สามารถนำมาดำเนินการเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตามเวลานี้ที่มีข่าวว่าแผนฟื้นฟูฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาพัฒน์นั้น ส่วนตัวมองว่าสภาพัฒน์น่าจะเห็นด้วย ในหลักการ เพียงแต่รายละเอียดการปฏิบัติเรื่องต่างๆ ที่อยู่ในแผนฟื้นฟูฯ ทางสภาพัฒน์อาจยังไม่มั่นใจ จึงเป็นเรื่องที่ ขสมก. ต้องชี้แจงให้ได้ เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องยาก

ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนฟื้นฟูฯ ฉบับนี้ มีข้อเสนอแนะ 2 เรื่องคือ 1.การจัดเก็บค่าโดยสาร 30 บาทต่อคนต่อวัน ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางขึ้นรถโดยสารหลายต่อ จะช่วยประหยัดได้มาก แต่เชื่อว่าผู้โดยสารทุกคนคงไม่ได้หันมาซื้อตั๋วแบบ 30 บาทตลอดวันทั้งหมด

ดังนั้น ขสมก. จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรต้องศึกษา และสำรวจพฤติกรรมการใช้บริการของผู้โดยสารอย่างละเอียด รวมทั้งควรทดลองการจำหน่ายตั๋ว 30 บาทตลอดวันด้วย และ 2.รูปแบบการจัดเก็บรายได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการนำตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ ดังนั้นในทางปฏิบัติต้องพิจารณาให้ดีว่าจะควบคุมเรื่องการเงินอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหารายได้รั่วไหล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top