Tuesday, 8 July 2025
ECONBIZ

‘เซเว่นฯ’ เปิดพื้นที่สร้างโอกาสให้กับ ‘คุณยายจำลอง’ หน้าสาขาพระองค์ดำ เพื่อเป็นสถานที่ขายสินค้า ‘นำมาสู่รายได้-เลี้ยงตนเอง’ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

(16 ก.ย.66) ซีพี ออลล์ เปิดพื้นที่หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาพระองค์ดำ (พิษณุโลก) (RC 5072) อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ให้กับคุณยายจำลอง วงค์หงษา อายุ 104 ปี เพื่อเป็นพื้นที่จำหน่ายสินค้า โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นำมาสู่รายได้และการพึ่งพาตนเอง ตลอดจนส่งมอบกำลังใจ ในนาม ‘ซีพี ออลล์’ โดยวันนี้ 12 กันยายน 2566 คุณธีระสิทธิ์ เตียมคำ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สำนักปฏิบัติการ 1 พื้นที่ RN ให้เกียรติเป็นประธาน เปิดงาน พร้อมด้วยคุณบุศริน ศิริจันทเวท ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สำนักปฏิบัติการ 1 พื้นที่ RN, คุณสาวิตรี บุญนะ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแผนพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก, คุณดาหวัน กลิ่นเกษม อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ให้เกียรติเข้าร่วมแสดงความยินดี ใครผ่านไปแถวนั้นสามารถอุดหนุนสินค้า เพื่อเป็นกำลังใจแก่คุณยายจำลอง ได้ที่หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาพระองค์ดำ (พิษณุโลก)

‘พาณิชย์’ นำร่อง 20 จังหวัด เปิดจุด ‘ขายไข่ราคาถูก’ 50 จุด หวังเพิ่มช่องทางเลือกซื้อ-ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับปชช.

(16 ก.ย.66) นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ร่วมมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดจำหน่ายไข่ไก่ราคาประหยัด ณ ศาลากลางจังหวัด โดยได้ทยอยเปิดจุดจำหน่ายแล้ว 20 จังหวัด กว่า 50 จุด นำไข่ไก่เบอร์ 3 จำหน่ายถาดละ 105-120 บาท หรือเฉลี่ยฟองละ 3.50-4.00 บาท

เพื่อเพิ่มช่องทางเลือกซื้อไข่ไก่ราคาประหยัดให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ โดยเน้นในจังหวัดที่อยู่ไกลแหล่งผลิตไข่ไก่

สำหรับ 20 จังหวัดที่กรมได้นำร่องนำไข่ไก่ราคาประหยัดไปจำหน่าย ได้แก่ นครสวรรค์ ตรัง พังงา นราธิวาส สตูล ลำปาง นครราชสีมา ภูเก็ต มุกดาหาร พิจิตร สุราษฎร์ธานี นนทบุรี เลย ปราจีนบุรี สุรินทร์ กำแพงเพชร นครปฐม นครพนม นครนายก และปทุมธานี

ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล กรมได้จัดรถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่เข้าไปยังในพื้นที่ชุมชนจำนวน 100 จุดหมุนเวียนกันไป ซึ่งนอกจากไข่ไก่ราคาถูกแล้ว ยังมีสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นอื่น ๆ ที่นำมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดด้วย เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช เป็นต้น

ทั้งนี้ จากการสำรวจปริมาณไข่ไก่ในช่วงนี้ พบว่า ผลผลิตมีเพียงพอกับความต้องการบริโภค และไข่ไก่เบอร์ใหญ่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนที่มีปริมาณน้อยในตลาด โดยกรมจะมีการกำกับดูแลและติดตามสถานการณ์ราคาไข่ไก่อย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อสร้างความเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้เลี้ยงไก่ไข่จนถึงประชาชนผู้บริโภคในราคาในทุกระดับการค้ามีความสอดคล้องกัน ตามโครงสร้างที่กรมกำกับดูแล

โดยประชาชน หากพบผู้ค้ารายใดมีพฤติกรรมจำหน่ายไข่ไก่ในราคาสูงเกินสมควร สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และหากพบการกระทำผิด จะมีความผิดตามมาตรา 29 พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

อัปเดตความยิ่งใหญ่โครงสร้างพื้นฐานยกระดับเศรษฐกิจไทย 'ถนน-รถไฟ-รถไฟฟ้า-เมกะโปรเจกต์แสนล้าน' ใกล้เป็นจริง

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 ได้พูดคุยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของไทย กับ 'คุณจิรวัฒน์ จังหวัด' เจ้าของเพจโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure ที่ EP นี้ได้มาอัปเดตโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร พร้อมอัปเดตการก่อสร้าง เส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้าเส้นทางไหนเปิดใช้บริการแล้ว เส้นทางไหนกำลังก่อสร้างใกล้เปิดบริการ เปิดแผนการลงทุน โปรเจกต์แสนล้าน! โครงการ Land Bridge เชื่อมอันดามัน-อ่าวไทย ศูนย์กลางเดินเรือภูมิภาค โดยคุณจิรวัฒน์ กล่าวว่า...

ภาพรวมโครงสร้างพื้นฐานในช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวหลายๆ ส่วน ตั้งแต่สิ่งที่สร้างไปแล้ว สิ่งที่กำลังก่อสร้าง และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต 

>> ราง
สิ่งที่เปิดไปแล้วใหญ่ๆ เลยก็คือ สถานีกลางบางซื่อ หรือ สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่ตอนนี้พอมารวมกับรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็ส่งผลให้พิกัดนี้กลายเป็น Hub สำคัญแห่งการคมนาคมของอาเซียนไปแล้ว (รถไฟจากลาวจีน สามารถวิ่งตรงมาที่ประเทศไทยได้เลย)

"โดยรถไฟสายสีแดง ถือเป็นรถไฟฟ้าเส้นสำคัญ ที่สามารถช่วยแก้ปัญหารถติดช่วงตั้งแต่ บางซื่อถึงรังสิต ได้ดีอย่างมาก"

นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งที่เปิดบริการไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ คือ โมโนเรล (Monorail) สายสีเหลือง ซึ่งเป็นโมโนเรล สายแรก ที่เป็นขนส่งมวลชนในเมืองไทย เส้นทางลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งจะแก้ไขปัญหารถติดบนถนนลาดพร้าวได้เป็นอย่างดี 

"สายนี้สำคัญมาก เพราะมาเชื่อมต่อสายสีน้ำเงินที่ลาดพร้าว ขณะที่ในอนาคตจะมาเชื่อมต่อสายสีส้มที่สถานีลำสาลี ซึ่งลำสาลีจะวิ่งอยู่บนถนนรามคำแหง แล้วสุดท้ายจะไปจบที่สถานีสำโรง อีกทั้งสายนี้จะยังมีจุดจอดรถจอดแล้วจร ซึ่งจะช่วยลดความหนาแน่นขนทางจราจรและป้อนคนเข้าออกชานเมืองได้อย่างดี"

ไม่เพียงเท่านี้ รถไฟฟ้าที่กำลังเตรียมตัวเปิดอีกไม่นาน ก็จะมี สายสีชมพู ซึ่งเป็นแบบโมโนเรล เหมือนสายสีเหลือง เริ่มตั้งแต่ศูนย์ราชการ นนทบุรี ไปมีนบุรี ประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งจะเชื่อมต่อรถไฟฟ้าอีกหลายสายเช่นกัน 

"ความสำคัญของรถไฟฟ้าเส้นนี้คือการเชื่อมต่อไปเมืองทองธานี เป็นสายแรกในเมืองไทยที่ทำรถไฟฟ้าสายแยก โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งสายสีชมพูจะเริ่มเปิดประมาณต้นปี 2567"

อีกส่วนหนึ่งที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เปิดบริการ คือสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ซึ่งสายนี้จะไปเชื่อมกับสายสีชมพูที่มีนบุรี และในอนาคตจะมีการเชื่อมต่อไปถึง ศิริราช และสถานีบางขุนนนท์ได้เลย โดยสายสีส้มจะวิ่งในแนวขวางตัดกรุงเทพมหานคร 

ข้ามมาที่ สายสีม่วง ก็จะมีการเชื่อมต่อกับสายสีม่วงเดิม หรือสีม่วงด้านบน ช่วงเตาปูน ไปบางไผ่ ส่วนด้านล่าง เตาปูน ลงมาถึงพระประแดง ก็จะมาตัดสีส้มแถวราชดำเนิน ซึ่งสายสีม่วงส่วนล่างกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จปี 2572

คุณจิรวัฒน์ เผยอีกว่า รถไฟฟ้าที่เล่ามายังไม่จบเท่านี้แน่นอน เพราะตอนนี้ สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) และกรมการขนส่งทางราง ได้มีการศึกษาเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครใหม่ทั้งหมด โดยปัจจุบันมีการวางแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 หรือ M-MAP ที่ได้วางกันมานาน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นมาร่วมศึกษาเส้นทาง ภายใต้ประเด็นการใช้ตั๋วร่วม ให้เกิดขึ้นจริงบรรจุอยู่ด้วย

ในส่วนของ รถไฟทางคู่ คุณจิรวัฒน์ เล่าว่า "ตอนนี้เรามีประมาณ 5 โครงการทั่วประเทศ โดยเส้นทางหลักๆ ที่คืบหน้าไปมาก คือ มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สายอีสาน อีกเส้นหนึ่ง คือ ลพบุรี-ปากน้ำโพ อีกสายหนึ่งที่สำคัญมาก คือ รถไฟสายใต้ นครปฐม-ชุมพร ตรงนี้คือคอขวดของรถไฟสายใต้ ถ้าสร้างช่วงนี้เสร็จไม่ต้องรอสับรางแล้วสามารถวิ่งตามกันได้เลย"

ส่วนรถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของเมืองไทยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพ-โคราช โดยโครงการนี้ไทยเป็นคนก่อสร้างเองในส่วนของงานโยธา และซื้อระบบมาวางบนทางวิ่งที่ก่อสร้างเอง 

"ในอนาคตเราสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาผลิตรถไฟ ทางการก่อสร้างเส้นทาง การซ่อมบำรุง การประกอบของรถไฟความเร็วสูง โดยนำข้อมูลตัวเดียวกันมาผลิตรถไฟทางคู่ หรือ ราง 1 เมตรได้ คาดว่าจะเสร็จภายในปี 2570" 

ส่วนรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงเช่นกัน แต่จะเป็นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งผ่านมาเมืองนั้น จะมีสถานีระหว่างเมือง 3-4 สถานี ที่อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2571-2572 

>> ถนน
ด้าน มอเตอร์เวย์ 2 สายที่กำลังก่อสร้างอยู่ อาทิ บางปะอิน-โคราช มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปเยอะมากแล้ว คาดว่าอีกไม่เกิน 2 ปี น่าจะสร้างเสร็จ (ประมาณ ปี 2568) อีกเส้น คือ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี กำลังดำเนินการก่อสร้างเป็นส่วนๆ  ประมาณกลางปี 2567 น่าจะแล้วเสร็จ

>> เมกะโปรเจกต์
สำหรับโครงการในอนาคต กับ โครงการสะพานข้ามเกาะสมุย ขนอม-สมุย ระยะทางการสร้างสะพานประมาณ 8 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางเลือกในการรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นจากการขึ้นเรือเฟอร์รี่มายังเกาะสมุยนั้น จะสามารถเชื่อมโยงกับโครงการ SEC (Southern Economic Corridor : ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน) ได้ 

อีกโครงการที่สำคัญคือ โครงการ Landbridge ซึ่งเป็นการสร้างสะพานเศรษฐกิจข้าม 2 ฝั่งทะเล ซึ่งโครงการนี้จะมีช่วยเรื่องการขนส่งสินค้าข้ามฝั่งทะเลได้โดยง่าย โดย Landbridge จะมีโครงการย่อยๆ เชื่อมโยงกันอยู่ 3 โครงการหลักๆ ได้แก่...

1.ท่าเรือ ซึ่งจะสร้างทั้ง 2 ฝั่งทะเล บริเวณแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง และอีกฝั่งหนึ่งแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ซึ่งการสร้างท่าเรือ จะช่วยในการพัฒนาเมือง พัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น อาทิ การแปรรูปผลไม้ เช่น สับปะรด ได้ด้วย

2.การสร้างมอเตอร์เวย์ แบบคู่ขนาน ถนน และรถไฟสายใหม่ 

และ 3.การสร้างทางรถไฟ เชื่อมโยงกับทางรถไฟระบบเดิม ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่อย่างมาก

"สำหรับโครงการนี้สำคัญต่อประเทศอย่างมาก ซึ่งผมอยากฝากให้ประชาชนในพื้นที่ได้ติดตามและเข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของโครงการต่างๆ เพื่อเสนอแนะ และแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ในฐานะประชาชนในพื้นที่กันครับ" คุณจิรวัฒน์ ทิ้งท้าย

จับจังหวะเศรษฐกิจ ‘อีสานใต้’ หลังดัชนีความเชื่อมั่น ศก.เพิ่มสูง

รากฐานทางเศรษฐกิจ ชาวอีสานใต้ ศักยภาพคนตัวเล็ก ที่ขับเคลื่อนภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การบริการ ในพื้นที่นี้ เป็นอย่างไร มาร่วมเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในหลาย ๆ ด้าน กันครับ

ก่อนอื่น คงต้องแนะนำตัวก่อน กับ บทความแรก ของคอลัมน์ ‘คนตัวเล็ก’ ที่เราจะนำพาท่าน ไปลองดูมุมมองต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรือ อีสานใต้ ว่าการใช้ชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณีของท้องถิ่น กับ กลไกทางเศรษฐกิจ ที่ขับเคลื่อนจังหวัดต่าง ๆ การสร้างงาน สร้างอาชีพ หลังสภาวะการระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) กลับมาพลิกฟื้นในด้านไหนบ้าง หรือยังมีกลุ่มธุรกิจอะไร ที่ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ 

คงต้องเริ่มต้นกับภาพใหญ่ก่อน ในส่วนของ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ‘ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจใน 6 เดือนข้างหน้าที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะภาคตะวันออก, ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากปัจจัยสนับสนุนในภาคบริการเป็นสำคัญ’

- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 80.2 
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 77.2 
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 77.0 
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตของภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 73.0
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 72.3
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 70.4
- ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 69.1

สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในภาคบริการ เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในหลายจังหวัดของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคเกษตรในอนาคตที่ดีขึ้น เนื่องจากคาดว่าราคาผลผลิตทางการเกษตรจะปรับตัวขึ้น ประกอบกับการมีปริมาณน้ำที่เพียงพอ 

ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ จึงมีความน่าสนใจจากกลุ่มผู้ประกอบการที่จะเริ่มการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้

บทความต่อไป เราจะค่อย ๆ ย่อยลงมาในกลุ่มภาคธุรกิจต่าง ๆ ว่าภาคธุรกิจใด มีดัชนีความเชื่อมั่นในระดับใด ทิศทางการเติบโตมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน รอติดตามกันนะครับ

เรื่อง: The PALM

'แบงก์ชาติ' แนะ!! เงินดิจิทัล 10,000 บาท แจกเฉพาะกลุ่ม ชี้!! ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องใช้ แง้ม!! ใช้กับ CBDC ไม่ได้

เมื่อวานนี้ (14 ก.ย. 66) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายเงินดิจิทัลที่รัฐบาลจะออกมานั้น ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ข้อกังวลของแบงก์ชาติเกี่ยวกับนโยบายนี้ จะเป็นเรื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาพรวมที่ตัวเลข โดยรวมดูไม่ค่อยสวยนัก โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.8% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ถ้าดูที่มาของการเติบโตแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ขาดไปไม่ใช่เรื่องของการบริโภค แต่เป็นเรื่องของการลงทุน 

นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ เสนอว่า นโยบายดังกล่าวถ้าทำเฉพาะกลุ่มก็อาจจะประหยัดงบประมาณได้มากกว่า เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องใช้เงิน 10,000 บาท อีกทั้งการทำนโยบายต่าง ๆ รัฐบาลต้องฉายภาพระยะกลางของมาตรการที่จะทำให้มีความชัดเจน ทั้งเรื่องของภาพรวมรายจ่าย ภาพรวมหนี้ การขาดดุลต่าง ๆ ตรงนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการคลัง ที่จะบริหารให้อยู่ในกรอบได้ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าแบงก์ชาติ ย้ำว่า เงินดิจิทัลขึ้นอยู่กับรูปแบบที่จะออก แต่ถ้าจะทำเป็น digital asset คือ ไม่ได้ หรือถ้าจะใช้วิธีการผสมกับ CBDC โครงการที่แบงก์ชาติกำลังดำเนินอยู่นั้น มองว่าไม่สามารถที่จะเป็นไปได้ เพราะโครงการนี้ โดยเฉพาะ Retail CBDC ที่เป็นการนำร่องเพื่อศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการเอาออกมาเป็นการทั่วไป

ด้านสถานการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เศรษฐกิจตอนนี้มันก็มีการฟื้นตัวของมัน อาจจะช้ากว่าที่อื่น แต่ก็เห็นภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจน สำหรับนโยบายอยากให้กลับมาสู่สภาวะปกติ จากทั้งฝั่งการเงินและการคลังทั่วโลก ในช่วงโควิดหลายประเทศมีการเหยียบคันเร่ง อย่างที่พูดมาโดยตลอดว่า ตอนนี้เราให้ความสำคัญกับเสถียรภาพหลายมิติ และสิ่งที่กังวลเป็นพิเศษในช่วงนี้ คือ เรื่องเสถียรภาพทางด้านการคลัง เราเห็นตัวอย่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา โดน Downgrade Credit ดังนั้นเรื่องของการคลังจึงเป็นโจทย์สำคัญ ที่ทำให้เราต้องออกนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป

ขณะที่นโยบายพักหนี้ของรัฐบาลที่จะออกมานั้น ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่า การพักหนี้ควรเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ได้ แต่เป็นเครื่องมือหลักหรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ควร และไม่ได้พักในวงกว้าง เพราะผลข้างเคียงจะสูง แต่ต้องดูให้สมควร และนโยบายนี้อาจเหมาะกับคนมีศักยภาพในการชำระหนี้อยู่แล้ว แต่เจอปัญหาชั่วคราวมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ทางรัฐบาลจะทำ 

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเป็นโจทย์ของรัฐบาลที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยและผลกระทบในการออกนโยบาย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพการเงินการคลัง หรือผลข้างเคียงด้านอื่น ๆ ที่อาจจะไม่พึงประสงค์

ออมสิน ช่วยลูกหนี้ NPL จากสินเชื่อสู้ภัยโควิด ตั้งต้นผ่อนเดือนละร้อย ดึงบัญชีกลับมาเป็นปกติ

(15 ก.ย. 66) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ก่อนหน้านี้ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายใต้โครงการ ‘สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19’ วงเงินรายละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท และสินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 วงเงินไม่เกินรายละ 10,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวให้กับประชาชนที่ขาดรายได้ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารได้ขยายระยะเวลาเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึงเดือนตุลาคม 2567

อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือแก้ไขเครดิตแก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ลูกหนี้บัญชี 21) ที่มีสถานะเป็น NPL ให้กลับมามีสถานะหนี้ปกติ 

ธนาคารออมสินจึงออกมาตรการ ‘ไม่คิดดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมด และนำเงินที่ชำระไปตัดเงินต้นทั้งจำนวน’ สำหรับโครงการสินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 โดยให้ลูกหนี้เริ่มผ่อนชำระเพียง 100 บาทต่อเดือนสำหรับงวดที่ 1-6 หลังจากนั้นงวดที่ 7-12 ผ่อนชำระ 300 บาทต่อเดือน และขยายระยะเวลาการชำระจนถึงเดือนตุลาคม 2567

สำหรับลูกหนี้สินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบ สามารถลงทะเบียนสมัครเข้ามาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ที่ช่องทาง MyMo หรือ www.gsb.or.th สำหรับลูกหนี้ที่ไม่มี MyMo สามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางเว็บไซต์ธนาคาร www.gsb.or.th ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

‘หม่าล่า’ เครื่องเทศเผ็ดร้อนสไตล์จีน อร่อยถูกปากคนไทย ฟีเวอร์จนขึ้นแท่นสุดยอดเมนูฮอตฮิต ติดชาร์ตทุกโซเชียล

กระแสความนิยม ‘หม่าล่า’ เครื่องเทศรสเผ็ดชาจากจีน ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุกี้ ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า ในไทย หยิบ ‘หม่าล่า’ มาสร้างสรรค์เป็นเมนูเสิร์ฟให้กับกลุ่มลูกค้ากันอย่างต่อเนื่อง ด้วยรสชาติที่มีลักษณะเฉพาะตัวและเป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับคนไทยชอบทานรสเผ็ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และที่สำคัญแบรนด์ต่าง ๆ ในไทยฟัง ‘เสียงผู้บริโภค’ ในโลกสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ว่า ทำไมหม่าล่าหม้อไฟ และหม่าล่าสายพานถึงเป็นเมนูยอดนิยมของเหล่าหม่าล่าเลิฟเวอร์

จากการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) ที่มีการพูดถึงหม่าล่า ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 11 กันยายน 2566 พบว่า สังคมออนไลน์ หรือ โซเชียลมีเดียมีการพูดถึงหม่าล่ามากถึง 3,697 ข้อความ และ มี Engagement ทั้งหมดจำนวน 315,561 ครั้ง โดยแบ่งได้ดังนี้

- Twitter มีการพูดถึง 2,691 ข้อความ มีจำนวน Engagement 4,875 ครั้ง
- Facebook มีการพูดถึง 455 ข้อความ มีจำนวน Engagement 175,225 ครั้ง
- Instagram มีการพูดถึง 281 ข้อความ มีจำนวน Engagement 95,804ครั้ง
- YouTube มีการพูดถึง 270 ข้อความ มีจำนวน Engagement 39,657 ครั้ง

ทำไมเมนู ‘หม่าล่า’ ถึงเป็นที่นิยม?
ในช่วงปีนี้กระแส ‘หม่าล่าชาบู’ หรือ ‘หม่าล่าสายพาน’ ในประเทศไทยมาแรงมาก ซึ่งหม่าล่าฟีเวอร์นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปี 2018 แต่ในปีนั้นเมนูที่ได้รับความนิยมจะเป็น ‘หม่าล่าปิ้งย่างเสียบไม้’ ที่เรามองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ร้านที่ขายเมนูนี้ ซึ่งในช่วงนั้นจุดเริ่มต้นกระแสหม่าล่าก็ได้เกิดขึ้น

โดยร้านที่ปลุกกระแสหม่าล่าฟีเวอร์นั่นก็คือ ‘Hai Di Lao’ ร้านหม่าล่าหม้อไฟชื่อดังจากประเทศจีนที่เข้ามาเปิดสาขาที่ประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน  และจากการเข้ามาของร้าน Hai Di Lao ทำให้ตลาดร้านอาหารในประเทศไทยมีเมนูที่นำหม่าล่าเข้ามาเป็นส่วนประกอบและก็ยังมีร้านหม่าล่าหม้อไฟใหม่ ๆ เข้ามาลงเล่นในตลาดอีกด้วย

EA ส่ง ‘สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์’ เซ็นสัญญา PPP กับเมืองพัทยา ตั้งศูนย์จัดการขยะครบวงจรในเกาะล้าน ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ บริษัทย่อยในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด ได้เข้าร่วมลงนามสัญญาร่วมลงทุนแบบ PPP กับ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีสัญญาระยะเวลา 25 ปี 

บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ ได้ชนะการประมูลศูนย์กำจัดขยะชุมชนบนพื้นที่เกาะล้าน ต่อมาได้มีการลงนามสัญญากับเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ร่วมลงทุนในรูปแบบ Public Private Partnership (PPP) จัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน โดยแต่งตั้ง บจก. รอยัล กรีน เอ็นเนอร์จี เป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาโครงการด้วยวิธีเผาทำลายบนพื้นที่เกาะล้านแบบครบวงจร มีวัตถุประสงค์ลดปริมาณขยะในชุมชน โดยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเผามาใช้ เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนสะสมที่บ่อขยะเกาะล้าน กว่า 65,000 ตัน และยังมีการคาดการณ์ในอนาคตจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 25 ตัน/วัน 

ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน จึงต้องมีการบริหารจัดการอย่างมีแบบแผนและเร่งด่วน ซึ่งได้แบ่งการกำจัดขยะมูลฝอยเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นการจัดการขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และการจัดการขยะมูลฝอยที่สะสมอยู่ในบ่อพักขยะมูลฝอย โดยคาดว่ามีปริมาณขยะที่ต้องกำจัดไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัน พร้อมเตรียมกำจัดขยะมูลฝอยแบบถาวร ในระยะที่ 2 ต่อไป 

นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า ปัจจุบัน จากการขยายตัวของชุมชน และการขยายตัวของภาคธุรกิจร้านค้าหรือสถานประกอบการต่างๆ บนเกาะล้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว จึงส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาขยะมูลฝอยตกค้างสะสมและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

เมืองพัทยาเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาให้มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จึงได้ดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน เพื่อให้การอนุมัติโครงการดังกล่าวเกิดความสัมฤทธิ์ผล และสามารถที่จะดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

นายวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ กล่าวว่า EA ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ ‘Green Product’ มาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน, ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และสถานีชาร์จ EA Anywhere โดย EA ได้ส่ง บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการขยะ ที่สามารถชนะประมูลในรูปแบบร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยตามสัญญาสัมปทาน แบบ Build Operate Transfer (BOT) มีระยะเวลาดำเนินการรวม 25 ปี นับจากวันที่เริ่มดำเนินการกำจัดขยะมูลเพื่อชุมชน

“โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดธุรกิจใหม่ของ EA ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะมูลฝอยสะอาดอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองพัทยาและประเทศไทยต่อไป” นายวสุ กล่าวทิ้งท้าย

‘เลขา สดช.’ ชู แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 3 มั่นใจ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทย

เลขาธิการ สดช. ร่วมเวทีสัมมนาการขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย ย้ำ ประเทศไทยต้องรักษาดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ไม่ให้ต่ำกว่าเดิม พร้อมเดินหน้าตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในระยะ 3 ครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน หวังเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 66 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้เข้าร่วมงานสัมมนาโครงการสัมมนาการขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), ศ.พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงผู้บริหารของกระทรวงฯ และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นายภุชพงค์ ได้กล่าวบนเวที ถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย ตามแผนการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561-2580) ในระยะ 3 ระหว่างปี 2566-2570 โดยระบุว่า ขณะนี้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ทางด้านศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก โดยเป้าหมายหลักคือการทำอันดับให้ดีขึ้น หรือ อย่างน้อยจะต้องไม่ลดจากอันดับเดิมที่เป็นอยู่

โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญ อย่างเช่น มูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนต่อจีดีพี (Digital Contribution to GOP) ในปี พ.ศ. 2570 ไม่น้อย ร้อยละ 30 และปี  พ.ศ. 2581 ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศใน
World Digltal Compettiveness Ranking ในปี พ.ศ. 2570 อยู่ใน 30 อันดับแรกของไลก หรืออยู่ใน 3 อันดับแรกของอาเซียน
และในปี พ.ศ. 2080 อยู่ใน 20 อันดับแรกของโลกหรืออยู่ใน 2 อันดับแรกของอาเซียน ส่วนในด้านสถานภาพการเข้าใจติจิล ( Digital Literacy) ของประชาชนคนไทย มากกว่า 30 คะแนน ในปี พ.ศ. 2570 และมากกว่า 85 คะแนน ในปี พ.ศ. 2580 

ทั้งนี้ การจะเดินไปถึงเป้าหมายดังกล่าว จะขับเคลื่อนไปตามกรอบการพัฒนาทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านรัฐบาลดิจิทัล, ด้านการพัฒนากำลังคน และด้านการสร้างความเชื่อมั่นโดยการพัฒนาระบบนิเวศด้านโครงสร้างด้านเทคโนโลยี

“เราต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันนั้น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนับว่ามีส่วนสำคัญอย่างสูง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศในทุก ๆ ด้าน เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องรักษาอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลในระดับนานาชาติ พร้อมกับพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศต่อไปให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุก ๆ ด้าน”

ขณะที่บรรยากาศภายในงานสัมมนา มีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากทั้งภายในสถานที่จัดงาน ณ ห้อง Auditorium ชั้น 2 อาคารสโมสร บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รวมถึงการรับชมผ่านออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยังได้เยี่ยมชมบูธของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ซึ่งได้ให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนฯ และจัดกิจกรรม เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกรับของที่ระลึกจากของกองทุนดีอี ทำให้บรรยากาศในงานสัมมนาตลอดทั้งวันเป็นไปด้วยความคึกคักอย่างมาก

'จับกัง 1' เล็งปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ในปีหน้า คาด!! สรุปแนวทางที่ทุกฝ่ายรับได้ภายในเดือน 11

(15 ก.ค. 66) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า สรุปเนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ค่าแรง) ให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 

ทั้งนี้ จะดูอัตราเงินเฟ้อประกอบด้วย เพื่อประกาศเป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567 ให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานช่วงใกล้สิ้นปีนี้ 

"กระทรวงแรงงานได้หารือกับส.อ.ท.ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนที่เข้าใจในปัญหาแรงงาน เพื่อรับทราบความคิดเห็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำซึ่งทุกภาคส่วนมีความกังวล และหลังจากนี้กระทรวงจะเร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ"

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายนนี้ ต้องการให้ยึดมติคณะกรรมการไตรภาคี โดยค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 328- 354 บาทต่อวัน การขึ้นราคาเดียว 400 บาทต่อวัน หรือขึ้น 19-20% อาจทำให้หลายอุตสาหกรรมกระทบหนักจากต้นทุนที่กระชากแรง เพราะปัจจุบันจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมมีประมาณ 20 อุตสาหกรรมจ่ายไม่สูงเพราะใช้แรงงานเข้มข้น 

และยังมีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (SMEs) ทั่วประเทศกว่า 3 ล้านคน ที่เหลือจ่ายเกิน 400 บาทต่อวัน บางอุตสาหกรรมถึง 800 บาทต่อวันแต่ก็หาแรงงานยาก ดังนั้นการปรับค่าจ้างต้องสอดรับศักยภาพแรงงาน และความสามารถของผู้ประกอบการ

"วิธีปรับขึ้นค่าจ้างที่เหมาะสมคือ การขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อแต่ละปี หรือจะขึ้นตามต้นทุนเงินเฟ้อบวกเอ็กซ์ และปัจจุบันประสิทธิภาพแรงงานไทยในกลุ่มอาเซียน ยังไม่เทียบเท่าเวียดนามและอินโดนีเซียได้ เนื่องจากยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ได้เต็มที่นัก ดังนั้นไทยควรรีบเร่งเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานไทย ให้แข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ เพราะต้องทำงานเป็นปาท่องโก๋ อุตสาหกรรมจะเติบโตได้ ต้องมีกระทรวงแรงงานคอยสนับสนุน”

‘พิมพ์ภัทรา’ เผย!! เร่งผลักดันส่งเสริม ‘อุตฯ ยานยนต์ไฟฟ้า’ หลังค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเข้าพบ-หารือแนวทางสนับสนุน

(12 ก.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานในการพิจารณากำหนดแนวทางผลักดันมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) หรือ EV 3.5 เพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยด่วน ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเร็วที่สุด ก่อนที่มาตรการอีวี 3.0 จะสิ้นสุดภายในสิ้นปีนี้

“ขณะนี้มีค่ายรถยนต์อีวีบางค่ายสอบถามเรื่องมาตรการส่งเสริมรถอีวี และเข้ามาพบ เพื่อหารือถึงแนวทางสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าบ้างแล้ว ซึ่งจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทุกฝ่าย อาจจะต้องมีการปรับรายละเอียดหลักเกณฑ์เงื่อนไขบ้างบางข้อตามความเหมาะสม” นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าว

นอกจากนี้จะพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ ดูแลผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) ตามนโยบายที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ฝากการบ้านถึงกระทรวงอุตสาหกรรม ในการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา แม้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ออกมาจะไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยตรง แต่ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดูแลเรื่องการพักหนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนเอสเอ็มอีรายใหม่ รวมถึงเตรียมกำหนดแนวทางสนับสนุนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สอดรับนโยบายรัฐบาลด้วย

‘เบนซ์’ เปิดแคมเปญใหม่ ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการศูนย์ ลดค่าอะไหล่สูงสุด 25% พร้อมสิทธิพิเศษเพียบ!!

(15 ก.ย. 66) ‘เมอร์เซเดส-เบนซ์’ เปิดแคมเปญ ‘Make your drive like day one’ จูงใจลูกค้าเข้ารับบริการ ด้วยส่วนลดอะไหล่ ของแจกแถม เงื่อนไขการเงิน

แคมเปญ ‘Make your drive like day one’ ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ชวนลูกค้าดูแลรถเบนซ์ให้เหมือนวันแรกของการใช้งาน โดยปรับลดราคาอะไหล่ลงมาสูงสุด 25% เมื่อเข้ารับบริการในศูนย์บริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ
แคมเปญนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566  โดยแบ่งเป็นข้อเสนอต่างๆ คือ

รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น (รวม Van model) ทุกช่วงอายุรถยนต์ จะได้รับส่วนลดค่าอะไหล่ 25% สำหรับอะไหล่
- กลุ่มบำรุงรักษา 
- กลุ่มอะไหล่สึกหรอ
- อะไหล่กลุ่มช่วงล่างที่ร่วมแคมเปญ

รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น (รวม Van model) ทุกช่วงอายุที่เข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- รับน้ำมันเครื่อง MB Oil 1 ลิตร ฟรี 
- ลูกค้าที่มียอดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ลูกค้าที่เข้ารับบริการเปลี่ยนยาง MB Tire และ ลูกค้าที่ซื้อ MBSP ในช่วงแคมเปญ รับเพิ่มน้ำมันเครื่อง MB Oil อีก 1 ลิตร

ลูกค้า MBSP ที่มีโปรแกรม Easy Care หรือ Ultimate ที่เข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- รับกระบอกน้ำสุญญากาศ Mercedes-Benz ขนาด 0.5 ลิตร มูลค่า 1,583.60 บาท 1 ใบ ต่อ 1 ใบเสร็จ ต่อรถยนต์ 1 คัน

ลูกค้าที่ทำรายการผ่านบัตรเครดิตซิตี้ เมอร์เซเดส และมียอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 25,000 บาท 
ขึ้นไป (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
- เลือกผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% ได้นาน 6 เดือน หรือ 10 เดือน

‘MASTER’ ผนึกกำลัง ‘KIN Corp.’ เดินเกมรุกธุรกิจสื่อโฆษณา ขยายช่องทางการตลาด-เพิ่มขีดความสามารถ-รองรับการแข่งขัน

‘MASTER’ เดินเกมรุกเน้นโตแบบ Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์ ‘Merger and Partnership’ (M&P) ล่าสุดผนึกกำลัง ‘KIN Corp.’ ผู้นำธุรกิจสื่อโฆษณาออฟไลน์และออนไลน์ ปูพรมขยายช่องทางการตลาด เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจรองรับการแข่งขัน พร้อมส่องภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณา หลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ชูสื่อนอกบ้าน-สื่อการเดินทาง รอบ 7 เดือนปี 66 เม็ดเงินโฆษณาโต 23% อยู่ที่ 9,032 ล้านบาท เชื่อธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘MASTER’ โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรชั้นนำของไทย ภายใต้ชื่อ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช : Masterpiece Hospital’ เปิดเผยถึงแนวทางการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER เน้นการเติบโตทั้ง Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มาประยุกต์ใช้ โดยวางหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่

1.) ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีเจ้าของเดิมยังบริหารต่อและต้องการเติบโตไปด้วยกัน
2.) เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ
3.) มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช

โดยล่าสุด บริษัทลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท คิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (KIN Corp.) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 400,000 หุ้น หรือ 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 400 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 160 ล้านบาท โดยมีแผนการใช้เงินเพื่อไปใช้ในการขยายกิจการ และคาดว่าจะดำเนินการเข้าลงทุนแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 

สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของ MASTER เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงทีมผู้บริหาร นำโดย นายภาคิน วณิชภิรมย์ มีแผนธุรกิจอย่างชัดเจน แต่เดิมเน้นทำการตลาดกลุ่มลูกค้า Real Estate เป็นหลัก จึงมองเห็นโอกาสในการขยายเข้าสู่ตลาดกลุ่ม Health Care ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากที่สุด  

“การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตในตลาดวงการศัลยกรรม ด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการที่ KIN Corp. มีเครือข่ายและทำเลที่ตั้งโฆษณาครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ไปจนถึงต่างจังหวัดทั่วไทย ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่ง KIN Corp. มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีความต้องการด้านสื่อโฆษณาสูง ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้า พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยงานบริการด้านต่างๆ กับกลุ่มลูกค้าหลากหลายประเภท” นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น KIN Corp. เสร็จสมบูรณ์ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ พร้อมให้การสนับสนุน KIN Corp. ในทุกๆ ด้าน โดยคาดว่า KIN Corp. เริ่มสร้างผลกำไรให้ MASTER ได้ในไตรมาส 4/2566 เป็นต้นไป และจะรับรู้กำไรเข้าเต็มปี 2567 เป็นปีแรก

นายภาคิน วณิชภิรมย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (KIN Corp.) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ MASTER เห็นโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน จนเกิดข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าว  

“นอกจากสิ่งที่สัมผัสได้จากการแลกเปลี่ยนมุมมองในการทำธุรกิจแล้ว ผมมองว่า MASTER มีจุดแข็งเรื่องการพัฒนาคนในองค์กร ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับ KIN Corp. เพราะแนวทางการดึงศักยภาพของคนในองค์กร นำมาใช้ในเรื่องการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาคนในองค์กร เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มจากทีม MASTER” นายภาคิน กล่าว 

ด้านภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณา หลังสถานการณ์ Covid -19 คลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยอ้างอิงจากรายงาน ‘นีลเส็น’ (Nielsen) ระบุว่าเม็ดเงินโฆษณา (Media Spending) ช่วง 7 เดือนแรก ปี 2566 มีมูลค่าเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 0.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าอยู่ที่ 65,093 ล้านบาท แบ่งเป็น สื่อทีวี ยังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนของการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุด อยู่ที่ 57% คิดเป็นมูลค่า 34,483 ล้านบาท

รองลงมาเป็นสื่อดิจิทัล เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้น 6% มูลค่าอยู่ที่ 16,031 ล้านบาท และตามมาด้วยสื่อนอกบ้าน และสื่อการเดินทาง เม็ดเงินโฆษณาโต 23% มูลค่าอยู่ที่ 9,032 ล้านบาท ดังนั้น KIN เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา เพราะด้วยโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ลูกค้าต่างมองหาวิธีที่จะทำให้แบรนด์ของตนเองโดดเด่นและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เช่น การลงทุนในการโฆษณา การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ หรือการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป้าหมายสูงสุด คือ การเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามากขึ้น 

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ไป บริษัทวางแผนขยายตลาดในกลุ่ม Medical และกลุ่ม Health Care ที่ต้องการบริษัทผลิตสื่อที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือกลุ่ม Out of Home Media ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ KIN Corp. สนใจ จากเดิมที่ KIN Corp. มีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม Real Estate ซึ่งบริหารโครงการอยู่ประมาณ 250 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม 

ส่วนช่วงที่เหลือของปี 2566 ของ MASTER มีโอกาสร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่อย่างน้อยอีก 3 ราย โดยเชื่อมั่นว่าทุกดีลที่เกิดขึ้นจะสนับสนุนให้ MASTER เติบโตอย่างยั่งยืนแน่นอน นับตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทเข้าไปลงทุนกิจการคลินิกเสริมความงาม ภายใต้ชื่อ ‘WIND Clinic’ ด้วยการเข้าลงทุน 40% รวมถึงลงทุนใน ‘Rattinan Medical Center’ ถือหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 36% และบริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 40%

‘กรมพัฒนาธุรกิจฯ’ ดัน ‘สมุนไพรไทย’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รับเทรนด์รักสุขภาพของคนยุคใหม่

(13 ก.ย. 66) นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมมีแผนที่จะส่งเสริมการตลาดสินค้า ‘สมุนไพรไทย’ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มีคณะกรรมการนโยบายและสมุนไพรแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน มีกรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นฝ่ายเลขานุการ ทำหน้าที่ส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ และกำหนดช่องทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกรายการหนึ่ง

สำหรับการขับเคลื่อนสมุนไพรไทย ได้มีการกำหนดมาตรการผลักดันสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ประเทศด้านอาหารและวัฒนธรรมไทย โดยบูรณาการประเด็นสมุนไพรร่วมกับอาหาร วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ผลักดันคุณค่าของสมุนไพรไทยร่วมกับอาหารไทย ตอบรับกระแสนิยมด้านรักสุขภาพ นำเสนอเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรไทย ชูสรรพคุณที่มีคุณประโยชน์เจาะกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะด้าน เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน Plant-based และผู้สูงอายุ

ส่วนด้านการตลาด จะมีการศึกษาความต้องการของตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้การตลาดออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ สร้างเรื่องเล่าดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค เน้นขยายตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรกลุ่มเวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มสมุนไพร รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพร

นอกจากนี้ จะเร่งการพัฒนาตราสัญลักษณ์คุณภาพสมุนไพรที่เป็นที่ยอมรับ โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการสมุนไพรเพื่อมอบรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ซึ่งสัญลักษณ์ของรางวัลมีแนวคิดการออกแบบมาจากรูปแบบของไผ่ที่สานเป็นรูปดวงดาวของเหลว และกราฟิกรูปหัวใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร

ทั้งนี้ ในส่วนของกรม จะเดินหน้ายกระดับศักยภาพด้านการตลาดของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนคุณค่า และความน่าเชื่อถือผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งขยายโอกาสทางการค้าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ในการกำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการเป็นตลาดสมุนไพรของอาเซียน

ทางด้านผลการทำงาน ในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สร้างภาพลักษณ์และการรับรู้คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยสร้างเรื่องเล่าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 22 ผลิตภัณฑ์ เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุดิบมาจาก Herbal Champion ได้แก่ ขมิ้นชัน กระชายดำ และบัวบก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านออนไลน์และเครือข่ายพันธมิตร และนำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีศักยภาพขยายตลาดเชิงรุกเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคโดยตรง ผ่านงานแสดงสินค้าต่าง ๆ และการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้จัดจำหน่าย สามารถสร้างมูลค่าการค้าได้มากกว่า 15 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาดม น้ำมันหอมระเหย และเครื่องสำอาง สมุนไพรจากน้ำนมข้าว และในปี 2566 ได้นำผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 เมื่อเดือน พ.ค. 2566 จำนวน 42 ราย สามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 203.31 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม 5 อันดับ ได้แก่ ขมิ้นชันผง น้ำมะขามป้อม ขนมจากขิง เครื่องดื่มจากจมูกข้าว และเครื่องแกง ตามลำดับ

ธนชาตประกันภัย คว้ารางวัลบริหารงานดีเด่น พร้อมโชว์ฐานะเงินกองทุนสุดปึ๊กสูงถึง 553%

ธนชาตประกันภัย ปลื้ม!! คว้ารางวัล ‘บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น’ 10 ปีซ้อน 
โชว์ผลงานครึ่งปีแรกได้เบี้ยรับรวมเติบโต 14% มั่นใจดันเบี้ยรับทั้งปี 12,000 ล้านบาท 

เมื่อไม่นานมานี้ นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า ‘บริษัทฯ ได้รับรางวัล ’บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ประจำปี 2566 เป็นรางวัลที่ตอกย้ำความสำเร็จด้านการบริหารงานที่ดี มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับที่ดีมาก ทั้งความมั่นคงทางการเงิน มีหลักธรรมาภิบาลเป็นเลิศ การนำเทคโนโลยีพัฒนาคุณภาพงานผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมให้เป็นแบบอย่างที่ดี’  

ปัจจัยที่ทำให้ธนชาตประกันภัยได้รับรางวัลและผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกปี มาจากการที่บริษัทที่เป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงรอบด้านอย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงทางการเงิน โดยปัจจุบันมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน 553% สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก การเดินหน้าพัฒนางานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อดูแลความเสี่ยงให้กับลูกค้าได้ครอบคลุมและตรงกับความต้องการ มีความเหมาะสมกับรูปแบบการดำเนินชีวิต ส่วนด้านงานบริการเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดที่ลูกค้าใช้บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น ตลอดจนมีประสบการณ์ที่ประทับใจอย่างต่อเนื่อง

นายพีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ‘รางวัลที่ได้รับจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเดินหน้าพัฒนางานบริการด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อไปอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านประกันภัยที่ดีที่สุด โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้คุ้มครองดูแลแล้วกว่า 1 ล้านราย ได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าที่มีต่อบริการของธนชาตประกันภัยผ่านระบบ NPS (Net Promoter Score) ที่ระดับ 68% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานของธุรกิจประกันภัยระดับโลก ทำให้แบรนด์ ‘ธนชาตประกันภัย’ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ โดยอยู่ในอันดับท็อป 3 ประกันวินาศภัยที่อยู่ในใจลูกค้า ขณะที่ผลประกอบการช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 5,500 ล้านบาท เติบโต 14% สูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยที่ 5% มีเบี้ยประกันภัยรถยนต์อยู่อันดับ 5 จากทั้งหมด 50 บริษัท และคาดว่าทั้งปี 2566 จะสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ 12,000 ล้านบาทแน่นอน’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top