Wednesday, 2 July 2025
LITE TEAM

พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมายทั่วประเทศ แต่หากถามว่า มีพระพุทธรูปแห่งไหนที่สูงและมีขนาดใหญ่ที่สุด ต้องยกให้ ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 30 ปีก่อน ถือเป็นวันแรกที่มีการสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญนี้

กล่าวสำหรับ พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ หรือที่ชาวบ้านในพื้นที่เรียกจนติดปากว่า ‘หลวงพ่อใหญ่’ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดม่วง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นโดยดำริของ พระครูวิบูลอาจารคุณ เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วงนั่นเอง

พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 รวมระยะเวลากว่า 16 ปี โดยเป็นพระพุทธรูปที่มีความสูงจากฐานองค์พระถึงยอดเกศา 95 เมตร หรือเทียบเท่าตึก 40 ชั้น และมีความกว้างของหน้าตักอยู่ที่ 63.05 เมตร ซึ่งหากเดินรอบองค์พระ ต้องใช้เวลากว่า 3 นาที

ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการยกให้เป็น พระพุทธรูปที่สูงที่สุดในประเทศไทย และยังจัดเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของโลกอีกด้วย ทั้งนี้พระครูวิบูลอาจารคุณ ผู้ที่มีส่วนในการสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญนี้ มิได้อยู่ร่วมในวันที่สร้างเสร็จ เนื่องจากมรณภาพลงเสียก่อน แต่ท่านก็เป็นผู้ที่ให้ชื่อพระพุทธรูปว่า พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ

โดยเจตนารมย์ของการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ เพื่ออุทิศให้แก่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบัน ‘หลวงพ่อใหญ่’ ได้กลายเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำจังหวัด เป็นสถานที่กราบสักการะของคนในพื้นที่ และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ


ที่มา: https://th.wikipedia.org/พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ

พีค of the week EP.9

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์โควิด – 19 มีสัญญาณดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะที่จังหวัดสมุทรสาคร ต้นตอการระบาดระลอกใหม่ เริ่มมีการปิดโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง รวมถึงที่ตลาดกลางกุ้ง สถานที่แพร่เชื้อเมื่อปลายปีก่อน ก็กลับมาเปิดทำการใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดถือเป็นเรื่องราวดี ๆ แต่ก็มีที่ ‘ร้อนแรง’ เหมือนเดิม คือเหล่าบรรดาม็อบ ที่ยังคงรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง

.

และที่ร้อนสุดประจำสัปดาห์ที่แล้ว คงต้องยกให้กับข่าว แอมมี่ The Bottom Blues ที่ออกมาเผาทรัพย์สินหน้าเรือนจำคลองเปรม ทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ใน พีค of the week ไปย้อนชมความร้อนแรงกันได้เลย Let’s go!!

.

วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เกิดข่าวใหญ่ที่ผู้คนทั่วโลกต่างติดตาม เมื่อมีข่าวว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH 370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผ่านมาแล้วถึง 7 ปี ผลของการค้นหา ก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เครื่องบินลำนี้ ได้หายไปไหน?

มาเลเซียแอร์ไลน์ MH 370 ทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเดินทางไปที่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน แต่หลังจากที่บินอยู่เหนือทะเลจีนใต้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง เครื่องบินก็หายไปจากจอเรดาร์ของผู้ควบคุมจราจรทางอากาศ

มาเลซียแอร์ไลน์ MH 370 ลำนี้ บรรทุกผู้โดยสาร 227 คน จาก 15 ชาติ และมีลูกเรืออีก 12 ชีวิต ทั้งหมดได้หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ในระยะแรก ทีมค้นหาจะออกทำการค้นหาชนิดที่เรียกว่า ‘พลิกมหาสมุทร’ โดยขยายวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ทะเลอันดามัน อ่าวเบงกอล และมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ จนเรียกว่าเป็นการค้นหาเครื่องบินหายที่กินพื้นที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์

แต่จนแล้วจนรอด ทีมค้นหาก็ไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่า เครื่องบินน่าจะประสบอุบัติเหตุ และตกลงที่ใด สิ่งที่พบเป็นเพียงแค่ เศษซากบางส่วนของเครื่องบิน ซึ่งยังมีความน่างุนงงยิ่งกว่า เนื่องจากแต่ละจุดที่พบเศษซากนั้น อยู่ห่างไกลกัน จนแทบจะเชื่อมโยงหาที่มาที่ไปไม่ถูก

นับถึงวันนี้ ยังมีการคาดการณ์ถึงสาเหตุของการหายสาบสูญไปในหลายทฤษฎี อาทิ การถูกจี้ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเกิดจากความดันอากาศบนเครื่องอาจทำงานผิดพลาด จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งอาจเกิดเพลิงไหม้สายไฟที่ใช้ควบคุมการบิน จนทำให้เครื่องบินบินออกนอกเส้นทาง และตกลงกลางมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ในที่สุด

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดว่า เหตุใดเครื่องบินถึงเกิดอุบัติเหตุ และที่สำคัญ ร่องรอยหลักฐานขนาดใหญ่ ที่บ่งชี้ว่า เป็น MH 370 และจุดเกิดเหตุจริงๆ นั้น ก็ยังไม่สามารถสรุปยืนยันได้จนถึงวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าบรรดาญาติของผู้ประสบเหตุ ก็ยังเฝ้ารอคำตอบที่แท้จริง ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานสักแค่ไหนก็ตาม


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/มาเลเซียแอร์ไลน์_เที่ยวบินที่_370, https://www.thairath.co.th/news/auto/news/1997157

ชวนไหว้ขอพร - แก้ปีชง ณ ศาลเจ้านาจา หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ จังหวัดชลบุรี นอกจากการแก้ปีชง แนะนำให้มาไหว้ขอพรองค์เทพประจำปีเกิด เสริมพลังชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล

วันนี้เราจะพาทุกท่านไปเยี่ยมชม ศาลเจ้านาจา จ.ชลบุรี ที่นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องการแก้ปีชงแล้ว ยังมีองค์เทพประจำปีนักกษัตร ไว้ให้สักการะ โดยในปีนักกษัตรใหม่นี้จะมีดาวดี ดาวร้าย หรือดาววิบาก “神煞”(สิ่งสั่วะ) ใดบ้าง? ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าประจำปีองค์ใด? เพื่อเสริมส่งพลังชีวิตให้มีแต่ความสุขความเจริญ การงานราบรื่น ประสบแต่ความสำเร็จ อุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่คลี่คลาย จากร้ายกลายดี มีโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง ปราศจากโรคร้ายภัยเวร ปกติสุขสมดั่งปรารถนาตลอดทั้งปี ไปติดตามกันค่ะ

หากพูดถึงชลบุรี ก็คงหนีไม่พ้นทะเลบางแสน แต่จะบอกว่าที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล เพราะวันนี้เราจะชวนทุกคนไปที่ ศาลเจ้านาจา หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท่จื้อ ตั้งอยู่ที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี ไม่ไกลจากชายหาดบางแสนมากนัก

ศาลเจ้านาจา เดิมเป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ ด้วยความเคารพศรัทธาของผู้ที่มากราบไหว้ด้วยเชื่อกันว่าให้โชคทางด้านการค้า ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกพัฒนาปรับปรุงเรื่อยมา จนปัจจุบันเป็นศาลเจ้าจีนที่ใหญ่โตสวยงามตระการตา

ศาลเจ้านาจา สร้างด้วยศิลปะแบบจีน มีองค์เทพเจ้าปางต่างๆ มากมายให้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล คนส่วนใหญ่ที่มากราบไหว้ มักมาขอเกี่ยวกับหน้าที่การงาน

ชุดของไหว้แก้ปีชง ของศาลเจ้านาจา โดยศาลเจ้าแห่งนี้มีความโดดเด่นมากด้านการมาแก้ปีชง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐาน องค์เทพเจ้าครบทุกพระองค์ ตามความเชื่อแบบจีน

ผู้ที่เกิดปีชวด  :  มีดาวดี “太陽”(ไท้เอี้ยง) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太陽星君” (ไท้เอี้ยงแชกุง)

(อยู่ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีจอ    :   มีดาวดี “太陰”(ไท้อิม)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太陰星君”(ไท้อิมแชกุง)

(ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีฉลู   :    มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太歲爺” (ไท้ส่วยเอี๊ย)ประจำปี 2564 ที่ทรงพระนามว่า “楊信大星軍”(เอี่ยสิ่งไตแชกุง)

ผู้ที่เกิดปีมะแม  :  มีดาวร้าย “歲破”(ส่วยผั่ว) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太歲爺” (ไท้ส่วยเอี๊ย) ประจำปี 2564 ที่ทรงพระนามว่า “楊信大星軍”(เอี่ยสิ่งไตแชกุง)

(ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีขาล   :  มีดาวร้าย “病符”(แป่ฮู้) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “華陀仙師” (หั่วท้อเซียงซือ)

(นอกอาคาร จุดที่ 9)

ผู้ที่เกิดปีเถาะ  :   มีดาวร้าย “天狗”(เทียงเก้า) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “華光大帝” (หั่วกวงไต่ตี่)

(นอกอาคาร จุดที่ 9)

ผู้ที่เกิดปีมะโรง  :  มีดาวดี “天德”(เทียงเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “伯公” (แป๊ะกง)

ผู้ที่เกิดปีมะเมีย : มีดาวดี “龍德”(เหล่งเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “伯公” (แป๊ะกง)

(นอกอาคาร จุดที่ 11)

ผู้ที่เกิดปีมะเส็ง  : มีดาวร้าย “白虎”(แป๊ะโฮ้ว) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “玄天上帝” (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่)

ผู้ที่เกิดปีกุน   :    มีดาวร้าย “喪門”(ซึงมึ้ง)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “玄天上帝” (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่)

(นอกอาคาร จุดที่ 16)

ผู้ที่เกิดปีวอก  :   มีดาวดี “月德”(หง่วยเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “觀世音菩薩”(กวนซืออิมผู่สัก) พระโพธิสัตย์เจ้าแม่กวนอิม

(นอกอาคาร จุดที่ 10)

ผู้ที่เกิดปีระกา  :   มีดาวร้าย “五鬼”(โหงวกุ้ย)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “文昌帝君”(บุ่งเชียงตี่กุง)

(นอกอาคาร จุดที่ 15)


เพจศาลเจ้า

https://www.facebook.com/ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ-อ่างศิลา-哪吒三太子宮-179019442244980/

‘สะพานซังฮี๊’ ชาวกรุงเทพคุ้นหูกันเป็นอย่างดี โดยสะพานแห่งนี้ มีชื่อเต็มว่า ‘สะพานกรุงธน’ ถูกสร้างขึ้นมากว่า 63 ปีแล้ว และวันนี้ในอดีต ถือเป็นวันแรกที่มีการเปิดใช้สะพานแห่งนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสัญจรของผู้คน

สะพานกรุงธน เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณถนนราชวิถี เชื่อมระหว่างแขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กับแขวงบางพลัดและแขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร แรกเริ่มเดิมที ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสะพานที่ช่วยผ่องถ่ายความหนาแน่นการจราจรจากสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และเชื่อมต่อผู้คนจากฝั่งพระนครกับฝั่งธนเช่นเดียวกัน

โดยสะพานกรุงธนเริ่มต้นก่อสร้างเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2497 มาแล้วเสร็จและเปิดการจราจรได้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2501 เดิมผู้คนเรียกติดปากว่า สะพานซังฮี๊ โดยคำว่า ซังฮี๊ แปลว่า ความยินดี และเป็นชื่อถนนด้านหลังพระราชวังดุสิต ซึ่งเป็นชื่อที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทานนาม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ ถนนราชวิถี

แต่ชาวบ้านในละแวกนั้น ยังคุ้นเคยกับคำว่า ซังฮี๊ จนเมื่อมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านดังกล่าว จึงเรียกกันเองว่า สะพานซังฮี๊ กระทั่งเมื่อสะพานสร้างเสร็จ รัฐบาลจึงประกาศให้สะพานมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สะพานกรุงธน

เวลาผ่านมา 63 ปี ปัจจุบัน สะพานกรุงธน ยังคงเป็นสะพานที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้ผู้คนได้สัญจรไปมาตลอดสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่เช่นเดิม นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของความเป็นกรุงเทพ ที่เมื่อนึกถึงสะพานที่มีโครงเหล็กอันสวยงาม ตั้งตระหง่านเหนือแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้คนก็มักจะนึกถึงชื่อ สะพานกรุงธน นี่เอง


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สะพานกรุงธน

วันนี้เมื่อ 339 ปีก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 คือวันที่ ‘หลวงปู่ทวด’ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด’ มรณภาพลง ขณะพำนักที่ ไทรบุรี ประเทศมาเลเซีย

สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ หรือ หลวงปู่ทวด เป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่ทวด มีความเชื่อกันว่า พระเครื่องที่สร้างเนื่องด้วยท่าน จะมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองผู้ที่บูชาได้

ตามประวัติที่เผยแพร่สืบต่อกันมายาวนาน หลวงปู่ทวด มีนามเดิมว่า ปู เป็นชาวสงขลา เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัด ’วัดกุฎีหลวง’ หรือ ‘วัดดีหลวง’ ด้วยความที่เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ท่านสมภารจึงได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสือที่สูงขึ้น จนเมื่ออายุครบอุปสมบท ท่านจึงได้บรรพชาเป็นพระสงฆ์ จากนั้นก็ได้ศึกษาวิชาจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ จนมีความรู้และเป็นผู้ทรงอภิญญามาก เคยแสดงปาฏิหาริย์หลายครั้งจนเป็นที่เลื่องลือ

โดยเฉพาะปาฏิหาริย์ ‘เหยียบน้ำทะเลจืด’ เป็นเหตุการณ์ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ จ.สงขลา ท่านถูกโจรสลัดจีนที่แล่นเรือเลียบชายฝั่ง จับขึ้นเรือไป แต่ปรากฎว่า เรือลำดังกล่าวแล่นต่อไปไม่ได้ และต้องจอดอยู่อย่างนั้นหลายวันหลายคืน เวลาผ่านไป โจรสลัดจีนบนเรือขาดน้ำจืดในการบริโภคอย่างหนัก

เมื่อถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงแสดงปาฏิหาริย์เหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลง แล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล เมื่อยกเท้าขึ้นมา ท่านก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำมาดื่ม แม้จะไม่เชื่อ แต่สุดท้ายโจรก็ตักขึ้นมา ปรากฎว่า น้ำทะเลเค็มจัดกลับกลายเป็นรสชาติจืดอย่างน่าอัศจรรย์!

ภายหลังกลุ่มโจรพากันกราบไหว้ขอขมา แล้วนำท่านล่องเรือกลับขึ้นฝั่งทันที ตำนานนี้ถูกเล่าสืบต่อกันมายาวนาน ซึ่งต่อมามีการเผยแพร่สถานที่ดังกล่าวด้วยว่า เป็นบ่อน้ำจืดกลางทะเล บริเวณเกาะนุ้ย จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

กระทั่งเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 หลวงปู่ทวดมรณภาพลงเมื่ออายุครบ 100 ปี ที่เมืองไทรบุรี ซึ่งเดิมเคยเป็นหัวเมืองทางใต้ของไทย ภายหลังการมรณภาพ ลูกศิษย์ลูกหาได้ทำตามสิ่งที่หลวงปู่ได้สั่งเสียไว้ โดยเคลื่อนย้ายสังขารกลับมาจนถึง จ.ปัตตานี โดยผ่านเส้นทางพักการเคลื่อนย้าย จากมาเลเซียถึงปัตตานีเป็นจำนวน 18 จุด

ซึ่งจุดที่ 18 เป็นสถานที่ฌาปนกิจศพ นั่นคือ วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี โดยปัจจุบัน วัดช้างให้ หรือวัดราษฎร์บูรณะ ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ประชาชนมักเดินทางมากราบไหว้ สักการะ รวมไปถึง วัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีรูปปั้นหลวงปู่องค์ใหญ่ ก็เป็นอีกแห่งที่มีประชาชนเดินทางมากราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/364626

ในวงการพุทธศาสนาไทยในอดีต มีสมณสงฆ์ชื่อดังอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้น คือ พระราชสังวราภิมณฑ์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘หลวงปู่โต๊ะ’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 40 ปีก่อน เป็นวันที่พระครูผู้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายท่านนี้ ได้ละสังขารลง

พระราชสังวราภิมณฑ์ หรือ หลวงปู่โต๊ะ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยท่านเป็นพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ด้วยวัตรปฏิบัตอันงดงาม และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธทุกชนชั้น

หลวงปู่โต๊ะ เกิดเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2430 บวชเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2447 กระทั่งเมื่ออายุครบ 20 ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นภิกษุสงฆ์ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 ณ วัดประดู่ฉิมพลี นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาปฏิบัติธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี จนต่อมาเมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 จึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี

หลวงปู่โต๊ะ ถือเป็นพระสงฆ์ที่มีศีลวัตรปฏิบัติอันงดงาม รวมถึงมีกริยามารยาทงดงาม และมีความเมตตากรุณาต่อทุกสรรพสิ่งมีชีวิต แต่อีกชื่อเสียงหนึ่งที่เป็นที่ร่ำลือ คือท่านสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้

เมื่อครั้งที่หลวงปู่โต๊ะยังมีชีวิตอยู่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในปฏิปทาและจริยาวัตรของหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง

กระทั่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2524 หลวงปู่โต๊ะถึงแก่มรณภาพลง รวมสิริอายุได้ 93 ปี 73 พรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญศพไปตั้งที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตร พระราชทานเกียรติยศศพเป็นพิเศษ เสมอพระราชาคณะชั้นธรรม พระราชทานโกศโถบรรจุศพ พร้อมฉัตรเบญจาเครื่องประกอบเกียรติยศครบทุกประการ และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่การศพโดยตลอด

นับถึงวันนี้ กว่า 40 ปีมาแล้ว แต่ชื่อเสียงของหลวงปู่โต๊ะ ก็ยังคงถูกเอ่ยถึง ในฐานะของพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม ควรค่าและเป็นตัวอย่างอันดีแก่ภิกษุสงฆ์รุ่นหลัง ให้ได้ยึดถือ และประพฤติปฏิบัติในศีลวัตรอันงดงามเหล่านี้


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชสังวราภิมณฑ์_(โต๊ะ_อินทสุวณโณ)

 

รู้จัก ‘แอมมี่ The Bottom Blues’ ในเชิงลึก ด้วยตัวเลขที่สะท้อนตัวตนเหล่านี้

หากมีเครื่องตรวจจับวัดอุณหภูมิ และลองเอาชื่อ ‘แอมมี่ The Bottom Blues’ ไปทาบที่ตัวเครื่อง คาดว่า ตัวเลขที่ออกมาคงสูงปรี๊ด!

ตามรายงานข่าว ‘แอมมี่’ หรือ ‘นายไชยอมร’ ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด ในข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการก่อเหตุวางเพลิงหน้าเรือนจำคลองเปรม รวมถึงเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ทางคดีความกันต่อไป

แต่สิ่งที่เหนือไปกว่ารูปคดี เวลานี้สังคมต่างกำลังพูดถึง ‘พฤติกรรม’ ของผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะทางลบ หรือทางบวก จะให้กำลังใจ หรือจะด่าทอ ทั้งหมดเป็นสิทธิ์ของทุก ๆ คน แต่ไม่ว่าจะเป็นไปในทางใด สิ่งที่จะทำให้ ‘สังคม’ อยู่ได้ คือการเคารพตัวบทกฎหมาย ที่เป็นกติการ่วมกัน

THE STATES TIMES รวบรวม ‘ตัวเลข’ ที่เกี่ยวข้องกับศิลปินรายนี้ เพื่อสะท้อนตัวตนของเขา ผู้ชายที่ ‘ร้อน’ กว่าอุณหภูมิของเดือนมีนาคมนี้ มาให้ทราบกัน

วันนี้ถูกยกให้เป็น ‘วันไทยอาสาป้องกันชาติ’ เป็นวันที่คนไทยรุ่นหลัง จะได้ร่วมรำลึกถึงเกียรติยศและความเด็ดเดี่ยวของ ‘ท้าวสุรนารีและนางสาวบุญเหลือ’ สองวีรสตรีที่ร่วมกันปกป้องอธิปไตยของชาติ ให้พ้นจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู

ย้อนกลับไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ ได้ยกกองทัพเข้าแผ่นดินไทย จนมาถึงเมืองนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์สามารถกวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลยขึ้นไปยังเวียงจันทน์มากมาย ซึ่งในจำนวนเชลยนั้น มีคุณหญิงโม และนางสาวบุญเหลือ รวมอยู่ด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณหญิงโม ร่วมกับ นางสาวบุญเหลือ และหลวงณรงค์สงคราม หัวหน้าชาวเมือง ได้สร้างวีรกรรม ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ โดยได้ออกกลอุบายเลี้ยงสุราอาหารแก่ทหารลาว จนเมื่อเมามาย จึงแย่งอาวุธโจมตีเหล่าทหารลาวเป็นการตลบหลัง

ทางด้านนางสาวบุญเหลือ ที่ต้องต่อสู้กับ เพี้ยรามพิชัย ขณะที่กำลังเสียท่าและวิ่งหนี นางสาวบุญเหลือตรงเข้าไปคว้าฟืนในกองไฟ แล้วตัดสินใจวิ่งเข้าไปบริเวณกองเกวียนที่บรรทุกกระสุนดินดำ ชั่ววินาทีที่เพี้ยรามพิชัยจะถึงตัว นางสาวบุญเหลือก็เอาฟืนจุดเข้าไปที่ถุงดินปืน เกิดระเบิดกองใหญ่ ส่งผลให้เพี้ยรามพิชัย และทหารลาวมากมาย รวมทั้งตัวนางสาวบุญเหลือ เสียชีวิตในทันที

เรื่องเล่าแห่งความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวในวีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ ถูกถ่ายทอดและอยู่ในความทรงจำของลูกหลานชาวนครราชสีมาตลอดมา ต่อมาทางราชการ จึงได้ถือเอาวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันไทยอาสาป้องกันชาติ ทั้งนี้ถือเป็นการร่วมสดุดีคุณหญิงโม นางสาวบุญเหลือ ตลอดจนบรรพชนที่ได้ร่วมกันเสียสละชีวิต ปกป้องแผ่นดินของชาติในอดีต

โดยปัจจุบัน นอกจากอนุสาวรีย์ย่าโม ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ของสามัญชนสตรีคนแรกของประเทศ ที่ตั้งอยู่ที่เมืองโคราชแล้ว ยังมีอนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ ที่ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ด้วยเช่นกัน โดยวันนี้ของทุก ๆ ปี ประชาชนจะมาร่วมกันสักการะ วางพวงมาลา และเปลี่ยนผ้าตะเบงมานตามสีแห่งปี ให้กับเหล่าวีรสตรีผู้กล้า เพื่อเป็นการสดุดีในวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ได้ทำเพื่อชาติบ้านเมือง


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/regional/785630, https://th.wikipedia.org/wiki

เปิดไทม์ไลน์ ‘นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี’ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร จากวันแรกของการติดโควิด -19 สู่วันที่กำลังจะหายเป็นปกติ ได้เวลา #คืนปูสู่สาคร

ในความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ของบ้านเมืองเวลานี้ ใครรักใคร ใครไม่รักใคร ใครรบกับใคร ใครฉี่ใส่ใคร แต่เชื่อเหลือเกินว่า คนไทย #รักและส่งกำลังใจให้ ‘ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร’ อย่างแน่นอน เพราะนับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ในการแถลงสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ระลอกใหม่ ที่ ต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร คนไทยก็ได้ทำความรู้จักกับนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ในฐานะผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมแถลงการณ์ในวันนั้น

แต่ผ่านไปแค่สัปดาห์เดียว จาก ‘ผู้แถลงการณ์’ กลับกลายเป็น ‘ผู้ป่วย’ หลังจากลุยงานหนัก ลงพื้นที่เสี่ยง จนกลายเป็นผู้ติดโรคโควิด -19 เสียเอง และนั่นคือวันแรกที่ผู้คนต่างส่งแรงใจ ให้ ‘ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร’ หายป่วยกลับมาโดยไว แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างนั้น ด้วยวัยและร่างกาย ทำให้โควิด – 19 เข้าไปทำร้ายปอด จนทำให้เกิดอาการวิกฤติอยู่หลายครั้งหลายครา

แต่จากวันที่สิ้นหวัง ผู้คนต่างสวดมนต์ให้กำลังใจกับพ่อเมืองสมุทรสาคร ปาฏิหาริย์ก็มีจริง เมื่อทีมแพทย์สามารถรักษาร่างกายของผู้ว่าฯ ให้ค่อย ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง และเมื่อไม่กี่วันมานี้ ข่าวดีก็เกิดขึ้นจนได้ ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ กลับมาเดินได้เอง พูดคุยสื่อสารได้เป็นปกติ อาการป่วยหายไปกว่า 90% ถึงตรงนี้ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การกล่าวคำว่า ขอแสดงความยินดี และขอขอบคุณทีมงานแพทย์ทุก ๆ ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ตอกย้ำให้รู้ว่า #ทีมแพทย์ไทยเก่งไม่น้อยกว่าใครในโลก

เพราะมีชื่อเล่นว่า ปู จึงเป็นที่มาของภารกิจ #คืนปูสู่สาคร แต่ก่อนที่ภารกิจนี้จะเกิดขึ้น THE STATES TIMES รวบรวมไทม์ไลน์ เพื่อย้อนกลับไปดูถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา กว่า 2 เดือนเศษที่ต้องต่อสู้ วันนี้ใกล้ถึงเวลา #คืนปูสู่สาคร พร้อมกล่าวคำว่า ขอแสดงความยินดี อีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top