Saturday, 5 July 2025
ECONBIZ NEWS

ต้นตำรับไก่ทอดเกาหลี เปิดสาขาแรกสยามสเคป ราคาน่าคบ เจาะกลุ่ม Gen Y-Z ตั้งเป้า 3 ปีขยาย 20 สาขา

(10 ม.ค.68) ร้านไก่ทอดเกาหลีชื่อดัง Pelicana (เพลิคาน่า) ต้นตำหรับไก่ทอดเกาหลีที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1982 จากเมืองแกยอง ที่มีกว่า 3,000 สาขาทั่วโลก บุกเปิดร้านแรกที่สยามสแควร์ หวังชิงส่วนแบ่ง 2.5% ของร้านอาหารประเภทไก่ทอดในประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปีและมีอัตราการเติบโต 8% ต่อปี

นาย อรรถวุฒิ นิธิกอบกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ร้านไก่ทอด เพลิคาน่า เป็น 1 ในร้านไก่ทอดร้านแรก ๆ ของประเทศเกาหลีที่เปิดบริการมากกว่า 40 ปี และได้รับการยกย่องให้เป็น King of Chicken ของเกาหลี และได้ขยายธุรกิจไปทั่วโลกกว่า 3,000 สาขาในเกาหลี สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย และจีน โดยบริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด ได้เซ็นสัญญาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเพียงผู้เดียว โดยได้เปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 อาคาร สยาม สเคปใจกลางสยามสแควร์  และเตรียมจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาในปีนี้ และขยายเป็น 10 สาขาในปีหน้า และ 20 สาขาในปีถัดไป บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าธุรกิจใน 3 ปี จะมีรายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท 

นาย อรรถวุฒิ ยังเผยอีกว่า สำหรับสาขาแรกที่สยามสเคปจะเจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาเป็นหลัก ซึ่งผู้ปกครองมีกำลังซื้อสูง ขณะที่ในการขยายสาขาอื่น ๆ จะมีคอนเซปต์การตกแต่งร้านที่แตกต่างกันออกไป โดยอาจจะมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางสาขาที่อยู่ในแหล่งคนทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และลูกค้าในแต่ละกลุ่ม

“จุดเด่นของร้านไก่ทอดเพลิคาน่า คือ คุณภาพอาหารระดับพรีเมียม รสชาติเหมือนที่เกาหลี ในราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นที่ 99 บาท โดยมีจุดเด่นคือ ทอดไก่ทีละจาน ไก่คุณภาพสูง วัตถุดิบนำเข้าจากเกาหลีทั้งหมด ทานที่ร้านเหมือนไปทานที่เกาหลี ใช้แป้งเครื่องปรุงหมักไก่ 24 ชั่วโมง เปลี่ยนน้ำมันทอดใหม่ทุกวัน และมีไก่ทอดให้เลือกถึง 10 รสชาติ อาทิ ซอสซิกเนเจอร์ ซอสน้ำผึ้ง ซอสสโมกกี้ฮ็อต ซอสกังจอง ซอสเผ็ด ซอสสโมกกี้มาโย ซอสเผ็ดมาโย ซอสกระเทียม ซอสถั่วเหลือง และโรยผงชีส โดย อาหารจะทำทีละออเดอร์ เพื่อความสดใหม่ และใช้ซอสและวัตถุดิบนำเข้าโดยตรงจากเกาหลี นอกจากนี้ ยังมีอาหารเกาหลียอดนิยม อาทิ เบอร์เกอร์ไก่ทอด ซุปกิมจิ ข้าวผัดกิมจิ ต๊อกบกกี ชีสบอล เป็นต้น” 

นางสาวอารดา นิธิกอบกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เราได้พัฒนาเมนูพิเศษเฉพาะในประเทศไทย คือ ข้าวมันไก่ทอดเกาหลี เป็นเจ้าแรกในไทย โดยเราจะเสิร์ฟ ไก่ทอดเกาหลี พร้อมกับข้าวมันหอมมะลิของไทย ในราคา 139 บาท พร้อมเซตน้ำรีฟิล ซึ่งคาดว่าลูกค้าจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากกระแสความนิยมข้าวมันไก่และไก่ทอดระดับพรีเมียม ได้เพิ่มขึ้นอย่างสูงและคาดว่าจะเป็นเซกเมนต์ใหม่ที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมและพรีเมียมแมส นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนา ขนมปังบัน สูตรพิเศษจากญี่ปุ่น ใช้แป้งขนมปังจากญี่ปุ่น สำหรับเบอร์เกอร์ไก่ทอด ทำให้ บันของเรามีความนุ่มนวล เหนียว เป็นพิเศษ เพิ่มความอร่อยให้ไก่ทอด แบบไม่เหมือนใคร ในราคา 169 บาท มาพร้อมเซตน้ำรีฟิลและเฟรนช์ฟรายส์"

นายอทิต ปัญทเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด (CMO) บริษัท เพลิคาน่า ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ใน 2 ปีนี้ บริษัทฯมีแผนที่เจาะตลาดหลักในกรุงเทพมหานคร ในศูนย์การค้าชั้นนำต่าง ๆ เพื่อรองรับ กลุ่มลูกค้าหลักในกลุ่ม Gen Y ช่วงต้นๆ กลุ่ม First Jobber และคนทำงานรุ่นใหม่อายุ 22-30 ปี และ Gen Z คือ นักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย รวมถึงแฟนคลับของซีรีส์เกาหลี แฟนคลับศิลปิน K-Pop ทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเอเชีย ที่มีกำลังซื้อเป็นลูกค้าเป้าหมายด้วยเช่นกัน โดยภายในปี 2568 เราตั้งเป้าขยาย 5 สาขาพร้อมตั้งเป้ายอดขาย 100 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ เราเตรียมเปิดบริการ Delivery ผ่านทาง Platform ยอดนิยมคือ Grab, Lineman, Robinhood  เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในกรุงเทพมหานครและมีแผนจะขยาย CLOUD Kitchen เพื่อขยายพื้นที่การให้บริการได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

“เราเตรียมแผนการตลาดและการสร้างแบรนด์ Pelicana โดยใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบ Word-of- Mouth ด้วย Social Media, Viral Marketing & PR เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม พร้อมกับการใช้มาสคอต ARI เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียม Event และ Life Stlye Marketing เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศด้วย"

นายอทิต ปัญทเศรษฐ์ ยังอธิบายว่า ที่มาของชื่อ Pelicana มาจากการผสมคำระหว่างคำว่า นก Pelican ที่มักมีนิสัยคาบอาหารใส่ในอุ้งปากกลับไปให้ลูกกิน กับคำว่า American ซึ่งที่มาความนิยมไก่ทอดในเกาหลีเริ่มต้นหลังยุคสงครามเกาหลีที่ทหารอเมริกันนำเมนูไก่ทอดเข้ามาในเกาหลีจนเป็นที่แพร่หลาย

ด้านนายมาคัส ลี ผู้บริหารจาก Pelicana Korea กล่าวเสริมว่า Pelicana Fried Chicken เป็น 1 ในผู้บุกเบิกร้านไก่ทอดเกาหลี เมื่อ 42 ปีก่อน และได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีทั้งหมดกว่า 3,000  สาขาทั่วโลก โดยมีถึง 1,245 สาขาในประเทศเกาหลี นอกจากนี้ยังได้ขยายแฟรนไชส์ไปยัง 16 ประเทศที่สำคัญทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย และจีน โดยไทยเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมร้านอาหารขนาดใหญ่ มูลค่าสูงและเติบโตทุกปี เนื่องจากคนไทย ชอบทานอาหารนอกบ้านและมีธุรกิจ Food Delivery ที่มีคุณภาพและเติบโตสูง ขณะเดียวกัน ไทยเป็นตลาดที่มีความท้าทาย เนื่องจากมีการแข่งขันสูง มีแบรนด์ไทย และแบรนด์สากลจากประเทศชั้นนำทั่วโลก มาเปิดสาขาในกรุงเทพ จำนวนมาก อย่างไรก็ดี เรามีความมั่นใจในศักยภาพ และแผนธุรกิจ และ การตลาดของ บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) ว่าจะสามารถ ทำให้ร้านเพลิคาน่า ประสบความสำเร็จในประเทศไทยได้ และทางบริษัทฯแม่ที่เกาหลีพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่” 

‘สรรพากร’ จี้กลุ่มค้าขายออนไลน์ - อินฟลูฯ ยื่นภาษีเงินได้ฯ ชี้! หากเลี่ยงภาษี - แจ้งเท็จ เสี่ยงเจอโทษหนักคุกสูงสุด 7 ปี

(10 ม.ค.68) นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่าภาพรวมกรมสรรพากรจัดเก็บรายได้ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.- 31 ธ.ค. 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยสามารถจัดเก็บได้ 4.7 แสนล้านบาท เกินเป้า 3.9 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่วนปัจจัยที่ทำให้การจัดเก็บภาษีลดลง ส่วนหนึ่งมาจากภาษีการนำเข้าลดลงประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน

โดยในไตรมาส 2/2568 คาดว่า การจัดเก็บภาษีจะเกินเป้า เพราะเป็นช่วงของการยื่นจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะเน้นย้ำใน กลุ่มค้าขายแบบซื้อมาขายไป ซึ่งรวมถึง ธุรกิจค้าขายแบบออนไลน์ และอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น ขณะที่ไตรมาสที่ 3/2568 เป็นฤดูกาลจัดเก็บภาษีนิติบุคคล ซึ่งยังต้องจับตาภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

“กรมสรรพากร มีเป้าจัดเก็บรายได้ทั้งปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2.37 ล้านล้านบาท ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 ถึง 5% จากจำนวนผู้ยื่นเสียภาษี จำนวนราว 11 ล้านคน ซึ่งมีการยื่นขอคืนเงินภาษี 4 ล้านคน และจ่ายภาษีเพิ่ม 7 ล้านคน โดยสรรพากรจะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมาย” นายปิ่นสาย กล่าว

ซึ่งข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ยื่นเสียภาษีมากกว่า 100,000 รายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ยื่นขอคืนภาษีผ่านช่องทางออนไลน์สูงถึง 96%

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวอีกว่า สำหรับการยื่นเสียภาษีรูปแบบออนไลน์ จะทำให้ผู้เสียภาษีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคืนภาษีได้รวดเร็วขึ้น ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ใน 2-3 วัน ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91 ผ่านระบบออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 8 เม.ย. 2568

ทั้งนี้ กรมสรรพากร ได้ใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาตรวจจับข้อมูลของกลุ่มดังกล่าวด้วย ฉะนั้น จึงขอให้มายื่นไว้ก่อนถูกผิดไม่เป็นไร ซึ่งสามารถแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม หากเกินระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นภาษี จะมีโทษทั้งทางเเพ่งและทางอาญา โดยทางเเพ่งต้องเสียเบี้ยปรับ 1 หรือ 2 เท่า ของภาษีที่ต้องชำระแล้วแต่กรณี บวกเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน หรือ 18% ต่อปี ส่วนทางอาญา เจตนาผู้ที่สร้างรายได้อันเป็นเท็จและมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีหรือใช้ใบกำกับภาษีปลอม มีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 – 200,000 บาท

‘แบงก์ชาติ’ สั่ง ธ.พาณิชย์คืนเงินผู้เสียหายทุกราย จากกรณีลูกค้าถูกขโมยบัตรเครดิต - เดบิตไปใช้

(10 ม.ค.68) นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กรณีมีผู้เสียหายจากการถูกมิจฉาชีพขโมยบัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้าและบริการนั้น ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตเร่งตรวจสอบ ดูแล และชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าทุกรายในกรณีดังกล่าว โดยกรณีบัตรเครดิต ผู้ถือบัตรจะไม่ต้องชำระเงินและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น

ส่วนกรณีบัตรเดบิต ธนาคารจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรตามยอดที่ถูกตัดชำระภายใน 5 วัน นับแต่วันที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะต้องเข้มงวดในการปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ธปท. ได้กำชับให้ผู้ให้บริการติดตามร้านค้าที่มีความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกใช้เป็นช่องทางรับชำระเงินของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ให้บริการต้องมีกระบวนการรู้จักและพิสูจน์ตัวตน เพื่อคัดกรองร้านค้า ประเมินความเสี่ยง รวมทั้งติดตามความเสี่ยงและพฤติกรรมของร้านค้าอย่างต่อเนื่อง โดยต้องยุติการบริการทันทีเมื่อพบร้านค้าที่อาจเข้าข่ายให้บริการที่ไม่ถูกกฎหมาย รวมถึงพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถาม ขอคำปรึกษาและร้องเรียนปัญหาการใช้บริการทางการเงินได้ที่ BOT contact center 1213

‘เอกนัฏ’ คิกออฟ! ขนกากพิษ ‘วิน โพรเสส’ ล็อตแรก ตั้งเป้าปิดฉากมหากาพย์กากพิษระยอง ภายใน เม.ย. 68

คิกออฟ!! วิน โพรเสส ‘เอกนัฏ’ ลงพื้นที่สั่งเคลียร์กากพิษล็อตแรกกว่า 7 พันตัน เร่งปิดฉากมหากาพย์อนุสรณ์สถานกากพิษระยอง

(9 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมกำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) คุมเข้มการขนย้ายตะกรันอะลูมิเนียมหรืออะลูมิเนียมดรอสล็อตแรกทั้ง 7,000 ตัน ในทุกขั้นตอน โดยเริ่มขนย้ายออกจากบริษัทฯ แล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 เพื่อนำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากการประเมินของกรมโรงงานฯ พบว่า ในพื้นที่มีกากของเสียตกค้างรวมประมาณ 33,800 ตัน ประกอบด้วย 

1) ของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ 12,600 ตัน 2) กากตะกอนของเสียตกค้างในอาคารและรางระบายน้ำ 4,600 ตัน 3) กากตะกอนผิวดินที่เกิดการปนเปื้อนจากเหตุไฟไหม้ 5,900 ตัน และ 4) น้ำเสียเคมีวัตถุ 10,700 ตัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการบำบัดกำจัดสูง ไม่สามารถดำเนินการในคราวเดียว ประกอบกับจากการสำรวจพื้นที่พบว่ามีอะลูมิเนียมดรอสประมาณ 7,000 ตัน ซึ่งเป็นกากของเสียที่สร้างปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนชาวบ้านในพื้นที่มากที่สุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงแถลงต่อศาลจังหวัดระยองขอเบิกเงินที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด วางไว้ต่อศาลจำนวน 4.9 ล้านบาท มาใช้ในการบำบัดกำจัด อะลูมิเนียมดรอสก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีกำหนดการแล้วเสร็จภายในวันที่ 26 เมษายน 2568 นี้

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประเมินตัวเลขค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอส รวมค่าขนส่งจะอยู่ที่ประมาณตันละ 10,000 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมด 7,000 ตัน สูงถึง 70 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ผนึกกำลังร่วมกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ผ่านการดำเนินกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ' ทำการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสไปบำบัดกำจัดโดยใช้เป็นวัตถุดิบผสมร่วมกับดินอลูมินาในกระบวนการเผา เพื่อผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งใช้อุณหภูมิสูงกว่า 1,400 องศาเซลเซียส ประกอบกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มีระบบบริหารจัดการและระบบบำบัดมลพิษประสิทธิภาพสูง ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสได้ทั้งหมดอย่างปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบโรงงาน ด้วยงบประมาณเพียง 4 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ได้แล้ว ยังสามารถลดการใช้งบประมาณของภาครัฐลงได้กว่า 66 ล้านบาท

ด้าน นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การขนย้ายจะคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ โดยการยกถุงบิ๊กแบ็กที่บรรจุอลูมิเนียมดรอส บรรทุกโดยรถโรลออฟพ่วงที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตให้ขนส่งวัตถุอันตราย บรรทุกจำนวน 17 ถุงต่อคัน จำนวน 4-5 คันต่อวัน รวมจะทำการขนย้ายปริมาณ 115 ตันต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาในการขนย้ายและทำการบำบัดกำจัดอลูมิเนียมดรอสทั้งสิ้นประมาณ 60 วัน โดยรถโรลออฟพ่วงทุกคันมีการใช้ระบบติดตามจีพีเอส และมีระบบติดตามและตรวจสอบการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสเฉพาะกิจ ปิดคลุมรถด้วยแผ่นพลาสติกรัดตรึงด้วยเชือกทุกด้าน เพื่อป้องกันการหกรั่วไหลและป้องกันน้ำอย่างมิดชิด จึงสามารถมั่นใจได้ว่าการขนย้ายและการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมดจะดำเนินการเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด

“ผมได้สั่งการและกำชับให้ กรอ. เร่งทำการบำบัดกำจัดกากของเสียที่เหลือให้เร็วที่สุด โดยในระยะต่อไป จะทำการบำบัดของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ โดยเฉพาะสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถัง IBC และถุงบิ๊กแบ็กที่อยู่นอกอาคารปริมาณ 2,600 ตัน รวมถึงวัตถุอันตรายในบ่อซีเมนต์อีกกว่า 1,400 ตัน และกากของเสียที่เหลืออื่น ๆ ทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม พ.ศ. ... ที่ได้ยกร่างแล้วเสร็จต่อรัฐสภา ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะอุดรอยรั่วและยกระดับมาตรการทางกฎหมายที่ครอบคลุมการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบอย่างเข้มงวด รัดกุม ป้องกันการกระทำผิดแบบครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้เกิดความสมดุลต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายเอกนัฏฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘ซิกเว่ เบรกเก้’ คัมแบคธุรกิจโทรคมนาคมไทย นั่งแท่น ปธ.บอร์ด กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือซีพี

ซีพี ตั้ง ‘ซิกเว่ เบรกเก้’ นักธุรกิจระดับโลกจากนอร์เวย์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง 'ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์'

(9 ม.ค. 2568) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์  เปิดเผยว่า การเข้ามาของ นายซิกเว่ เบรกเก้ ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับเครือซีพี  ซึ่งมั่นใจว่าด้วยวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของนายซิกเว่ จะสามารถนำพาเครือซีพีก้าวสู่การเป็น Technology Company ชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ สังคม และประเทศชาติในทุกมิติ ทั้งนี้ บทบาทและความรับผิดชอบของนายซิกเว่ในตำแหน่งสำคัญนี้ จะครอบคลุมถึงการดูแลรับผิดชอบธุรกิจที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุน เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจด้านการเงินดิจิทัล เป็นต้น

“ซีพีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า คุณซิกเว่ เบรกเก้ จะเข้ามาเป็นผู้นำคนสำคัญของเรา โดยดูแลรับผิดชอบด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล ผมรู้จักคุณซิกเว่มาหลายปีแล้ว มั่นใจว่าคุณซิกเว่มีประสบการณ์ระดับโลกในด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล” ซีอีโอ เครือซีพี กล่าว

ทั้งนี้ เครือซีพีมีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่กว้างขวางในวงการเทคโนโลยีดิจิทัล และการสื่อสารระดับโลกของนายซิกเว่ รวมถึงการเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ด้วยนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นอนาคต โดยตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมานายซิกเว่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง การบริหารโครงการระดับโลก และการสร้างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนส่งเสริมความก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลในหลายประเทศ

ด้าน นายซิกเว่ เบรกเก้ กล่าวว่า “เครือซีพีได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคด้านการเชื่อมต่อ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมดิจิทัล และบริการทางการเงินมายาวนานกว่า 20 ปี ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่คุณศุภชัยเชิญให้มาร่วมพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัลในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญต่อผู้บริโภค องค์กร และสังคม ผมตั้งตารอที่จะได้กลับมาทำงานในประเทศไทยและร่วมเดินหน้ากับทีมงานของเครือซีพี”

นอกจากนี้ นายซิกเว่ ได้กล่าวย้ำต่อไปว่า “เครือซีพี ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผมเชื่อว่าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ ผนวกกับศักยภาพของบุคลากรในเครือซีพี เราจะสามารถผลักดันประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน”

อนึ่ง นายซิกเว่ เบรกเก้ เคยดำรงตำแหน่งประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทเลนอร์กรุ๊ปเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 ก่อนหน้านี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารและหัวหน้าภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีแทคในประเทศไทย และเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทต่าง ๆ หลายแห่งในกลุ่มเทเลนอร์ ทั้งยังเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการของ GSMA ตั้งแต่ปี 2017 ถึงปี 2024 การเข้ามาของนายซิกเว่ในเครือซีพีถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ของเครือซีพีในการลงทุนด้านโทรคมนาคม และการสร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมนวัตกรรม และการยกระดับทักษะดิจิทัลของคนไทย ที่พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ

'EA' พร้อมระดมทุนก้าวฟื้นตัว ร่วมมือพันธมิตรจีน ลุยยานยนต์-แบตเตอรี่ กระแสเงินสดพลิกบวก 5,610 ล้านบาท

(8 ม.ค. 68) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) หนึ่งในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของไทย ล่าสุดเมื่อวานนี้ (7 มกราคม 2568) ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากผู้ถือหุ้นในการระดมทุนประมาณ 7,400 ล้านบาท ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งบริษัทคาดว่าจะใช้ในการเสริมสร้างการฟื้นฟูธุรกิจ หลังจากการปรับโครงสร้างอย่างเข้มข้นภายในกลุ่มบริษัทในระยะเวลา 5 เดือน ที่ผ่านมา

การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ EA ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเชื้อเพลิงจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดหาผลิตภัณฑ์และระบบที่ใช้ในการกักเก็บและจำหน่ายไฟฟ้า เช่น ธุรกิจพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และรวมถึงธุรกิจประกอบยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า รสบัสไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า

นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้จัดการธุรกิจจนสถานการณ์เริ่มนิ่งแล้ว ผ่านการตัดสินใจที่ยากลำบากบางอย่าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือ กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง เป็นบวก และการสร้างกำไรอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีกำไรและปรับโครงสร้างธุรกิจที่ขาดทุน”

นายฉัตรพล กล่าวว่า "เรามีธุรกิจที่ทำกำไรจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการดำเนินธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีผลประกอบการเป็นบวก ธุรกิจเหล่านี้รวมกันคิดเป็น 60% ของรายได้ EA และเกือบทั้งหมดของกำไรของเรา เราเริ่มต้นธุรกิจเหล่านี้แทบจะก่อนใครในประเทศไทย และการตัดสินใจที่มีวิสัยทัศน์นั้นกำลังให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ด้วยกระแสรายได้ที่มั่นคงและอัตรากำไรที่นำหน้าในอุตสาหกรรม"

"อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้ได้ถูกหักล้างด้วยธุรกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่ของเรา ซึ่งกำลังขาดทุนและดูดซับเงินสดของเราไป หลักๆ แล้วสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้น ในส่วนของการปรับโครงสร้าง เราจึงหยุดธุรกิจการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าชั่วคราว และปรับลดขนาดธุรกิจแบตเตอรี่ และการตัดสินใจทั้งสองอย่างนี้ได้ช่วยหยุดการไหลออกของเงินสดของเราได้สำเร็จ"

นายฉัตรพล กล่าวว่า "เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตและการทำกำไรอย่างมหาศาลสำหรับ EA ทั้งในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และธุรกิจแบตเตอรี่ แต่เพื่อที่จะฉวยโอกาสเหล่านี้ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของเรา ก่อนอื่นเราต้องสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้เล่นขนาดใหญ่ในตลาดโลกในภาคธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นและสามารถขยายตลาดไปยังนอกประเทศไทยได้ และประการที่สอง เราจำเป็นต้องใช้เงินทุนของเราให้น้อยลง ในภาคธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีเวลาจำกัดในการคืนทุน เราได้ลงมือเดินหน้าขับเคลื่อนตามกลยุทธ์นี้แล้ว ซึ่งจะทำให้เรามีความคล่องตัวและฟื้นกลับมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น"

นายฉัตรพลรายงานว่า ตอนนี้ EA กำลังจัดตั้งการร่วมทุนกับหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ประเภทพิเศษรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ในการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษ โดยบริษัทร่วมทุนนี้คือ Chengli Special Automobile Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถประเภทพิเศษมากกว่า 30,000 คัน ไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ในบันทึกข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกับ EA ในเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาได้ตกลงกันว่า ยานยนต์จะถูกประกอบในโรงงานประกอบของ EA ที่มีพื้นที่ขนาด 65,000 ตารางเมตร (80 ไร่) ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยความสามารถในการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 3,000 - 9,000 คันต่อปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของยานยนต์ประเภทพิเศษที่ผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนเมษายน 2568  โดยยานยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานเราจะประกอบมีทั้ง รถพยาบาล รถขยะ และรถกระเช้า ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษเหล่านี้จะถูกประกอบขึ้นในประเทศไทยในระดับอุตสาหกรรม การร่วมทุนนี้คาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับรายได้ปีแรกของการดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2569

EA ยังได้รายงานการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อจัดตั้งการร่วมทุนกับหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับแนวหน้าของประเทศจีน ซึ่งมีฐานลูกค้าสำคัญอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยการร่วมทุนนี้จะเป็นการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และจะเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่แรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แบตเตอรี่เหล่านี้จะถูกใช้งานหลักๆ ในด้านระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ การผลิตจะดำเนินการที่พื้นที่ผลิตแบตเตอรี่ของ EA ขนาด 80,000 ตารางเมตร (91 ไร่) ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะขยายกำลังการผลิตจาก 2 กิกะวัตต์ในปัจจุบันไปเป็น 4 กิกะวัตต์ การลงนามข้อตกลงการร่วมทุนคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยจะเริ่มการจัดเตรียมสถานที่และเครื่องจักรการผลิตในปี 2568 

นายฉัตรพลกล่าวเพิ่มเติมว่า "เรามีความยินดีที่ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้นในแผนธุรกิจที่นำเสนอ โดยได้รับการโหวตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น ถึง 99.9% ในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวานนี้ ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่เชื่อมั่นในการเดินหน้าตามแผนเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่”

“เงินทุนใหม่ที่ได้รับจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของ EA และช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสที่น่าสนใจต่างๆ ในอนาคตได้ เมื่อเราเดินหน้าเข้าสู่ก้าวของการฟื้นตัว” นายฉัตรพลกล่าว

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) กล่าวว่า “เงินทุนที่จะได้จากการเพิ่มทุนที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ในวันที่ 7 มกราคม หลักๆ จะถูกนำไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ธนาคารและใช้ในการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เราหวังว่าจะลดหนี้สินจาก 58,664 ล้านบาท ลงเหลือ 52,004 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยรายปีลงได้ประมาณ 300 ล้านบาทแล้ว จะช่วยปรับปรุงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้ดีขึ้นด้วย และเป็นประโยชน์ต่อเสถียรภาพทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัท รวมทั้งจะช่วยในส่วนของเงินกู้ให้ได้รับเงื่อนไขที่ดีขึ้นส่งผลให้เราประหยัดดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย"

ระยะเวลาในการสมัครเข้าร่วมการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน คือระหว่างวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568

จากรายงานล่าสุดของ EA เปิดเผยว่า กระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นบวกดีมากอยู่ที่ 5,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกระแสเงินสดที่เดิมติดลบ 1,726 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และสูงกว่าเกือบสามเท่าจากปีก่อนหน้านี้ กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1,852 ล้านบาท และ EBITDA อยู่ที่ 6,183 ล้านบาท จากรายได้ 14,397 ล้านบาท

'เอกนัฏ' หวังเห็นค่าไฟต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย เชื่อเป็นไปได้ หาก 'รัฐ-เอกชน' ร่วมมือกัน

‘เอกนัฏ’ รมต.อุตสาหกรรม หวังเห็นค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย ขอความร่วมมือ "รัฐ-เอกชน" ผสานสร้างแต้มต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศ

(8 ม.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ งานประจำปี สศอ. OIE Forum ครั้งที่ 16 "Industrial Reform : ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่" ในหัวข้อ “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่” จัดโดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ว่า รัฐบาลผลักดันให้เศรษฐกิจก้าวไปข้างหน้าเติบโตได้ ภารกิจกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นพระเอกมีความท้าทาย หลายคนมองเอสเอ็มอีจะฟื้น ส่วนตัวหวังว่าจะมีส่วนส่วนดัน GDP ไม่ต่ำกว่า 1% โดยไม่ใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว

ทั้งนี้ จึงต้องดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ หากวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศ ยังอยู่ระหว่างกำลังฟื้นจากโควิด จะเห็นปัญหาหนี้สาธารณะเกือบแตะ 70% ซึ่งไทยตั้งงบขาดดุลทุกปีเพื่อนำเงินมาลงทุน เมื่อหนี้สาธารณะสูง จึงมีข้อจำกัดในการตั้งงบประมาณขาดดุลมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ก็ยังติดปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ธนาคารไม่ปล่อยกู้ ทำให้การจับจ่ายใช้สอดหดตัว

ดังนั้น ความหวังจึงอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรม แต่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งเทคโนโลยี ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า คนส่วนใหญ่มองเป็นปัญหาความท้าทายที่ไทยต้องเจอ แต่ตนมองว่าเป็นโอกาสสำคัญของไทย ถ้าสามารถปรับตัวได้เร็ว และแรง เท่ากับการเปลี่ยนแปลง มั่นใจว่าภาคอุตสาหกรรมจะฟื้นกลับมาเป็นพระเอกให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโตได้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้จะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ จึงต้องร่วมมือและปรับตัว ทั้งรัฐ และเอกชน เพราะจุดเด่นไทยวันนี้เป็นเป้าหมายของนักลงุทนทั่วโลก จากการมีโลเคชั่นที่ดีเชื่อมต่อเหนือลงใต้ คาบมหาสมุทรผ่านประเทศไทย มีโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนมา 10 ปี โดยใช้เงินมหาศาล มีซัพพลายเชนสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่มีความสมบูรณ์มากสุดที่หนึ่งในภูมิภาค มีคนไทย ประเทศน่าอยู่ 

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมพยายามปรับการเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุด แต่ก็มีสิ่งที่ท้าทาย คือต้นทุน เชื้อเพลิง ไฟฟ้า ทรัพยากรและน้ำ จึงลงนามให้ปลดล็อกการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาโดยไม่ต้องขออนุญาต อีกทั้งการที่อดีตนายกรัฐมนตรี และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศลดค่าไฟ 3.70 บาท นั้น ถ้าช่วยกันจะต่ำกว่า 3 บาทได้ จะเป็นแต้มต่อสำคัญของภาคอุตสาหกรรม เพราะไทยมีนโยบายบายเป็นมิตรกับการลงทุน มีซัพพลายเชน ทุกเซ็กเตอร์ได้ประโยชน์ นักลงทุนจะเข้ามาสร้างเศรษฐกิจประเทศมหาศาล    

"วันนี้เราต้องการใช้ไฟสะอาด ซึ่งการซื้อไฟโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังคงมีราคาแพง การผลิตพลังงานก็ถูกดิสรัปที่เป็นบวกเกิดต้นทุนทำให้เนื้อไฟกว่าจะมาถึงจาก 2 บาทกลายเป็น 4 บาท การปลดล็อกทำให้ไม่ต้องผ่านหลายระบบ ดังนั้น หาก กฟผ.ทำหน้าที่พัฒนาสมาร์ทกริด แอพพลิเคชันสำรองไฟโดยเฉพาะแบตเตอรี่จะสามารถเอาพลังงานเหลือกลางวันมาใช้ในกลางคืนได้ถ้าช่วยกันทำจะเห็นค่าไฟเลข 2 บาทแน่นอน"

ดังนั้น หากแก้ปัญหาพลังงาน ภาษี ปรับการส่งออก อุตสาหกรรมยานยนต์จะโต ซึ่งเซกเตอร์สำคัญ ยานยนต์ ไฮเทค อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมอาหารและชีวภาพ รวมถึงการพัฒนาคนจะฟื้นให้ภาคอุตสาหรกรรม ภาครัฐต้องทำงานร่วมกับเอกชน ปรับตัวทำให้สะดวกโปรงใส่ ลดต้นทุนพลังงาน สร้างมูลค่าเพิ่มเติมเต็มซัพลลายเชนในอุตสาหกรรมสำคัญ ปกป้องอุตสาหกรรมต้นน้ำ เอสเอ็มอีประเทศ ไม่ให้ลักลอบเอาสินค้าที่ผลิตเกินมาดั้มราคาในไทย

‘อ.สุวินัย’ ย้ำ ทุนสำรองฯ มีไว้เพื่อความมั่นคงทางการเงิน หลังฝ่ายการเมืองส่อใช้ทำนโยบายประชานิยมสร้างคะแนนเสียง

(3 ม.ค.68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ทุนสำรองเงินตราฯ เป็นของประชาชน : นักการเมืองห้ามแตะ! มีเนื้อหาดังนี้

ถ้าดูในงบดุลของธนาคารกลางในด้านทรัพย์สินจะประกอบด้วย เงินตราระหว่างประเทศ ทองคำ และพันธบัตรรัฐบาล เป็นทรัพย์สินหลัก ขณะที่หนี้สินหลักคือปริมาณเงินที่เศรษฐกิจใช้อยู่

เงินตราต่างประเทศนี้มาจากการค้าขายระหว่างประเทศ ถ้าขายสินค้า/บริการ(ส่งออก)มากกว่านำเข้าหรือซื้อสินค้า/บริการจากต่างประเทศ ประเทศไทยจะมีส่วนเกินเป็นเงินตราระหว่างประเทศที่ปราศจากพันธะผูกพันไม่ต้องจ่ายให้ใครอีก

เงินตราต่างประเทศส่วนนี้จึงถูกนำเข้ามาบันทึกไว้ในบัญชี ทุนสำรองเงินตราต่างระหว่างประเทศเพื่อเอาไว้ใช้ออกเงินอันเป็นหนี้สินของธนาคารกลางอีกด้วย

ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องนำสินทรัพย์ต่างประเทศมูลค่าเท่ากับธนบัตรที่จะออกใช้ใหม่เก็บแยกไว้หนุนหลังธนบัตร ดังที่มาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ. เงินตรา ระบุไว้ว่า

“เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพของเงินตราให้ ธปท. รักษาทุนสำรองเงินตราไว้กองหนึ่งเรียกว่า ทุนสำรองเงินตรา”

เหตุสำคัญก็เพราะเมื่อขายสินค้า/บริการได้เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เก็บเอาไว้ที่บัญชีทุนสำรองเงินตราฯ และแลกเปลี่ยนจ่ายเป็นเงิน 32 บาทให้ ทุนสำรองเงินตราฯนี้จึงเป็นต้นทางของการเพิ่ม/ลดเงินบาทในระบบเศรษฐกิจไทย

ถ้านับจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินเมื่อปี พ.ศ.2540 ที่เราสูญเสียทุนสำรองเงินตราฯนี้ไปเกือบเกลี้ยง คนไทยจึงแก้ไขปัญหา ยอมออมด้วยการซื้อสินค้า/บริการน้อยกว่าที่ขายได้ ทำให้มีเงินตราต่างประเทศสะสมในปัจจุบันถึงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่าร้อยละ 90 ของทรัพย์สินรวมในงบดุลธนาคารกลางทั้งหมด ส่วนที่เหลือคือทองคำและพันธบัตรรัฐบาล

เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของคนไทยโดยแท้ที่ทำให้เงินทุนส่วนนี้งอกเงยขึ้นมา

ดังนั้นทุนสำรองเงินตราฯนี้จึงมิใช่เป็นทรัพย์สินของทางการแต่อย่างใดไม่

เพียงแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแล และหาใช่นักการเมืองคนใดจะมาอวดอ้างว่าเป็นผลงานของตนเองไม่

การเกินดุลการค้าและเกินดุลบริการ เช่น การท่องเที่ยว หรือ การไปทำงานต่างประเทศจึงเป็นต้นทางที่มาของเงินตราต่างประเทศที่มั่นคง

ส่วนการกู้ยืมเงินหรือนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแม้จะเป็นการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเช่นกันแต่มันสร้างความผันผวนเสียมากกว่าจากที่ต้องส่งคืนเมื่อครบกำหนดกู้ยืมและจากการเก็งกำไร

● ทำไมต้องเก็บเอาไว้ และเก็บเอาไว้มากเกินไปหรือไม่?

แม้ว่าในปัจจุบันเราจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองเงินตราฯเอาไว้แทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้มันคงที่เหมือนเมื่อก่อนปีพ.ศ.2540 ที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ แต่การมีเงินทุนสำรองฯเอาไว้มันช่วยสร้างความมั่นคงให้ประเทศได้

มันทำให้คู่ค้าหรือนักลงทุนจะมั่นใจได้ว่าเมื่อขายสินค้าหรือนำเงินลงทุนเข้ามาแล้วจะมีเงินตราต่างประเทศเอาไว้พอเพียงชำระค่าสินค้าหรือให้แลกคืนเมื่อเสร็จสิ้นธุรกรรม

ใครก็อยากค้าขายหรืออยากมาลงทุนด้วย มันดีและได้ผลมากกว่าเอานายกฯคนใดไป โฆษณา “โชว์ตัว” เสียอีก

ทุนสำรองเงินตราฯจึงมิใช่ทรัพย์สินทางราชการที่นักการเมืองแม้จะชนะเลือกตั้งจะมาอ้างว่าตนเองมีอำนาจจัดการได้

เพราะแม้แต่สัก 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ นักการเมืองก็มิได้หามาแต่อย่างใด

ขณะนี้ฝ่ายการเมืองกำลัง 'หน้ามืด' อับจนปัญญาหาเงินมาทำนโยบายประชานิยม “แจกเงิน(คนอื่น) ซื้อเสียง(เพื่อตนเอง)” เพื่อเอาชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป

เมื่อไม่กล้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ทุนสำรองเงินตราฯนี้จึงถูกมองเป็นแหล่งเงินสำคัญที่สามารถนำมาใช้สนองเป้าหมายชนะเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยม

ดังนั้นหากสามารถบังคับให้ธนาคารกลางกู้ยืมกับรัฐบาลด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาล มันจะส่งผลถึงค่าเงินบาทและความมั่นใจของคู่ค้า/ผู้ลงทุน

เพราะหากในด้านทรัพย์สินธนาคารกลางมีพันธบัตรรัฐบาลไทย (ที่แสดงอำนาจซื้อของเจ้าหนี้ผู้ถือภายในรัฐไทย) เป็นองค์ประกอบสำคัญแทนที่จะเป็นเงินตราต่างประเทศที่เป็นตัวแทนอำนาจซื้อของรัฐไทยในต่างแดน สถานะสัดส่วนพันธบัตรที่มีมากในงบดุลจะตรงกันข้ามกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

การโยนหินถามทางว่าจะเอาเงินทุนสำรองฯนี้มาใช้หรือพยายามส่งคนที่มีประวัติเสียเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารในธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อนำเงินก้อนนี้มาใช้จึงเป็นก้าวย่างสำคัญของหายนะ เฉกเช่นในประเทศที่ล้มเหลวทางด้านการคลังและลามที่ภาคการเงิน เช่น อาร์เจนติน่า หรือ เวเนซูเอลา

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนเสียภาษีต้องออกมาเรียกร้อง “ไม่ยื่นแบบ ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง” เพื่อแก้ไขที่ต้นตอ ไม่ให้นักการเมืองใช้นโยบายประชานิยมมาหาเสียงเข้าสภา

เสม็ดครองใจนทท.ต่างชาติ คนไทยฮิตไปจันทบุรี-เซี่ยงไฮ้

(2 ม.ค. 67) Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวเปิดเผยข้อมูล พบว่า เกาะเสม็ด ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ จันทบุรี ครองอันดับหนึ่งในใจนักท่องเที่ยวชาวไทย ด้าน เซี่ยงไฮ้ กำลังเป็นที่สนใจของนักเดินทางชาวไทยที่มุ่งหน้าไปต่างประเทศ

ผลการจัดอันดับประจำปีของ Agoda ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลการจองที่พักย้อนหลัง 2 ปี เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเทรนด์การท่องเที่ยว โดยจังหวัดจันทบุรี ได้รับความนิยมในฐานะ "อัญมณีแห่งภาคตะวันออก" ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งชายหาดอ่าวยาง น้ำตกพลิ้ว อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เมืองเก่าจันทบุรี และตลาดพลอยที่มีชื่อเสียงระดับภูมิภาค

เกาะเสม็ด กลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะอ่าวพร้าวที่ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม

ด้าน เซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ของจีนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย เนื่องจากนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า พร้อมดึงดูดใจด้วยเสน่ห์ของตึกระฟ้าทันสมัยที่ผสานวัฒนธรรมจีนอย่างลงตัว

ปิแอร์ ฮอนน์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ Agoda กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น” สะท้อนผ่านความนิยมในจุดหมายปลายทางที่มอบประสบการณ์พิเศษ

นอกจากจันทบุรี เกาะเสม็ด และเซี่ยงไฮ้ อโกด้ายังเผยว่า เชจู (เกาหลีใต้), ปารีส (ฝรั่งเศส), ญาจาง (เวียดนาม) และ ฟุกุโอกะ (ญี่ปุ่น) เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวเอเชีย

‘เอกนัฏ’ สั่งการ รง. ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หยุดกิจการทันที หลังชั้นลอยโรงงานกำลังต่อเติมถล่มทับคนงานเสียชีวิต

(30 ธ.ค. 67) ‘เอกนัฏ’ สั่งการหยุดกิจการทันที หลังชั้นลอยโรงงานถล่ม ในสวนอุตสาหกรรม 304 ปราจีนบุรี พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุแผ่นคอนกรีตชั้นลอยอาคารของโรงงานบริษัท ไทยยานากาวา จำกัด ประกอบกิจการทำชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรม 304 ตำบลท่าตูม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ถล่มลงมาทับคนงาน เบื้องต้นเสียชีวิต 5 ราย เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันนี้ (30 ธันวาคม 2567) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และจะดูแลเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บให้ดีที่สุด

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) ได้สั่งการโดยด่วนให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) ส่งทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี (สอจ.ปราจีนบุรี) ลงพื้นที่และสั่งการโดยด่วนให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานและระงับการใช้อาคารที่เกิดเหตุทันที ตามมาตรา 39 ของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 พร้อมทั้งสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขอาคารให้มีความมั่นคงแข็งแรง โดยต้องทำการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม จึงจะอนุญาตให้กลับมาใช้อาคารต่อไปได้

จากการตรวจสอบ พบว่า บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานช่วงเทศกาลปีใหม่ และได้ว่าจ้างผู้รับเหมาเข้ามาทำการเคลื่อนย้ายชั้นลอยที่เป็นโครงสร้างส่วนประกอบเหล็กและแผ่นคอนกรีต ในอาคารแผนก Die Cast ขณะปฏิบัติงานเกิดเหตุแผ่นคอนกรีตพื้นชั้นลอยหล่นลงทับคนงานเสียชีวิต จำนวน 5 ราย โดยสาเหตุเบื้องต้นเกิดจากขั้นตอนการใช้แม่แรงไฮดรอลิกในการยกเสาเหล็กโครงสร้างเพื่อติดล้อในการเคลื่อนย้าย ทำให้เกิดการบิดตัวของโครงสร้าง โดยแผ่นพื้นคอนกรีตที่อยู่ด้านบนเกิดการเคลื่อนตัวและหล่นลงมาด้านล่าง

“รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสวนอุตสาหกรรม ต้องเข้มงวด ทั้งการกำกับโรงงานตามระเบียบและระบบสาธารณูปโภคภายใน ให้สอดรับกับนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรมยุคใหม่ ซึ่งทางรัฐมนตรีฯ ได้เตรียมส่งทีมตรวจการสุดซอยลงพื้นที่เข้าตรวจสอบต่อไป“ นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top