Wednesday, 3 July 2024
THE STATES TIMES TEAM

รัฐบาลญี่ปุ่นผวาข้อมูลรั่ว สั่งตรวจสอบ แอปพลิเคชัน ‘Line’ หลังสื่อชี้ยอมให้วิศวกรจีนเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งาน ขณะที่บริษัทฯ ออกแถลงการณ์ ยืนยัน ยังไม่มีการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้นแต่อย่างใด

รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า จะดำเนินการสอบสวนแอปพลิเคชันไลน์ (Line) ของซี โฮลดิ้งส์ คอร์ป ซึ่งอยู่ในเครือของซอฟต์แบงก์ คอร์ปของญี่ปุ่น หลังจากสื่อญี่ปุ่นรายงานว่า Line ได้ปล่อยให้วิศวกรชาวจีนที่เซี่ยงไฮ้เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานชาวญี่ปุ่นโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ใช้ทราบ

สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคและสื่อญี่ปุ่นรายอื่น ๆ รายงานก่อนหน้านี้ว่า ภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวของญี่ปุ่นนั้น บริษัทต่างๆ ต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเมื่อข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ถูกส่งไปยังต่างประเทศ

“ตอนนี้เรายังบอกไม่ได้ว่า Line ละเมิดกฎระเบียบหรือไม่ และเราจะทำการสอบสวนเพื่อหาความจริง” เจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้รับผิดชอบกฎหมายความเป็นส่วนตัวกล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ พร้อมเสริมว่า ถ้าหากพบว่า Line กระทำผิดจริง ทางสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นสามารถสั่งให้ทางบริษัทดำเนินการแก้ไขปรับปรุงได้

ด้านโฆษกของ Line ระบุว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดที่เป็นการละเมิดกฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ เราจะยังคงปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบในทุกประเทศ รวมถึงในญี่ปุ่นด้วย”

แถลงการณ์ทางเว็บไซต์ของ Line ในเวลาต่อมามีใจความว่า ทางบริษัทขออภัยที่ทำให้เกิดความกังวล และไม่ได้อธิบายอย่างเพียงพอเพื่อให้ผู้ใช้ทราบถึงนโยบายเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลของบริษัท และระบุเพิ่มเติมว่า ยังไม่มีการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้นแต่อย่างใด


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/71886

“นายไพร” ยันศาลชี้ชัด โครงการจัดหาทุนซื้อทองคำ ไม่ใช่เรื่องทุจริต เป็นเรื่องของระเบียน ลั่น ทำไปโดยสุจริตใช้เงินส่วนตัวไปช่วยโครงการหลายล้าน เป็นการปิดทองหลังพระ พร้อมเป็นทน.หาดใหญ่

ที่บ้านพักเขตเทศบาลนครหาด นายไพร พัฒโน อดีตนายกเทศบาลนครหาดใหญ่ ได้กล่าวเปิดใจกับทีมข่าวสื่อมวลชน ที่มาร่วมทำข่าว ถึงกรณีในเรื่องของการถูกกล่าวหาว่า กระทำการโดยทุจริต เกี่ยวกับโครงการจัดหาทุนซื้อทองคำปิดองค์พระพุทธมงคลมหาราช พระประจำเมืองหาดใหญ่

โดยกล่าวว่า ผมมีความตั้งใจที่จะบูรณะพระพุทธมงคลมหาราช องค์พระยืน เนื่องจากตอนผมเข้าไปองค์พระมันมีรอยรั่ว จึงตั้งใจบูรณะให้ดีขึ้น  เมื่อมีเงินแล้วจึงค่อยปิดทอง จึงคิดจะสร้างหลวงปู่ทวดขึ้นมาเพื่อให้คนเช่า ร่วมทำบุญเป็นการหาเงินสัก 60 - 70 ล้านบาทมาบูรณะ  ดังนั้นก็คือจากมูลนิธิสิรินธร ในพระบาทราชูปถัมภ์ซึ่งรับเป็นเจ้าภาพ  ถ้าจะทำขนาดนี้เทศบาลก็ต้องลงทุนถึงเกือบ 40 ล้านถึงจะพอ เพื่อทำพระขึ้นมาชุดหนึ่ง และเมื่อขายแล้วหักต้นทุน ก็จะเหลือให้กำไรประมาณ 70 ถึง 80 ล้าน โดยเห็นว่าถ้าเอามา 30 - 40 ล้านมันดูเยอะ ก็จึงตกลงเอามาเพียงครึ่งเดียวพอ และอีกครึ่งหนึ่งจะไปหาจากยอดจองพระ จึงได้ทำโครงการนี้ขึ้นมา โดยผ่านสภา และผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นก็ให้การอนุมัติ และดำเนินการตามระเบียบถูกต้องทุกอย่าง

เรื่องนี้ถูกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามร้องเรียนแล้วป.ป.ช.ก็ชี้ว่าผิด ส่งเรื่องให้อัยการและบอกว่าตนดำเนินการโดยทุจริต เพราะไม่จัดประมูล ซึ่งผมก็สู้กันในชั้นศาลว่า เงินอุดหนุนมันไม่ต้องประมูล คนรับเงินอุดหนุนสามารถรับไปได้เลยและทำตามระเบียบของเขา ทั้งเงิน ทั้งของ เป็นของเขาหมด เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น เพียงแต่ส่งรายละเอียดว่าใช้จ่ายอะไรบ้างเท่านั้นพอ เช่นเดียวกับการอุดหนุนการจัดงานตรุษจีนให้แก่องค์กรต่าง ๆ ก็ไม่ต้องประมูล ซึ่งศาลวิเคราะห์ทุกอย่างแล้วดูรายละเอียด ศาลบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทุจริต เพราะเงินก็ไม่อยู่ที่นายกไพร พระก็ไม่อยู่ที่นายกไพร เงินก็ส่งให้มูลนิธิสิรินธร ซึ่งก็ทำไปตามนั้นเพียงแต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆเกี่ยวกับบัญชีจองพระนั้น ศาลบอกทำไมไม่ทำตามระเบียบเสีย แล้วขออนุมัติเข้าสภา เลยลงโทษ 157 ซึ่งก็ต้องอุทธรณ์ เงินจองพระ พระก็ยังไม่มีเป็นการจองก่อนล่วงหน้า เงินบัญชีก็ไม่ใช่ของเทศบาลยังไม่ถือว่าเป็นรายได้ของเทศบาล เราจึงประมูลจัดซื้อ จัดจ้างไม่ได้

ดังนั้นต้องชี้แจงและอุทธรณ์เรื่องนี้ไปว่า อย่างนี้มันสุดวิสัย ตรงนี้มันเป็นเพียงเรื่องระหว่างดำเนินการ และต้องหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายอีกหลายเรื่องเช่นค่าจัดทำพระให้เพียงพอต่อการคุ้มค่าและได้กำไรตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ เกี่ยวกับการโฆษณา ค่าพิธีกรรม ค่าแพ็คกิ้งก็ดี และยังมีค่าอื่นๆอีกหลายล้าน  เอามาจากยอดจอง เทศบาลให้มา เพียง 20 ล้านเท่านั้น ยังมีหนี้สินจากการดำเนินโครงการอีกมาก และทำพระได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งยอดจองนี้ที่ศาลบอกว่าทำไมไม่ทำแบบเดียวกันกับเงินก้อนแรกจากเทศบาล เลยลงโทษว่าผมไม่ปฏิบัติตามระเบียบให้ครบถ้วน เพราะตรงนี้ทำไมไม่ทำโครงการขึ้นมาไม่จัดซื้อ จัดจ้าง ซึ่งมันทำไม่ได้ และตรงนี้มันเงินข้างนอกไม่ใช่เงินของเทศบาล จึงต้องชี้แจงไปในชั้นอุทธรณ์ต่อไป  .

เพราะเงินยังอยู่กลางอากาศ เงินนี้เมื่อเคลียร์บัญชีกันเสร็จ เหลือพระเท่าไหร่ เหลือเงินเท่าไหร่ มูลนิธิก็จะส่งให้เทศบาลทั้งหมด พระนี่ก็จะเป็นของเทศบาลคนเดียวโดยไม่มีภาระผูกพันใด ๆ อีก ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ส่งเงินไปได้ 10 กว่าล้าน จาก 20 ล้าน  เท่ากับว่าเทศบาลลงทุนเพียง 5 ล้านบาท และยังมีพระรอจำหน่ายอีกเกือบ 100 ล้าน ดังนั้นจึงไม่เสียหายเลย แต่เขาบอกว่าผิดที่ระเบียบ ผิดที่ขั้นตอนการปฏิบัติซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนก็ไม่ผิด ระเบียบก็ไม่ผิด และผมก็ไม่ทุจริต ผมได้ทำอย่างดีที่สุด ซึ่งผมเองก็ช่วยด้วยเงินส่วนตัวไปหลายล้านบาท โดยถือว่าเป็นการร่วมทำบุญเป็นการปิดทองหลังพระโดยไม่เคยบอกใครและไม่เคยไปอวดอ้างความดีอะไรกับใคร ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผมผิดทั้ง ๆ ที่ผมกล้าเสียสละขนาดนี้ และผมก็หมดไปหลายล้าน ผมจึงไม่ทุจริตแน่นอน และศาลก็บอกแล้วว่าไม่ทุจริตจึงยกฟ้องในข้อกล่าวหาว่าทุจริต นอกจากในเรื่องของระเบียบ

ที่สำคัญที่สุด เทศบาลก็ไม่ได้เสียหาย ซ้ำยังได้ประโยชน์มาก และอีกประเด็นหนึ่งผมยืนยันได้ว่าไม่ผิดระเบียบแน่นอน ดังนั้นการที่ผมจะลงสมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ครั้งนี้จึงมั่นใจว่า ไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกแน่นอน

ดังนั้นจึงขอยืนยันว่าเทศบาลนครหาดใหญ่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ตนก็จะต้องชี้แจงข้อกฎหมายที่เราไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา และยื่นอุทธรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีประเด็นการทุจริต แต่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจหน้าที่ ซึ่งก็ยืนยันว่าดำเนินการโดยถูกต้อง มีเจตนาที่บริสุทธิ์ เทศบาลไม่เสียหายแต่ยังได้ประโยชน์ และได้กำไรจากโครงการนี้มหาศาล


ภาพ/ข่าว : นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

โรงงานผลิตเสื้อผ้าของ Uniqlo แบรนด์ดังของญี่ปุ่น ในพม่า 2 แห่งถูกไฟไหม้หลังเกิดเหตุจลาจลในเมืองย่างกุ้ง หลังจากที่มีการลอบวางเพลิงโรงงานเย็บผ้าของผู้ประกอบการชาวจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

โรงงานดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของ Fast Retailing ผู้ผลิตเสื้อผ้าหลายแบรนด์ดังของญี่ปุ่น ได้แก่ Uniqlo GU ที่เพิ่งขยายโรงงานผลิตเสื้อผ้าในพม่าถึง 6 แห่ง เพื่อเป็นฐานการผลิตหลักให้กับโรงงานแม่ในญี่ปุ่น

แถมในจำนวนนั้นเป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้งถึง 5 แห่ง หนึ่งในจุดศูนย์กลางของการประท้วงที่รุนแรงที่สุดในพม่า ที่ตอนนี้รัฐบาลทหารพม่าได้ประกาศกฎอัยการศึกครอบคลุมในหลายเขตของเมือง

แต่แล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทางบริษัทที่ญี่ปุ่นได้ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่าโรงงานผลิตเสื้อของ Uniqlo ได้ถูกมือมืดลอบวางเพลิงถึง 2 แห่งในช่วงวันอาทิตย์ที่เกิดการจลาจล และกล่าวว่าโรงงานถูกระบุเป็นเป้าหมายในการโจมตี และตอนนี้กำลังประเมินมูลค่าความเสียหาย แต่ยังโชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตในโรงงาน

ในพม่าเริ่มมีผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน สร้างโรงงานผลิตสินค้าในพม่ามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ผลิตแบรนด์ Uniqlo ตั้งใจจะใช้พม่าเป็นฐานการผลิตสินค้าหลักส่งออกไปทั่วโลก

แต่จากเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง และเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างดุเดือด ที่ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 180 คน เหตุจลาจล เผาทำลายโรงงาน ทรัพย์สินมีอยู่ทั่วไปและยากจะควบคุม จน ทาง Uniqlo กำลังพิจารณาที่ถอนฐานการผลิตออกจากพม่าไปประเทศอื่นแทนเพื่อความปลอดภัย

ไม่ใช่เพียงแค่โรงงานของจีน และญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบเต็มๆจากเหตุจลาจลวางเพลิง ตอนนี้โรงงานผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่อย่าง H&M ที่มีโรงงานในพม่าถึง 40 แห่ง และอีกหลายเจ้าจำเป็นต้องปิดโรงงานชั่วคราวแล้วในตอนนี้

และหากสถานการณ์บ้านเมืองในพม่ายังคงมีความรุนแรง และยืดเยื้อ นักลงทุนต่างชาติจึงเริ่มคิดจะยุติการดำเนินธุรกิจในพม่า และย้ายฐานออกไป ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจพม่า ที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการผลิตเสื้อผ้า

อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า และสิ่งทอของพม่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่พม่าเริ่มเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลทหารสู่รัฐบาลพลเรือนตามครรลองประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ด้วยข้อได้เปรียบด้านค่าแรง และบรรยากาศทางการเมืองที่เริ่มกลับมาดีขึ้น เป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ประกอบการแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของโลกนำเม็ดเงินมาลงทุนตั้งโรงงานในพม่ากันมากขึ้น จนอุตสาหกรรมนี้กลายเป็นหนึ่งเสาหลักของเศรษฐกิจพม่า

ดังนั้นการลุกฮือของชาวพม่า และสถานการณ์ที่บานปลายก็จะส่งผลต่อการลงทุนของต่างชาติที่เริ่มพิจารณาย้ายฐานลงทุนไปประเทศอื่นที่มีข้อได้เปรียบด้านค่าแรงเหมือนกัน เช่น บังคลาเทศ เวียดนาม อินโดนิเซีย หรือ จีน ที่จะส่งผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจพม่าไปอีกยาว


อ้างอิง :

https://asia.nikkei.com/Spotlight/Myanmar-Coup/Uniqlo-parent-latest-victim-in-Myanmar-garment-sector-violence?fbclid=IwAR3soA0LGFO_RUizpRTa8nj_yG6gDxFUexV03GeiLS7H0nswAy8xLwQL6CU

https://www.japantimes.co.jp/news/2021/03/16/business/corporate-business/myanmar-fast-retailing-fire/


By : Jeans Aroonrat

นายกเทศมนตรีเมืองศรีสะเกษ ผวาโควิด-19 สั่งงดจัดงานสงกรานต์ ปี 64 ส่วนงานเทศกาลดอกลำดวนบาน ไม่หวั่นเดินหน้าจัดงานชูการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.64 ที่สำนักงานเทศบาลเมืองศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ น.ส.ศรีเสงี่ยม ณูรักษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองศรีสะเกษ ได้ลงนามในหนังสือประกาศยกเลิกโครงการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 โดยมีข้อความระบุว่า เพื่อเป็นการเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมการรวมกลุ่มของเด็กและเยาวชน เป็นการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโค-19 เทศบาลเมืองศรีสะเกษ จึงขอประกาศยกเลิกการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ปี 2564 ดังกล่าว

แม้ว่าขณะนี้มีแม่ค้าขายผักชาว อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ ติดเชื้อโควิด-19 มาจากตลาดบางแควันเดอร์ กรุงเทพฯ จากการระบาดรอบ 2 เป็นรายแรกของ จ.ศรีสะเกษ โดยได้พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ศรีสะเกษ แต่ว่า จ.ศรีสะเกษ ยังคงเดินหน้าจัดงาน “เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไทศรีสะเกษ” ประจำปี 2564 ที่บริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 17 - 21 มี.ค.64 นี้ เช่นเคย

โดยยังคงมีการแสดง แสง สี เสียง เรื่อง อารยธรรมแห่งศรัทธา มนตรา ศรีพฤทเธศวร ตอนสืบราชมรรคา ศรีชยราชา ชัยวรมันที่ 7 ซึ่งจะเปิดแสดงรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 17 มี.ค. 64 นี้ เวลา 19.00 น. และจะทำการแสดงให้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเข้ารับชมรอบแสดงจริง ในวันที่ 19 - 21 มี.ค.นี้ เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งจะมีประชาชนมาร่วมชมงานครั้งนี้เป็นจำนวนมาก


ภาพ / ข่าว : ศิริเกษ หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษ

ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน มาตรการรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ประเทศเมียนมาร์ ในพื้นที่ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร

พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก นำคณะผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ประกอบไปด้วย พลเอก พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก , พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ เสนาธิการกองทัพบก ,พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 เดินทางไปยังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนแยก 1 ค่ายรัตนรังสรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง

เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานตามสายงาน ผลการปฏิบัติงานความรับผิดชอบตามแนวชายแดนทั้งทางบกและทางทะเล ที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านฝั่งเมียนมาร์ และประชุมสรุปแผนการเตรียมการปฏิบัติในการรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์ เพื่อให้ทุกส่วนได้เตรียมความพร้อม รองรับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เมียมาร์ ตามหลักมนุษยธรรมโดยใช้พื้นที่ตามแนวชายแดนเป็นพื้นที่แรกรับ คัดแยก และดูแลจนกว่าสถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการผลักดันกลับประเทศตามช่องทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ กรณีมีผู้ได้รับผลกระทบอพยพจากสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาร์เข้ามายังฝั่งไทย ว่ากองทัพภาคที่ 4 ด้วยความรับผิดชอบของกองกำลังเทพสตรี ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ซึ่งทุกพื้นที่ที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเมียนมา โดยได้มีการจัดเตรียมพื้นที่แรกรับและพื้นที่พักรอชั่วคราวไว้ในพื้นที่ จำนวน 4 แห่ง ของจังหวัดระนอง และชุมพร พร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ


ภาพ/ข่าว : นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

กระทรวงการคลัง ผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดันนโยบาย ‘Made in Thailand’ สนับสนุนหน่วยงานรัฐซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้มากขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น โดยส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศได้

ซึ่งที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประกาศเป็นกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ประเมินว่า จากกฎกระทรวงฉบับนี้ที่สนับสนุนหน่วยงานให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย คือผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขาย และหน่วยงานภาครัฐได้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตามที่ต้องการ ภาครัฐมั่นใจว่าการสนับสนุนครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการและห่วงโซ่เอสเอ็มอี เข้มแข็งขึ้น จากยอดการซื้อจากภาครัฐ ซึ่งในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับเสริมศักยภาพการแข่งขันและลดภาระด้านการเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ

สำหรับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand ได้กำหนดสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด

หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ

สำหรับกลุ่มสินค้า Made in Thailand ที่มีโอกาสเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ อาทิ วัสดุครุภัณฑ์สำนักงาน, ครุภัณฑ์การศึกษา, จอมอนิเตอร์, เฟอร์นิเจอร์, ชุดยูนิฟอร์ม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน, วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง อาทิ เหล็ก, ปูนซีเมนต์

รวมถึงจะมุ่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลไปยังกลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ที่เข้าร่วมยื่นเสนองานกับภาครัฐให้เข้าใจในกฎกระทรวงฉบับใหม่และการนำสินค้า Made in Thailand ไปเสนอต่อภาครัฐด้วย ตั้งเป้าหมายในปี 2564 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก​ เกี่ยวกับกรณี​ 'เพนกวิน'​

ผมได้เห็นภาพจริงที่เพนกวิน อาละวาดศาล ในทวิตเตอร์ของ Andrew MacGregor Marshall อดีตสื่อต่างชาติในไทย และหนีคดี 112 สิ่งที่น่าสังเกต

1.​ เพนกวินมีการอ่านเอกสารที่จัดเตรียมมาก่อน

2.​ มีการคล้องแขน ล้อมกรอบ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงเพนกวิน

3.​ มีการถ่ายภาพจริงออกมา และฝรั่งต่างชาติไปเผยแพร่

สิ่งที่เห็นจึงเป็นการยืนยันว่า มีการวางแผน เพื่อทำลายเครดิต นอกจากสถาบันเบื้องสูง ทหาร ยังรวมถึงสถาบันตุลาการของไทย และเผยแพร่โดยชาวต่างชาติ ซึ่งสอดรับกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ของนักการเมืองคนหนึ่ง ก็ทำงานอ้างว่าวิจัย เพื่อทำลายสามสถาบันนี้มาก่อน

เพนกวินอาจจะเล่นสมบท และได้รับรางวัล​ "วีระรัฐบุรุษ" เพื่อเอาใจให้เหลิงในแสง แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ตัวเขาต้องรับกรรม

นี่คือการพิสูจน์ว่า กระบวนการนักการเมืองชั่ว ร่วมกับอาจารย์ นักวิชาการหัวรุนแรง ปั่นหัวศิษย์เลว ร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อหวังครอบงำประเทศ ผ่านกระบวนการชักศึกเข้าบ้าน วิธีการที่เราจะชนะเขาคือ การรู้เท่าทันนั้นไม่พอ เราคนไทยต้องรักและสามัคคีกันด้วย เพื่อไม่ให้ไทยเราเป็นเหยื่ออย่างบางประเทศในตะวันออกกลาง


ที่มา : https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2869483936655972/

แฟนคลับ เฮ! “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ยอมใจอ่อนเปิดอินสตาแกรมแล้ว ใต้ชื่อแอคเคาท์ @birdthongchaiofficial แถมเปิดใช้แปปเดียวยอดฟอลโล่เพียบ!

เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จักนักร้อง นักแสดงมากฝีมือคนนี้กับ “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ที่ฝากผลงานฮิตไว้มากมาย ซึ่งล่าสุด ก็มีข่าวดีหลังจากมีการเรียกร้องจากเหล่าแฟนหลับกันมายาวนาน

เพราะว่า “ป๋าเบิร์ด” ได้เปิดช่องทางให้ติดตามอัพเดตชีวิต ผ่านแอคเคาท์อินสตาแกรม ให้พี่ น้อง แฟนคลับ ได้ติดตามกันแล้ว โดยใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “@birdthongchaiofficial”

แน่นอนว่าคนดังระดับนี้ยอมใจอ่อนเปิดแอคเคาท์อินสตาแกรม ทั้งทีผู้คนก็ต่างให้ควาามสนใจเหล่าแฟนคลับก็แห่กันไปกดฟอลโล่กับพรึ่บ เพียงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่ว เรียกได้ว่าวันเวลาลาทำอะไรไม่ได้กับความดัง ของ ป๋าเบิร์ด คนนี้เลยนะเนี่ยย

คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนสหรัฐฯ อย่ากระทำการใด ๆ ที่จะทำให้ ‘หลับไม่ลง’ เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เริ่มส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศเยือนประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

หนังสือพิมพ์โรดอง ชินมุน ของทางการเกาหลีเหนือตีพิมพ์ถ้อยแถลงของคิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึนผู้นำเกาหลีเหนือ หลังจากสหรัฐและเกาหลีใต้เปิดฉากซ้อมรบร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ขอแนะนำรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ที่กำลังหาทางแพร่กระจายกลิ่นดินปืนในดินแดนเกาหลีเหนือว่า หากอยากนอนหลับสบายตลอด 4 ปีข้างหน้า ทางที่ดีอย่าได้หาเรื่องตั้งแต่ต้น ที่จะทำให้ข่มตาหลับไม่ลง 

นับเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อรัฐบาลไบเดนที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม แม้ว่ายังไม่เอ่ยชื่อไบเดนโดยตรง และมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม และนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ เพื่อเริ่มการเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หวังตอกย้ำความร่วมมือต่อต้านอิทธิพลจีนและการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

นักวิเคราะห์ในเกาหลีใต้มองว่า ที่ผ่านมาการออกถ้อยแถลงของเธอมักเป็นการส่งสัญญาณว่าเกาหลีเหนือเตรียมเพิ่มท่าทีแข็งกร้าว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเกาหลีเหนืออาจยั่วยุทางทหารระหว่างหรือหลังจากที่รัฐมนตรีทั้งสองคนของสหรัฐเสร็จสิ้นการเยือนพันธมิตร ส่วนช่วงไม่กี่วันก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่ง นายคิม จอง อึน ตราหน้าสหรัฐว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของประเทศ และใช้พิธีสวนสนามเปิดตัวขีปนาวุธนำวิถียิงจากเรือดำน้ำรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี ตอนที่ประธานาธิบดีไบเดน ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ เกาหลีเหนือก็ไม่ได้ยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นการท้าทายอย่างที่เคยทำมา

ท่าทีของเกาหลีเหนือมีขึ้น ท่ามกลางการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ที่ลดขนาดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่นางเจน ซากี โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว ไม่ได้กล่าวถึงแถลงการณ์จากน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ยอมรับว่า จนถึงปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ตอบกลับความพยายามติดต่อผ่านทุกช่องทางของรัฐบาล รวมถึงผ่านคณะผู้แทนถาวรเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ มาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และใน 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เองไม่ได้มีการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องแม้จะมีความพยายามมาจากฝ่ายสหรัฐฯ ก็ตาม

ขณะเดียวกัน นายโนบูโอะ กิชิ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น พบปะกับ พล.อ.ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียว เรื่องความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพจีนในบริเวณทะเลจีนใต้ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะหลายแห่ง นายกิชิ กล่าวว่า บรรยากาศในทะเลจีนใต้และทะเลฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและรุนแรง

จากการเคลื่อนไหวทางทหารทั้งของกองทัพจีน และกองทัพสหรัฐฯ จนน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคง ประเทศพันธมิตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่ในทะเลจีนใต้จึงหวังว่า สหรัฐฯ กับจีนจะใช้วิธีทางการทูตด้วยการเจรจาจำกัดกรอบการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อให้บรรยากาศต่าง ๆ ดีขึ้น จนนำไปสู่การเจรจาในระดับต่อไปได้


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์
https://www.naewna.com/inter/559622

จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเข้าประเทศ ด้วยการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติจากบางประเทศ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น จนสามารถกลับมาเดินทางได้ตามปกติอีกครั้ง

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า สถานทูตจีนในหลายประเทศพร้อมเปิดให้ประชาชนในบางประเทศที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของจีนแล้วสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าจีนได้ สถานทูตจีนในสหรัฐฯ แถลงลงวันที่ 15 มีนาคม ว่า ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดรับการยื่นขอวีซ่าจากผู้รับการฉีดวัคซีนจีนที่จะเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อไปทำงาน ทำธุรกิจ หรือความจำเป็นทางมนุษยธรรม เช่น กลับไปพบหน้าครอบครัว ผู้มีสิทธิยื่นขอวีซ่าจะต้องรับการฉีดวัคซีนจีนครบ 2 โดส หรืออย่างน้อย 1 โดส ในช่วง 14 วันก่อนยื่นขอวีซ่า และมีผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ ด้านสถานทูตจีนในอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อิตาลี และศรีลังกาก็ออกประกาศลักษณะเดียวกัน

จีนกำลังเร่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนผลิตเองในประเทศที่ได้รับอนุมัติแล้ว 4 ขนาน ได้แก่ Sinapharm, Sinovac, Coronavac และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทอันฮุย จื้อเฟย หลงเขอ ไบโอฟาร์มาซูติคัล ให้แก่คนในประเทศ แต่ยังไม่อนุมัติวัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศแม้แต่ขนานเดียว

นอกจากนี้ ยังส่งออกหรือบริจาควัคซีนที่ผลิตเองให้แก่หลายประเทศ เช่น ตุรกี อินโดนีเซีย กัมพูชา ปากีสถาน ส่งผลให้สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ประกาศแผนร่วมมือกันเตรียมส่งวัคซีนให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเช่นกันเพื่อแข่งขันกับจีนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การทูตวัคซีน’ เต็มรูปแบบ

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดภายในประเทศ หลังจากที่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรกของโลกเมื่อปลายปี 2019 แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่ผู้เดินทางจากต่างประเทศจะนำไวรัสเข้ามาแพร่จนเกิดการระบาดซ้ำ จีนได้ใช้นโยบายจำกัดการเข้าเมือง โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศภายใต้วัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น มาทำงาน เป็นต้น และผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วก็จะต้องผ่านกระบวนการกักตัวตามระเบียบ


ที่มา : รอยเตอร์

https://www.naewna.com/inter/559621


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top