Saturday, 12 October 2024
ECONBIZ NEWS

ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจ '200 CEO ต่อแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ'​

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 5 ในเดือนเมษายน 2564 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ (ZEV หรือ Zero Emission Vehicle) และต้องการให้ภาครัฐเริ่มดำเนินการให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าก่อนปี 2568

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 200 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐเริ่มดำเนินการแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เร็วขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดในปี 2568 คิดเป็น ร้อยละ 47.0 รองลงมาเห็นด้วยตามกรอบระยะเวลาตามแผนฯ ที่จะเริ่มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 คิดเป็น ร้อยละ 31.5 และมีเสนอให้เลื่อนการดำเนินงานตามแผนฯ ออกไป 5 ปี และ 10 ปี คิดเป็นร้อยละ 11 และร้อยละ 10.5 ตามลำดับ 

สำหรับปัจจัยที่จะเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับเรื่องราคารถยนต์ไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา คิดเป็นร้อยละ 78.5 รองลงมาเป็นเรื่องการเพิ่มสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ให้เพียงพอและครอบคลุมทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 75.0 และถัดไปเป็นเรื่องระยะทางในการใช้งานที่เหมาะสมของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งความสะดวกในการชาร์จ คิดเป็นร้อยละ 56.0

.

.

ทั้งนี้ หากมองถึงมาตรการของภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ตามปริมาณ CO2 คิดเป็นร้อยละ 76.5 รองลงมาเป็นการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ Charging Station ให้จูงใจผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 59.5 และการปรับปรุงภาษีรถยนต์ประจำปีเพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 55.5 ในส่วนการเตรียมความพร้อมของภาครัฐเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต 3 อันดับแรก พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ให้มีสถานีเพียงพอและครอบคลุมในแต่ละพื้นที่ คิดเป็นร้อยละ 85.0 รองลงมาเป็นการบริหารจัดการซากรถยนต์และแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ คิดเป็นร้อยละ 65.5 และการเตรียมการจัดหาไฟฟ้าและพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานในระยะยาว คิดเป็นร้อยละ 54.5            

นอกจากนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงกรณีที่ภาครัฐจะเร่งรัดการใช้และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องใดบ้าง พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีการผลิตแบตเตอรี่ที่คุณภาพดีและมีราคาเหมาะสมภายในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 65.5 รองลงมาเป็นการเตรียมการปรับปรุงโครงสร้างภาษีและพิกัดศุลกากรเพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ คิดเป็นร้อยละ 62.5 และการช่วยเหลือผู้ประกอบการใน Supply Chain ของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 61.5

ทั้งนี้​ จากผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมที่ควรจะต้องเร่งปรับตัวและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อเตรียมความพร้อมตามแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ คิดเป็นร้อยละ 88.5 รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ 49.0 และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 46.5

'กลุ่มเรือประมงพื้นบ้านระยอง' ร่วม 400 ลำ ยื่นหนังสือให้รัฐช่วยเยียวยา หลังเหตุถมทะเลท่าเรือมาบตาพุดกว่า 1,000 ไร่ กระทบวิถีชาวประมงในพื้นที่

กลุ่มประมงพื้นบ้านชายหาดเมืองระยอง 9 กลุ่ม จำนวน 450 ลำ ยื่นหนังสือให้หน่วยงานภาครัฐ เยียวยา เหตุทะเลชายฝั่งระยองที่ทำมาหากิน ถูกถมกว่า 1,000 ไร่ วิถีประมงท้องถิ่นได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยให้ใช้มาตรฐานเดียวกับท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นโมเดลนำร่อง

วันนี้ 29 เม.ย. พ.ศ.2564 นายศรีนวน อักษรศรี ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านตากวน อ.เมือง จ.ระยอง พร้อมชาวประมงพื้นบ้านจำนวนมาก ได้นำเรือเล็กมารวมตัวกันที่บริเวณชายหาดบ้านตากวน ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อจะร่วมกันเดินทางไปยังบริเวณหน้าท่าเทียบเรือมาบตาพุด ไปยื่นหนังสือความเดือดร้อนให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามแผนที่ได้วางไว้

แต่ปรากฏว่าได้มีฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นอุปสรรคในการยื่นหนังสือ ทางด้าน นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงได้ประสานกับกลุ่มประมงพื้นบ้านว่าฝนตกไม่สะดวกที่จะลงทะเลไปรับหนังสือ จึงขอเดินทางมารับหนังสือด้วยตัวเอง พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ที่บริเวณชายหาดบ้านตากวน

ต่อมาทางด้าน นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ได้เดินทางมายังชายหาดบ้านตากวน โดยมี ว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายสุพจน์ ต่ออาจหาญ นายอำเภอเมืองระยอง / เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานตำรวจภูธรเมืองมาบตาพุด และหน่วยงานที่เกี่ยงข้องทางทะเล ได้เดินทางมาเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือ และรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่

ซึ่งในการนี้ ทางด้าน นายศรีนวน อักษรศรี ได้มอบหมายให้ นายอารักษ์ ศิริศรี ที่ปรึกษากลุ่มประมงพื้นบ้านระยอง เป็นผู้มอบหนังสือให้กับ นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อนำไปทบทวน และแก้ไขปัญหาให้กับชาวประมง โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าว มุ่งประเด็นให้ภาครัฐ หารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ เยียวยาชาวประมงพื้นบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก

โดยให้นำแนวทางของการท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบัง มาเป็นโมเดลในการเยียวยาให้กับชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดระยอง ตามสัดส่วนของความเดือดร้อน และระยะเวลาในการดำเนินการของการถมทะเลท่าเรือมาบตาพุด

ทั้งนี้ นายศรีนวน อักษรศรี ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านตากวน ได้กล่าวว่า "การมารวมตัวของชาวประมงในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ทางกลุ่มประมงไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการขัดขวาง หรือประท้วงไม่ให้มีการถมทะเลท่าเรือมาบตาพุดแต่อย่างใด เพียงต้องการให้ภาครัฐหันมาพิจารณา ดูแล เยียวยาให้กับชาวประมงพื้นบ้านระยอง ในกรณีได้รับความเดือดร้อนอย่างมากในวิถีประมงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะให้เปลี่ยนวิถีไปทำอาชีพอื่นคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยปัจจัยหลายประการที่ทางชาวประมงไม่สามารถเปลี่ยนวิถีได้ สุดท้ายเพียงต้องการให้รัฐเข้ามาเยียวยาช่วยเหลือ แบบเดียวกับที่ทางท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการ ให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ชาวประมงก็พอใจแล้ว"


ราชัญ กองทอง ข่าว/ภาพ

ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

'ฉะเชิงเทรา-ภาครัฐ' อืด!! ทำเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงโอด!! ชวดเงิน 18 ล้าน

ภาครัฐทำงานล่าช้า ส่งผลกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงจังหวัดฉะเชิงเทรา ชวดเงินที่รัฐบาลจะใช้ช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินกว่า 18 ล้านบาทเศษ

วันนี้ 29 เม.ย. นายพลูทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร โดยกล่าวถึงปัญหาขั้นตอนในการดำเนินการที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าจนทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์

อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปที่กระทรวงพาณิชย์ใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนเงินที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจาก 27.81 ล้าน ขณะนี้ได้มีจังหวัดอื่นๆ ขอรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอีกหลายจังหวัด ทำให้ส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทราเหลือเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น

ด้านนายประโยชน์ โสรัจจกิจ (อดีตประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา) ประธานกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ซึ่งนำกลุ่มเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ กล่าวว่า ฉะเชิงเทราเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลากะพงมากที่สุดในประเทศ แต่เนื่องจากปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว จึงส่งผลให้ปลากะพงตกค้างในฟาร์มเลี้ยงจำนวนมากและมีราคาตกต่ำ เกษตรกรขาดเงินทุนหมุนเวียน และขาดทุนจำนวนมาก

ทั้งนี้ หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรที่ขอให้ช่วยเหลือ โดยทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และมีการประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติงบประมาณจำนวน 27.81 ล้านบาท มาให้ดำเนินการช่วยเหลือ เพื่อการระบายปลาจำนวน 600 ตัน ภายในกรอบเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2564 แต่เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบภายในจังหวัดดำเนินการไม่ทันตามกรอบเวลาข้างต้น ทำให้งบประมาณถูกเรียกคืนไป

ทางหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา โดย นายประโยชน์ โสรัจจกิจ ประธานหอฯ จึงได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ติดตามโครงการที่ถูกยกเลิก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง

จากนั้นทางผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงปลัดกระทรวงพาณิยย์ และ อธิบดีกรมการค้าภายใน แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2564 นายประโยชน์ โสรัจจกิจ อดีตประธานหอการค้าฯ และประธานเกษตรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงยักษ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุทธิ มะหะเลา พร้อมด้วยเกษตรกรจำนวน 24 คน จึงได้เดินทางไปที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยการประสานงานจาก นายอมรชัย ปิ่นเจริญ เพื่อขอพบท่านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ พร้อมกับเจ้าหน้าที่บริหารของกรมการค้าภายใน เพื่อติดตามเรื่องความช่วยเหลือฯ และในวันที่ 8 เมษายน 2564

โดยสำนักงานปลัดกระทวงพาณิชย์มีหนังสือเรื่อง การเสนอโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงปี 2564 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการโครงการต่อ แต่งบประมาณที่จะนำมาช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 9 ล้านบาท ซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่จะได้งบประมาณในการช่วยเหลือ 27 ล้านบาทเศษ


สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ/ฉะเชิงเทรา

เปิดราคาที่ดินเปล่า ลดลงครั้งแรกรอบ9ปี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยแนวโน้มราคาที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ราคาที่ดินเปล่าปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก และมีสัญญาชะลอตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายต่อเนื่องหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และยังพบว่าความต้องการซื้อขายที่ดินเปล่าที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ซื้อที่ดินสะสมไว้น้อยลง และมีการซื้อที่ดินใหม่มาเก็บไว้รอการพัฒนาในอนาคต

สำหรับ ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 1 มีค่าเท่ากับ 326.2 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 11.2% จากปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 17.7% ต่อไตรมาส  นอกจากนี้เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วยังพบว่าราคาที่ดินปรับตัวลดลง 2.2%  ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกรอบ 9 ปี นับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในปี 55   

ส่วนทำเลที่มีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 1 ปี 64 ส่วนใหญ่ยังเป็นที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑล สาย 4 ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต เป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการปรับดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 38.3% และเส้นทางสายนี้เป็นแนวรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค ที่เปิดให้บริการแล้ว 

‘ทิพยประกันภัย’ ใจป้ำ แจกฟรี ประกันแพ้วัคซีนโควิด 1 ล้านคน เริ่มลงทะเบียน พ.ค. นี้ คุ้มครองหลังฉีด 60 วัน

ทิพยประกันภัย ใจป้ำ! เปิดตัวโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” แจกประกันแพ้วัคซีนฟรี 1 ล้านคน ให้ความคุ้มครองหากเกิดกรณีภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้าน COVID-19

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย เผยว่า ในช่วงที่จะมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ซึ่งก็ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมีความรู้สึกกังวลในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว ซึ่งทิพยประกันภัย มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เปิดโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” มอบประกันแพ้วัคซีน ฟรี จำนวน 1,000,000 สิทธิ์ เพื่อเป็นการคลายความกังวล รวมถึงเป็นการเสริมความมั่นใจให้ประชาชน โดยโครงการนี้จะให้ความคุ้มครอง กับประชาชนหากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จนเกิดอาการโคม่าจากฉีดวัคซีน

ด้านณฐินี ธนะรัชต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล ทิพยประกันภัย กล่าวเสริมว่า สำหรับโครงการดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองหากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จนเกิดอาการโคม่าจากการฉีดวัคซีน ทุนประกัน 100,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครอง 60 วัน นับจากวันที่เริ่มฉีดวัคซีน โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” เพื่อรับความคุ้มครองประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 กับทิพยประกันภัย ได้ผ่านช่องทาง www.Tipinsure.com ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 หรือจนกว่าจะครบ 1,000,000  สิทธิ์ โดยจำกัด 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์เท่านั้น

ดร.สมพร กล่าวว่า ทิพยประกันภัยหวังว่า เมื่อประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค COVID-19  ลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดการแพร่ระบาด ลดจำนวนผู้ป่วยเป็นการแบ่งเบาภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงหากเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วก็จะทำให้เศรษฐกิจต่าง ๆ ดีขึ้น การเดินทาง การท่องเที่ยว การจ้างงาน ก็จะกลับเข้าสู่ปกติ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็จะต้องทำควบคู่ไปกับการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย และเลี่ยงพื้นที่แออัด เพื่อเราทุกคนจะก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ ดร.สมพร ยังยืนยันว่า ทิพยประกันภัย ยังจะเดินหน้าขายประกันภัยโควิดต่อไป แม้จะมีกระแสข่าวว่าบริษัทประกันภัยบางแห่ง จะเลิกขายประกันภัยประเภทนี้ เนื่องจากมีการเรียกร้องสินไหมเข้ามาจำนวนมาก โดยในส่วนของทิพยประกันภัย นับว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่ได้ขายประกันภัยโควิด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30% รวมจำนวนกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วประมาณ 3.7 ล้านกรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยกว่า 2,000 ล้านบาท 

ขณะที่การเรียกร้องสินไหมในปัจจุบันอยู่ประมาณ 100 เคสต่อวัน และเพียงแค่ 4 เดือน พบว่ามีการเรียกร้องสินไหม สูงกว่าปี 2563 อย่างเห็นได้ชัด และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ห่วงใยผู้ประกอบการ ยกระดับให้บริการขออนุมัติ-อนุญาต ออนไลน์ 100% พร้อมประสานทีมแพทย์กรมราชทัณฑ์ เปิดจุดตรวจเชื้อไวรัสโควิด -19 ให้พนักงาน กนอ. ลดความแออัดตรวจหาเชื้อในโรงพยาบาลฯ

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ที่มีการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงมากขึ้น คณะทำงานบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ของ กนอ.ได้ให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ มาตรการในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคทั้งต่อบุคลากร กนอ.และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดย กนอ.ได้ยกระดับความพร้อมในส่วนของการให้บริการออนไลน์กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เน้นให้บริการที่สอดคล้องกับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายและแนวทางของรัฐบาล

ทั้งนี้ ในส่วนของการขออนุมัติ-อนุญาตการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการงานอนุมัติ-อนุญาต (e-Permission & Privilege หรือ e-PP) ด้วยลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ซึ่งครอบคลุมการขออนุญาตใช้ที่ดิน การขออนุญาตการก่อสร้าง การขอรับสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีอากร เช่น การขออนุญาตถือครองที่ดินและกรรมสิทธิ์ที่ดิน การขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าว เป็นต้น

โดยเมื่อ กนอ.พิจารณาอนุมัติคำขอดังกล่าวแล้วระบบจะสร้างใบแจ้งหนี้โดยมีบาร์โค้ดเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถชำระค่าบริการอนุญาต/ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แบบผ่านโมบายล์ แบงกิ้งของธนาคารต่าง ๆ หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้ เมื่อชำระค่าบริการดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์หนังสืออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เอง โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานใหญ่ หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม โดยในหนังสืออนุญาตจะมีลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์และคิวอาร์โค้ด เพื่อให้หน่วยงานอื่นสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยระบบยังสามารถจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice & e-Receipt) ได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังได้ประสานความร่วมมือไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้จัดทีมแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ ณ จุดตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด -19 ที่ กนอ.สำนักงานใหญ่ ในวันที่ 29 เม.ย.2564 เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับพนักงาน กนอ. โดยการเปิดจุดคัดกรองนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และเป็นการแบ่งเบาภาระและลดความแออัดให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นการให้บริการตรวจหาเชื้อโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ได้

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาล กนอ.ได้ให้พนักงานบางส่วนปฏิบัติงานที่บ้าน ทั้งในส่วนของ กนอ.สำนักงานใหญ่ และสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้าและผู้รับบริการ ขณะเดียวกันหากมีพนักงานของ กนอ.ที่มีโอกาสมีความเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิด ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาตามสายงานเป็นผู้พิจารณาให้พนักงานดังกล่าวเข้ารับการตรวจคัดกรองที่สถานพยาบาลรัฐบาล หรือเอกชน พร้อมกับทำการกักตัวที่บ้านพัก พร้อมสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน นับจากวันที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อและได้ใบรับรองก่อนกลับมาทำงานปกติ

“ผมมีความห่วงใยในสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานทุกคน โดยขอให้ป้องกันตนเองตามมาตรการ ที่ กนอ.กำหนดอย่างเคร่งครัดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกันในส่วนของผู้ประกอบการเองขอให้มั่นใจว่า กนอ.จะยังคงให้บริการได้ตามปกติผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่ง กนอ.มีการเตรียมความพร้อมให้บริการเต็มประสิทธิภาพอยู่แล้ว” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการที่มีข้อสอบถามหรือต้องการคำแนะนำการใช้งานของระบบเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยทีม IEAT e-PP Support ผ่านช่องทาง email : [email protected] /Line ID : @IEAT-ePP-Support หรือที่เบอร์โทรศัพท์ 06-3435-2015 , 0-2253-0561 ต่อ 4448

‘สันติ พร้อมพัฒน์’ ปิ๊งไอเดีย เล็งหาที่ราชพัสดุ เสนอครม. ทำบ้านเช่าคนจน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย ล็อคเป้าที่ราชพัสดุ ในสมุทรปราการ 1,000 ไร่ เหมาะทำเป็นโครงการนำร่อง

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมธนารักษ์ เร่งนำที่ราชพัสดุทั่วประเทศมาจัดสรรสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและที่ดินด้านเกษตรกรรม เพื่อช่วยให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัย และที่ทำกินประกอบอาชีพสร้างงาน สร้างรายได้เป็นของตัวเอง โดยสามารถนำมาพัฒนาเป็นที่อยู่ให้เช่าในราคาไม่สูง ซึ่งกรมธนารักษ์จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ของผู้ที่มีสิทธิในการเช่าที่ดิน รวมถึงรายละเอียดของที่ดินราชพัสดุ ที่จะนำมาพัฒนาเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนเสนอให้ที่ประชุมครม. อนุมัติต่อไป

“กรมธนารักษ์ สามารถนำที่ราชพัสดุมาพัฒนาเป็นที่อยู่ให้เช่าในราคาไม่แพง เมื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน มีรายได้ ก็ย่อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วย ที่สำคัญยังช่วยให้กรมธนารักษ์มีรายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม”

ทั้งนี้ ล่าสุดกรมธนารักษ์ได้รวบรวมที่ดินราชพัสดุที่มีศักยภาพ พร้อมพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย และที่ดินทำกิน สร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งในเบื้องต้นมีที่ราชพัสดุแถวจังหวัดสมุทรปราการ 1,000 ไร่ ที่มีศักยภาพนำมาพัฒนาได้ โดยขณะนี้กรมฯ กำลังกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ที่มีสิทธิเช่าที่อยู่อาศัย และที่ดินราชพัสดุสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิมาเช่าที่อยู่อาศัย แต่ไม่ได้อยู่เอง แต่เอาไปปล่อยเช่าต่อ เป็นต้น โดยคาดว่ากลางเดือนพ.ค.นี้ จะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาต่อไป

‘คลัง’ เผย พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาลไทย ได้รับการจดทะเบียนในตลาดหุ้นลักเซมเบิร์ก

วันที่ 29 เมษายน 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลังกล่าวภายหลังพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ได้รับการจดทะเบียนใน Luxembourg Green Exchange (LGX) ของตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2564 โดยมีนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ร่วมด้วย ว่า พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาลไทยได้รับการจดทะเบียนใน LGX ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของผู้ออกพันธบัตร และยังเป็นการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อการลงทุนอย่างยั่งยืนผ่านการเปิดเผยข้อมูลตราสารอย่างครอบคลุมและเป็นมาตรฐานทั้งนี้ การจดทะเบียนพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนใน LGX อยู่ในรูปแบบของ LuxSE Security Official List (LuxSE SOL) ซึ่งเป็นการนำเอาตราสารไปขึ้นทะเบียนไว้ในตลาดหลักทรัพย์โดยไม่มีการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนตราสาร

“ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติและการแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ เป็นจำนวน 100,000 ล้านบาท ในรุ่น ESGLB35DA เพื่อสนับสนุนโครงการขนส่งพลังงานสะอาดในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันออก และโครงการที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19” นายอาคม กล่าว

สำหรับ การขอจดทะเบียนพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนใน LGX ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และธนาคารผู้จัดจำหน่าย เพื่อช่วยผลักดันการระดมทุนเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลให้ออกไปสู่สากลและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนให้มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดีLGX เป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับตราสารเพื่อความอย่างยั่งยืน (Sustainable Securities) ชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนพันธบัตรสีเขียวที่มีการออกในโลกมากกว่า50% ขึ้นทะเบียนอยู่

พอยิ้มออก! หลังดัชนีอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นรอบ 29 เดือน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว โยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. 2564 อยู่ที่ระดับ 107.73 เพิ่มขึ้น 4.12%  ขยายตัวสูงสุดในรอบ 29 เดือน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มภาคการผลิตของประเทศเติบโตตามเศรษฐกิจของโลกที่ดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ และกลุ่มแพร่ระบาดไม่ได้อยู่ในกลุ่มแรงงานโรงงาน 

“ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลยังคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการเราชนะ เรารักกัน คนละครึ่งเฟส 3 และประเทศไทยเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้ประชาชนและมีแผนบริหารจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2564 ทำให้ความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิตและการบริโภคดีขึ้น”

ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิต พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้ผลิตและผู้บริโภค ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำและรายการพิเศษเดือนมี.ค. 2564 ขยายตัว 25.77% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นการขยายตัวระดับ 2 หลักในรอบ 31 เดือน ซึ่งจากการกลับมาขยายตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมนี้ ทำให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวที่ 0.25%

รมว.เกษตรฯ พอใจผลงานขายทุเรียนไปจีนด้วยแพลตฟอร์มใหม่ ผ่านระบบสั่งซื้อล่วงหน้าล็อตแรกสำเร็จ ย้ำนโยบายคุณภาพสำคัญสุด ด้าน ‘อลงกรณ์’ เผยสื่อจีนเด้งรับแพร่ข่าวกระหึ่มแดนมังกร มอบทูตเกษตรขยายผลบุกทุกมณฑลจีน ตั้งเป้าหมายใหม่ ขาย 20 ตัน ใน 1 ชั่วโมง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (28 เม.ย.) ว่า เครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบินเซินเจิ้นแอร์ไลน์ที่นำทุเรียนเกรดพรีเมี่ยม 20 ตันจากสหกรณ์เมืองขลุง จังหวัดจันทบุรีเดินทางถึงที่สนามบินเซินเจิ้นแล้วเมื่อเช้ามืดวันนี้ โดยผู้ประกอบการจีนได้จัดส่งแบบ Delivery ถึงลูกค้าซึ่งสั่งซื้อล่วงหน้าทันที

ทั้งนี้ เป็นการส่งออกทุเรียนด้วยการจำหน่ายออนไลน์ระบบสั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-Order) ครั้งแรก โดยลูกค้าจ่ายเงินสั่งจองผ่านระบบออนไลน์มาก่อน ซึ่งล็อตแรกจำนวน 20 ตัน ขายหมดภายในไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนี้ จะประสานงานกับทูตเกษตรไทยทั้ง 8 สำนักงานในจีน ช่วยขยายผลรุกตลาดจีนทุกมณฑล

“ได้รายงานผลดำเนินการต่อท่านรัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้แล้ว ท่านพอใจผลงานขายทุเรียนแบรนด์ไทยไปจีนด้วยแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าล็อตแรกสำเร็จและสั่งการให้เน้นเรื่องคุณภาพเป็นนโยบายสำคัญที่สุด”

นายอลงกรณ์ เปิดเผยด้วยว่า ทางสำนักงานทูตเกษตรไทยในจีนรายงานว่าสื่อมวลชนในจีนได้ลงข่าวกันอย่างครึกโครม ซึ่งเป็นการช่วยเผยแพร่ทุเรียนแบรนด์ไทยสู่ตลาด 1,400 ล้านคนแบบชั่วข้ามคืน

นอกจากนี้ได้ประสานกับบริษัท โรยัลฟาร์ม กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ใช้แพลตฟอร์มระบบสั่งซื้อล่วงหน้าเก็บข้อมูลความพึงพอใจของลูกค้าในจีนและพฤติกรรมการบริโภคทุเรียน เช่น นิยมทุเรียนพันธุ์อะไร ขนาดผลเล็กหรือใหญ่ ชอบรสชาติอย่างไร แต่ละมณฑลนิยมทานหวานมากหรือหวานน้อย เป็นต้น

จากข้อมูลการสั่งซื้อเบื้องต้นพบว่า ลูกค้าในเมืองซึ่งเป็นครอบครัวขนาดเล็กจะสั่งทุเรียนผลเล็กทานเสร็จไม่ต้องเก็บรักษา ส่วนลูกค้าชานเมืองซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่นิยมสั่งผลใหญ่รับประทานได้หลายคนโดยจะนำข้อมูลมาเก็บในบิ๊กดาต้าทำการวิเคราะห์เพื่อนำไปพัฒนาการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ตามนโยบายตลาดนำการผลิตของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

“จากการพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทโรยัลฟาร์มกรุ๊ปซึ่งเป็นเจ้าแรกที่เปิดขายระบบสั่งซื้อล่วงหน้าแสดงความมั่นใจว่าในการเปิดจองระบบสั่งซื้อล่วงหน้าในจีนล็อตแรก 20 ตันเกือบ 1 หมื่นลูกจบในเวลาไม่กี่ชั่วโมงและด้วยคุณภาพที่สหกรณ์เมืองขลุงจันทบุรีคัดสรรมาอย่างดีรวมทั้งสื่อจีนขานรับช่วยตีข่าวอย่างกว้างขวางจึงตั้งเป้าว่าล็อตต่อ ๆ ไปจะใช้เวลาขาย 20 ตันในเวลา 1ชั่วโมง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top