Saturday, 5 July 2025
ECONBIZ NEWS

‘บินไทย’ ผงาด!! ทำรายได้ทะลุ 1.2 หมื่นล้านต่อเดือน หลังปรับต้นทุนการบริหารงานและค่าใช้จ่ายในทุกส่วน

‘การบินไทย’ เผยท่องเที่ยวฟื้นตัวทำรายได้นิวไฮทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ดันกระแสเงินสดในมือพุ่ง 3 หมื่นล้านบาท ชี้ความจำเป็นจัดหาทุนใหม่หวังพ้นสภาพฟื้นฟูกิจการ กลับซื้อขายหลักทรัพย์ก่อนเป้าหมายกำหนดในปี68

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 65 นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปัจจุบัน โดยระบุว่า ขณะนี้ผู้โดยสารของการบินไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวของทั่วโลกที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งปัจจุบันการบินไทยกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางบินราว 70% หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และมีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (เคบิ้นแฟกเตอร์) สูงอยู่ที่ 85%

อย่างไรก็ตาม จากการฟื้นตัวของผู้โดยสารส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานของการบินไทย กลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยปัจจุบันมีความสามารถทำรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีรายได้จากการดำเนินงานราว 1.5 หมื่นล้านบาทต่อเดือน และถือเป็นรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หากเทียบกับช่วงเกิดโควิด-19 ที่การบินไทยมีรายได้ต่ำสุดจากการดำเนินงานเพียง 200 ล้านบาทต่อเดือน

“ตอนนี้รายได้จากการดำเนินงานของเราเป็นนิวไฮในทุกเดือน โดยการบินไทยเริ่มมีกำไรตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 ซึ่งเกิดขึ้นจากการปรับต้นทุนการบริหารงาน ค่าใช้จ่ายในทุกส่วน และยังหารายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อหักลบกับช่วงต้นปี ก่อนการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของการบินไทยในขณะนี้ยังไม่ทำกำไร แต่ถือว่าขาดทุนลดลงอย่างมาก”นายสุวรรธนะ กล่าว

นายสุวรรธนะ กล่าวว่า การฟื้นตัวของผู้โดยสารยังส่งผลให้กระแสเงินสด (แคชโฟว์) ของการบินไทยเพิ่มขึ้นสูงอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเพียงพอในการบริหารจัดการองค์กร ส่งผลให้การบินไทยไม่ได้มีความเร่งด่วนในการจัดหาเพิ่มทุนใหม่ แต่อย่างไรก็ดี เพื่อให้องค์กรยั่งยืนและสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ การบินไทยยังคงต้องดำเนินการจัดหาทุนใหม่จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ตามรายละเอียดที่ยื่นปรับปรุงแผนฟื้นฟูฉบับล่าสุด

สำหรับแผนฟื้นฟูฉบับล่าสุดที่ศาลล้มละลายได้อนุมัติให้การบินไทยปรับปรุงนั้น จะต้องดำเนินการจัดหาทุนใหม่ตามกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุน และการเพิ่มทุน จากเจ้าหนี้เดิมและผู้ถือหุ้นเดิม ในวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2567 ซึ่งลดลงจากแผนฟื้นฟูเดิมที่วางไว้ 5 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันการบินไทยอยู่ระหว่างเตรียมจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เพื่อเข้ามาช่วยดำเนินการในส่วนนี้

PTT-OR แจงทำธุรกิจในเมียนมา ยึดหลักสิทธิมนุษยชนเคร่งครัด ไม่หนุนความรุนแรงในพม่า หลังมีข่าวกองทุนถอนลงทุน

ซีอีโอ PTT-OR แจงข่าวกองทุนถอนลงทุนจากประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ยืนยันดำเนินธุรกิจยึดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ด้าน OR ยันลงทุนคลังปิโตรเลียมในเมียนมาจริง แต่แสดงเจตนารมณ์ให้บริษัทร่วมทุนหยุดการดำเนินงานและไม่ชำระเงินทุนเพิ่มเติมแล้ว

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่มีข่าวระบุว่ามีกองทุนได้ประกาศถอนการลงทุนใน PTT และบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมานั้น บริษัทขอขี้แจงว่า ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทั้งในส่วนที่ ปตท.ดำเนินการเองและลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน

ซึ่งประกอบด้วยมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการกำกับดูแล โดยมีการบูรณาการหลักสิทธิมนุษยชน ครอบคลุมสายโซ่อุปทานของบริษัท ตั้งแต่การตรวจสอบอย่างรอบด้าน การบริหารจัดการ ตลอดจนส่งเสริม ปกป้อง และให้ความเคารพด้านสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ ในการพิจารณาการลงทุนของ ปตท.นั้น ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่มีการบังคับใช้ รวมถึงมีการตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

ปตท.ยึดถือการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมาภายหลังการรัฐประหารปี 2564 โดยสนับสนุนการแก้ไข ปัญหาวิกฤตอย่างสันติและเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมาย แนวปฏิบัติสากลในทุกพื้นที่ปฏิบัติการ

รวมถึงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงกระบวนในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งพลังงานได้อย่างเท่าเทียม ปตท.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะคลี่คลายและกลับคืนสู่สภาวะปกติในเร็ววัน

‘โครงสร้างพื้นฐาน - เขต EEC’ จุดเปลี่ยนประเทศ ดูดนักลงทุนต่างชาติทุ่มเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท

ต้องบอกว่า ปีนี้ประเทศไทยเนื้อหอมมากจริง ๆ เนื่องจากนักลงทุนหลาย ๆ เจ้ากำลังทยอยเข้ามาปักหลักปักธงทำธุรกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็น BYD ที่ได้ลงหลักในเขต EEC ไปแล้ว ที่จะตามมาคือ MG, เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) หรือข่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศซาอุดีอาระเบียที่ก็เล็ง ๆ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเช่นกัน ขอบอกเลยว่าไทยมีเสน่ห์สุด ๆ แถมยังสามารถดูดเงินลงทุนได้มาถึงแสนล้านบาทเลย

แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ นักลงทุนทั้งต่างชาติและจีน ที่เคยลงทุนในจีนนั้นกำลังเตรียมแผนย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อไปลงทุนในประเทศอื่นแทน จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้จีนได้รับฉายาว่า ‘โรงงานของโลก’ เชียวนะ

สำหรับเรื่องนี้ ช่องยูทูบ ‘Property Expert Live’ ของคุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจ โดยสามารถสรุปใจความได้ว่า…

ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมองหาฐานการผลิตนอกประเทศจีน ได้แก่

1. สงครามการค้า หรือ Trade War ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จึงทำให้การลงทุนในจีนแล้วส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั่นมีอุปสรรคในด้านกำแพงภาษี รวมถึงสหรัฐฯ มีนโยบายกีดกันทางด้านเทคโนโลยีและการลงทุนในประเทศจีน จึงเป็นจุดที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกไม่ปลอดภัยหากยังลงทุนในจีนต่อไป ไม่เพียงแต่นักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่นักลงทุนจีนก็มองหาทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน

2. ราคาค่าแรง จากเดิมค่าแรงในจีนถูก จึงเป็ดจุดเด่นดึงดูดนักลงทุน แต่มีเศรษฐกิจขยายใหญ่ขึ้น มีรายได้มากขึ้น ค่าแรงก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย 

3. นโยบาย Zero Covid-19 ที่เข้มงวด

4. นโยบายควบคุมด้านเศรษฐกิจ ที่มีวลีเท่ๆ ว่า ‘มั่งคั่งทั่วกัน’ ทว่านโยบายเหล่านี้ไม่ส่งเสริมด้านการลงทุน จึงทำให้บริษัทต่อชาติที่อยู่ในจีนทยอยปิด และออกมาลงทุนนอกประเทศจีน เช่น Apple ที่ก่อนหน้ามีฐานการผลิตที่จีน แต่ก็ย้ายฐานไปที่เวียดนามและอินเดียแทน รวมถึงบริษัทสัญชาติจีนก็ย้ายออกเช่นกัน

รัฐบาล ปลื้ม 11 เดือน ต่างชาติลงทุนในไทยพุ่ง 74% ส่งสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว สร้างงานกว่า 5 พันตำแหน่ง

โฆษกรัฐบาล โว ต่างชาติเชื่อมั่นลงทุนไทย เพิ่มขึ้นถึง 74% รัฐบาล เร่ง สร้างงานสร้างรายได้ เศรษฐกิจฟื้นตัว

เมื่อวันนี้ (22 ธ.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีเรื่องน่ายินดี ตัวเลขการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ตลอด 11 เดือนของปี 2565 (มกราคม - พฤศจิกายน) มูลค่ารวมกว่า 112,466 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ถึงร้อยละ 74 เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 5,000 คน โดยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ขานรับและดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างแข็งขัน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณบวกต่อเนื่อง ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนชาวต่างชาติ และสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนไทย

นายอนุชา กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2565 กระทรวงพาณิชย์ได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 530 ราย โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 

1) ญี่ปุ่น 137 ราย (ร้อยละ 26) เงินลงทุน 39,000 ล้านบาท 
2) สิงคโปร์ 85 ราย (ร้อยละ 16) เงินลงทุน 11,999 ล้านบาท 
และ 3) สหรัฐอเมริกา 70 ราย (ร้อยละ 13) เงินลงทุน 3,343 ล้านบาท

‘ศักดิ์สยาม’ ตั้งเป้า 3 ปี ไทยเป็นฮับในอาเซียน ถ่ายทอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง

เมื่อไม่นานมานี้ (15 ธ.ค. 65) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ‘ผนึกกำลังพันธมิตรพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาค’ ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส โดยการสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ไม่มีกำหนดกรอบระยะเวลา เป็นการต่อยอดความร่วมมือการผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพบุคลากร เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างสถาบันวิจัยฯ และกลุ่มอุตสาหกรรมระบบรางจากประเทศฝรั่งเศส 5 บริษัท โดยเป็นบริษัทที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ความร่วมมือนี้จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันที่เป็นรูปธรรมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 

1. การสร้างสถาบันพัฒนาบุคลากรระบบราง ที่เป็นกลไกการพัฒนาบุคลากรระบบราง ทั้งระดับช่างเทคนิคทักษะสูง และระดับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยร่วมกับสถาบันและหน่วยงานเครือข่าย เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง

2. การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนฝรั่งเศส และภาคเอกชนไทย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางภายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Thai First ของกระทรวงคมนาคม โดยไม่เพียงแค่ผลิตได้ แต่คาดหวังให้เกิดผู้ประกอบการไทยที่มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

และ 3. การวิจัยและพัฒนาร่วมกัน และถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบรางชั้นแนวหน้าระหว่างกลุ่มธุรกิจระบบรางชั้นนำของฝรั่งเศส และเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย เพื่อส่งเสริม และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การถ่ายทอด และการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภูมิภาคอาเซียนภายใน 2-3 ปีหลังจากนี้

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ดังนั้นเวลานี้ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องรับความรู้ และเทคโนโลยีจากหลากหลายประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งนอกจากจะนำความรู้เพื่อมาใช้ผลิตบุคลากรในการเตรียมรองรับทางคู่ 4,000 กิโลเมตร (กม.) ทั่วประเทศ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทยแล้ว ยังสามารถนำไปถ่ายทอดให้กับประเทศอื่น ๆ เพื่อร่วมพัฒนาระบบขนส่งทางรางในระดับอาเซียนด้วย

ผักในตลาด จ.สงขลา หลายชนิดเริ่มปรับราคา ส่งผลให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดลดน้อยลง และยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้น

วันนี้ (22 ธ.ค. 65) ตลาดผักที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่า เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ขณะนี้ผักหลายชนิดเริ่มปรับราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะผักบุ้งจีนราชบุรี จากเดิม กก.ละ 60 บาท ขึ้นเป็น กก.ละ 90 บาท ถั่วฝักยาว จากเดิมกก.ละ 60 บาทขึ้นเป็น 80 บาท ผักคะน้า จากเดิม กก.ละ 40-50 บาท ขึ้นเป็น 60 บาท ผักกวางตุ้งจากเดิม กก.ละ 40 บาทขึ้นเป็น 50 บาท มะเขือยาวจากเดิมกก.ละ 50 บาท ขึ้นเป็น 80 บาท มะเขือเปราะจากเดิม กก.ละ 50 บาทขึ้นเป็น 60 บาท ส่วนผักชียังคงราคาเดิม กก.ละ 250 บาท ต้นหอมยังคงราคากก.ละ 150 บาทและผักขึ้นฉ่ายยังคงราคา กก.ละ 150 บาท

ททท.จัด 'มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม' สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่

ททท. ปลื้มมหกรรมเที่ยวเมืองไทยAmazing ยิ่งกว่าเดิมคึกคัก เดินหน้าจัดงานมหกรรม เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม@เชียงใหม่ พบกับ กิจกรรมเจรจาธุรกิจใน Business Matching ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายกว่า 130 บริษัททั่วประเทศ ได้แก่ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือองค์กรภาครัฐและเอกชน บริษัทนำเที่ยว โรงเรียนนานาชาติ และกลุ่มผู้จัดงานทั่วประเทศ หวังสร้างโอกาสทางธุรกิจ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

ในวันพุธ ที่ 21 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 - 13.00 น. ททท. จัดกิจกรรมการเจรจาทางธุรกิจ (B2B) ในโครงการ มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยนางสาวสุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อำนวยการสำนักงานททท.สำนักงานเชียงใหม่  นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ทและสปาเชียงใหม่ และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ร่วมกิจกรรม ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. กำหนดจัดงานมหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม @เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 20 – 21 ธันวาคมนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เตรียมพร้อมรองรับการท่องเที่ยวที่จะกลับสู่สภาวะปกติในปี 2566 ตามแนวคิดโครงการ Save Partner

โดยกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดงาน 'มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม' ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 – 18 ธันวาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา ซึ่ง ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยการจัดงานตลอดทั้ง 4 วัน พบว่า มีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดกว่า 50,000 คน เกิดการซื้อขายภายในงานกว่า 70 ล้านบาท  

สำหรับการจัดงานมหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม@เชียงใหม่ เป็นการจัดกิจกรรม การเจรจาธุรกิจ B2B (Business to Business) ในรูปแบบของ 'Business Matching' ระหว่าง กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer) และผู้ขาย (Seller) จำนวนกว่า 130 รายจากทั่วประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer) จากองค์กรจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน บริษัทนำเที่ยว กลุ่มการศึกษา โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ กลุ่มผู้จัดงาน เป็นต้น และ ผู้ขาย (Seller) ประกอบด้วย ผู้ประกอบการโรงแรม บริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคภาคเหนือ ร่วมนำเสนอแพ็คเกจพิเศษการท่องเที่ยวสำหรับองค์กรและการจัดรายการนำเที่ยว

‘โออาร์’ มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ตรึงราคาน้ำมันนาน 11 วัน

โออาร์ คาดแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ดีขึ้น รับอานิสงส์การท่องเที่ยวกลับมา ด้านการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เตรียมมอบของขวัญให้คนไทย ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน 11 วัน ระหว่างวันที่ 24 ธ.ค. 65 – 3 ม.ค. 66 เติมเต็มความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่

(21 ธ.ค. 65) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า จากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการจำกัดการเดินทางต่าง ๆ คลี่คลาย การเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ประชาชนเริ่มออกเดินทาง ท่องเที่ยวช่วง High season และจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ประกอบสภาพเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว จึงน่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินการไตรมาส 4 ของ OR ที่น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นทั้ง Mobility Lifestyle และ Global ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์และความเห็นของนักวิเคราะห์ 

ส่วนกรณีข่าวเกี่ยวกับประเด็นกองทุนต่างประเทศอ้างว่า OR ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศเมียนมานั้น ขอยืนยันว่าการลงทุนของ OR ในเมียนมามุ่งสร้างและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนชาวเมียนมา รวมทั้งยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักการสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล โดยปัจจุบันมี PTT Station 3 แห่งและร้าน cafe amazon 8 สาขาดำเนินการโดยผู้แทนจำหน่ายและแฟรนไชซีในเมียนมา และไม่ได้มีส่วนสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเมียนมาแต่อย่างใด

สำหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่จะมาถึงนี้ OR ได้เตรียมจัดกิจกรรมเพื่อเติมเต็มความสุขให้ผู้บริโภค ด้วยโปรโมชั่นพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และร้านค้าต่าง ๆ ในเครือ OR ดังนี้

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ‘OTOP City 2022’ กระแสตอบรับดี ผ่านครึ่งทาง มีผู้เข้าชม 8.6 หมื่นคน เงินสะพัด 243 ลบ.

‘พล.อ.ประยุทธ์’ ยินดี ครึ่งทางงาน OTOP City 2022 กระแสตอบรับดี คนเข้าชมงาน 8.6 หมื่นคน มียอดจำหน่ายแล้วกว่า 243 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จนโยบายการพัฒนาสินค้า OTOP สอดคล้อง BCG ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีที่ได้รับรายงานจากกรมการพัฒนาชุมชน ระบุการจัดงานงาน OTOP City 2022 ภายใต้แนวคิด 'มอบความสุขจากภูมิปัญญา ส่งต่อคุณค่าจากฝีมือคนไทย' ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 17-25 ธันวาคม 2565 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีกระแสตอบรับที่ดี ประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงาน และหลังจากจัดงานมาได้ครึ่งทางคือระหว่างวันที่ 17-20 ธันวาคม 2565 มีจำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 86,185 คน มียอดจำหน่ายสะสมแล้ว 243,332,107 บาท จากผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ผ้าและเครื่องแต่งกาย ของใช้ ของตกแต่งฯ  สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร OTOPชวนชิม ศิลปินOTOP ผ้าไทยใส่ให้สนุก OTOPขึ้นเครื่อง  OTOP Premium OTOP Brandname ของขวัญของฝาก เป็นต้น 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ในงานนี้ด้วยยอดขายสะสมประมาณ 243 ล้านบาท คิดเฉลี่ยรายได้สะสม 95,574 บาทต่อผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มีการสร้างรายได้จากงานนี้ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วม 2,538 ราย และ 8 องค์กร และ 500 รายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ Shopee ซึ่งประเภทผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ผ้าและเครื่องแต่งกาย 95,937,722 บาท, ศิลปินOTOP 28,283,260 บาท, อาหาร 23,380,762 บาท, ของใช้ของตกแต่ง 22,412,832 บาท และ OTOPชวนชิม 13,733,452 บาท โดยข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคมผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 5 อันดับ คือ เครื่องประดับทอง จากจ.สุโขทัย ทองรูปพรรณลายโบราณจากจ.สุโขทัย ผ้าไหมยกดอกจากจ.ลำพูน เครื่องประดับจากจ.สระแก้ว และเครื่องประดับอัญมณีจากกรุงเทพฯ

'เฉลิมชัย' เดินหน้าพัฒนาประจวบคีรีขันธ์เป็นมหานครสับปะรดของโลก หลังไทยยืนหนึ่งแชมป์โลกส่งออกสับปะรด

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เป็นประธานเปิดงานและบรรยายในการประชุมใหญ่ครั้งที่38ของสหกรณ์ชาวไร่สับปะรดสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายอำเภอสามร้อยยอด สหกรณ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนราชการต่างๆ นายชาญชัย ธนะกมลประดิษฐ์ ประธานและคณะกรรมการอำนวยการสหกรณ์และสมาชิกให้การต้อนรับ โดยนายอลงกรณ์กล่าวบรรยายว่าสถานการณ์การเพาะปลูกและผลผลิตสับปะรดในปี 2565 มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 457,255 ไร่ คิดเป็นปริมาณผลผลิต 1.772 ล้านตัน โดยแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เพชรบุรี พิษณุโลกและระยอง 

ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมาร้อยละ 0.39 ร้อยละ 2.68 และร้อยละ 2.27 ตามลำดับ ทางด้านราคาตั้งแต่ปี 2563 ถึงต้นปี 2564 ราคาอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้เกษตรกรรายใหม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นนายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า ศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสับปะรดและผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องเป็นอันดับ1ของโลกด้วยมูลค่า2หมื่นล้านบาทครองสัดส่วนตลาดโลก32%ตามมาด้วยฟิลิปปินส์22% ซึ่งพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุดและมีโรงงานสับปะรดมากที่สุดคือประจวบคีรีขันธ์จึงเป็นเสมือนมหานครสับปะรดของไทยและของโลก โดยการบริหารจัดการสับปะรดเชิงโครงสร้างและระบบ และการกำหนดแผนและเป้าหมายการเป็นมหานครสับปะรดของโลก ภายใต้ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติที่มีรองนายกรัฐมนตรีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน ได้ปรับแผนเดิมเป็นแผนใหม่รับมือวิกฤติโควิด19เมรียกว่าแผนพัฒนาสับปะรดปี 2563-2565 พร้อมกับจัดทำแผนพัฒนาสับปะรด5ปี(2566-2570)เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตการแปรรูปและการตลาด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top