Friday, 4 July 2025
ECONBIZ NEWS

กองทุนดีอี BDE ลงพื้นที่อุบลฯ จัดกิจกรรม CSR พัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สร้างสรรค์กำแพงวัดสู่พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเยาวชนรุ่นใหม่

(23 ม.ค. 68) กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) จัดกิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate Social Responsibility: CSR) ภายใต้ชื่องาน “DEF ร่วมสร้างกำแพงความรู้สู่ชุมชน” ณ วัดสวนสวรรค์ ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาววรรณศิริ พัวศิริ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (BDE) และดร. ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน  และประชาชนในพื้นที่ ร่วมในพิธีเปิดงาน

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการ ดีอี กล่าวว่า กองทุนดีอีเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ BDE ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดสรรเงินทุนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุนสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากำไร พร้อมกันนี้ในส่วนของบทบาทของการสร้างประโยชน์ต่อสังคม ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่กองทุนฯ ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

สำหรับการดำเนินกิจกรรม ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทุนฯ ในการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีความรับผิดชอบ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคม การจัดกิจกรรมในวันนี้จึงถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจของกองทุนฯ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกพร้อมทั้งสร้างคุณค่าแก่ชุมชนและสังคมในระยะยาว

“ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ รวมถึงอาสาสมัครทุกคนที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนจนกิจกรรมครั้งนี้  เกิดขึ้นได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมในวันนี้จะสร้างประโยชน์และแรงบันดาลใจให้แก่ทุกท่าน ช่วยสานต่อเป้าหมายของกองทุนฯ ในการขับเคลื่อนที่ประเทศไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีความยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” 

และร่วมมอบสิ่งของจำเป็นทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่วัดสวนสวรรค์ ซึ่งคาดหวังว่ากิจกรรมทั้งหมดนี้จะสร้างประโยชน์ในเชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับชุมชนในพื้นที่แห่งนี้

รร.ไอแอท รีเจนซี่ ชวนดื่มด่ำกับผลงานศิลปินระดับโลก ‘มาริโอ อวาติ’ จากคอลเล็กชันส่วนตัวของ ‘มิเชล โบบอต’ อดีตทูตประจำยูเนสโก

กลับมาอีกครั้งกับประสบการณ์ศิลปะระดับโลก “มาริโอ อวาติ” กับนิทรรศการ “Mario Avati : Peaceful Beauty” ที่จะชวนสัมผัสการเดินทางสู่โลกแห่งความสงบและความงาม ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท 

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ได้จัดงานเปิดประสบการณ์ศิลปะระดับโลกอีกครั้งกับนิทรรศการ "Mario Avati: Peaceful Beauty" นำเสนอผลงานต้นฉบับอันทรงคุณค่าของศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อดัง มาริโอ อวาติ(Mario Avati) จากคอลเล็กชันส่วนตัวของท่านทูตมิเชล โบบอต (Ambassador Michel Bohbot) อดีตนักการทูตประจำองค์การยูเนสโกและนักสะสมชาวฝรั่งเศส นับเป็นนิทรรศการครั้งที่สามที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมกับท่านทูตโบบอต เพื่อส่งเสริมวงการ ศิลปะและสร้างพื้นที่แสดงผลงานอันทรงคุณค่า นิทรรศการแห่งนี้จึงมอบประสบการณ์ทางศิลปะที่ลึกซึ้งและใกล้ชิดกับผลงานต้นฉบับของ ศิลปินอย่างไม่เคยมีมาก่อน

มาริโอ อวาติ ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นที่รู้จักในฐานะปรมาจารย์ด้านเทคนิคเมซโซทินท์ (Mezzotint) เทคนิคการพิมพ์ภาพในกลุ่มภาพพิมพ์ลึก (Intaglio) ที่มีจุดเด่นคือการสร้างแสงและเงาอย่างละเอียด ทำให้ได้ภาพที่มีความนุ่มนวลและสมจริง ซึ่งเขาได้นำเทคนิคนี้มาพัฒนาให้โดดเด่นยิ่งขึ้นผ่านการเพิ่มสีสันและอารมณ์ลึกซึ้ง ผลงานของอวาติมีเอกลักษณ์ในการเปลี่ยนวัตถุธรรมดา เช่น ผลไม้ หรือสัตว์ ให้กลายเป็นศิลปะที่ทรงคุณค่าผ่านการใช้แสง เงา และรูปทรงที่งดงาม ผลงานของเขาจึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น ในฐานะศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความสงบ ความงาม และการครุ่นคิดผ่านมุมมองที่ลึกซึ้ง อย่างมีเอกลักษณ์ 

นิทรรศการ Mario Avati : Peaceful Beauty แห่งนี้จึงจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงศิลปินผู้ล่วงลับ ผ่านการนำผลงานศิลปะของอวาติมาจัดแสดง ไม่ว่าจะเป็น ผลงานภาพพิมพ์ ภาพวาด งานแกะสลัก รูปปั้น จดหมาย และหนังสือชีวประวัติและผลงานของเขา โดยผลงานทุกชิ้นเป็น ผลงานต้นฉบับจริงจากคอลเลกชันสะสมส่วนตัวของท่านทูตมิเชล โบบอต นักสะสมชาวฝรั่งเศสผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ผลงานของ Avati และเป็นเพื่อนสนิทของศิลปินมายาวนานกว่า 45 ปีผลงานบางชิ้นที่นำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการจึงเป็นผลงานที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับมอบให้เพื่อนสนิทเป็นที่ระลึก มีเพียงชิ้นเดียว และไม่สามารถหาดูที่ไหนได้ สะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพและความไว้วางใจอันลึกซึ้ง ระหว่างทั้งสอง 

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นำผลงานอันทรงคุณค่าของศิลปิน มาริโอ อวาติมาจัดแสดง ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ผลงานของเขาน าเสนอมุมมองอันละเอียดอ่อน เชื้อเชิญผู้ชมให้ดื่มด่ำกับจักรวาลแห่งบทกวีภาพอันงดงามและบริสุทธิ์ ซึ่งถ่ายทอดความงาม จากสิ่งธรรมดาในชีวิตประจำวัน ด้วยการเล่นแสงเงา สีสัน รูปทรง และการเคลื่อนไหวอย่างประณีต จนกลายเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า เหนือกาลเวลา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานเหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจและนำความสงบสุขมาสู่ผู้ชมทุกท่านที่ได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชม” กล่าวโดยท่านทูตมิเชล โบบอต เจ้าของคอลเลกชันที่ถูกน ามาจัดแสดงในครั้งนี้ 

แซมมี่ คาโรลุส ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ยังได้กล่าวความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการในครั้ง นี้ว่า “ทางโรงแรมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งและขอขอบพระคุณท่านทูต มิเชล โบบอต อย่างสุดซึ้งอีกครั้งที่เลือกโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท เป็นสถานที่จัดนิทรรศการสุดพิเศษนี้ ด้วยความมุ่งมั่นในการสนับสนุนงานศิลปะและการแบ่งปันผลงานระดับโลก นิทรรศการครั้งนี้ไม่เพียงเป็นเฉลิมฉลองผลงานของศิลปิน มาริโอ อวาติแต่ยังสะท้อนผลกระทบอันยั่งยืนที่เขามีต่อโลกศิลปะและภาพพิมพ์” สำหรับท่านที่สนใจมาร่วมสัมผัสผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าจากศิลปินระดับโลก สามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2568 บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่กรุงเทพฯ สุขุมวิท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

สาหรับผู้ที่สนใจมาร่วมสัมผัสผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าจากศิลปินระดับโลก สามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2568 บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่กรุงเทพฯ สุขุมวิท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

‘ดร.หิมาลัย’ แจงปม ‘พีระพันธุ์’ เร่งลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ หวังดึงนักลงทุนกลับไทย ย้ำ! ลดค่าไฟต่ำกว่า 4 บาท คิดไว้อยู่แล้ว

เร่งเดินหน้าเพื่อเศรษฐกิจไทย ‘หิมาลัย’ แจงปม ‘พีระพันธุ์’ เร่งลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ เหตุหวังดึงนักลงทุนกลับไทย 

เมื่อวันที่ (22 ม.ค. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอธิบายถึงสาเหตุที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังเร่งดำเนินนโยบาย “รื้อ ลด ปลด สร้างพลังงานไทย” โดยเฉพาะการลดราคาด้านพลังงานลงหลายประเภท ทั้งราคาน้ำมันและค่าไฟว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าการพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ คือ สิ่งสำคัญของประเทศไทยในทุกวันนี้ เพราะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่ทุกวันนี้นักลงทุนต่างชาติกลับถอนตัวการลงทุนในไทยออกไป ทั้งที่ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของไทยก็มีความเพียบพร้อมและตอบโจทย์ โดยสาเหตุสำคัญเกิดจาก 2 ประการหลัก ๆ ประกอบด้วย

ประการแรก คือ เรื่องต้นทุนการขนส่ง ที่การขนส่งมีต้นทุนหลัก ๆ คือน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินของไทยอยู่ที่ประมาณลิตรละ 40.35 บาท แตกต่างจากเวียดนามและมาเลเซีย ที่ราคาอยู่ที่ลิตรละ 36.42 บาท และ 15.31 บาท ตามลำดับ ส่วนน้ำมันดีเซลของไทยอยู่ที่ลิตรละประมาณ 30.94 บาท ส่วนเวียดนามและมาเลเซีย ราคาอยู่ที่ลิตรละประมาณ 30.28 บาท และ 16.69 บาท ตามลำดับ เช่นนี้จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันในไทยแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อันเป็นเหตุให้นักลงทุนถอนการลงทุนในไทยแล้วย้ายไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน

ประการต่อมา คือ เรื่องค่าไฟ ค่าไฟในไทยช่วงปลายปี 67 ราคาหน่วยละ 4.18 บาท ส่วนช่วงระหว่างม.ค.- เม.ย. 68 ราคาหน่วยละ 4.15 บาทซึ่งแพงกว่าเวียดนามและมาเลเซียที่ค่าไฟอยู่ที่หน่วยละ 3.57 บาท และ 1.80 บาท ปัจจัยนี้ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก

ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้นายพีระพันธุ์ เร่งรื้อโครงสร้างราคาน้ำมันควบคู่ไปกับการลดราคาน้ำมัน และหาทางลดค่าไฟฟ้าในไทยลง โดยหวังลดค่าไฟให้เหลือต่ำกว่าหน่วยละ 4 บาท เพื่อหวังดึงนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทยให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งตนเองก็ขอบคุณรัฐบาลที่สนับสนุนแนวคิดของนายพีระพันธุ์ ด้วย

ดร.หิมาลัย ระบุด้วยว่า นายพีระพันธุ์ เคยย้ำว่า การเข้ามาทำงานในฐานะฝ่ายบริหาร ในตำแหน่งรัฐมนตรี จะต้องทำงานทุกวินาทีให้ดีที่สุด

“นายพีระพันธุ์ เคยบอกว่า ได้เข้ามาทำงานเพื่อประเทศแล้วต้องพยายามทำงานให้เต็มที่ ทำงานทุกวินาที ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก” ดร.หิมาลัย ระบุ

กกพ. แจงเสร็จสิ้นหน้าที่รับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 แล้ว พร้อมเห็นชอบตาม กพช. เบรกลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

(22 ม.ค. 68) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เห็นควรปฏิบัติตามมติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เบรกทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 แม้จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 72 ราย รวม 2,145.40 เมกะวัตต์ ไปแล้วก็ตาม พร้อมแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ว่าได้ปฏิบัติการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ตามหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้ 3 การไฟฟ้าต้องรอนโยบายภาครัฐสั่งการลงนามสัญญา PPA ถึงจะเดินหน้าต่อได้  

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกรณีเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2567 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ชะลอโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 หรือ “โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565 – 2573” ปริมาณรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาด้านข้อกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของ กพช. รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช. พิจารณาแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ กกพ. และ 3 การไฟฟ้า ทราบมติ กพช. ต่อไป

โดยล่าสุดทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประชุมพิจารณาเห็นควรให้ปฏิบัติตามมติ กพช. โดยให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการฯ กับการไฟฟ้าออกไปก่อนจนกว่าทางภาครัฐจะสั่งการลงมาใหม่

อย่างไรก็ตาม กกพ. ได้แจ้งไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการ กพช. ว่า ทาง กกพ. ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 เสร็จสิ้นกระบวนการตาม มติ กพช. ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนกระบวนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เป็นกระบวนการที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.),การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะไปดำเนินการต่อตามมติ กพช. และนโยบายภาครัฐต่อไป

สำหรับการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์ ได้แบ่งเป็น รอบรับซื้อไฟฟ้า 2,180 เมกะวัตต์ สำหรับผู้ที่ผ่านคุณสมบัติการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวแล้ว แต่ไม่ผ่านเข้าร่วมโครงการในรอบแรก ซึ่งจะได้รับการพิจารณาก่อน (ในส่วนนี้กระทรวงพลังงานให้ชะลอไว้ก่อน เพื่อทำการตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย) ส่วนรอบรับซื้อไฟฟ้าที่เหลืออีก 1,488.5 เมกะวัตต์ ขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศเปิดรับซื้อไฟฟ้าในส่วนนี้แต่อย่างใด

ทั้งนี้ย้อนไปในวันที่ 25 พ.ย. 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาแถลงข่าวถึงการให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 ว่า กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบด้านกฎหมายในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ เนื่องจากตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมา ได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวรอบแรกประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ ไปแล้ว แต่ต่อมาพบว่ายังมีผู้ผลิตที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีกหลายราย จึงทำการเปิดรับซื้อรอบ 2 ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาบริหารงาน 

ดังนั้นจึงต้องดำเนินการตรวจสอบทางกฎหมายก่อนว่า การเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว 2,180 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้เฉพาะกลุ่มผู้ที่ผ่านคุณสมบัติแล้วแต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวในรอบแรก จะได้รับการพิจารณาก่อนนั้น จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่

ต่อมาในวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ยังคงดำเนินการตามมติ กพช. เดิม โดยออกประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วย “การจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567” โดยมีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 72 ราย

โดยแบ่งเป็น 1. ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 8 ราย รวมกำลังผลิต 565.40 เมกะวัตต์  2.ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์  หรือรวมปริมาณทั้งสิ้น 2,145.40 เมกะวัตต์

ดังนั้นล่าสุดเมื่อ 25 ธ.ค. 2567 ที่ กพช. ได้มีมติให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไว้ก่อน จึงส่งผลให้กระบวนการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 ต้องถูกระงับไว้ก่อนด้วย เพื่อรอการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ต่อไป

‘อินเตอร์ลิ้งค์’ เปิดบ้านต้อนรับผู้ถือหุ้น – นักลงทุน โชว์ศักยภาพบริษัทพร้อมเจาะลึกแผนกลยุทธ์ทุกกลุ่มธุรกิจ

เมื่อวันที่ (21-22 ม.ค. 68) นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK พร้อมด้วยทีมผู้บริหารระดับสูง เปิดบ้านจัดกิจกรรม 'INTERLINK Communication Company Visit and Analyst Meeting' ให้การต้อนรับผู้ถือหุ้น นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ร่วมรับฟังการนำเสนอภาพรวมผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา โดยเน้นถึงความสำเร็จที่โดดเด่นในด้านการเติบโตของรายได้ การขยายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม และการพัฒนาถึงนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล รวมถึงให้ข้อมูลอย่างเด่นชัดถึงการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพที่ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และมีกำไรอย่างมีเสถียรภาพในทุกมิติ 

พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดโอกาสให้เยี่ยมชม ศูนย์กระจายสินค้า (R&D Center) ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ พร้อมรับชมระบบ Logistics และห้องปฏิบัติการวิจัย และพัฒนา ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่บนถนนกาญจนาภิเษก แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ ศูนย์แห่งนี้ถือเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลักขนาดใหญ่ ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Center) ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมทั่วประเทศ มาพร้อมบริการพิเศษ "คุณสั่ง เราส่ง" พร้อมจัดส่งฟรีทั่วไทย หนุนเสริมศักยภาพการกระจายสินค้าด้วยความรวดเร็ว และแม่นยำ ซึ่งรองรับลูกค้าทั่วประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

โดยทุกท่านยังได้เยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการทดลอง (LAB) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัย และพัฒนาด้านโครงข่ายสายสัญญาณ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยศูนย์แห่งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาโซลูชันให้ครอบคลุมครบทุกวงจร และมีคุณภาพสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้พาเข้าไปเยี่ยมชม ศูนย์สำรองข้อมูล อินเตอร์ลิ้งค์ ดาต้า เซ็นเตอร์ (Interlink Data Center) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) โดยบริษัทฯ ได้นำจุดเด่นจากการมีโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทยมาใช้เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ สำหรับศูนย์สำรองข้อมูลแห่งนี้ ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีระบบความปลอดภัยที่รัดกุมตามมาตรฐาน Tier 3 Standard โดยบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับผู้ออกแบบศูนย์ข้อมูลที่มีประสบการณ์สูง พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเป็นที่ปรึกษา เพื่อดูแลให้ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้เหมาะสมกับการใช้งานอย่างสูงสุด นับว่า Interlink Data Center ไม่เพียงแค่เป็นศูนย์สำรองข้อมูลฯ ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับความต้องการด้านเทคโนโลยีขององค์กรต่าง ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ

โดยงานนี้ เป็นเวทีครั้งสำคัญที่บริษัทฯ ตั้งใจจะนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานในปี 2567 ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ซักถามข้อมูลเชิงลึก พร้อมทั้งยังได้มีการร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคณะผู้บริหารในประเด็นสำคัญ เช่น ความท้าทายทางธุรกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรม และโอกาสในการเติบโตในอนาคต รวมถึงมีการเปิดเผยแนวโน้มกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 อย่างละเอียด เพื่อตอกย้ำถึงความพร้อมของทั้ง 3 ธุรกิจ ในการเดินหน้าพัฒนาให้สอดรับครอบคลุมทุกมิติอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว เป็นการสะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของบริษัทฯ ที่ไม่หยุดยั้งในการพัฒนาศักยภาพอย่างมีคุณภาพ ทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงจุดยืนที่แข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เติบโต ต่อเนื่อง อย่างยั่งยืน” ที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาตลอดระยะเวลากว่า 38 ปี สำหรับแผนกลยุทธ์แห่งปี 2568 นี้ ILINK ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรตามวิสัยทัศน์ สู่การเป็นผู้นำด้านระบบโครงข่ายสายสัญญาณและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) จะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งยกระดับการให้บริการแบบครบโซลูชันของระบบโครงข่ายพื้นฐานอย่างครบวงจร โดยมี การวางเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการในยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย ภายใต้แนวคิด “NEW INNOVATION” และ“NEXT INNOVATION” ร่วมกับตอกย้ำแบรนด์ LINK AMERICAN CABLING ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับโซลูชันที่ครบวงจร จากสินค้า และอุปกรณ์ LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE นอกจากนี้ ในปี 2568 ยังถือเป็นปีแห่งการต้อนรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลเชิงบวก เพื่อทุกธุรกิจจะสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตแบบทวีคูณ พร้อมกับขยายฐานลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งต่อไปในอนาคต เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น ลูกค้า และพันธมิตรทุกภาคส่วนอีกด้วย

“จากความสำเร็จที่โดดเด่นของทั้ง 3 ธุรกิจ ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนั้น มาจากการขับเคลื่อนธุรกิจทุกกลุ่มในเครืออย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถสร้างยอดขาย และทำกำไรเติบโตได้ในทุกไตรมาสเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดีเสมอมา เป็นผลมาจากการตั้งใจ และศักยภาพที่มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง ให้สอดรับกับความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงส่งผลสร้างรายได้มูลค่าเพิ่มให้กับทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ จนสามารถครองตลาดในด้านเทคโนโลยี ขึ้นแท่นเป็นผู้นำอันดับ 1 ที่กล้าการันตีมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ ทั้ง 3 ธุรกิจ ยังมีการเตรียมความพร้อมที่ดี เพื่อสามารถดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่ได้กำหนดแบบแผนไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว และยังถือเป็นโอกาสอันดี ในการพบปะ เพื่อเป็นพันธมิตรที่ดีร่วมกันในอนาคต ต่อยอดให้องค์กรได้ก้าวไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และมั่นคงในปี 2568 อย่างยั่งยืนแบบมีคุณภาพต่อไป" นายสมบัติ กล่าวเสริมตอนท้าย

'ทงคัตสึ อาโอกิ' เปิดเดือนเดียวรายได้ทะเลุเป้า บมจ.มากุโระ ทุ่ม 60 ล้าน ขยายเพิ่ม 5 สาขา

(22 ม.ค. 68) นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเปิดตัวแบรนด์ “ทงคัตสึ อาโอกิ” ร้านหมูทอดทงคัตสึพรีเมียมสัญชาติญี่ปุ่นแท้ที่เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมาเป็นสาขาแรก ประสบความสำเร็จเกินความคาดมีลูกค้าเข้าคิวรอรับประทานอาหารอย่างล้นทุกวัน คิวจองออนไลน์เต็มตลอด ส่งผลให้รายได้ทะลุเป้า รายได้ต่อบิลสูงกว่าคาดถึง 50%

ร้าน ทงคัตสึ อาโอกิ เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูง จนติดอันดับ Tabelog’s top 100 ร้านทงคัตสึ ด้วยคะแนนสูงถึง 3.8 คะแนน และได้รับการการันตี ความอร่อยด้วยคะแนน 4 ดาว จาก Tripadvisor โดยมีจุดเด่นในการคัดสรรเนื้อหมูชั้นเลิศ และแป้งทอด สูตรพิเศษ ที่ให้ความบาง เบา และกรอบ พร้อมกรรมวิธีการทอดที่พิถีพิถันตามต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ รวมถึงการสร้างประสบการณ์การรับ ประทาน แบบใหม่ด้วยเกลือ 3 ชนิดที่เป็นเอกลักษณ์

“เราปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขยายธุรกิจ โดยการเร่งดำเนินการเพิ่มเป็น 5 สาขา ภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ในกลางเมือง กรุงเทพ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่มีอย่างมหาศาลจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย และนอกจากนั้นเรายังมี แผนงานที่จะพัฒนาคุณภาพและการบริการของ Tonkatsu AOKI ให้ยกระดับขึ้นไปได้อีกในระยะถัดไปอันใกล้ นี้ ซึ่งอยู่ในแผนอยู่แล้ว เช่น การเพิ่มเมนูใหม่ และ พัฒนาคุณภาพของวัตถุดิบหลายชนิด” นายจักรกฤติ กล่าว

ด้านนายธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด MAGURO กล่าวว่า ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดของร้านหมูทอดทงคัตสึ อาโอกิ ร้านดังจาก ประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯ จึงเตรียมแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาในครึ่งปีแรกของปี 2568 ในศูนย์การค้าชั้นนำ อาทิเช่น One Bangkok, Velaa Sindhorn Village Langsuan, Ekkamai Corner, เซ็นทรัล พระราม 2 ด้วยงบลงทุนทั้ง 5 สาขา 60 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วย โปรโมชันต่างๆ ตามแบบฉบับปรัชญา MAGURO “Give More” ให้มากกว่าที่ขอ โดย MAGURO ได้รับสิทธิ์ แต่เพียงผู้เดียวในการเปิดร้านทงคัตสึ อาโอกิ ในประเทศไทย

“หลังจากเปิดร้านทงคัตสึ อาโอกิเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม จนสร้างปรากฎการณ์จองคิวจนคิวเต็ม ส่วนลูกค้าที่ Walk-in ก็ต่อคิวยาวหลายชั่วโมง จึงทำให้เราเดินหน้า ขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีแรก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าร้านทงคัตสึ อาโอกิ โดยจะขยายสาขาในศูนย์การค้าชั้นนำ อีกทั้งยังได้จัดโปรโมชันพิเศษต่างๆ แบบโดนใจสาวก MAGURO” นายธีรภพ กล่าว

นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO ได้กล่าวเสริมว่า ด้านแบรนด์ CouCou (คุคูว์) ร้านอาหารตะวันตกรูปแบบใหม่ สไตล์ All-Day Dining ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้า พรีเมียม และ พรีเมียมแมส ที่โครงการ The Flavorhood เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เปิดตัวในช่วงปลายเดือนธ.ค. 2567 ก็ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายเช่นเดียวกัน ด้วยการจองออนไลน์ที่เต็มทุกรอบ

‘เอกนัฏ’ ถก สภาธุรกิจไทย-จีน ร่วมพัฒนาอุตฯ เป้าหมาย เล็งผุดนิคมอุตฯคู่แฝดนำร่อง ระยอง-มณฑลอานฮุย

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ หารือ สภาธุรกิจไทย-จีน พัฒนาอุตฯ เป้าหมาย ดันไทยขึ้นชั้นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของโลก เตรียมผุดนิคมอุตสาหกรรมคู่แฝดนำร่อง ระยอง-มณฑลอานฮุย 

เมื่อวันที่ (20 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายเริน หงปิน ประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นำคณะผู้บริหาร สภาธุรกิจไทย-จีน (TCBC) และสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CCPIT) เข้าพบเพื่อหารือแลกเปลี่ยนแนวทางด้านการค้าและการลงทุน โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมดอกรัก ชั้น 6 อาคารกรมดิษฐ์

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าวว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมีศักยภาพในการผลิต รวมถึงการวิจัยและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำของจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จำนวน 7 บริษัท ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมสำคัญทั่วประเทศ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก เพื่อให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย จึงมีกิจกรรมความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย อาทิ 1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบายและห่วงโซ่อุปทาน 2) การพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม 3) การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญ 4) กิจกรรมเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างภาคเอกชน ในสาขายานยนต์ไฟฟ้า พลังงานใหม่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG

ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับ CCPIT ทั้งมิติด้านการค้า การลงทุน การยกระดับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี โดยฝ่ายจีนเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมคู่แฝดระหว่าง นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ทพาร์ค จังหวัดระยอง ร่วมกับมณฑลอานฮุย เพื่อเป็นนิคมอุตสาหกรรมคู่แฝดนำร่อง โดยจะได้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในนิคมฯ ให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ครบวงจร (Complex) รวมทั้งเสนอให้มีการจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติ และโครงการพัฒนาบุคลากรด้านอาชีวศึกษารองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยมีสถาบันไทย-เยอรมัน เป็นต้นแบบ ซึ่งให้บริษัทในนิคมอุตสาหกรรมมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อให้ผู้จบการศึกษามีคุณสมบัติตรงตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการและสามารถเข้าทำงานได้ทันที ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เป็นประธาน MOU โครงการความร่วมมือไทย-จีน 'Two Countries, Twin Parks' ระหว่าง กนอ. และกรมพาณิชย์ มณฑลอานฮุย สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี ผู้ว่าการ กนอ. และนายหยาง เปิ่นชิง รองอธิบดีกรมพาณิชย์ มณฑลอานฮุย เป็นผู้ลงนาม

บางกอกเคเบิ้ล จับมือ HiTHIUM รุกระบบกักเก็บพลังงาน เดินหน้าลุยประมูลงานเมกะโปรเจกต์รัฐ - เอกชน

(21 ม.ค.68) 'บางกอกเคเบิ้ล' จับมือ 'HiTHIUM' ท็อป 5 โลกด้านระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BESS ผนึกกำลังสายไฟฟ้าคุณภาพและ BESS ที่ผ่าน R&D เข้มข้น สู่โซลูชั่นด้านพลังงานครบวงจร ชูวิสัยทัศน์ร่วมเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน สอดรับเทรนด์โลก วางแผนเดินหน้าประมูลงานและเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชนไทย ทั้งกลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค-กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม-กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมร่วมชิงเค้กงานระดับภูมิภาคจาก ASEAN Power Grid เปิดช่องหาพันธมิตรร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ HiTHIUM บริษัทชั้นนำระดับท็อปของโลกด้านระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems หรือ BESS) ณ สำนักงานใหญ่ของ HiTHIUM เมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีน เพื่อผสานความแข็งแกร่งระหว่างสายไฟฟ้าคุณภาพและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นจากทั้ง 2 บริษัท มาเป็นโซลูชั่นด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างครบวงจร รองรับความต้องการของประเทศ

“ทิศทางโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนมากขึ้น BESS คือหัวใจสำคัญของสถานีไฟฟ้า โครงการระดับเมกะโปรเจกต์ที่ใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เราและ HiTHIUM ต่างเป็น 2 บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมพลังงานที่ยั่งยืน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพสูง เพื่อเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด เราเชื่อมั่นว่าการผลึกกำลังกันระหว่างเจ้าตลาดสายไฟของไทย และท็อป 5 ของโลกด้าน BESS จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนได้” นายพงศภัค กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทและ HiTHIUM จะนำเสนอโซลูชั่น รวมถึงเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในไทย ภายใต้ 3 กลุ่มงาน ได้แก่ 1.กลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค ที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน 2.กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่เน้นการขยายการติดตั้งและการจำหน่ายระบบจัดเก็บพลังงาน และ 3.กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใส่ใจพลังงานสะอาดและมุ่งเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานที่ทันสมัย ขณะเดียวกัน จะร่วมกันเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคอย่างโครงการ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งเป็นโครงการสร้างความเชื่อมโยงด้านพลังงาน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานระหว่างประเทศสมาชิก โดยบริษัทและ HiTHIUM ยังคงเปิดกว้างการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

ด้านนายแซม หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย HiTHIUM กล่าวว่า HiTHIUM รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บางกอกเคเบิ้ล ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มุ่งเน้นการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการกักเก็บพลังงานที่ล้ำสมัยของ HiTHIUM โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว

กองทุนน้ำมันฯ กลับมาชดเชยอีกครั้งในรอบ 6 เดือน หวังตรึงดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร หลังราคาน้ำมันโลกพุ่ง

(21 ม.ค.68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งในรอบ 6 เดือน หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้น ต้องชดเชยอยู่ 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อพยุงราคาจำหน่ายปลีกดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ขณะที่เงินกองทุนน้ำมันฯ ยังติดลบรวม -73,545 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการติดลบต่ำสุดในรอบ 2 ปี

รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุดว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ให้กองทุนน้ำมันฯ กลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งที่อัตรา 50 สตางค์ต่อลิตร (ยอดการใช้ดีเซลทั้งประเทศอยู่ที่ 66.66 ล้านลิตรต่อวัน) เนื่องจากราคาน้ำมันโลกผันผวนปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้กองทุนฯ ได้หยุดชดเชยราคาดีเซลมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2567 และเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ มาโดยตลอด และเคยเรียกเก็บเงินสูงสุดที่ 4.20 บาทต่อลิตร ขณะที่มาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สิ้นสุดไปตั้งแต่ 31 ต.ค. 2567 แล้ว ดังนั้นในขณะนี้ กบน. จึงทำหน้าที่พิจารณาราคาดีเซลเอง โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาจำหน่ายปลีกภายในประเทศ

อย่างไรก็ตามการกลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้ง เนื่องจาก กบน. ยังคงพยายามไม่ให้ราคาดีเซลสูงขึ้นเกิน 33 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบัน (20 ม.ค. 2568) ราคาดีเซลขายปลีกอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ทั้งนี้หากไม่ชดเชยราคาดีเซลอาจส่งผลให้ต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกเกิน 33 บาทต่อลิตรได้ เนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น

ล่าสุดราคาน้ำมันโลก ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 80.74 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 77.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 80.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล    

ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.08 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.15 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.23 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.93 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 7.64 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.60 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-20 ม.ค. 2568 อยู่ที่ 2.21 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

ดังนั้น หากค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันสูงเกินควร ทาง กบน. อาจพิจารณากลับมาเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ อีกครั้งก็ได้

สำหรับปัจจุบัน กบน. ได้เรียกเก็บเงินเฉพาะผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน และดีเซลเกรดพรีเมียม ส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียม เรียกเก็บ 1.50 บาทต่อลิตร

ส่วนสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 19 ม.ค. 2568 ปรากฏว่า เงินกองทุนฯ ติดลบลดลงต่อเนื่องเหลือ -73,545 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบน้อยลงเหลือ -26,876 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบเหลือ -46,669 ล้านบาท และยังนับเป็นยอดเงินติดลบต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีอยู่

MASTER บุกอินโดนิเซีย ปักธงรุกตลาด SEA ผนึกพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งระดับภูมิภาค

MASTER เยือนอินโดนิเซีย ขึ้นเวทีแนะนำธุรกิจ ชี้โอกาส และศักยภาพในความร่วมมือ พร้อมอัปเดตแผนรุกตลาดศัลยกรรมความงามผ่านตัวแทน ตั้งเป้ารุกตลาด SEA ร่วมกับ Lumeo Health 

เมื่อวันที่ (16 ม.ค. 68) ที่ผ่านมา ณ ร้าน Huta Pataran เมือง จาการ์ตาประเทศอินโดนิเซีย นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ CEO บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชียในฐานะ Regional Company ยกทัพเยือนอินโดนิเซีย หลังจับมือเป็นพาร์ตเนอร์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อพฤศจิกายน ปี 2024 ณ โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อตอกย้ำการขยายตลาดภูมิภาค เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เดินหน้าขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมเปิดแผนและเป้าหมาย การผลักดันอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ร่วมกับ Lumeo Health โดย Dr.Queencha Chaidy Chief Executive Officer Lumeo Health นำทีมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมร่วมแถลงข่าวตอกย้ำการปักธงรุกตลาดอินโดนิเซียร่วมกัน

“ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อ และความนิยมในหัตถการความงามในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ความต้องการบริการขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินโดนิเซีย ที่มีสัดส่วนประชากรสูงเป็นอันดับต้นของ SEA และมีความสนใจในด้านศัลยกรรมความงาม จาก 35 ล้านบาท(1 million USD) ในปี 2023 มาสู่ 175 ล้านบาท (5 million USD) ในปี2024 ที่ผ่านมามาสเตอร์พีชรับลูกค้าอินโดนิเซียมีสัดส่วนเป็น 38% จากลูกค้าต่างประเทศทั้งหมด

“ต่อจากนี้จะเริ่มเห็น MASTER ก้าวเข้าสู่การเป็น "Regional  Company" โดยจะมีความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแรกสุดที่ผ่านมา MASTER ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ หรือ MOU กับ Lumeo Health ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีความโดดเด่นในฐานะที่ปรึกษาศัลยกรรมความงามและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Dr. Queencha Chaidy กล่าวว่า MASTER ดำเนินธุรกิจด้านศัลยกรรมความงามมาต่ออย่างเนื่อง 12 ปี ด้วยมาตรฐานโรงพยาบาล และการบริการมืออาชีพเป็นเบอร์ต้นของประเทศไทย ทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ดำเนินกิจการในตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET และการันตีด้วยรางวัลด้านการบริหารจัดการ การบริหารด้านการเงิน จริยธรรมองค์กรอย่างต่อเนื่อง

ด้านศักยภาพเกี่ยวกับศัลยกรรมความงาม ของ รพ.มาสเตอร์พีช น่าจับตา เพราะมอบผลลัพธ์ที่น่าชื่นชม พิสูจน์จากการบอกเล่าและส่งต่อรีวิวจากคนดังหลากหลายวงการ รวมถึงข่าวสารการเติบโตด้านการทำธุรกิจและการตลาดอย่างต่อเนื่องจากสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนความเชื่อมั่นใจ ต่อความสถานะความมั่นคง มีมาตรฐาน สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการศัลยกรรมความงามในประเทศไทย และระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างยิ่ง

สำหรับการเติบโตภายในประเทศของ MASTER ถือว่าแข็งแกร่ง โดย MASTER GROUP มีจุดให้บริการมากกว่า 90 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ในทุกภูมิภาค โดยให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งด้านศัลยกรรมความงาม และการแพทย์เฉพาะทาง ถือเป็นจุดแข็งของเราในการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

“จากการเยือนไทยในครั้งก่อน Lumeo Health บรรลุข้อตกลงร่วมกันในฐานะพาร์ตเนอร์ เอเจนซี่ และการเยือนอินโดนิเซียของ MASTER ในครั้งนี้ เพื่อแถลงความร่วมมือ ชี้ภาพสะท้อนโอกาส และศักยภาพในตลาดศัลยกรรมความงาม และขยายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมอัปเดตแผนรุกตลาดศัลยกรรมความงามผ่านตัวแทน

“Lumeo Health มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมทำงานกับ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช และได้รับโอกาสสู่ความร่วมมือด้านตัวแทนขาย รวมถึงการมาเยือนอินโดนิเซีย เพื่อหารือแผนงานในปี 2025 และกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ โดยเชื่อมี่นเป็นอย่างยิ่งว่า แผนงานทุกส่วนที่ได้ทำข้อตกลงเดินหน้าร่วมกัน จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในฐานะมืออาชีพของทั้งสองประเทศ และก้าวสู่การเป็นหนึ่งในระดับภูมิภาค” Dr. Queencha Chaidy กล่าวสรุป

โดยหลังงานแถลงข่าวความร่วมมืออย่างเป็นทางการจบลง Dr.Queencha Chaidy, Mr.Wilson Yanaprasetya และ Mr.Nayoko Wicaksono เป็นเจ้าภาพในการจัดเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำ เพื่อสังสรรค์กระชับสัมพันธ์กับ MASTER โดยในงานร่วมด้วยอินฟลูเอนเซอร์ของไทย ไนท์ - ปิยพงษ์ คำมีสว่าง Mister International Thailand 2023 เฟม - ชุติพงศ์ พุทธรักษ์ Mister International Thailand 2024 Top 15 Mister International 2024 เอิร์ธ - กรประภา พลเขต Miss Universe Roi Et 2023 และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำในแวดวงสังคม และความงามของอินโดนิเซียเข้าร่วมนับร้อย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top