Saturday, 29 June 2024
THE STATES TIMES TEAM

"จุรินทร์" ลั่น ​เดินหน้าแก้รธน. ฝันอยากเห็น​ 3​ ฝ่าย จับมือฝ่าปัญหา เมิน "ศรีสุวรรณ" ร้องป.ป.ช. ฟัน​ 208​ ส.ส.-ส.ว.เห็นชอบร่าง รธน.วาระ​ 3​ ย้อน! ถ้าผิด​ คนลงมติให้โหวตก็ผิดด้วย

นายจุรินทร์​ ลักษณวิศิษฏ์​ รองนายกรัฐมนตรี​ และรมว.พาณิชย์​ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์​ ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล​เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา​ จะต้องมีการพูดคุยพรรคพลังประชารัฐด้วยหรือไม่ ว่า ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องหารือด้วยกัน แต่บังเอิญว่าเริ่มต้นที่ได้คุยกันมี 3 พรรคการเมือง จึงยังไม่ได้พูดคุยกับพรรคพลังประชารัฐ แต่จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของวิปรัฐบาลที่จะไปหารือเรื่องรัฐธรรมนูญที่ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดในการที่จะเข้าสู่สภา

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญหรือไม่​ นายจุรินทร์ กล่าวว่า​ ในสมัยประชุมหน้า สามารถเสนอได้ ส่วนการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญขึ้นอยู่กับรัฐบาล

เมื่อถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสามารถทำได้ในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่​ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะใช้ความพยายาม เพราะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสำคัญไม่แพ้ปัญหาการเมือง หากว่าการเมืองนิ่งการเมืองสงบ ทุกอย่างเดินหน้าไปด้วยความเรียบร้อย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็จะราบรื่นขึ้น นี่คือหัวใจสำคัญ 

ฉะนั้นถือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเสริมการแก้ไขเศรษฐกิจด้วย และเป็นทางออกให้กับประเทศ ในสถานการณ์ที่ตนได้เรียงมาเป็นลำดับ​รวมทั้งปัจจุบันด้วย​ จะได้ไม่​เป็นเหยื่อในทางการเมืองโดยไม่จำเป็น เพราะการที่จะพาประเทศไปสู่การเป็นประชาธิปไตย เป็นทิศทางที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจะพยายามผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญใน​ 2 ปีที่เหลืออยู่ใช่หรือไม่​ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดพรรคประชาธิปัตย์พยายามผลักดัน อันนี้ถือเป็นทิศทางที่ได้พุ่งไปตั้งแต่ต้น ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ทำหน้าที่จนวาระสุดท้าย นั่นคือการลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3

เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเป็นทางออกที่ดีที่สุดใช่หรือไม่ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับมีเครื่องหมายคำถาม และดูเหมือนข้อถกเถียงยังไม่ได้ข้อยุติ ว่าสุดท้ายต้องไปทำประชามติก่อนวาระ 1 หรือไปทำประชามติหลังผ่านวาระ 3 ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ​ ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่

เมื่อถามถึงกรณีนายศรีสุวรรณ​ จรรยา​ เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่น​ ป.ป.ช.เอาผิด​ ส.ส.และ​ ส.ว.ที่ลงมติวาระ​ 3​ จำนวน​ 208​ คน จะส่งผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่​ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า การลงมติให้ความเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เป็นไปตามมติของรัฐสภา เพราะก่อนที่ทุกคนจะลงมติเห็นชอบก็เป็นมติของที่ประชุมรัฐสภาว่าจะให้มีการลงมติในวาระที่ 3​ ตนถือว่าการลงมติในวาระที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบทุกประการ 

ไม่ได้มีปัญหาอะไร และถ้ามีปัญหาคงมีปัญหาทุกคน เพราะคนที่ไปร้องก็ถูกตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่า ทำไมจึงร้องเฉพาะคนที่ลงมติเห็นชอบ แต่ไม่ร้องคนที่ลงมติไม่เห็นชอบ หรือไม่ร้องคนที่มีมติให้รัฐสภาลงมติในวาระที่ 3 ทำไมถึงเว้นไว้ แต่ตนไม่ได้หมายความว่าให้ไปร้องทุกคน เพียงแต่มีข้อสังเกต เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้คนที่ลงมติเห็นชอบในวาระที่ 3 กลายเป็นเป้าหมายในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายจุรินทร์เคยระบุว่าจะแก้อำนาจ​ ส.ว. และญัตตินี้เคยถูกตีตกไปแล้วครั้งหนึ่ง มั่นใจหรือไม่ว่าในการยื่นครั้งต่อไปจะได้เสียงสนับสนุนจากส.ว. นายจุรินทร์​ กล่าวว่า เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา​ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรไม่ได้อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่มติของที่ประชุมร่วมรัฐสภา และขึ้นอยู่กับสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3​ และเสียงฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า​ 20% 

เป็นเงื่อนไขบังคับที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเอาไว้ ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยาก แต่เราก็ต้องฝ่าด่านนี้ไป
ไม่เช่นนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำไม่ได้เลย ยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นทางออกของประเทศทางหนึ่ง และจะส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนอยากเห็นอยู่ด้วย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองต้องไปด้วยกัน

เมื่อถามว่า​ เป็นไปได้หรือไม่ที่ 3 ฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาล​ ฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภา จะจับมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ​ นายจุรินทร์ กล่าวว่า​อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น และตนเคยพูดมาแล้วว่าอยากให้ 3 ฝ่ายได้คุยกัน หาทางออกร่วมกันเพื่อนำไปสู่ข้อสรุป ซึ่งนำมาซึ่งข้อสรุปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นายก ไก่ ติวเข้มคนอบจ.ฉะเชิงเทรา ต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน

วันที่ 23 มี.ค. 2564 นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา เป็นประธานในการประชุมมอบนโยบาย ให้แก่บุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนายรัฐสภา นพเกตุ  นายวรรณา รอดพิทักษ์ รองนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา / นายทรัพย์ทวี กุลสารี ที่ปรึกษานายก อบจ.ฉะเชิงเทรา / นายมณฑล ไวยเจริญ / น.ส.ปาลาวดี เนื่องจำนงค์ / นายไพศาล ช้างพลายแก้ว และนายขวัญชัย สินสมบัติ เลขานุการ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา และนายจักร์กฤษณ์ นนท์จีรพัส ปลัด อบจ.ฉะเชิงเทรา ร่วมชี้แจง ทั้งนี้มีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างในสังกัด อบจ.ฉะเชิงเทรา เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุมบางแก้ว อบจ.ฉะเชิงเทรา

สำหรับการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างในสังกัด อบจ.ฉะเชิงเทรา รับทราบนโยบายการปฏิบัติราชการของคณะผู้บริหาร มุ่งหวังให้บุคลากร อบจ.ฉะเชิงเทรา ปฏิบัติราชการด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา

ทั้งนี้นโยบายการปฏิบัติราชการ มี 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2. ด้านการสาธารณสุขและการส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและอาชีพ 5. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 6. ด้านการบริหารจัดการ ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ท้องถิ่นมีความเจริญก้าวหน้า “เปลี่ยนคุณภาพชีวิต เพื่อคนแปดริ้ว”

นอกจากนี้นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ได้เน้นย้ำนโยบายการปฏิบัติงานให้กับบุคลากรในสังกัดทุกคนว่า “ผิดระเบียบไม่ทำ สั่งการไม่ถูกให้บอก อะไรคลุมเครือปรึกษาหารือกัน” การทำงานต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง การควบคุมงาน การตรวจรับงานจ้าง การใช้วัสดุ ครุภัณฑ์ของทางราชการ ต้องไม่เอื้อประโยชน์ส่วนตัว การปฏิบัติราชการต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ


ภาพ/ข่าว : สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ (ฉะเชิงเทรา)

ผบ.พล.ร.15 ให้กำลังใจกำลังพลและตรวจเยี่ยมการฝึกเตรียมความพร้อมของหน่วยที่จะเข้าปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกเตรียมความพร้อมของหน่วยที่จะเข้าปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้ ขั้นที่ 4 ของ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 ณ ที่ทำการกองพันฝึก จังหวัดชายแดนใต้ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 (วัดขวัญประชา) อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส

โดยมีพันโท กฤตณ์พัทธ์  กรกัน  ผู้บังคับกองพันทหาราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 ให้การต้อนรับ โดย การฝึก ประกอบด้วย การรปภ.เส้นทาง  / การรปภ. เป้าหมายอ่อนแอ การพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับประชาชน และสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการเมือง ตามแผนปฏิบัติการ ของ กอ.รมน.ภาค.๔ สน. แต่ทั้งนี้ให้ทําการฝึกเพิ่มเติมเมื่อมีโอกาส โดยใช้แนวทางการฝึก ตามเอกสารข้อมูลที่ ยศ.ทบ. ได้แจกจ่ายให้หน่วยแล้ว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการดําเนินการตามนโยบายของกองทัพบก ให้หน่วยที่จะสับเปลี่ยนกําลังพลใช่วงเม.ย. 64 ได้มีความคุ้นเคยและรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่จริง และยังเป็นการเพิ่มเติมกําลังพลในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยกําหนดแผนการฝึกให้สอดคล้องกับงานทางด้านยุทธวิธีของหน่วยในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

ทั้งนี้ พลตรีไพศาล หนูสังข์ ได้มอบความห่วงใยพร้อมทั้งมอบของบริโภคให้กับแต่ละกองร้อยฝึก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพลที่เข้ารับการฝึก ตลอดจนได้เน้นย้ำให้ผู้บังคับหน่วยกวดขัน และกำกับดูแลการฝึกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กำลังพลได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ จากกำลังพลที่ผ่านการฝึกอบรมจาก ยศ.ทบ. โดยมีการประเมินผลตนเอง ทั้งก่อนการฝึกระหว่างการฝึกและหลังจากการฝึก เพื่อให้กำลังพลได้พัฒนาขีดความสามารถ มุ่งเน้นสายงานการข่าวและสายงานกิจการพลเรือน พร้อมรับทราบแนวทางการปฎิบัติและเทคนิคต่าง ๆ ให้มีความพร้อมและสามารถปฎิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


ภาพ/ข่าว : แวดาโอ๊ะ หะไร (จ.นราธิวาส)

แลนด์มาร์คแห่งใหม่ ในพื้นที่อำเภอศรีราชา “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล” รวมร้านอาหารอร่อยหลากหลายไม่ซ้ำกันไว้ที่นี่ จัดขึ้นวันที่ 26 มี.ค.64 นี้

คุณโชคชัย ประทีปอุษานนท์ หรือ คุณเต่า นักธุรกิจชื่อดังในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ซึ่งลงทุนมาทำ “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด” ริมถนนสายเก้ากิโล ช่วงไฟแดงถนนคู่ขนานสาย7 ขาเข้าชลบุรี โดยร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันปตท. ขาเข้าศรีราชาได้เปิดเผยว่าร้านจะเปิดเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม2564 นี้ ตั้งแต่เวลา 16.00-23.00 น.

ซึ่งในร้านก็จะมีสวนสนุก ดนตรีสด ให้อาหารปลา หรือจะปั่นเรือถีบกลางน้ำ ถ่ายรูปเช็คอิน นั่งชิลล์ริมน้ำ โซนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ซึ่งจะเป็น "แลนด์มาร์คแห่งใหม่" ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยทางร้านจะรวบรวมร้านอาหารอร่อยหลากหลายไม่ซ้ำแบบกว่า 40 ร้าน มาไว้ ให้เลือกสรรสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารในประเภทต่าง ๆ กัน

โดยที่พิเศษในช่วงเปิดร้านอย่างทางการนั้น ระหว่างวันที่ 26 - 28 มี.ค.64 พบกับทีมงานร้านเจ้าอร่อย ๆจากเพจ กินไรดี ศรีราชา ที่จะยกพลไปรวมกันที่ เดอะเมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล อีกด้วย  ซึ่งตั้งแต่วันที่26 มีนาคมเป็นต้นไปอยากขอเชิญมาพบกับ "แลนด์มาร์คแห่งใหม่" ในพื้นที่อำเภอศรีราชา “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล” ที่เที่ยวแห่งใหม่ รวมร้านอาหารอร่อยไว้ที่นี่รวมถึง เดอะเมาท์เท่นฟู้ด เก้ากิโล ยังรับจัดงานเลี้ยง งานสังสรรค์ ในราคาเป็นกันเอง สถานที่จอดรถกว้างขวางรับรถยนต์ได้ถึง 250 คัน ลองไปสัมผัสกันดูแล้วจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กนักเรียนเมืองพัทยา 7 เกิดอุบัติเหตุรถล้มบาดเจ็บสาหัสทางบ้านต้องกู้เงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564​ ที่โรงเรียนพัทยาเมือง 7 อ.บางละมุง​ จ.ชลบุรี นายปิยะพงษ์ สงค์สุข ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย คุณลิซ่า แฮมิลตัน หัวหน้าศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย เขต อำเภอ​บางละมุง จ.ชลบุรี และทีมงาน พรรคเสรีรวมไทยได้มอบทุนการศึกษา และ ข้าวสาร อาหารแห้ง ให้แก่เด็กชายพีรภัทร ชื่นชม เด็กนักเรียนชั้น ม.1/4 โรงเรียนพัทยาเมือง 7

โดยการมอบเงินในครั้งนี้ทางศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย เขต อำเภอ​บางละมุง จ.ชลบุรีได้รับการร้องเรียนผ่านครูและผู้ปกครองเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ว่ามีเด็กนักเรียนคือเด็กชายพีรภัทร ชื่นชม เด็กนักเรียนชั้น ม.1/4 โรงเรียนพัทยาเมือง 7 บุตรของนางสุพรรณ บุญกล้า  ประสบอุบัติเหตุ มอเตอร์ไซค์ล้มได้รับบาดเจ็บ เลือดคลั่งในสมอง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบางละมุง ตอนนี้อาการดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่มีปัญหาในการจ่าย ค่ารักษาพยาบาลเพราะ โรงพยาบาลบางละมุงไม่รับ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรคทางพรรคเสรีรวมไทยจึงลงพื้นที่ตรวจสอบและช่วยเหลือเด็กนักเรียนเมืองพัทยา 7 คนดังกล่าว​ เพราะทางบ้านฐานะ​ยากจน จึงนำเงินสดจำนวนหนึ่งพร้อมข้าวสารอาหารแห้งมามอบให้อีกจำนวนหนึ่ง​ เพื่อร่วมสร้างความสุขให้สังคม ไปกับพรรคเสรีรวมไทย

ด้านนายปิยะพงษ์ สงค์สุข ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย​ ได้กล่าว่าจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเด็กนักเรียนคนดังกล่าวแล้วพบ​ว่าเกิดเหตุจริงและเด็กนักเรียนคนนี้มีความกตัญญู​ หลังเลิกเรียนจะนำถั่วต้มที่ทางบ้านทำ​ และนำไปเดินขายตามชายหาดจอมเทียน​ เพื่อหาเงินเลี้ยงขอบครอบครัว​  และหลังจากขายเสร็จในวันดังกล่าว​เกิดอุบัติเหตุ​รถจยย.ล้มและได้รับบาดเจ็บสาหัส​ทางเจ้าหน้าที่นำตัวส่งโรงพยาบาลบางละมุง​  แต่ทางเด็กไม่มีประกันภัย​ มีแต่บัตรรัฐบาล30 บาทรักษาทุกโรค​ แต่ทางโรงพยาบาล​แจ้งว่าใช้สิทธิ​ไม่ได้​ ทำให้ทางบ้านงง​ และแจ้งให้หาเงินมาจ่าย​ ค่ารักษาพยาบาล​ ทางบ้านไม่มีเงินจึงไปหายืมเงินกู้​ มาจ่าย​เพื่อทำการรักษาพยาบาล​ให้ลูกเพราะเด็กต้องผ่าตัด​รักษาต่อไป 


ภาพ/ข่าว​ : อนันต์​  สุข​วัฒนะ ​/ เอกชัย​  สุข​วัฒนะ​  (ผู้​สื่อข่าว​ภูมิภาค​ พัทยา​ จ.ชลบุรี)

ความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ห้องกัก และการจัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว

จากสถานการณ์ผู้ต้องกักติดเชื้อไวรัส Covid19 วันนี้ 23 มี.ค.64 สตม.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข , กรมควบคุมโรค , รพ.ตร. และสำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร ได้จัดประชุมเพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผู้เข้าร่วมประชุมมี ดังนี้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และผู้เกี่ยวข้อง , นายแพทย์ เกียรติภูมิ วงค์รกิจ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์กิติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข , นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค , นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค , นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ  ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค , พ.ต.อ.เอกลักษณ์ ดีรุ่งโรจน์  โรงพยาบาลตำรวจ , สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร, สำนักงานเขตหลักสี่

สตม.มีการจัดกำลัง จนท.ตร. รักษาความปลอดภัยของ รพ.สนามชั่วคราว ตลอด 24 ชม. และมีการดำเนินการตามมาตรฐานการควบคุมโรค ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดของโรคออกไปด้านนอกพื้นที่ รพ.สนามชั่วคราว

โดยมาตรการแก้ไขและควบคุมการแพร่ของ Covid19 ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ ของ สตม. ได้แก่

1) ให้ กก.3 บก.สส.สตม.งดรับผู้ต้องกัก จนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหา และกำหนดมาตรการป้องกันได้ มีหนังสือให้แต่ละ บก. บริหารการกักตัวผู้ต้องกัก/ ตม.จังหวัด ฝาก สภ.ควบคุมผู้ต้องกัก ในส่วน กทม. กก.3 บก.สส.สตม.รับตัวแล้วให้ ตม.จว.นนบุรีควบคุมแทน

2) ลดจำนวนผู้ต้องกักในความดูแลของ กก.3 บก.สส.สตม. (สำหรับผู้ปลอดเชื้อ ผลักดัน/ส่งกลับ, ขอให้ พม.มารับไปดูแล)

3) จัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว สตม. ขอสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ จาก รพ.ตร. จัดสถานที่ อุปกรณ์ โดยประสานกับกรมควบคุมโรค

4) ให้ ตม.จว. และ หน.ด่านคัดแยกผู้ต้องกักกลุ่มเสี่ยงแยกออกจากรายอื่น ๆ

5) ให้ ตม.จว. ประสานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ในการจัดแผนรองรับ

6) ขอสนับสนุนชุดผู้ป่วย จาก รพ.ตร. จำนวน 400 ชุด และยา

7) ให้ บก.อก.สตม.สนับสนุนยาสำหรับฉีดพ่น

8) ให้แต่ละ ตม.จว.จัดหาพื้นที่สำหรับ รพ.สนาม หากเกิดกรณีผู้ต้องกักติดเชื้อ

9) การรับตัวผู้ต้องกัก ให้แยกผู้ต้องกักโดยมีห้องแรกรับ 3-5 วัน รอดูอาการก่อนส่งตัวเข้ารวมในห้องกัก

10) กำชับผู้บังคับบัญชาให้ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่าให้มีการติดเชื้อเพิ่ม

11) หน.หน่วย สำรวจอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ให้บกพร่อง

12) การรับอุปกรณ์มาเพิ่มใหม่ให้จัดทำเป็นงวดๆ โดยให้ใช้ในส่วนที่รับมาก่อนเป็นอันดับแรก

13) ศฝร.สตม. ให้จัดที่พักสำหรับแพทย์ และพยาบาลที่จะไปดูแลผู้ป่วย รวมถึงจัดห้องพักให้กับ จนท.ปอพ.ที่ไปเข้าเวรในหลาย ๆ ผลัดเนื่องจากเป็นผู้เสียสละ

14) ให้ บก.อก.สตม. จัดทำตารางประชุม หน.หน่วย หรือผู้แทน ในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน

ส่วนผู้ต้องกักที่อยู่ในความดูแล ปัจจุบันมี มีจำนวน  1,615 คน โดยถูกกักที่บางเขน จำนวน 490 คน ที่สวนพลูจำนวน 1,125 คน  ซึ่งผู้ที่ติด Covid19 ที่อยู่ในความดูแล มีทั้งสิ้น 393 คน (ชาย 370 คน,หญิง 23 คน) ถูกแยกกักตัว ณ รพ.สนามชั่วคราวในห้องกัก(บางเขน) โดย สตม. ได้จัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว สตม. ณ อาคารโรงยิมกองสวัสดิการ ตร. ในพื้นที่สโมสรตำรวจจัดตั้งขึ้นโดยการประสานความร่วมมือกับ รพ.ตร.(จัดส่งบุคลาการทางการแพทย์) กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ให้คำปรึกษา แนะนำและกำหนดมาตรฐานของการจัดตั้ง รพ.สนาม มาตรฐานของการตรวจควบคุมโรค สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และในส่วนของ กรุงเทพมหานครให้การสนับสนุนด้านการรักษาความสะอาด และสาธารณูปโภค

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างสูง

อนุทินย้ำ ! อย่าตกใจ ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งยันไม่ใช่ระลอก 3 แค่คลัสเตอร์เท่านั้น มั่นใจไม่กระจาย คาดให้อยู่โรงพยาบาลสนาม 10 วัน

วันที่ 23 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการประสานงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการตั้งโรงพยาบาลสนาม ที่สโมสรตำรวจถนนวิภาวดี ว่า ทางพล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.) ได้โทรศัพท์พูดคุยกับตนหลายวันแล้ว และได้มีการเตรียมความพร้อมการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ที่ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าเมืองมา 

ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุม และเป็นสิ่งที่ได้เตรียมการบริหารจัดการเป็นอย่างดี โรงพยาบาลสนามสามารถเกิดขึ้นมาได้ด้วยในระยะเวลาอันสั้น เชื่อว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีโรงพยาบาลตำรวจ และมีแพทย์ตำรวจ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขหากมีการร้องขอสิ่งใดมาเราก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน เบื้องต้นให้การแนะนำไปในเรื่องของแนวทางต่างๆว่าควรจะปฏิบัติต่อผู้ที่เรานำเขามารักษาในโรงพยาบาลสนามนั้นอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่เมื่อประชาชนทั่วไปเห็นตัวเลขรายวันที่เพิ่มขึ้นแล้วก็รู้สึกตกใจ นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ไม่แสดงอาการ ดังนั้นเมื่อเจอตัวเขาก็ต้องนำมารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม ถือเป็นการควบคุมโรคที่ปลอดภัยที่สุด บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนในวัยทำงาน อายุไม่มาก เมื่อไม่แสดงอาการเราก็ต้องใช้เวลาเป็นตัวรักษา เพราะถ้าไม่แสดงอาการเลยก็ไม่ต้องให้ยาฟาวิพิราเวีย แล้ว 10 วันเขาก็จะหายเอง โควิด-19 ก็เป็นอย่างนี้ มีส่วนที่แรง ส่วนที่เมื่อครบ 10 วันแล้วก็จากไปดื้อๆ 

"ตอนนี้อย่าไปดูยอดตัวเลข แต่ดูว่าการกระจายอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ไม่มีการกระจายอยู่เป็นคลัสเตอร์ เป็นที่ๆไป สะเก็ดไฟไปตรงไหนกรมควบคุมโรคก็สามารถตะครุบได้ ตอนนี้ยังไม่มีหลุด นี่คือโรคระบาดระดับโลก ก็ต้องมีแบบนี้ ยืนยันว่าอันนี้ไม่ใช่ระลอกสาม" นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่ามีการทำความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่โดยรอบสโมสรตำรวจอย่างไรหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามอยู่ภายในสโมสรตำรวจมีรั้วรอบขอบชิด และรอบข้างก็ไม่ได้มีชุมชนแต่อย่างใด ดังนั้นไม่ต้องกังวล และที่สำคัญบุคคลที่มารับการรักษานั้นไม่แสดงอาการ เพราะถ้ามีอาการเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นคนต่างชาติเราก็ต้องส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลัก เพื่อให้ได้รับการรักษาตามขั้นตอนทางการแพทย์ ตามความซับซ้อนของโรค 

ดังนั้นขอให้สบายใจในเรื่องนี้ได้ กรมควบคุมโรคอยู่กับสิ่งเหล่านี้มานานปีครึ่งแล้ว และคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนภายในประเทศเป็นหลัก และหากผ่านไปสองถึงสามสัปดาห์ก็ยิ่งไม่ต้องกังวนใจ เพราะอุปกรณ์ด่านหน้าทางการแพทย์ได้รับวัคซีนอย่างเต็มที่สามารถเข้าไปให้การดูแลใกล้ชิดในพื้นที่เสี่ยงได้มากเพิ่มยิ่งขึ้น เป็นขั้นตอนเป็นวิธีการที่เมื่อไม่มีวัคซีนก็อีกอย่างนึง แต่เมื่อมีวัคซีนแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง รวมถึงความพร้อมในเรื่องยา เรื่องการตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อเก็บโรงพยาบาลหลักเอาไว้ ใช้เมื่อจำเป็น

“ประยุทธ์” สั่งเดินหน้า “เมืองต้นแบบที่ 4” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องละเอียดรอบคอบ ในการ ขับเคลื่อน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สั่งการ” ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เดินหน้า ในการ ผลักดัน “เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ”เมืองต้นแบบที่ 4” มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป ตามมติ ครม. 7 พฤษภาคม 2562 โดยให้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เป็นฝ่ายอำนวยการ

เพราะได้มีการตรวจสอบในประเด็นของการ ร้องเรียนจาก กลุ่ม เอ็นจีโอ ที่ร้องเรียนถึงความไม่ถูกต้องในขบวนการต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ ที่เข้าไปดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ “เมืองต้นแบบที่ 4” ตาม มติ ครม. และตามคำสั่งของ นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร สุวรรณวงค์ ผู้เป็นประธาน กพต. ที่เป็นผู้เสนอโครงการสรุปว่า

เรื่องที่เอ็นจีโอร้องเรียนต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตรฯ ก็ดี เรื่องที่ ผู้ช่วยรัฐมนตรีสำนักนายก ที่เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากหน่วยงานของรัฐ ทั้งเรื่องของการ เปลี่ยนผังเมือง เรื่องของการออกโฉนดที่ดิน เรื่องของการรับฟังความคิดเห็น และการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ 3 ตำบล ของ อ.จะนะ ที่เป็นที่ตั้งโครงการ  มีการตรวจสอบแล้ว ว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จ อะไรเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้สั่งให้ เดินหน้า อย่างไม่ชักช้า

แสดงให้เห็นว่า เรื่องที่ถูก เอ็นจีโอ กล่าวหาต่อ หน่วยงานของรัฐทุกเรื่อง ทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ ศอ.บต. ที่ดินอำเภอ ที่ดินจังหวัด สำนักงานโยธาธิการ ไม่มีข้อเท็จจริง และแม้แต่การที่ สส.ฝ่ายค้านนำเรื่องนี้ ไปอภิปราย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ว่าเป็นผู้ “เอื้อ” ประโยชน์ ให้กับนายทุน ก็ไม่มีน้ำหนัก

หลังการอภิปราย เอ็นจีโอ และ กลุ่มผู้เห็นต่าง ในพื้นที่ อ.จะนะ ที่ต่อต้านโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ถึงขนาด ปล่อยข่าวว่า จะมีการย้าย พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายชนธัญ แสงพุ่ม ( ดร.เจ๋ง ) รองเลขาธิการ ศอ.บต. ออกจากพื้นที่ เพราะเชื่อมั่นว่าการ ร้องเรียนเพื่อ เอาผิด กับ ทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยว และการ อภิปรายของฝ่ายค้าน จะเป็น”หมัดเด็ด”นั้น  สลายเป็นอากาศธาตุในทันที ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีการสั่งการเดินหน้า ของ โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4”

และ หลังที่คำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูก”สื่อ”ส่วนกลาง นำเสนอ เอ็นจีโอ ในพื้นที่ก็มีการ ต่อสายกับ”เครือข่าย” และกลุ่มผู้ที่”เห็นต่าง” ในพื้นที่ เพื่อเตรียมการกำหนดแผนในการ ขับเคลื่อน เพื่อการต่อต้าน โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ต่อไป ซึ่งจะต้องติดตามว่า ครั้งนี้ เอ็นจีโอ และกลุ่มผู้เห็นต่าง จะใช้แผนอะไร ในการ ต่อต้าน เพื่อมิให้ โครงการนี้เดินหน้าเพราะเมื่อผลจากการสอบสวนในข้อร้องเรียนไม่เป็นจริง การที่จะต่อต้าน ย่อมขาดความชอบธรรม

วันนี้ กลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อการต่อต้าน “เมืองต้นแบบที่ 4” มีอย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มเก่า ที่เป็นผลผลิตของ เอ็นจีโอ ตั้งแต่การต่อต้าน โรงงานท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อ 20 ปีก่อน และกลุ่มที่ 2 ที่ปรากฏตัวแบบชัดเจน ไม่มีการเป็น”อีแอบ”แล้ว ในขณะนี้คือ กลุ่มของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เกิดขึ้นมา

ซึ่งหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบในเรื่องการทำความเข้าใจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายมวลชนของ”กลุ่มทุน” ต้องนับหนึ่งใหม่ ในการสร้างความเข้าใจ การให้รายละเอียดของโครงการ การรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ข้อเรียกร้อง ให้เป็นไปตาม ขบวนการ เพื่อสร้างความชอบธรรม และต้องทำให้”โปร่งใส” ครบถ้วนทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนแต่อย่าใด

ส่วนกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา นั้น เป็นกลุ่มใหม่ที่ต่อต้านโครงการนี้ ซึ่งอาจะมีปัญหาของความ”ไม่เข้าใจ” ปัญหาการ ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เห็นความสำคัญ และไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว  ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำความเข้าใจ ก็ต้องไปคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะแต่ละกลุ่ม มีความคิด ความเห็น ความต้องการ ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า หลังจากการเลือกตั้งท้องระดับเทศบาลผ่านไป สถานการณ์ในพื้นที่อาจจะนิ่งในระดับหนึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องของการเมืองท้องถิ่น ก็มีส่วนในการสร้าง ก๊ก สร้างกลุ่ม สร้างความขัดแย้งในพื้นที่ โดยมีโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” เป็น”เหยื่อ” เช่นกัน

บรรทัดนี้ จึงขอแสดงความยินดีกับ กลุ่มประชาชน และ องค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนให้”เมืองต้นแบบที่ 4” ที่ อ.จะนะ เดินหน้า เพราะต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และใกล้เคียง ที่จะได้รับประโยชน์ จากการเกิดขึ้นของ”เมืองต้นแบบที่ 4” แห่งนี้ เพื่อเปิดประตูของภาคใต้ไปสู่โลกภายนอก และนำเงินตราเข้าสู่ประเทศไทย เพราะวันนี้ ภาคใต้จะหวัง”พึ่งพา” อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ ผลผลิตทางการเกษตร ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเอง


ภาพ/ข่าว นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

"ครูใหญ่" นำ 16 แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น เข้ารายงานตัวต่อตำรวจขอนแก่นตามหมายเรียก ขณะที่ตำรวจวางกำลังเข้ม ด้านผู้ชุมนุมปิดถนน 1 ช่องทาง กางเต๊นท์ปักหลักรอผลการสอบสวน

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 22 มี.ค.2564 ที่ สภ.เมืองขอนแก่น นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ แกนนำกลุ่มขอนแก่นพอกันที นำแกนนำคณะราษฎรขอนแก่น รวม 16 คนเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ตามหมายเรียกให้ทั้ง 16 คนเข้ารายงานตัวในวันนี้ ท่ามกลางมาตรการป้องกันและรักษาความสงบของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอย่างเข้มงวด ด้วยกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนและปราบจราจลจำนวน 4 กองร้อยจาก จ.ขอนแก่น,กาฬสินธุ์ และ จ.มหาสารคาม วางกำลังโดยรอบ สภ.เมืองขอนแก่น และฝั่งตรงข้าม สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด

เนื่องจาก สภ.เมืองขอนแก่นตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งมีตลาด ร้านทอง สถาบันการศึกษา โรงรับจำนำ ที่มีประชาชนเดินทางมาใช้บริการอย่างคับคั่ง โดยมีการตรวจสอบคนเข้า-ออก สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด และไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่นอย่างเด็ดขาด ขณะที่ผู้ที่มาติดต่อราชการให้ผ่านได้ทางประตูด้านข้างโดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นกัน

และเมื่อแกนนำทั้ง 16 คนเดินทางมาครบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกแกนนำเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยเริ่มเหตุการการณ์ชุมนุมที่ สภ.ย่อย มข. เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ต่อด้วยเหตุการชุมนุม ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. และการชุมนุม ที่ สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ. โดยแกนนำทั้งหมดและทนายความได้เดินทางเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น โดยเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้ผู้ติดตามแกนนำเข้าไปร่วมรับฟังการสอบปากคำได้แบบ 1 ต่อ 1

โดยไม่อนุญาตผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาให้กำลังใจ ที่ไม่ได้เข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำการนำเต๊นท์มาตั้งบน ถ.กลางเมือง 1 ช่องทาง พร้อมทั้งการหมุนเวียนกันปราศรัยและรอติดตามการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวันในวันนี้ ซึ่งก่อนเดินทางเข้ารายงานตัวนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้มอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจกับเหล่าบรรดาแกนนำทั้งหมด

อย่างไรก็ตามขณะนี้แกนนำกลุ่มราษฎรขอนแก่นทั้ง 16 คน ประกอบด้วยนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่,นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือ เซฟ,นายชัยธวัช รามมะเริง,นายนิติกร ค้ำชู,นายกรชนก แสนประเสริฐ,นายพชร สารธิยากุล,นายธนศักดิ์ โพธิเตมิย์,นายวีรภัทร ศิริสุนทร,นายภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์,นายศรายุทธ นาคมณี,น.ส.จตุพร แซ่อึง,นายเชษฐา กลิ่นดี,นายศิวกร นามนวด,นายเจตน์สฤษดิ์ นามโคตร,นายอิศเรษฐ์ เจริญคง และ น.ส.วิศัลยา งามนา อยู่ในระหว่างการสอบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ขณะที่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักหน้า สภ.เมืองขอนแก่น ต่อไป ท่ามกลางมาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนและปราบจราจล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบที่กระจายกำลังอยู่โดยรอบสถานที่ชุมนุม และ สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด

จันทุบรี จัดกิจกรรม วัน อปพร.ประจำปี 2564 ยกย่องเชิดชูคุณงามความดีของผู้เสียสละช่วยเหลือสังคม พร้อมสาธิตการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณะภัย และอุบัติเหตุรถแก๊สไฟไหม้

บ่ายวันนี้ ( 22 มี.ค.64 ) ที่ลานองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ศูนย์ ปภ.เขต 17  จันทบุรี และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรีเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม วัน อปพร.ประจำปี 2564 พร้อมทั้งสาธิต ฝึกซ้อมการใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ในที่สูงด้วยรถดับเพลิงหอน้ำ สาธิตการใช้รถดับไฟป่า และการจำลองเหตุการณ์อุบัติเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ อปพร.ในการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยชีวิตผู้ประสบภัย โทรสายด่วน 199 และ สายด่วน 1669 การดับเพลิงเบื้องต้น การกันประชาชนออกจากจุดเกิดเหตุป้องกันภัยลุกลาม

โดยนายอลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นำหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมชมการสาธิต และเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ หลังจากนั้น รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนเนื่องในวัน อปพร.และอ่านสารจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งทุกวันที่ 22 มีนาคม ของปีถือเป็นวันสำคัญของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน โดยศูนย์ อปพร. กลาง กำหนดให้เป็น “วันอปพร.” เพื่อยกย่องเชิดชูคุณงามความดีของ อปพร. ที่ได้เสียสละอุทิศ กำลังกาย กำลังใจและความรู้ ความสามารถที่มี เข้ามาช่วยเหลือสังคมภายใต้อุดมการณ์ “เมตตา กล้าหาญ” โดยมิได้หวังผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนใดๆ จนเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม

 

ปัจจุบัน อปพร.ถือเป็นพลังภาคประชาชนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุน ผลักดันนโยบายของรัฐบาล ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ด้วยความมุ่งมั่น อดทนและเสียละเพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างความปลอดภัยให้สังคม โดยการจัดกิจกรรมวันนี้ มีผู้บริหารศูนย์ อปพร. / เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ / ผู้นำ อปพร.และสมาชิก จากจังหวัด ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และ จังหวัดตราด ร่วมกิจกรรมรวม 270 คน


ภาพ/ข่าว : จรัล บรรยงคเสนา (ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี) / นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top