Thursday, 3 July 2025
ECONBIZ NEWS

มอเตอร์เวย์ M9 บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมทุน มูลค่ากว่า 6.4 หมื่นลบ.

มอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันตก M9 บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมทุน แก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ มูลค่ากว่า 64,300 ล้านบาท

เพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' โพสต์ความคืบหน้าการแก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ระบุว่า...

คณะกรรมการ PPP อนุมัติ มอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันตก (M9) บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมลงทุน แก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตก กรุงเทพ มูลค่ากว่า 64,300 ล้านบาท!!!

วันนี้เอาข่าว update มอเตอร์เวย์วงแหวนกาญนาภิเษก ด้านตะวันตก หรือ M9 ซึ่งเป็นการเพิ่มโครงข่ายการเดินทางทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ ให้เต็มโครงข่าย 

จากแต่เดิม ฝั่งตะวันตกเป็นถนนระบบเปิด ซึ่งผ่านมา 230 กว่าปี การพัฒนาถนนระบบเปิดก็ทำให้เมืองโตแบบไม่มืการควบคุม ทำให้จราจรเพิ่มขึ้นมาก!!! จึงต้องมีการยกระดับ เพื่อให้วงแหวนกาญนาภิเษก ทั้งหมดเป็นระบบปิด 

มาทำความเข้าใจ โครงการมอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางบัวทอง-บางขุนเทียนกันก่อน

โครงการนี้เป็นโครงการในการทำมอเตอร์เวย์ระบบปิด รอบกรุงเทพ ซึ่งช่วงนี้จะทำยกระดับบนวงแหวนกาญจนาภิเษก ฝั่งตะวันตก 

***รายละเอียดช่วงบางบัวทอง-บางขุนเทียน...

- ระยะทางรวม 38 กิโลเมตร
- รูปแบบทางวิ่งเป็น ทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ข้างละ 3 ช่องจราจร
- ทางแยกต่างระดับ 4 แห่ง ได้แก่ บางใหญ่, ศรีรัช, บรมราชชนนี และ บางขุนเทียน
- ทางขึ้น-ลง 7 จุด ได้แก่ บางบัวทอง 1, บางใหญ่, นครอินทร์, บรมราชชนนี, พรานนก-พุทธมณฑล, เพชรเกษม และพระราม 2 
- และทางขึ้น อย่างเดียว 2 จุด ได้แก่กัลปพฤกษ์ และเอกชัย

ซึ่งในแบบของ ทางขึ้น-ลง มอเตอร์เวย์ทุกจุด มีจุดกลับรถเพื่อรองรับ และบริการรถด้านล่าง (คล้ายกับทางด่วนบูรพาวิถี ด่านกิ่งแก้ว)

***รายละเอียดเส้นทาง มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางบัวทอง-บางขุนเทียน 

จะเริ่มจาก จุดสิ้นสุดของ มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางปะอิน-บางบัวทอง ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ บนถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก สาย 9 ฝั่งตะวันตก สิ้นสุด ก่อนถึงต่างระดับบางบัวทอง จุดตัดกับถนน 345

โดยในโครงการช่วงนี้จะเป็นการปรับปรุงถนนเดิมให้เป็น มอเตอร์เวย์ และทำเป็นระบบปิดสมบูรณ์ โดย ทำคู่ขนานเพื่อให้บริการกับผู้ใช้ถนนท้องถิ่น และทดแทนถนนเดิม (กำลังสร้างอยู่)

จากจุดเชื่อมต่อ จะทำเป็นทางยกระดับ มุ่งหน้า บนถนนวงแหวนตะวันตก ข้ามต่างระดับบางบัวทอง  มาทางใต้ ผ่าน จุดตัดถนนบางกรวย-ไทรน้อย พร้อมกับทำทางขึ้น-ลง บางบัวทอง 1 มุ่งหน้าทางทิศใต้

จากนั้น จะมุ่งหน้ามาต่อ โดยช่วงนี้พอมาเจอกับโครงสร้างของโครรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริเวณหน้าศูนย์ซ่อมบำรุงคลองบางไผ่ 

ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างทางยกระดับมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟที่อยู่บริเวณเกาะกลางถนน ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการวางเสาทางยกระดับมอเตอร์เวย์ 

ทางยกระดับมอเตอร์เวย์ จะเบนออกไปทางด้านตะวันตกของรถไฟฟ้าสายสีม่วง  เลียบคู่กับ โครงสร้างทางวิ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงไปจนถึงต่างระดับบางใหญ่ 

ตรงนี้จึงจำเป็นต้องมีการเวนคืนด้านข้างฝั่งตะวันตกของทางวิ่งรถไฟฟ้า ตลอดช่วงทับซ้อน ประมาณ 5-20  เมตร ตามความจำเป็นของพื้นที่

บริเวณต่างระดับบางใหญ่ จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญมากของโครงการ ซึ่งจะพัฒนาจากต่างระดับเดิม ระหว่างถนนรัตนาธิเบศร์ และวงแหวนตะวันตก เข้ากับ มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี และมีมอเตอร์เวย์ M9 นี้วิ่งมาบนแนว ถนนวงแหวนอีกที 

โดยจุดนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง มอเตอร์เวย์ สายอีสาน (M6) และ ใต้ (M81) ได้เลย

หลังจากนั้น มุ่งหน้าต่อบนถนนวงแหวนตะวันตก จะมีทางขึ้น-ลง บางใหญ่ มุ่งหลังทางทิศใต้ เพื่อรองรับรถที่มาจากทางถนนรัตนาธิเบศร์ และ ต่อมาอีกช่วงหนึ่ง จะเป็นทางขึ้น-ลง นครอินทร์ มุ่งหน้าทางทิศเหนือ เพื่อรองรับรถจากถนนนครอินทร์ (สะพานพระราม 5)

แล้วต่อมาจะเข้าสู่ต่างระดับศรีรัช ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับทางด่วน ศรีรัช-วงแหวน และถัดมาอีกหน่อยนึง ก็จะเข้าต่างระดับบรมราชชนนี (คู่ขนานลอยฟ้า) 

แล้วมุ่งหน้าลงใต้ต่อ จะเจอ ทางขึ้น-ลง บรมราชชนนี มุ่งหน้าทิศใต้ ,ทางขึ้น-ลง พรานนก-พุทธมณฑล มุ่งหน้าขึ้นเหนือ (รับรถจากถนนเพชรเกษม), ทางขึ้น-ลง เพชรเกษม มุ่งหน้าลงใต้, ทางขึ้น กัลปพฤกษ์, ทางขึ้นเอกชัย, ทางขึ้น-ลงพระราม 2 เชื่อมต่อระดับดินกับถนนพระราม 2 

แล้วสุดท้าย มุ่งหน้าเข้าต่างระดับ บางขุนเทียน ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกต่างระดับที่สำคัญของโครงการ 

โดยจะสามารถเชื่อมต่อกับโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่คือ มอเตอร์เวย์ M9 วงแหวนใต้ (บางขุนเทียน-บางนา), ทางด่วนบนถนนพระราม 2 (พระราม 3-บางขุนเทียน), มอเตอร์เวย์ M82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว)

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของโครงการนี้ คือระบบเก็บค่าผ่านทางแบบใหม่ ซึ่งเป็นแบบใช้กล้องตรวจสอบ และเก็บเงินตามภายหลัง (Open Road Tolling: ORT) หรือทางกรมทางหลวง เรียกว่า M-Flow

ซึ่งการเก็บค่าผ่านทางแบบนี้จะเป็นการเก็บค่าผ่านทางตามการใช้งานภายหลัง โดยการใช้กล้องตรวจจับที่ป้ายทะเบียนรถ คล้ายกับการเก็บค่าใบสั่ง 

มีหลายประเภทใช้แบบนี้เช่น จีน, สิงคโปร์ และสวีเดน ซึ่งจะสามารถพัฒนาไปในการใช้คิดค่าใช้จ่ายในการเข้าออกพื้นที่ชั้นในของเมืองได้ด้วย

แต่ในการทำแบบนี้ ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้ผู้ขับรถเลี่ยงจ่ายค่าผ่านทาง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงขนาดไหน และจะมีปัญหาการหลุดรอดของรถที่สวมทะเบียนปลอมรึเปล่า

แต่การทำด่านแบบ Open Road Tolling จะสามารถลดพื้นที่การก่อสร้างด่านได้มาก และลดปัญหาจราจรติดขัดหน้าด่านได้มหาศาลด้วยเช่นกัน

โครงการนี้วางแผนการลงทุนเป็นรูปแบบ ร่วมทุน (PPP) เพื่อลดการลงทุนของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ

ซึ่งในโครงการนี้จะลงทุนทั้งหมด 65,484 ล้านบาท แบ่งเป็น 

- ค่าการลงทุน 51,601 ล้านบาท
- ค่าซ่อมบำรุง และดำเนินงาน 13,247 ล้านบาท

จากการคาดการณ์ จะมีรถใช้บริการในปีแรก 184,736 คัน/วัน และอีก 30 ปี จะโตไปที่ 273,631 คัน/วัน

***โดยจะมีค่าผ่านทาง...

รถ 4 ล้อ ค่าแรกเข้า 10 บาท และคิดตามระยะทาง 1.5 บาท/กิโลเมตร

จะสามารถจัดเก็บค่าผ่านทางได้ในปีแรก 1,716 ล้านบาท/ปี และอีก 30 ปี จะโตไปที่ 5,206 ล้านบาท/ปี

ซึ่งทั้งหมดพัฒนาตามตามแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ปี 2558 ตามลิ้งค์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/779639645807850/?extid=0&d=n

โดยจะเชื่อมต่อกับ มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางปะอิน-บางบัวทอง ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ใครสนใจลองดูได้จากในลิ้งค์นี้ครับ

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/574731009632049/?extid=0&d=n

ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/579896119115538/?extid=0&d=n

ซึ่งถ้าช่วงนี้เสร็จจะเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ถึง 3 สายคือ...

'จุรินทร์' ตีปีกการค้าชายแดน 10 เดือนปี 65 โต 4.50% ชี้!! ลาวคู่ค้าอันดับหนึ่งไทยแซงหน้ามาเลเซีย

การค้าชายแดน 10 เดือนโต 4.50% อานิสงส์เงินบาทสามารถแข่งขันได้ราคาดี ด่านชายแดนเปิดมากขึ้น ล่าสุดเปิดแล้ว 97 แห่ง ลาวคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยแซงหน้ามาเลเซียที่ติดลบ 21%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การส่งออกชายแดนยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 คิดเป็นมูลค่า 54,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.50% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การส่งออกผ่านแดนปรับตัวลดลงเนื่องจากผู้ส่งออกหันกลับไปขนส่งสินค้าทางเรือและทางอากาศเพิ่มขึ้นจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องดังนั้นการค้าผ่านแดนและการค้าชายแดนมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,450,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +1.74% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 855,839 ล้านบาท ลดลง 0.66% และการนำเข้ามูลค่า 594,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% โดยไทยได้ดุลการค้าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งสิ้น 261,368 ล้านบาท

ส่วนการค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 144,477ล้านบาท ลดลง 2.92% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 81,937 ล้านบาท ลดลง 0.17% และการนำเข้ามูลค่า 62,540 ล้านบาท ลดลง 6.31% โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนตุลาคม 2565 ทั้งสิ้น 19,397 ล้านบาท

ทั้งนี้ไทยการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศ (มาเลเซีย กัมพูชา เมียนมา และสปป.ลาว) ซึ่งเดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่าการค้ารวม 87,297 ล้านบาทนั้น เพิ่มขึ้น 3.59% โดยการส่งออกไป กัมพูชา และ สปป.ลาว ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา และการส่งออกไปเมียนมากลับมาขยายตัวอีกครั้ง ดังนี้...

- สปป.ลาว มูลค่าส่งออก 15,168 ล้านบาท (+43.67%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป, น้ำมันดีเซล และน้ำตาลทราย

- มาเลเซีย มูลค่าส่งออก 14,713 ล้านบาท (-21.72%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, รถยนต์และส่วนประกอบและยางพารา

- เมียนมา มูลค่าส่งออก 11,200 ล้านบาท (+6.16%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล, น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ และเครื่องสำอาง, เครื่องหอมและสบู่

- กัมพูชา มูลค่าส่งออก 13,563 ล้านบาท (+9.49%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ

โดยสรุปแล้ว การค้าชายแดน 10 เดือนโต 4.50% และมี สปป.ลาว เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย

ส่วนการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม (จีน, เวียดนาม สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ) เดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่ารวม 57,180 ล้านบาท ลดลง 11.42% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 27,293 ล้านบาท ลดลง 8.36% และการนำเข้ามูลค่า 29,887 ล้านบาท ลดลง 14.04% โดยการส่งออกผ่านแดนไปเวียดนามยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้...

'เสี่ยเฮ้ง' ส่งแรงงานไปแดนกิมจิเพิ่ม 3 กลุ่ม 15,000 คน ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มโอกาสตลาดงานไทยในต่างแดน

(1 ธ.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงผลการหารือระหว่างนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กับนาย มุน ซึง ฮย็อน (Mr. Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ซึ่งทำให้ไทยได้โควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเกาหลีเพิ่ม

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่าในส่วนของประเด็นแรงงานไทย ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ หากไทยจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศจะเป็นโอกาสยกระดับเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน ทำให้คนไทยมีงานทำ นำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ตลาดแรงงานต่างชาติในสาธารณรัฐเกาหลี นับว่าเป็นตลาดแรงงานที่มีศักยภาพและเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากแรงงานต่างชาติได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเทียบเท่าคนในชาติ รวมทั้งอัตราค่าจ้างแรงงานค่อนข้างสูง ทำให้มีแรงงานไทยจำนวนมาก เดินทางไปทำงาน ซึ่งจากข้อมูลในเดือนกรกฎาคม ปี 2565 มีจำนวนแรงงานไทยสะสมอยู่ในเกาหลีเป็นจำนวนถึง 12,950 คน

‘รมว.สุชาติ’ ส่ง ผู้ช่วยฯ เปิดประชุมวิชาการประกันสังคม เร่งขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานทุกมิติ ‘ฟื้นเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว’ ภาคเหนือ

วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 09.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการจัดงานประชุมวิชาการประกันสังคม 5 ภาค ประจำปี 2565 (ภาคเหนือ) Modernizing SSO 2022 : ก้าวสู่ระบบประกันสังคมที่ทันสมัย พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘นโยบายการพัฒนา และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน’ โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม คุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานช่วยดูแลพี่น้องแรงงาน ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 รวมทั้งนายจ้าง ผู้ประกอบการให้เหมือนคนในครอบครัว พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมเป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือนายจ้าง และผู้ประกันตน ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ โครงการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน โครงการ Factory Sandbox โครงการ ม.33 เรารักกัน โครงการเยียวยานายจ้าง และผู้ประกันตนในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด 29 จังหวัด โครงการเยียวยาผู้ประกันตนกิจการสถานบันเทิง โดยสถานการณ์ปัจจุบันโควิด-19 ได้คลี่คลายลง รัฐบาลมีนโยบายผ่อนคลายมาตรการและเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

โดยทิศทางของธุรกิจท่องเที่ยวและบริการร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก ในจังหวัดเชียงใหม่ และทุกจังหวัด ทางภาคเหนือได้กลับมาคึกคัก ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ส่งผลดีให้พื้นที่เศรษฐกิจและการมีงานทำของกำลังแรงงานในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น ในวันนี้ ผมได้มีโอกาสมาเป็นประธานเปิดประชุมวิชาการประกันสังคม 5 ภาค ปี 2565 เป็นครั้งที่ 3 (ภาคเหนือ) จังหวัดเชียงใหม่ ผมมีความเชื่อมั่นว่าการประชุมวิชาการประกันสังคม และที่จัดต่อๆ ไปอีกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดอุดรธานี และภาคตะวันออก ที่จังหวัดชลบุรี จะเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจความสำคัญของงานประกันสังคมแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนางานประกันสังคม จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การขยายผลด้านสิทธิประโยชน์ให้มีความยั่งยืน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ประกันตน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกันตนให้ได้รับประโยชน์สูงสุดต่อไป

JMART ปิดดีล 1,200 ลบ. ถือหุ้น 30% สุกี้ตี๋น้อย สยายปีกธุรกิจหลัก ปักหมุดธุรกิจอาหารเข้าพอร์ต

ในที่สุด บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ระบุ ก็ปิดดีลใหญ่การเข้าลงทุนและลงนามสัญญาผู้ถือหุ้น ในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ‘สุกี้ ตี๋น้อย’ จำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 1,200 ล้านบาท เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนกับ BNN ครั้งนี้ ถือเป็น Strategic Partner ที่มีศักยภาพการเติบโตในระดับสูง โดยเฉพาะผู้ก่อตั้ง คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจให้เติบโต มีกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่น ตอบโจทย์ผู้บริโภค พร้อมกับ เป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 2-3 ปีจากนี้

ขณะเดียวกัน BNN มีทิศทางผลประกอบการเติบโตในระดับที่ดี จากปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท ทะยานสู่ปี 2564 รายได้ 1,564 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท รวมทั้ง อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 55.80% และซึ่งภายหลังจากการลงทุน BNN จะติดอาวุธเทคโนโลยีจาก JMART Group รวมถึงการ Synergy สร้างการเติบโตแบบ J-Curve ไปด้วยกันกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ท

“เรามองว่า สิ่งที่จะเข้าไปเสริมทาง BNN ได้ทันที คือ การนำหัวใจเรื่องระบบ และมาตรฐาน เตรียมความพร้อมในเรื่องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันมีสุกี้ตี๋น้อยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 42 สาขาเท่านั้น ในปี 2566 จะเริ่มขยายไปต่างจังหวัดตอบรับกระแสเรียกร้อง ตั้งเป้าปีหน้าจะขยายเพิ่มอีกมากกว่า 10 สาขาเป็นอย่างน้อย ด้วยการนำเทคโนโลยี ระบบ CRM และการบริหารจัดการภายในที่ทรงประสิทธิภาพมาใช้ ทำให้มั่นใจว่า BNN จะก้าวสู่การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับความเป็นมืออาชีพที่วันหนึ่งอาจมีมูลค่าบริษัทนับหมื่นล้านบาทได้”

‘บิ๊กตู่’ ลงพื้นที่เชียงราย ชี้ ไม่มาเพราะการเมือง แต่มายืนยันหนุนโครงการต่างๆ ให้กับรบ.ในอนาคต

วันนี้ ไม่ได้มาการเมืองนะ มาทำการบ้าน มายืนยันที่จะสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ต่อไป รวมถึงผลักดันให้ดำเนินการต่อเนื่อง กับรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย

‘บิ๊กป้อม’ เปิดงาน ‘Thailand Smart City Expo 2022’ ดันไทยก้าวสู่ ‘เมืองอัจฉริยะ’ ที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร เปิดงาน ‘Thailand Smart City Expo 2022’ ดันไทยก้าวสู่ ‘เมืองอัจฉริยะ’ พัฒนาเมืองให้น่าอยู่ เติมเต็มคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริม ศก./ท่องเที่ยว ดึงรายได้เข้าประเทศ

เมื่อ (30 พ.ย. 65) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดงาน ‘นิทรรศการไทยแลนด์ เมืองอัจฉริยะ’ ประจำปี พ.ศ. 2565 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมได้กล่าวขอบคุณ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงมหาดไทย, กรุงเทพมหานคร และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ประชาชน สถาบันการศึกษา และพันธมิตรนานาประเทศ ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากเมืองจะได้รับการพัฒนาให้น่าอยู่อาศัย และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศ ได้อีกด้วย พร้อมอวยพรขอให้การจัดงานครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน ต่อไป

เปิดตัว ธ.ค. นี้ !! TESLA Thailand x Siam Paragon โชว์รูมแห่งแรกในไทย พร้อมสถานี Supercharger

(30 พ.ย. 65) autolifethailand เผย ข่าวคราวล่าสุดของ TESLA Official (Thailand) ว่าเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน ต้นเดือน ธันวาคม ที่จะถึงนี้ ที่ห้างสรรพสินค้า Siam Paragon ของ บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด และ น่าจะเป็นโชว์รูมแห่งแรกในประเทศไทย รวมไปถึงมีความเป็นไปได้ว่า จะติดตั้งสถานี Supercharger V3 250 kW ชาร์จไฟ DC Fast Charging ที่นี่อีกด้วย

'เพื่อไทย' ห่วง ส่งออกไทยเริ่มติดลบ ซ้ำเติม เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเมื่อเทียบอาเซียน ชี้ หยุดขึ้นค่าไฟฟ้าและเก็บเงินจากโรงแยกก๊าซตามที่แนะนำ แนะ รับมือปัญหาเศรษฐกิจโลกปีหน้ากระทบไทย

นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางรัก สาทร ปทุมวัน และโฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่าการส่งออกของไทยในเดือนตุลาคมเริ่มติดลบที่ -4.4% เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 9 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าห่วงว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มแผ่ว มีแนวโน้มอาจจะไม่สู้ดีนักในปลายปีนี้ และจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย ทั้งนี้ขอตอกย้ำว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ที่ขยายได้ 4.5% นั้น แม้จะดูเหมือนดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากเพราะในไตรมาส 3 มาเลเซียขยายได้ 14.2% เวียดนาม 13.7% ฟิลิปปินส์ 7.6% อินโดนีเซีย 5.7% แม้ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสิงคโปร์ยังขยายได้ 4.4% และถ้านับ 9 เดือนตั้งแต่ต้นปีไทยขยายได้เพียง 3.1% เท่านั้นซึ่งต่ำกว่าประเทศอาเซียนอื่นเช่นกันตามที่เสนอไว้แล้ว และต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นคืนที่เดิมจากการติดลบ 6.2% ในปี 2563 เพราะปี 2564 ขยายได้เพียง 1.5% ปีนี้ก็น่าจะได้เพียง 3% กว่า ซึ่งยังห่างจากที่เศรษฐกิจไทยที่ตกลงมาพอสมควร ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอื่นในอาเซียนได้ขยายตัวเกินกว่าที่ตกลงมาไปมากแล้ว 

ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นไม่ถึงที่เดิมที่ตกลงมา ซึ่งหมายถึงว่าคนไทยส่วนใหญ่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น แถมรายได้ยังลดลงด้วย ในขณะที่เงินเฟ้อสูงมากหมายถึงค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพพุ่งสูงมาก การที่รัฐบาลได้เลื่อนการขึ้นราคาค่าไฟฟ้าในงวด มกราคม-เมษายน ออกไปก่อน เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และเป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเรียกร้อง เพราะค่าไฟฟ้าได้ขึ้นมาจากหน่วยละ 3.70 บาท มาเป็น 4.72 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมา 28% แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นหน่วยละ 5.37 บาท,  5.70 บาท หรือ 6.03 บาท จะหนักมาก นอกจากนี้การสั่งเก็บเงินจากโรงแยกก๊าซเดือนละ 1,500 ล้านบาท จำนวน 4 เดือน รวม 6,000 ล้านบาท เพื่อมาลดต้นทุนค่าไฟฟ้า ก็เป็นในแนวทางที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอเช่นกัน ซึ่งจะนำมาลดค่าไฟฟ้า หรือลดค่าก๊าซหุงต้ม ก็ทำได้ทั้งสองทาง และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยทำมาแล้วในอดีต และน่าจะพิจารณาเก็บเงินในระยะยาวไม่ใช่เพียง 4 เดือน เพราะจะสามารถช่วยประชาชนได้มาก อีกทั้งก๊าซธรรมชาติที่ขุดได้จากในอ่าวไทยเป็นสมบัติของคนไทยทั้งประเทศ แต่ยังกังวลว่าหลังจากเมษายนปีหน้าแล้ว ค่าไฟฟ้าก็ต้องขึ้นสูงอีกถ้าหากยังไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง จะเป็นแค่การถ่วงเวลาการขึ้นราคาเท่านั้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top