Wednesday, 4 December 2024
NEWS FEED

ตำรวจไทยจับแก๊งต้มตุ๋นหญิงสาวขายบริการที่บรูไน หลอกว่าได้เงินเดือน 2 แสนบาท ที่ผ่านมามี สาวไทยโดนหลอกติดอยู่ที่บรูไนหลายชีวิต

กลายเป็นข่าวเกรียวกราวที่บรูไน เมื่อสื่อดังของประเทศ Borneo Bulletin รายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ได้ทำการจับกุมชาย 2 คน ที่มีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยทั้งสองคนได้พยายามล่อลวงหญิงสาวให้เดินทางมาขายบริการทางเพศที่ประเทศบรูไน โดยหลอกว่า จะได้เงินเดือนถึง 8,700 เหรียญบรูไน หรือกว่า 200,000 บาท

เบื้องต้นชายทั้ง 2 คนถูกจับกุมตัวไปเรียบร้อย โดยภายหลังมีข้อมูลเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาเคยมีหญิงไทยถูกหลอกมาขายบริการที่บรูไนแล้วถูกจับตัวได้ในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดอยู่หลายคน สถานการณ์ล่าสุด บรูไนปิดประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปีก่อน ไม่มีเที่ยวบินเข้าออก นอกจากเที่ยวบินพิเศษเพื่อส่งชาวต่างชาติกลับประเทศ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการอคิวนานพอสมควร

‘อิวะโอกะ เรียวตะ’ เด็กชายชาวญี่ปุ่น พบ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ 7 ปีก่อน วันนี้ทำตามฝัน ได้เป็นนักฟุตบอล และหวังเล่นกับ ‘โรนัลโด้’ สักครั้ง

คุณยังจำหรือเคยเห็นไวรัลนี้ผ่านตานี้หรือไม่?

ไวรัล 7 ปีที่แล้ว (ปี 2014) ที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้หนึ่งในสุดยอดนักเตะของยุคได้ไปประเทศญี่ปุ่น พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กญี่ปุ่น ๆ พูดคุยกับเขาในแบบตัวต่อตัว

วันนี้ผมจะขอนำเสนอภาคต่อของไวรัลนั้น เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่เคยยอมแพ้ มีจิตใจมุ่งมั่นในสิ่งหนึ่งอย่างมั่นคง จนน่าเอาเป็นตัวอย่าง

วันที่ 22 กรกฎาคม ปี 2014 เด็กชายอิวะโอกะ เรียวตะ อายุ 12 ปี ได้มีโอกาสเจอหนึ่งในฮีโร่ของเขาในทางฟุตบอล คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในอีเว้นท์ของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมความงาม MTG โดยเป็นหนึ่งในคนนับหมื่นคนที่ได้รับโอกาสนั้น

ก่อนหน้านั้นเด็กชายเรียวตะ เมื่อรู้ว่าตัวเองได้รับเลือกจึงเริ่มฝึกภาษาโปรตุเกสเพื่อจะได้คุยกับฮีโร่ของเขา พร้อมเตรียมสิ่งที่อยากจะพูดกับเขา

ตัดภาพมาในวันงาน เด็กชายเรียวตะ ได้พกกระดาษโน้ตข้อความที่เตรียมมา และอ่านให้ฮีโร่เขาฟัง ทั้งที่ในงานนั้นมีล่ามแปลภาษาอยู่แล้ว โดยมีใจความว่า

"สวัสดีครับ ผมชื่อเรียวตะ ความฝันของผมคือการได้เป็นนักกีฬาฟุตบอล และหวังว่าจะได้มีโอกาสเล่นร่วมกับคุณสักครั้ง เพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ อะไรที่ควรต้องทำบ้างครับ?"

ระหว่างที่เด็กชายเรียวตะพูดภาษาโปรตุเกสด้วยความยากลำบาก ก็มีเสียงหัวเราะของคนในงาน ถึงจะเข้าใจว่าเป็นการหัวเราะเพราะความเอ็นดู ไม่ใช่การดูถูกก็ตามที

เมื่อเด็กชายเรียวตะพูดจบ ฮีโร่ของเขา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถึงกับถามล่ามทุกคนในงานว่า "พวกคุณหัวเราะอะไรกัน? น้องเขาพูดภาษาโปรตุเกสได้ดีเลยนะ สุดยอดเลย เขาพยายามอย่างสุดความสามารถระหว่างที่เขาพูดอยู่ ควรฟังคำพูดของเขานะ"

ใครจะคิดว่าไวรัลนี้จะมีเรื่องราวต่อ

7 ปีต่อมา เด็กหนุ่มชั้นปีที่ 3 ในระดับมัธยมปลาย อิวะโอกะ เรียวตะได้เป็นส่วนหนึ่งของแชมป์ฟุตบอลมัธยมปลายประเทศญี่ปุ่นในปีนี้

นี่อาจเป็นแค่ก้าวแรกของความฝันที่เขาเคยพูดไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้วก็เป็นได้ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจด้วยคนนะครับ

แนบลิงค์วีดีโอไวรัลไว้ตามนี้ครับ


Naruphun Chotechuang

รายงาน

แม้ทั่วโลกยังกังขา แต่ โรดรีโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ออกมาประกาศว่า การจัดซื้อวัคซีน Sinovac จากจีน มีความปลอดภัย ไร้กังวล และเชื่อถือได้

โรดรีโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ กล่าวระหว่างการปราศรัยต่อสาธารณชนเมื่อคืนวันพุธที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ว่า วัคซีนที่ผลิตโดยจีนนั้น มีคุณภาพดีเทียบเท่ากับที่ผลิตโดยบริษัทเภสัชภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกาและยุโรป พร้อมเสริมว่า ชาวจีนผลิตวัคซีนได้ดีพออยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้บ้องตื้นหากรู้อยู่แล้วว่า วัคซีนจะไม่ปลอดภัย หรือไม่น่าเชื่อถือ คงไม่เสี่ยงผลิตออกมา

แฮร์รี่ โรกค์ โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดแถลงการณ์ของดูดูแตร์เต ซึ่งระบุว่า ดูแตร์เตพึงพอใจในวัคซีนชนิดเชื้อตายของบริษัทซิโนแวค (Sinovac) และซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ของจีน

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเชื้อตายมีความปลอดภัย เนื่องจากเทคโนโลยีถูกใช้กันมานานหลาย 100 ปีแล้ว หากเป็นไปได้ “ผมจะเลือกบริษัทจากบริษัทจีนสองแห่งนี้ เพราะมันเป็นวัคซีนชนิดเนื้อตาย” เขาบรรยายสรุปผ่านทางออนไลน์ในวันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา

ด้านลูลู บราโว ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและผู้อำนวยการบริหารของมูลนิธิวัคซีนแห่งฟิลิปปินส์กล่าวระหว่างการบรรยายสรุปออนไลน์เมื่อวันอังคารที่ 12 มกราคมที่ผ่านมาว่า ซิโนแวคใช้วิธีการดั้งเดิมในการพัฒนาวัคซีน โดยใช้อนุภาคของไวรัสที่ตายแล้วในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสัมผัสกับเชื้อ พร้อมเสริมว่า วัคซีนชนิดเนื้อตายเช่นวัคซีนของซิโนแวคนั้น มีความปลอดภัยกว่าวัคซีนชนิดอื่น ๆ อย่างมาก

“วัคซีนชนิดเนื้อตายได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า และมีประวัติด้านความปลอดภัยที่ดีกว่าวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต” ลูลู บราโวกล่าว

เอ็นริเก โดมิโก้ หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของฟิลิปปินส์เผยว่า ซิโนแวคกำลังยื่นขออนุญาตใช้งานวัคซีนโคโรนาในกรณีฉุกเฉินจากสำนักงาน พร้อมเสริมว่า กำลังอยู่ระหว่างการประเมินล่วงหน้า

ทั้งนี้ฟิลิปปินส์ได้จัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 25 ล้านโดส โดยที่พัฒนาโดยซิโนแวคไบโอเทค ของจีน โดยคาดว่าจะได้รับวัคซีน 50,000 โดสแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนวัคซีนที่เหลือจะจัดส่งเป็นงวด ๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงธันวาคม

คาร์ลิโต กัลเวซ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการจัดซื้อวัคซีนกล่าวว่า วัคซีนของซิโนแวค 5 หมื่นโดสแรก จะถูกนำไปฉีดให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและประชาชนกลุ่มสำคัญอื่น ๆ ในมหานครมะนิลา ที่เป็นศูนย์กลางการระบาดใหญ่ของประเทศ

ขณะเดียวกันฟิลิปปินส์กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนอย่างน้อย 7 ราย เพื่อจัดซื้อวัคซีนอีกจำนวน 148 ล้าน โดส โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้กับประชากร 50 ถึง 70 ล้านคนหรือมากกว่าร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมดในปีนี้เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รวมอยู่ที่ 492,700 รายซึ่งรวมผู้เสียชีวิต 9,699 ราย


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/high/168781_20210114

ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธ์’ โพสต์เฟซบุ๊กโต้โลกโซเซี่ยล ยันไม่คิดร่วมตั้ง ‘พรรคทหาร’ ย้ำไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และเป็นบันไดสืบทอดอำนาจอย่างเด็ดขาด

ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธ์’ โพสต์เฟซบุ๊กโต้โลกโซเซี่ยล ยันไม่คิดร่วมตั้ง ‘พรรคทหาร’ ย้ำไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และเป็นบันไดสืบทอดอำนาจอย่างเด็ดขาด

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย อดีตแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยัน ไม่ได้ไปร่วมตั้งพรรคทหารตามที่มีโซเชี่ยลเผยแพร่ข้อมูล ว่า “ตามที่มีความพยายามในการปล่อยข่าวโดยผู้ไม่ปรารถนาดีว่า ดิฉันจะไปร่วมตั้งพรรคกับทหาร

ขอเรียนยืนยันว่า จากพฤษภาทมิฬ 35 ผ่านมาถึงวันนี้ 29 ปี ตลอดชีวิตทางการเมือง ดิฉันยืนตรงข้ามเผด็จการมาโดยตลอด

ดิฉันยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

"ไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และไม่มีวันที่จะยอมเป็นบันไดให้เผด็จการเหยียบยืนขึ้นไปเพื่อสืบอำนาจอย่างเด็ดขาด"

ใครที่ปล่อยข่าวว่าดิฉันจะร่วมมือกับเผด็จการ หันมาร่วมมือกัน #ขับไล่เผด็จการฯ ดีกว่ามั๊ยคะ? “

สีจิ้นผิง ผู้นำจีน ออกโรงสนับสนุนแบรนด์กาแฟ Starbuck พร้อมผลักดันธุรกิจการค้ากับบริษัทสัญชาติอเมริกัน เพื่อก้าวสู่ระบบสังคมที่มีความทันสมัย

สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนสนับสนุนให้ ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ (Howard Schultz) ประธานกิตติคุณของ Starbucks คอร์ปอเรชั่นและบริษัทรักษาบทบาทเชิงบวกในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าและความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีน – สหรัฐต่อไป

ในจดหมายที่สี่จิงผิงเขียนตอบกลับชุดเมื่อวันที่ 6 มกราคม สีเน้นย้ำว่าการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำพาชาวจีน 1.4 พันล้านคนฝ่าฟันความทุกข์ยากต่าง ๆ มาอย่างยาวนานเพื่อสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลางในทุกด้าน และสร้างระบบสังคมนิยมที่มีความทันสมัย

ประธานาธิบดีจีนได้ย้ำว่า การเดินทางครั้งใหม่ของจีนสู่การสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่องค์การต่าง ๆ ทั่วโลกในการเติบโตในจีน ซึ่งรวมถึง Starbucks และบริษัทสัญชาติอเมริกันอื่น ๆ

สีหวังว่า Starbucks จะมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ ตลอดจนความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยก่อนหน้านี้จดหมายของชูลท์ซที่ส่งถึงสีจิ้นผิงและแสดงความยินดีต่อประเทศจีนที่กำลังประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลางในทุกด้านภายใต้การนำของสีจิ้นผิงพร้อมแสดงตัวว่า ตนให้ความเคารพประชาชนจีนและวัฒนธรรมจีน


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/168736_20210114

สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผยว่าประชาชนผู้ตื่นตระหนกพากันหลบหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัย หลังอาคารหลายหลังได้รับความเสียหาย และพังถล่มลงมาบางส่วน จากแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 6.2 ที่สั่นสะเทือนเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซียในวันศุกร์ (15 ม.ค.)

เบื้องต้น ราดิตยา จาตี โฆษกสำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า "มีผูู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 24 คน" ก่อนต่อมาจะปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเป็นอย่างน้อย 7 คน โดยผู้เสียชีวิต 4 คนและผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 637 คนอยู่เมืองมาเจเน ส่วนที่เมืองมามูจู ที่อยู่ติดกัน พบผู้เสียชีวิต 3 คนและได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน

หน่วยงานกู้ภัยและช่วยเหลือของอินโดนีเซียแห่งนี้ เปิดเผยว่าพวกชาวบ้านหลายพันคนต้องหลบหนีออกจากที่พักอาศัยเพื่อความปลอดภัย หลังเกิดแผ่นดินไหวตอนประมาณ 1.00 น.ของเช้ามืดวันศุกร์ (15 ม.ค.) ก่อความเสียหายแก่บ้านเรือนอย่างน้อย 60 แห่งและอาคารขนาดใหญ่หลายหลัง ในนั้นโรงแรมอย่างน้อย 1 แห่งพังถล่มลงมา

แผ่นดินไหวสามารถสัมผัสได้อย่างรุนแรงเป็นเวลาราวๆ 7 วินาที แต่ไม่ก่อให้เกิดสึนามิแต่อย่างใด

ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองมามูจู เมืองเอกของจังหวัดสุลาเวสีตะวันตก ไปทางใต้ราว 36 กิโลเมตร และลึกลงไปใต้ดิน 18 กิโลเมตร ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ

ทั้งนี้รายงานจากเมืองมามาจู เผยว่า อาคารบางแห่งได้รับความเสียหายเลวร้าย ในนั้นรวมถึงโรงแรม 2 แห่ง สำนักงานผู้ว่าการและหอประชุมแห่งหนึ่ง และถนนที่มุ่งหน้าสู่เมืองมามาจู อย่างน้อย 1 เส้นทาง ถูกตัดขาด

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวระดับ 5.9 ในวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ในพื้นที่เดียวกันนี้ ก่อความเสียหายแก่อาคารและบ้านเรือนหลายหลัง

สำนงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซียบอกว่าแผ่นดินไหวหลายระลอกในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อดินถล่มอย่างน้อยๆ 3 จุดและกระแสไฟถูกตัดขาดในหลายพื้นที่

อินโดนีเซียต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหวและภูเขาไฟบ่อยครั้ง เนื่องจากตั้งยู่บนวงแหวนไฟแปซิฟิก บริเวณที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ชนกัน

เมื่อปี 2018 เกิดแผ่นดินไหว 7.5 ตามด้วยสึกนามิ ซัดถล่มเมืองปาลู บนเกาะสุลาเวสี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายมากกว่า 4,300 คน

โศกนาฏกรรมเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2004 แผ่นดินไหวระดับ 9.1 สั่นสะเทือนนอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา โหมกระพือสึนามิขนาดยักษ์ซัดถล่มทั่วภูมิภาค คร่าชีวิตผู้คน 220,000 ราย ในนั้น 170,000 ราย เสียชีวิตในอินโดนีเซีย


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์

ซากุระล่มสลาย!! ญี่ปุ่น เจอพิษโควิด-19 ถล่มหนัก ประกาศปิดประเทศ 100% ไม่เปิดรับต่างชาติทุกกรณีแล้ว!

ช่วงฤดูกาลเช่นนี้ และอากาศแบบนี้ หากนับก่อนช่วงโควิด-19 ระบาด คนไทยมักจะฝันถึงแผนการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นจำนวนมาก โดยจากสถิติขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจเอ็นทีโอ) รายงานว่ามีคนไทยเดินทางไปญี่ปุ่นเดือนเมษายนมากที่สุดถึง 1.48 แสนคน

ทว่าฝันนี้คงล่าช้าไปอีกยาวนาน หลังล่าสุด นายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ สุงะ ของญี่ปุ่นประกาศปิดประเทศ ห้ามชาวต่างชาติที่ไม่ได้มีถิ่นพำนักในญี่ปุ่นทุกคนเดินทางเข้าประเทศ ไม่เว้นแม้แต่นักธุรกิจหรือนักเรียนจากไต้หวันและประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศรวมทั้งไทย ที่ได้รับการยกเว้นก่อนหน้านี้

สำหรับมาตรการนี้จะบังคับใช้จนถึงวันที่ 7 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและพื้นที่อื่นๆ ที่พบ Covid-19 ระบาดหนัก

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ‘โจ ไบเดน’ ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรับมือวิกฤตด้านสาธารณสุข วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หวังช่วยครัวเรือน-ภาคธุรกิจรับมือโควิด-19

นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชื่อว่า ‘American Rescue Plan’ ในวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ตามเวลาสหรัฐ ในระหว่างการประชุมร่วมกับทีมเศรษฐกิจที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ โดยมาตรการดังกล่าวมีวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจให้สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

โดยมาตรการดังกล่าวประกอบไปด้วย:

• ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากระดับ 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมงในปัจจุบัน สู่ระดับ 15 ดอลลาร์

• เพิ่มวงเงินในการส่งเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันเป็นคนละ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมที่ได้คนละ 600 ดอลลาร์

• เพิ่มวงเงินช่วยเหลือคนตกงานเป็น 400 ดอลลาร์/สัปดาห์ และให้ขยายโครงการช่วยเหลือไปจนถึงสิ้นเดือนก.ย.

• ให้เงินช่วยเหลือรัฐต่างๆ และรัฐบาลท้องถิ่น จำนวน 3.50 แสนล้านดอลลาร์

• ให้เงินช่วยเหลือโรงเรียนและสถาบันการศึกษา จำนวน 1.70 แสนล้านดอลลาร์

• ให้เงินสนับสนุนการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์

• ให้เงินช่วยเหลือในโครงการวัคซีนแห่งชาติภายใต้ความร่วมมือกับรัฐและองค์กรต่างๆ วงเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์

นายไบเดนกล่าวว่า "การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี"

ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติในสภาผู้แทนราษฎร แต่นายไบเดนอาจต้องใช้ความพยายามในการผลักดันให้ผ่านการรับรองในวุฒิสภา เนื่องจากขณะนี้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีคะแนนเสียงเท่ากันที่ 50 - 50 และการผ่านมาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างต่ำ 60 เสียง ทำให้นายไบเดนจำเป็นต้องพึ่งพาสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างน้อย 10 เสียงในการผ่านมาตรการดังกล่าว

มาเลย์เตรียมยื่นจดลิขสิทธิ์เมนู ‘เสือร้องไห้’ แต่ถูกคัดค้านเพราะหลายฝ่ายรู้ว่ามาจากอาหารไทย

เมื่อไม่นานมานี้ มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซีย ได้ทำการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “เสือร้องไห้” (ฮารีมาอู เมอนางิส) โดยอ้างเป็นมรดกทางภูมิปัญญา และกระทรวงวัฒนธรรมของชาวมาเลย์ รวมถึงชาวมาเลย์ไม่เห็นด้วย เพราะรู้ว่าเมนูนี้มีต้นกำเนิดในไทยมากกว่า

ล่าสุดจึงมีการชะลอรับรองคำขอจดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสาเหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน


Cr. FB Ball Sathapat

@Cake_journey

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เคาะจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 บาท เพื่อใช้ในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมบังคับซื้อประกันภัยรองรับกรณีเจ็บป่วย-อุบัติเหตุ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการจัดเก็บและการบริหารจัดการค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวที่เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 บาท

เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะนำเรื่องนี้ประกาศลงในราชกิจกานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

“กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะมีการประกาศใช้โดยกำหนดค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขต่างๆ โดยจากนี้จะประสานทำตามขั้นตอนให้เสร็จในขณะที่ตอนนี้ยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพราะถ้าใช้ตอนที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาคงจะยุ่ง ซึ่งข้อดีของการจัดทำเรื่องนี้ จะสามารถดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรณีที่เขาเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้

ส่วนวงเงินที่จัดเก็บมาแล้ว ส่วนหนึ่งจะนำเงินไปซื้อประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อดูแลเขา ซึ่งเงินที่จะเอาไปซื้อประกันนั้นอาจจัดเก็บที่ประมาณ 34 บาท โดยจากนี้จะไปหารือกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อีกครั้ง”

สำหรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยนำมาสมทบในกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมถึงการซื้อประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศไทย โดยจะจัดเก็บรูปแบบออนไลน์

เบื้องต้นในปี 64 นี้ หากเริ่มต้นเก็บคนละ 300 บาท ตามประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 10 ล้านคน จะทำให้กองทุนมีเงินถึง 3,000 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top