Monday, 13 May 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

เปิดความจริง!! กองกำลังอิสราเอลในฉนวนกาซา ส่วนหนึ่งเป็นทหารรับจ้าง ‘มิใช่’ แรงงานไทยผันตัว

ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ปรากฏมีภาพที่ระบุว่า เป็นชายไทยในชุดเครื่องแบบทหารสังกัด IDF (Israel Defense Forces) หรือกองกำลังป้องกันอิสราเอล โดยมีข่าวประกอบว่าเป็นแรงงานไทยซึ่งสมัครเป็นทหารรับจ้าง (Mercenaries) ให้กับอิสราเอล

ต่อมาในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงต่างประเทศของไทยได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวเรื่องแรงงานไทยสมัครเป็นทหารรับจ้างให้กับอิสราเอลดังนี้ 

“กรณีที่มีกระแสข่าวในโลกโซเชียลว่ามีแรงงานไทยไปเป็นทหารให้แก่ฝ่ายอิสราเอลในช่วงสถานการณ์อิสราเอล-กาซา นั้น ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า มีคนไทยที่เป็นลูกครึ่งไทย-อิสราเอลไปเป็นทหารกองหนุนให้อิสราเอลจริง แต่ไม่ใช่พี่น้องแรงงานไทยแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นอกเหนือจากแรงงานไทยในภาคเกษตรกรรมในอิสราเอลแล้ว ยังมีหญิงไทยจำนวนหนึ่ง (ประมาณ 400 - 500 คน) ที่แต่งงานกับคนอิสราเอล และมีบุตรซึ่งถือ 2 สัญชาติ คือทั้งสัญชาติไทยและอิสราเอล ซึ่งตามกฎหมายอิสราเอล บุคคลสัญชาติอิสราเอลทุกคน (ทั้งหญิงและชาย) จะต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารเมื่ออายุครบ 18 ปี 

โดยผู้ชายมีระยะเวลารับราชการทหาร 32 เดือน และผู้หญิงมีระยะเวลารับราชการทหาร 24 เดือน และเมื่อเสร็จสิ้นระยะเวลาเกณฑ์ทหารดังกล่าวแล้ว ทุกคนจะถูกบรรจุเข้าเป็นทหารกองหนุน ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ทหารหากถูกเรียกจากกองทัพอิสราเอล

ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 กองทัพอิสราเอลได้เรียกทหารกองหนุนจำนวนกว่า 350,000 คน หรือประมาณร้อยละ 4 ของประชากรอิสราเอลทั้งหมด เข้าปฏิบัติหน้าที่ ถือได้ว่าเป็นการเรียกทหารกองหนุนครั้งใหญ่ที่สุดของอิสราเอล จึงย่อมมีลูกครึ่งไทย-อิสราเอลที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ทหารกองหนุนตามกฎหมายอิสราเอล มิใช่แรงงานไทยที่แฝงตัวไปเป็นทหารรับจ้างให้แก่อิสราเอลตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด 

ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศ จึงขอความร่วมมืออย่าเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข่าวที่อาจทำให้สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนทั้งไทยและต่างประเทศ” 

หมวก Kippah 

จากภาพดังกล่าวจะเห็นว่า ชายหนุ่มในภาพหน้าตาคล้ายชาวเอเชีย และหลายคนสวมใส่หมวก Kippah อันเป็นหมวกผ้าใบเล็ก ๆ ซึ่งสวมใส่เฉพาะชายที่นับถือศาสนา Judaism เท่านั้น ดังนั้นบรรดาชายในภาพจึงน่าจะเป็นลูกครึ่งเอเชีย-อิสราเอล หรืออาจจะเป็นลูกติดของหญิงเอเชียที่แต่งงานกับชายอิสราเอล ต่อมาได้รับสัญชาติอิสราเอล และต้องทำหน้าที่ของพลเมืองอิสราเอลตามกฎหมาย 

ชาวจีนเชื้อสายยิว (Kaifeng Jews) ในเมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน

นอกจากนั้นแล้วในอิสราเอลยังมีชาวจีนเชื้อสายยิว (Kaifeng Jews) อยู่อีกจำนวนหนึ่งด้วย โดยไปจากชุมชนเล็ก ๆ ที่มีผู้สืบเชื้อสายมาจากชาวจีนเชื้อสายยิว ในช่วงศตวรรษแรกของการตั้งถิ่นฐานอาจมีสมาชิกประมาณ 2,500 คน แม้ว่าพวกเขาจะแยกตัวออกจากชาวยิวพลัดถิ่นส่วนที่เหลือ แต่บรรพบุรุษของพวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตามประเพณีและขนบธรรมเนียมของชาวยิวมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ วิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนชาวจีนเชื้อสายยิวค่อย ๆ เสื่อมสลายหายไป เนื่องจากการหลอมรวมและการแต่งงานระหว่างชาวยิวเชื้อสายจีนใกับชาวจีนฮั่นและชาวจีนฮุย 

จนกระทั่งเมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ความเป็นยิวก็แทบจะหมดไป นอกเหนือจากการเก็บรักษาความทรงจำเกี่ยวกับอดีตความเป็นชาวจีนเชื้อสายยิวในตระกูลของตน ปัจจุบันน่าจะเหลือสมาชิกในจีนอยู่ราว 600-1,000 คน และอพยพไปอยู่อิสราเอลไม่กี่สิบคน

มีข่าวจาก www.middleeastmonitor.com ระบุว่า IDF ได้ใช้ทหารรับจ้างต่างชาติเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติการในฉนวนกาซาที่ถูกปิดล้อม ตามรายงานจาก El Mundo สื่อใหญ่ของสเปน

ภาพถ่ายไม่ระบุวันที่นี้ของ Pedro Diaz Flores ทหารรับจ้างชาวสเปนซึ่งเข้าร่วมกองกำลังอิสราเอล เคียงข้างเพื่อนร่วมงานที่จุดตรวจตามแนวรั้วที่กั้นดินแดนที่ถูกยึดครองกับฉนวนกาซา

ในบรรดาทหารรับจ้างต่างชาตินั้น มีทหารรับจ้างชาวสเปนที่เคยต่อสู้เคียงข้างนีโอนาซีชาวยูเครนหลังจากการรุกรานของรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว Pedro Diaz Flores ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว แต่เขายังมีชีวิตสบายดี

ตามรายงานของสื่อที่ทำการสัมภาษณ์เขา “ผมมาเพื่อเงิน พวกเขาจ่ายดีมาก มีอุปกรณ์ดี และงานก็ใช้ได้ เงินก็ดีด้วย 3,900 ยูโร (4,187 ดอลลาร์) ต่อสัปดาห์ นอกเหนือจากภารกิจเสริม” Flores กล่าวถึงแรงจูงใจในการเข้าร่วมกองกำลัง IDF

อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่า เขาสู้รบในที่ราบสูงโกลันที่ถูกยึดครอง “เราให้การสนับสนุนด้านความปลอดภัยแก่ขบวนรถติดอาวุธหรือกองกำลังของกองทัพอิสราเอลที่อยู่ในฉนวนกาซาเท่านั้น เราไม่ได้ต่อสู้กับกลุ่มฮามาสโดยตรง และไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการจู่โจม”

“เรามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของจุดตรวจและการควบคุมการเข้าถึงบริเวณชายแดนฉนวนกาซาและจอร์แดน มี PMC [Private Mercenaries Companies : บริษัททหารรับจ้างเอกชน] จำนวนมาก ที่นี่และพวกเขาแบ่งปันงานกัน ปกติแล้วพวกเขาจะทำหน้าที่คอยคุ้มกันอาคารผู้โดยสารชายแดนระหว่าง Eliat และ Aqaba” เขากล่าวเสริม ตั้งแต่เดือนที่แล้ว มีการคาดการณ์ว่า ทหารรับจ้างที่ประจำการอยู่ในยูเครนจะเริ่มหันเหความสนใจไปช่วยเหลือและเข้าร่วมกองทัพอิสราเอล ในขณะที่จุดสนใจของชาติตะวันตกก็เปลี่ยนไปยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอลในขณะที่ IDF กำลังก่ออาชญากรรมสงครามและการสังหารหมู่พลเรือนชาวปาเลสไตน์

นอกจากนี้แล้วในสหราชอาณาจักร ศูนย์ยุติธรรมระหว่างประเทศสำหรับชาวปาเลสไตน์ (ICJP) ได้ส่งจดหมายถึงสำนักงานต่างประเทศ เครือจักรภพ และการพัฒนา (FCDO) เพื่อขอคำชี้แจงเร่งด่วนเกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อชาวอังกฤษที่จะสู้รบในอิสราเอลและฉนวนกาซา ตามรายงานของ  ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม พลเมืองอังกฤษหลายร้อยหรือหลายพันคนได้ออกจากสหราชอาณาจักรเพื่อร่วมสู้รบกับกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ในฉนวนกาซา “ชาวอังกฤษจำนวนมากเหล่านี้อาจสมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอยู่แล้ว และอาจต้องเผชิญกับการดำเนินคดีในอนาคต หากเรื่องเหล่านี้ได้รับการพิจารณาคดี” จดหมายระบุ 

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลอิสราเอลเรียกทหารกองหนุน 360,000 นายจากทั่วโลกเพื่อเข้าร่วมสงครามในฉนวนกาซา “ในสหราชอาณาจักร สื่อต่าง ๆ เต็มไปด้วยเรื่องราวของชาวอังกฤษเชื้อสายอิสราเอลที่ออกเดินทางเพื่อเข้าร่วม IDF บางคนอาจอยู่ที่นั่นผ่านโครงการ Mahal ซึ่งเป็นโครงการอาสาสมัครที่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลเข้ารับราชการใน IDF ในการต่อสู้เต็มรูปแบบและมีบทบาทสนับสนุนสำหรับ นานถึง 18 เดือน” ICJP ได้ขอให้ “รัฐบาลสหราชอาณาจักรชี้แจงจุดยืนของตนในเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายของพลเมืองอังกฤษที่จะสู้รบในอิสราเอลหรือฉนวนกาซา โดยสังเกตถึงความแตกต่างกับนโยบายของตนต่อยูเครน รัฐบาลได้ชี้แจงชัดเจนว่าพลเมืองอังกฤษไม่ควรเดินทางไปต่อสู้ในยูเครน และผู้ที่ทำเช่นนั้นอาจมีความผิดทางอาญา”

น่าจะพออนุมานได้ว่าไม่มีแรงงานไทยในกองกำลัง IDF แม้แรงงานส่วนหนึ่งอาจจะเคยรับราชทหารในกองทัพไทย แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย อาทิ ประสบการณ์การรบ วิธีปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดคือ ภาษา ฯลฯ อีกทั้งรัฐบาลไทยยึดมั่นในการดำรงนโยบายเป็นกลางต่อเหตุการณ์นี้ และยังคงมีการอพยพแรงงานที่สมัครใจกลับอยู่ตลอดเวลา การเข้าร่วมกองกำลัง IDF ของแรงงานไทยจึงน่าจะเป็นเพียงข่าวลือตามที่กระทรวงต่างประเทศของไทยได้แถลงนั่นเอง

‘Desmond Doss’ พลทหารแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ผู้ปฏิเสธการจับปืน สู่...วีรบุรุษผู้สร้างปาฏิหาริย์ ณ สมรภูมิ Okinawa ในสงครามโลกครั้งที่ 2

สิบโท ‘Desmond Doss’ วีรบุรุษ… ผู้ปฏิเสธการจับปืนแห่งสมรภูมิ Okinawa

เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนได้เล่าถึงความเหี้ยมโหดของทหารของกองทัพบกอเมริกันในสงครามเวียดนาม อาทิตย์นี้ขอเล่าถึงวีรบุรุษสงครามทหารบกอเมริกันเช่นเดียวกัน ความแตกต่างระหว่างสองเรื่องนี้คือ ทหารนายนี้เป็นผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญสูงสุดของรัฐสภาอเมริกัน โดยไม่ได้จับปืนหรือยิงปืนเลยแม้แต่นัดเดียว ด้วยเขาเป็นคริสต์ศาสนิกชนผู้ที่มีศรัทธาอย่างมากมาย และปฏิเสธการจับปืนโดยเด็ดขาด
วันที่ 1 เมษายน 1942 ‘Desmond Doss’ เข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ เขาไม่รู้เลยว่าในเวลาอีก 3 ปีครึ่งต่อมา เขาจะได้มี โอกาสมายืนอยู่บนสนามหญ้าของทำเนียบขาว และรับรางวัลสูงสุดของประเทศสำหรับความกล้าหาญ

เหรียญเกียรติยศแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ (สำหรับทหารบก)

จากจำนวนชายชาวอเมริกันในเครื่องแบบ 16 ล้านคน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเพียง 431 คนเท่านั้น ที่ได้รับเหรียญเกียรติยศแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ (Congressional medal of merit) หนึ่งในนั้นถูกวางไว้บนคอของชายหนุ่มผู้มีศรัทธามั่นในคริสต์ศาสนานิกาย ‘Seventh-day Adventist’ โดยในระหว่างการสู้รบเขาไม่ได้สังหารทหารฝ่ายศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว เนื่องด้วยอันที่จริงแล้วเขาปฏิเสธที่จะจับปืน อาวุธเพียงอย่างเดียวของเขาคือ ‘พระคัมภีร์และความศรัทธาอย่างยิ่งในพระเจ้า’

ประธานาธิบดี ‘Harry S. Truman’ จับมือสิบโท Desmond Thomas Doss อย่างอบอุ่น แล้วชูมือนั้นตลอดเวลาที่มีการอ่านออกเสียงคำพูดของเขาให้ผู้คนที่มารวมตัวกันนอกทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1945 “ผมภูมิใจในตัวคุณ” ประธานาธิบดี Truman กล่าว “คุณสมควรได้รับสิ่งนี้จริง ๆ ผมถือว่านี่เป็นเกียรติมากกว่าการเป็นประธานาธิบดีด้วยซ้ำ”

ประธานาธิบดี ‘Harry S. Truman’ มอบเหรียญเกียรติยศแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ
ให้กับสิบโท ‘Desmond Thomas Doss’

การเดินทางที่ทำให้หนุ่ม Desmond มาจนถึงจุดสูงนี้ถือเป็นการเดินทางที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อฐานทัพสหรัฐฯ ที่อ่าว Pearl ถูกโจมตี เขากำลังทำงานอยู่ที่อู่ต่อเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เมือง Newport News ซึ่งสามารถเลื่อนการเกณฑ์ทหารของเขาออกไปได้ แต่เขาต้องการเป็นทหารเพื่อประเทศชาติของเขา โดยเต็มใจเสี่ยงชีวิตในแนวหน้า

แต่เมื่อเขาเข้าร่วมกองทัพ Desmond ถูกสันนิษฐานด้วยการจัดประเภทว่า ‘เป็นผู้ต่อต้านที่รู้สติ’ ซึ่งไม่ต้องการที่จะจับต้องอาวุธปืน เขาอยากเป็นทหารเสนารักษ์ โชคดีที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำงานในกองร้อยทหารราบ การที่เขาปฏิเสธที่จะจับปืนทำให้เกิดปัญหามากมายกับบรรดาเพื่อนทหารของเขา เหล่าเพื่อนทหารมองเขาอย่างหมางเมิน และเรียกเขาว่า ‘เป็นบุคคลที่ไม่เหมาะที่จะเป็นทหาร’

ทหารนายหนึ่งในค่ายถึงกับออกปากเตือนเขาว่า “Doss ทันทีที่เราเข้าสู่การสู้รบ ฉันจะทำให้มั่นใจว่า แกจะไม่กลับมามีชีวิตอีก” เพราะแม้แต่ผู้บังคับบัญชาของเขาเองก็ยังต้องการกำจัดชายหนุ่มชาว Virginia ร่างผอมที่พูดจาด้วยท่าทางที่อ่อนโยน พวกเขามองว่า Doss เป็นภาระ ไม่มีใครเชื่อว่า ‘ทหารที่ไม่ยอมจับอาวุธ’ จะเหมาะต่อการเป็นทหาร พวกเขาพยายามข่มขู่ ดุด่า ทั้งยังมอบหมายหน้าที่ที่ยากเป็นพิเศษให้เขา และประกาศว่าเขามีสภาพจิตใจไม่เหมาะกับการเป็นทหารในกองทัพ

จากนั้นพวกเขาก็พยายามนำ Doss ขึ้นศาลทหาร เพราะปฏิเสธคำสั่งโดยตรงที่ให้ถือปืน แต่พวกเขาหาทางกำจัด Doss ออกไปไม่ได้ และ Doss เองก็ปฏิเสธที่จะลาออกจากกองทัพเอง เขาเชื่อว่าหน้าที่ของเขาคือ การเชื่อฟังพระเจ้าและรับใช้ประเทศชาติของเขา แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนนั้น และความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ของเขานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ภาพวาดของ ‘Cain’ ที่ถือท่อนไม้ยืนอยู่เหนือร่างของ ‘Abel’ น้องชายของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว

Desmond ได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงบัญญัติสิบประการ Desmond ได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นการส่วนตัว

ในช่วงวัยเด็ก พ่อของเขาซื้อภาพใส่กรอบขนาดใหญ่จากการประมูล เป็นภาพบัญญัติสิบประการพร้อมภาพประกอบสีสันสดใส ถัดจากคำว่า “เจ้าอย่าฆ่า” เป็นภาพวาดของ Cain ถือท่อนไม้ยืนอยู่เหนือร่างของ Abel น้องชายของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว Desmond ตัวน้อยจะมองดูภาพนั้นแล้วถามว่า “ทำไม Cain ถึงฆ่า Abel ทำไมพี่ชายถึงทำแบบนั้นได้” พระเจ้าตรัสในใจของ Desmond ตอบว่า “ถ้าเธอรักเขา เธอจะไม่ฆ่าเขา” ด้วยภาพนั้นเองที่ฝังแน่นอยู่ในใจของเขา เขาตัดสินใจว่าตลอดชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันฆ่าใคร

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อทางศาสนาของเขารวมถึงการเข้าร่วมโบสถ์ทุกสัปดาห์ ทำให้บรรดาผู้บังคับบัญชาของเขาต่างก็รู้สึกไม่พอใจมาก เขาขอบัตรผ่านทุกสัปดาห์เพื่อจะได้ไปโบสถ์ทุกวันเสาร์ นั่นหมายถึงว่าเขามีวันหยุดสัปดาห์ละสองครั้ง เพื่อนทหารของเขาเห็นว่าเขาอ่านพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่สอดคล้องกับทหารนายอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง บรรดาเพื่อนทหารจึงรังเกียจเขา รังแกเขา เรียกเขาด้วยชื่อที่ดูถูก กระทั่งสาปแช่งเขาต่าง ๆ นานา โดยที่ผู้บังคับบัญชาของ Desmond ก็ทำให้ชีวิตของเขาต้องลำบากเช่นกัน

ทว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มพลิกผันเมื่อมีผู้ค้นพบว่า เสนารักษ์ผู้เงียบขรึมคนนี้มีวิธีรักษาแผลพุพองบนเท้าที่บอบช้ำและเหนื่อยล้าจากการเดินขบวน และหากมีใครเป็นลมเพราะลมแดด เสนารักษ์คนนี้ก็อยู่เคียงข้างเขาและเสนอเสบียงอาหารของตัวเองให้ด้วย Desmond ไม่เคยมีความแค้น ปฏิบัติต่อเพื่อนทหารด้วยความกรุณาและความสุภาพอ่อนโยน

‘เนินสูง Maeda’ ซึ่งเป็นเนินหินสูงตระหง่าน (Hacksaw Ridge)

Desmond ทำหน้าที่ในสมรภูมิบนเกาะ Guam, Leyte และ Okinawa ในการปฏิบัติการทางทหารแต่ละครั้ง เขาได้แสดงความทุ่มเทเป็นพิเศษต่อเพื่อนทหารของเขา ในขณะที่คนอื่นกำลังพยายามเข่นฆ่าเอาชีวิต เขาก็ยุ่งอยู่กับการช่วยชีวิต เมื่อมีเสียงร้องเรียกหา “เสนารักษ์” ดังขึ้นในสนามรบ เขาไม่เคยคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย เขาวิ่งเข้าสู่การสู้รบอันดุเดือดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อรักษาเพื่อนทหารที่บาดเจ็บ และพากลับสู่ที่ปลอดภัย

ทั้งหมดนี้ ในขณะที่กระสุนของศัตรูพุ่งผ่านมาและกระสุนปืนครกก็ระเบิดรอบตัวเขา หลายครั้งขณะรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ Desmond ต้องอยู่ใกล้กับแนวข้าศึกมากจนเขาได้ยินเสียงพูดคุยของทหารญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม 1945 ขณะที่กองทัพเยอรมันยอมจำนนในอีกซีกโลกหนึ่ง กองทัพญี่ปุ่นก็ปกป้องพื้นที่ของตนอย่างดุเดือดจนทหารคนสุดท้าย ซึ่งเกาะ Okinawa ที่มีเนินสูงข่ม Maeda เป็นแนวป้องกันเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ต่อการบุกของฝ่ายสัมพันธมิตรในบ้านเกิดของพวกเขา ทหารในกองพลของ Desmond ถูกสั่งซ้ำแล้วซ้ำอีกให้พยายามยึดเนินสูงข่ม Maeda ให้ได้

เนินดังกล่าวเป็นเนินหินสูงตระหง่าน (Hacksaw Ridge) ที่กองทหารอเมริกันต้องเผชิญ หลังจากที่กองกำลังอเมริกันยึดยอดหน้าผาได้แล้ว ทหารอเมริกันก็ต้องตกตะลึง เมื่อกองกำลังญี่ปุ่นโผล่จากที่ซ่อนออกมาโจมตีตอบโต้อย่างดุเดือด ทหารอเมริกันถูกสั่งให้ถอยทันที ทหารทั้งหมดรีบเร่งปีนกลับลงมาตามหน้าผาสูงชัน ยกเว้นหนึ่งนาย คือ Desmond ทหารอเมริกันจำนวนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดกลับลงมาได้ ส่วนที่เหลือนอนบาดเจ็บ กระจัดกระจายไปทั่วดินแดนของศัตรูโดยถูกทิ้งและปล่อยให้ตาย แต่ Desmond เป็นทหารเพียงนายเดียวที่ฝ่าฝืนคำสั่งและพุ่งกลับเข้าไปในสนามรบ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนทหารของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะล้มลงหรือเสียชีวิต ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและความกล้าหาญอันแน่วแน่ของเขา ส่งผลให้มีผู้รอดชีวิตอย่างน้อย 75 นาย ในวันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 1945 ซึ่งวันเสาร์ถือเป็น ‘วันสะบาโต’ (Sabbath Day) หรือ ‘วันพระ’ ตามคริสตจักรนิกาย Seventh-day Adventist

‘Hacksaw Ridge’ ภาพยนตร์ซึ่งสร้างจากเรื่องของสิบโท Desmond Thomas Doss

ในที่สุด ทหารอเมริกันก็เข้ายึด Hacksaw Ridge จนได้ Okinawa ถูกทหารอเมริกันค่อย ๆ ยึดรุกคืบได้ทีละเล็กทีละน้อยด้วยการสู้รบที่นองเลือด หลายวันต่อมาระหว่างการโจมตีในตอนกลางคืน Desmond ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อระเบิดมือญี่ปุ่นตกลงมาใกล้เท้าของเขา ขณะกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในหลุมกระสุนปืนใหญ่พร้อมกับเพื่อนทหารราบอีก 2 นาย แรงระเบิดทำให้เขากระเด็น สะเก็ดระเบิดฉีกเข้าที่ขาขึ้นไปจนถึงสะโพก Desmond พยายามรักษาบาดแผลของตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะพยายามเข้าให้ถึงที่ปลอดภัย แต่เขาก็ถูกกระสุนปืนจากสไนเปอร์ทหารญี่ปุ่นยิงจนแขนของเขาหักอีก การกระทำที่กล้าหาญของเขาในฐานะเสนารักษ์

แม้การสู้รบจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่มิใช่สำหรับ Desmond เขายืนกรานให้หามพาทหารที่บาดเจ็บคนอื่น ๆ ไปก่อน ก่อนที่จะช่วยเหลือเขา แม้จะมีอาการบาดเจ็บ ทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดและการเสียเลือด แต่เขาก็ยังคงให้ความสำคัญกับทหารนายอื่น ๆ ก่อนความปลอดภัยของตนเอง เขาพร้อมเลือกที่จะตายเพื่อให้เพื่อนทหารอีกคนมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

‘Desmond Doss’ สนทนากับประธานาธิบดี ‘President John F. Kennedy’
ในโอกาส 100 ปี ของเหรียญเกียรติยศแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ

นอกเหนือจากเหรียญเกียรติยศแห่งรัฐสภาสหรัฐฯแล้ว Desmond Doss ยังได้รับเหรียญ ‘Bronze Star’ สำหรับความกล้าหาญด้วย Oak Leaf cluster 1 ใบ (แสดงว่าได้รับเหรียญ Bronze Star 2 เหรียญ) เหรียญ ‘Purple Hearts’ ที่มีกลุ่ม Oak Leaf cluster 2 ใบ (แสดงว่าได้รับเหรียญ Purple Hearts 3 เหรียญ) เหรียญ ‘Asiatic-Pacific Campaign’ พร้อมเหรียญ ‘Beachhead arrowhead’ (แสดงว่าได้ทำหน้าที่ในการรบ 4 ครั้ง รวมถึงการยกพลขึ้นบกภายใต้การสู้รบ) เหรียญความประพฤติดี, เหรียญ ‘American Defense Campaign’ และที่ไม่ธรรมดาคือ เหรียญซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้มอบให้กับกองพันที่ 1, กรมทหารราบที่ 30, กองทหารราบที่ 77 จากการยึดและรักษาเนินสูง Maeda เอาไว้ได้ ‘เหรียญเกียรติยศแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ’ สร้างขึ้นในช่วงสงครามกลางเมืองภายใต้ประธานาธิบดี ‘Abraham Lincoln’ ในปี 1862 ในวันครบรอบ 100 ปี ในปี 1962 ผู้รับรางวัลคนอื่น ๆ ได้เลือกให้ Desmond Doss เป็นตัวแทนในพิธีที่ทำเนียบขาว ซึ่งเขามีโอกาสได้สนทนากับประธานาธิบดี ‘President John F. Kennedy’ ด้วย

ก่อนที่จะถูกปลดประจำจากกองทัพบกสหรัฐฯ ในปี 1946 Desmond เป็นวัณโรค เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในโรงพยาบาลนานถึง 6 ปีหลังจากนั้น เนื่องจากเมื่อช่วงสงคราม ในค่ำคืนที่หนาวเย็น ตัวเขาเปียกปอนจนทำให้นอนไม่หลับ เขาตัวสั่นในโพรงจิ้งจอกที่เต็มไปด้วยโคลนบนเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งนั่นส่งผลเสียต่อสุขภาพเขา เมื่ออาการป่วยรุนแรงขึ้น ปอดซ้ายของ Desmond ต้องได้รับการผ่าตัดออกพร้อมกับกระดูกซี่โครงอีก 5 ซี่ เขารอดชีวิตมาได้ด้วยปอดข้างเดียวตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ จนกระทั่งปอดของเขาล้มเหลวเมื่ออายุได้ 87 ปี

สิบโท ‘Desmond Thomas Doss’ เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2006 หลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการหายใจติดขัด ร่างของเขาถูกฝังอยู่ในสุสานแห่งชาติ เมือง Chattanooga มลรัฐ Tennessee

‘ปฏิญญา Balfour’ สารตั้งต้นแห่งความรุนแรงในภูมิภาคเอเชียตะวันตก แรงบันดาลใจของ ‘กลุ่มไซออนิสต์’ สู่การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์

การแบ่งแยกและยึดครอง : มรดกของ ‘Arthur James Balfour’

กรุงเตหะราน, ประเทศอิหร่าน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2023 ถือเป็นวันครบรอบ 106 ปี ปฏิญญาของรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร ‘Arthur James Balfour’

สิ่งที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ ‘ปฏิญญา Balfour’ คือข้อความสั้น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตไม่เพียงแค่ชาวปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนหลายล้านคนในเอเชียตะวันตกด้วย เนื่องจากมันก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้าย เช่น การก่อตัวของระบอบการปกครองจอมปลอม การสังหารหมู่ผู้หญิงและเด็กหลายแสนคน พลเมืองปาเลสไตน์หลายล้านคนต้องพลัดถิ่น และการถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิด กระทั่งท้ายที่สุด จึงนำไปสู่การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์โดยอิสราเอล

คำประกาศที่ชั่วร้ายนี้ปูทางไปสู่การก่อตัวของเนื้องอกที่เป็นมะเร็ง และเรื่องผิดกฎหมายในเอเชียตะวันตก โดยผลที่ตามมายังคงส่งผลกระทบต่อผู้คนปาเลสไตน์และในภูมิภาค หลังจากผ่านไปเกือบ 80 ปี คำแถลงต่อสาธารณะอาจเป็นประเด็นสำคัญของการหารือทางโทรศัพท์ ของรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิหร่านและสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยหัวหน้านักการทูตอิหร่านอาจทำให้ชาวสหราชอาณาจักรสนใจว่า ประเทศของเขาสนับสนุน ‘การสถาปนา ‘มาตุภูมิแห่งชาติสำหรับชาวยิว’ ในดินแดนปาเลสไตน์’ เมื่อปี 1917 ซึ่งเป็นรากฐานของทุกความท้าทาย และความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันตกในปัจจุบัน

‘กลุ่มไซออนิสต์’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพ่อแองโกล-แซกซัน (Anglo-Saxons) ในการส่งเสริมประวัติศาสตร์จอมปลอมและการกดขี่ กำลังเผชิญกับวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเอเชียตะวันตก การตื่นตัวและลุกขึ้นต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ได้เปิดหูเปิดตาของผู้คนทั่วโลก ให้มองเห็นความโหดร้ายและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของไซออนิสต์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะอ่านปฏิญญา Balfour อีกครั้ง เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิติของ Nakba (ภัยพิบัติ, หายนะ) ในปี 1948

ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ‘ปฏิญญา Balfour’ แสดงความเห็นอกเห็นใจของสหราชอาณาจักร ต่อความปรารถนาและแรงบันดาลใจของไซออนิสต์ในนานาชาติ ที่จะสถาปนาสิ่งที่เรียกว่า ‘มาตุภูมิแห่งชาติของไซออนิสต์ในดินแดนปาเลสไตน์’ ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 21 ปีก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินหน้าสร้างสันติภาพระหว่างประเทศอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรู้ว่า ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ลงเอยด้วยการสังหารชาวยิวจำนวนมาก ดูเหมือนว่าสหราชอาณาจักรและสหายไซออนิสต์จะตระหนักดี ถึงสิ่งที่รอคอยชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2

การปรากฏตัวโดยชอบธรรมของไซออนิสต์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยวและเป็นเท็จ 2 เรื่อง โดยเรื่องราวแรกคือ ในพระคัมภีร์ของชาวยิว ดินแดนนี้ถูกสัญญาไว้กับพวกเขา (ไซออนิสต์) และคำบรรยายที่ 2 อ้างว่า เป็นการสังหารและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวโดยพวกนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องเล่าทั้ง 2 นี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ 2 ได้ส่งชาวยิวจำนวนมากไปยังปาเลสไตน์ และปูทางไปสู่การยึดครองและการทำลายล้างประเทศอาหรับ 3 ปีหลังจากการเผยแพร่ปฏิญญา Balfour และในสนธิสัญญาที่ลงนามโดยประเทศที่ได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ชะตากรรมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งปาเลสไตน์ถูกส่งมอบให้กับสหราชอาณาจักร และคำมั่นสัญญาของ Balfour ที่มีต่อไซออนิสต์ก็ดำเนินไป

คงจะเป็นเรื่องไร้เดียงสามาก หากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

สหราชอาณาจักรส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้กับไซออนิสต์ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวปาเลสไตน์ซึ่งแท้จริงแล้ว คือทายาทที่แท้จริงของชาวยิวปฐมวัย อาศัยอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ตลอดช่วงชีวิตนอกกฎหมายของระบอบการปกครองที่ฆ่าเด็ก รัฐบาลตะวันตกได้นำเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อมาใช้เล่นเกมกล่าวโทษและวาดภาพผู้กดขี่ว่า เป็นผู้ถูกกดขี่ พวกไซออนิสต์ได้ก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่ต้องรับผิดชอบ เมื่อใดก็ตามที่มีการประท้วงเพื่อปกป้องปาเลสไตน์ ไซออนิสต์จะเป่าสโลแกน ‘ต่อต้านชาวยิว’ หลังจาก ‘ปฏิบัติการพายุแห่งอัล-อักซอ’ (Operation Al-Aqsa Storm) โดยกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ผู้สนับสนุนระบอบการปกครองเทลอาวีฟก็ออกมาเดินหน้าอีกครั้งเพื่อบิดเบือนความจริง ในขณะเดียวกันก็เตรียมการและให้กำลังใจอิสราเอล

ภารกิจที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนบ่าของสหราชอาณาจักร ถูกโอนไปยังสหรัฐอเมริกา หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในระบบของการเมืองระหว่างประเทศ การสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร สำหรับระบอบไซออนิสต์เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ล้มเหลวในการยอมรับสิทธิของชาวปาเลสไตน์ ด้วยการยับยั้งมติ (Veto) ถึง 45 ครั้ง สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ต่อต้านการหยุดยั้งอาชญากรรมของระบอบไซออนิสต์ในฉนวนกาซาเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธที่จะช่วยบรรลุแนวทางแก้ไข เพื่อบรรเทาวิกฤติด้านมนุษยธรรมในดินแดนที่ถูกปิดล้อมอีกด้วย

ในความขัดแย้งที่ชัดเจนกับการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน สหรัฐฯ ยังได้ลงคะแนน ‘ไม่เห็นด้วย’ กับมติที่ร่างขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ความพยายามของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนไซออนิสต์ยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา เป็นที่ชัดเจนว่าการกระทำล่าสุดของสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างของการเพิกเฉยต่อหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ประเด็นก็คือ ระบอบการปกครองจอมปลอม แม้ว่า อิสราเอลจะได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ มานานหลายปี แต่ก็ไม่ก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า อนาคตมีไว้สำหรับปาเลสไตน์

‘อิหร่าน’ เจ๋ง!! ส่งออกรถแทรกเตอร์ 25 ประเทศทั่วโลก ‘สินค้าคุณภาพสูง-ราคาย่อมเยา’ แต้มต่อการแข่งขัน

เมื่อไม่นานมานี้ Mostafa Vahidzadeh CEO ของ Iran Tractor Manufacturing Company (Tractorsazi) บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์อิหร่าน ประกาศว่า สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยัง 25 ประเทศทั่วโลก อาทิ ตุรกี อุซเบกิสถาน รัสเซีย คิวบา โคลอมเบีย อิรัก กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ

Vahidzadeh ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งเป็นราคาที่แข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้นั้น เป็นเหตุผลและปัจจัยหลักในความสำเร็จของการส่งออกผลิตภัณฑ์รถแทรกเตอร์ 

Vahidzadeh กล่าวเสริมว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (21 มีนาคม - 22 กันยายน 2023) มีการส่งออกรถแทรกเตอร์ของอิหร่าน 1,500 คัน มูลค่า 22 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (2022) 

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปของรถแทรกเตอร์ยังส่งออกไปยังหลายประเทศในยุโรป อาทิเช่น ตุรกี เยอรมนี และอิตาลี หนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทนี้คือ รถไถนาซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีจำหน่ายในบางประเทศเท่านั้น โดยคุณสมบัติของรถไถอเนกประสงค์รุ่นนี้ คือ น้ำหนักเบา มีกำลัง 45 แรงม้า ตัวถังรถสูง และกันน้ำได้

CEO ของบริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ของอิหร่าน (Tractorsazi) ระบุว่า ร้อยละ 92 ของชิ้นส่วนรถแทรกเตอร์สามารถผลิตได้ในประเทศ และอีกร้อยละ 8 มาจากต่างประเทศ เนื่องจากไม่สามารถผลิตในประเทศได้ นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังมีสายการผลิตในเวเนซุเอลาและทาจิกิสถานอีกด้วย และจะมีการเปิดตัวสายการผลิตในอีกสองประเทศในเอเชียซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการ

ทั้งนี้ Iran Tractor Manufacturing Company ก่อตั้งขึ้นในเมือง Tabriz ในปี ค.ศ. 1968 โดยเป็นบริษัทร่วมหุ้นพิเศษโดยมีส่วนร่วมกับโรมาเนีย เพื่อผลิตรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ในเมือง Tabriz บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ เริ่มจำหน่ายรถแทรกเตอร์ยี่ห้อ UTB ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 การผลิตรถแทรกเตอร์เหล่านี้ค่อย ๆ ยุติลง และเริ่มการผลิตรถแทรกเตอร์ MF แทน ด้วยการเข้ามาร่วมทุนของบริษัท Messi Ferguson จากอังกฤษ เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการปรับเทคโนโลยีการผลิตรถแทรกเตอร์ให้เข้ากับท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจึงได้รับการผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ITM ในประเทศ

ในปี ค.ศ. 1996 บริษัท ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์อิหร่าน กลายเป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2008 เพื่อดำเนินการตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ จึงมีการโอนจำหน่ายหุ้นไปยังภาคเอกชน ปัจจุบันบริษัทนี้มีกำลังการผลิตระบุอยู่ที่ราว 30,000 คันต่อปี ได้แก่ รถแทรกเตอร์ในช่วง 38 ถึง 150 แรงม้า ซึ่งรวมถึงรถแทรกเตอร์ขนาดเบา ขนาดกลาง กึ่งหนัก และหนัก คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของตลาดในประเทศ และยังเป็นผู้ผลิตรถแทรกเตอร์รายใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ของอิหร่านให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการในด้านความพอเพียงมากขึ้นในการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถแทรกเตอร์เชิงกลยุทธ์ เช่น เพลาหน้า กระปุกเกียร์กลาง ชุดประกอบไฮดรอลิก ฯลฯ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบและ การผลิตรถแทรกเตอร์ 475, 485, 800 คัน 470 และผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ของรถแทรกเตอร์หนัก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเพิ่มผลผลิตของปัจจัยการผลิตสามารถเดินตามเส้นทางแห่งความเป็นเลิศได้ แม้แต่ในช่วงปีเศรษฐกิจที่ยากลำบากไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

Tractorsazi Industrial Group ในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์การเกษตรรายใหญ่ที่สุดในอิหร่านมีการดำเนินงานยาวนานกว่าห้าทศวรรษ ทั้งยังมีบริษัทดาวเทียม 10 แห่งในประเทศ และอีก 2 บริษัทในต่างประเทศ ด้วยการผลิตรถแทรกเตอร์ที่มีกำลังตั้งแต่ 35 ถึง 150 แรงม้า กลุ่มผู้ผลิตนี้สามารถตอบสนองความต้องการรถแทรกเตอร์ของเกษตรกรชาวอิหร่านได้ถึงร้อยละ 99 และยังมีส่วนร่วมในการผลิตเครื่องยนต์ 71 ประเภทในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และยานยนต์อีกด้วย

ย้อนอดีตการยึดสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศอิหร่าน เมื่อ ‘เตหะราน’ เชื่อ ‘สหรัฐฯ’ กำลังเข้ามาแทรกแซง ปท.

มองต่างมุม ‘กรณีการยึดสถานทูตสหรัฐฯ ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน’

การยึดสถานทูตสหรัฐฯ ณ กรุงเตหะราน ของนักศึกษาอิหร่าน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 นั้น รัฐบาลสหรัฐฯได้ยืนยันว่า กิจกรรมของสถานทูตสหรัฐฯในอิหร่านเป็นเรื่องปกติ โดยอธิบายว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวอิหร่านที่ยึดสถานทูตว่าไร้เหตุผลและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ อ้างตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ในอนุสัญญาเวียนนาปี 1963 มีข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานทูตต่างประเทศ และเอกสิทธิ์คุ้มครองของสถานทูตต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม อนุสัญญายังได้ระบุด้วยว่า เมื่อสถานทูตของประเทศใดที่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองนี้ จะต้องปฏิบัติตามในสองประเด็นนี้ด้วย

อุปกรณ์สื่อสารภายในสถานสหรัฐฯซึ่งทางการอิหร่านเชื่อว่า 
มีขีดความสามารถในการดักฟังการสื่อสารของทางการอิหร่าน

ประเด็นแรกคือ การเคารพต่อกฎหมายของประเทศเจ้าบ้านที่สถานทูตนั้น ๆ ตั้งอยู่ ดังนั้นแม้ว่า สถานทูตสหรัฐฯจะมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานทูตสหรัฐฯจะสามารถละเมิดกฎหมายของประเทศเจ้าบ้านได้

Operation Eagle Claw ยุทธการกรงเล็บอินทรี เพื่อช่วยเหลือตัวประกันอเมริกัน
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และกลับต้องประสบความสูญเสียอย่างหนักแทน
อ่านได้ที่ https://www.facebook.com/doctoryothin/posts/pfbid0PS3swT2M1fRC5JnuEFE3APpDQjagekjPAf7XM8wMNo93ZX5Go2cv3VBad8rtvmJal

ประเด็นที่สองคือ เจ้าหน้าที่ทางการทูตอเมริกันไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศเจ้าบ้าน เจ้าหน้าที่ทางการทูตอเมริกันได้ละเมิดประเด็นเหล่านี้ในอิหร่านมาหลายปีแล้ว (เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ทางการทูตอเมริกันยังคงปฏิบัติอยู่จนทุกวันนี้)

เริ่มจากประการแรกรัฐบาลสหรัฐฯให้การสนับสนุนการก่อรัฐประหารในอิหร่าน ปี พ.ศ. 2496 จนเกิดการเปลี่ยนรัฐบาลของอิหร่าน ประการต่อมา มีเอกสารหลายร้อยฉบับที่พิสูจน์ถึงการแทรกแซงกิจการภายในของอิหร่านโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

แม้ว่า การยึดสถานทูตสหรัฐฯ ณ กรุงเตหะราน จะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่ขบวนการนักศึกษาอิหร่านเชื่อว่า อาคารนั้นไม่ใช่สถานทูตจริง ๆ เพราะกิจกรรมมากมายหลายอย่างในอาคารนั้นบ่งบอก และหลายคนเชื่อว่าหากไม่ยึดสถานทูตสหรัฐฯ อาจเกิดการรัฐประหารในอิหร่านขึ้นซ้ำอีก ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลอเมริกันยังคงสนับสนุนชาห์ปาเลวีต่อ แม้หลังจากการล่มสลายของระบอบการปกครองของพระองค์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์

‘คำสั่งฮันนิบาล’ ไพ่ลับของกองทัพอิสราเอล เส้นแบ่งระหว่าง ‘ความมั่นคง’ กับ ‘ศีลธรรม’

เมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ทางทหารและความมั่นคงของชาติ ‘คำสั่งฮันนิบาล’ ของอิสราเอลถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่มีการโต้เถียงและเป็นความลับมากที่สุด ซึ่งเต็มไปด้วยความลับและความคลุมเครือทางศีลธรรม 

‘คำสั่งของฮันนิบาล’ ถูกตั้งคำถามถึงเส้นแบ่งระหว่าง ‘ความมั่นคงของชาติ’ และ ‘ความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตมนุษย์’ ซึ่งมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทหารอิสราเอลและคนในสังคมทั่วไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนของยุทธศาสตร์และจริยธรรมทางการทหาร

คำสั่งฮันนิบาล (ฮีบรู: נוהל שניבעל) (หรือ ‘ระเบียบปฏิบัติ’ หรือ ‘พิธีสาร’) เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง ซึ่งใช้โดยกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เพื่อป้องกันการจับกุมทหารอิสราเอลโดยกองกำลังศัตรู 

ชื่อของคำสั่งนี้ไม่ใช่เพื่อการแสดงความเคารพต่อ ‘ฮันนิบาล’ นายพลชาวคาร์ธาจิเนียน (Carthaginian) ในตำนาน ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความฉลาดและเก่งกล้าสามารถทางการทหาร แต่เป็นคำย่อในภาษาฮีบรู ย่อมาจาก 'Hurry, Neutralize, Abduction, Locale' ซึ่งเป็นลำดับคำที่สรุปความเร่งด่วนและความรุนแรงของสถานการณ์ ซึ่งไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทางการทหารเท่านั้น แต่เป็นคำแถลง การประกาศว่า IDF จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องตนเอง 

IDF เริ่มใช้คำสั่งนี้เป็นครั้งแรกในปี 1986 หลังจากมีการลักพาตัวทหาร IDF ในเลบานอนหลายครั้ง และมีการแลกเปลี่ยนนักโทษในเวลาต่อมา ข้อความฉบับเต็มของคำสั่งนี้ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ และจนกระทั่งปี 2003 ได้มีการเซ็นเซอร์จากทหารอิสราเอล ห้ามไม่ให้มีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสื่อ 

ทั้งนี้ คำสั่งฮันนิบาลมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง และครั้งหนึ่งมีการกำหนดไว้ว่า "การลักพาตัวต้องยุติทุกวิถีทาง แม้จะแลกด้วยการโจมตีและทำร้ายคนของเราเองก็ตาม" 

หลายฝ่ายเชื่อว่า คำสั่งฮันนิบาลมีอยู่ 2 แบบซึ่งแตกต่างกัน แบบแรกเป็นลายลักษณ์อักษรที่เป็นความลับสุดยอด สามารถเข้าถึงได้เฉพาะนายทหารระดับบนของ IDF เท่านั้น และอีกแบบหนึงคือ ‘กฎหมายปากเปล่า’ ใช้สำหรับผู้บังคับกองพลและนายทหารระดับต่ำกว่า 

ในแบบหลัง มักใช้การตีความ ‘โดยทั้งหมด’ ตามตัวอักษร เช่น ‘ทหาร IDF ตายดีกว่าถูกลักพาตัว’ แต่ในปี 2011 Benny Gantz เสนาธิการของ IDF ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้อนุญาตให้สังหารทหารของ IDF

>>กำเนิดของคำสั่งฮันนิบาล

คำสั่งฮันนิบาล (Hannibal Directive) ซึ่งเป็นคำที่สะท้อนถึงความเร่งด่วนและความรุนแรง มีต้นกำเนิดมาจากยุคแห่งความสับสนอลหม่านในทศวรรษ 1980 หากย้อนไปเมื่อปี 1948 ประเทศอิสราเอลถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างมากมายในภูมิภาคนี้ 

อิสราเอลพยายามคิดค้นยุทธศาสตร์ที่จะทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องปรามการลักพาตัวทหาร เพื่อยุติชะตากรรมที่อาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในทุก ๆ ด้าน ทำให้กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ที่รู้จักในด้านความกล้าหาญและความสามารถในการฟื้นตัวทางยุทธศาสตร์ ต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติที่จะปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘คำสั่งฮันนิบาล’ ซึ่งเป็นระเบียบการที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าคลุมแห่งความลับและความมุ่งมั่นสุดเคร่งครัด วัตถุประสงค์ของคำสั่งนี้ชัดเจน คือ ป้องกันการจับกุมทหารอิสราเอลโดยกองกำลังศัตรูไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แม้ว่าจะหมายถึงการทำให้ชีวิตของเชลยต้องตกอยู่ในอันตรายก็ตาม เชลยที่เป็นทหารอิสราเอลถือเป็นเดิมพันที่มีราคาสูงอย่างยิ่ง

ทาง IDF จะไม่เจรจา และจะไม่ยอมให้ทหารอิสราเอลที่เป็นเชลยถูกใช้เป็นหมากในการเจรจาต่อรอง คำสั่งดังกล่าวจึงถูกปกปิดไว้เป็นความลับ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในกองทัพเท่านั้นที่ทราบ เป็นไพ่ที่ IDF จับไว้ใกล้หน้าอก พร้อมที่จะจั่วเล่นในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

>>การประหารชีวิตและข้อโต้แย้ง

‘คำสั่งฮันนิบาล’ ไม่ใช่เป็นเพียงโครงสร้างในทางทฤษฎี แต่เป็นแง่มุมที่เกิดขึ้นจริงและถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งของยุทธศาสตร์ทางทหารของอิสราเอล ทั้งนี้มีผู้พบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดจากคำสั่งฮันนิบาล และการประหารชีวิตหลายครั้ง 

กรณีที่น่าสังเกตและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกิดขึ้นระหว่างการรุกรานฉนวนกาซาของอิสราเอลในปี 2014 ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ทำให้คำสั่งฮันนิบาลตกเป็นที่จับตามองไปทั่วโลก และต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด 

ในตอนนั้นหลายคนเชื่อว่าร้อยโท Hadar Goldin ถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสจับกุมไป และทางกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ก็ไม่ลังเลใจที่จะนำคำสั่งฮันนิบาลมาใช้งาน หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการยิงอย่างหนักหน่วงเพื่อป้องกันการลักพาตัว พื้นที่ดังกล่าวถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ ถือเป็นการแสดงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

แต่ผลพวงของปฏิบัติการครั้งนั้นถือเป็น ‘หายนะ’ พื้นที่แห่งนั้นมีแผลเป็นจากเศษซากของการโจมตี บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดเหลือเพียงซากปรักหักพัง และพลเรือนชาวปาเลสไตน์จำนวนมากถูกทหารอิสราเอลสังหาร ชีวิตของพวกเขาต้องจบลงอย่างกะทันหันและน่าเศร้า 

เหตุการณ์ดังกล่าวทิ้งรอยเปื้อนอันดำมืดไว้ในบันทึกของ IDF และคำสั่งฮันนิบาลก็ถูกผลักไสให้กลายเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลายฝ่ายกลับมาตั้งคำถามถึง ‘จริยธรรมและศีลธรรม’ ของคำสั่งฮันนิบาลมากขึ้น

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อคำสั่งฮันนิบาลรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง โดยมีคำแย้งว่าคำสั่งฮันนิบาลเป็นนโยบายโหดร้ายที่อนุมัติการสังหารทหารอิสราเอลโดยพี่น้องทหารร่วมกองทัพกันเอง โดยให้เหตุผลต่อการกระทำว่าเพื่อป้องกันการถูกจับกุม มันเป็นระเบียบปฏิบัติที่ท้าทายความสนิทสนมกันและความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตมนุษย์ ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับค่านิยมที่ IDF อ้างว่าจะยึดถือ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ออกคำสั่งดังกล่าวมีมุมมองที่แตกต่างออกไป พวกเขาปกป้องคำสั่งฮันนิบาลว่าเป็น ‘ความชั่วร้ายที่จำเป็น’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่รุนแรงแต่จำเป็นในการยับยั้งกองกำลังศัตรูจากการลักพาตัวทหารของอิสราเอล

ในสายตาของพวกเขา คำสั่งดังกล่าวเป็นเครื่องป้องปราม ซึ่งเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่ส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังศัตรูของอิสราเอลว่า การจับทหารอิสราเอลจะไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ใด ๆ แต่กลับจะเป็นการปล่อยพายุแห่งการแก้แค้นแทน 

การถกเถียงต่อเรื่องคำสั่งฮันนิบาลดำเนินไปอย่างดุเดือด โดยก้าวข้ามขอบเขตของยุทธศาสตร์ทางทหาร และเจาะลึกขอบเขตของจริยธรรมและศีลธรรม 

คำสั่งของฮันนิบาลได้จุดประเด็นขัดแย้งทางศีลธรรมที่ฝังลึก ซึ่งมาพร้อมกับการดำรงอยู่ของอิสราเอล ทำให้สังคมต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้ายของความขัดแย้งและราคาของการคุ้มครอง

>>ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทหารและสังคม

คำสั่งฮันนิบาล มีแนวทางการทำสงครามที่เคร่งครัดและไม่ยอมแพ้ เหมือนเงาที่ทอดยาวเหนือกองทัพและสังคมอิสราเอล กำหนดรูปแบบการรับรู้ ทัศนคติ และโครงสร้างหลักในการสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและจริยธรรม 

ทหารที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อปกป้องชาติของตนด้วยความทุ่มเทอย่างแน่วแน่ พบว่าตัวเองต้องต่อสู้กับปัญหาทางศีลธรรมที่ซับซ้อน การรู้ว่าชีวิตของพวกเขาอาจจงใจทำให้สหายของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายเพื่อขัดขวางการจับกุม ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนแอและความขัดแย้งภายในอย่างลึกซึ้ง 

ความวุ่นวายภายในนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกองทัพเท่านั้น มันแพร่กระจายไปทั่วจนถึงประชากรพลเรือน จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงและการค้นหาจิตวิญญาณเกี่ยวกับการแบ่งสาขาทางจริยธรรมของคำสั่งดังกล่าว

แรงวิจารณ์ในสังคมรุนแรงมากขึ้น พร้อม ๆ กันการต้องต่อสู้กับความเป็นจริงในเรื่องความมั่นคงของชาติ หรือศีลธรรม จริยธรรม คำสั่งฮันนิบาลในรูปแบบดั้งเดิมเผยให้เห็นทางเลือกอันโหดร้ายที่มาพร้อมกับหมอกแห่งสงคราม บีบบังคับให้ประเทศต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่โหดร้าย เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ

การตรวจสอบข้อเท็จจริงของสาธารณะและการถกเถียงภายในแวดวงทหารทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ IDF ดำเนินการประเมินคำสั่งใหม่อย่างครอบคลุม

ในปี 2016 การใคร่ครวญนี้สิ้นสุดลงด้วยการแก้ไขคำสั่งฮันนิบาลครั้งสำคัญ เพื่อให้มีจุดกึ่งกลางของความมั่นคงของชาติและความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตมนุษย์ IDF พยายามที่จะสร้างสมดุลที่มีมนุษยธรรมมากขึ้น ระเบียบการฉบับปรับปรุงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อทหารที่ถูกจับกุม 

ขณะเดียวกันก็รักษาท่าทางที่แข็งแกร่ง เมื่อเกิดการลักพาตัวทหาร การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและส่งผลต่อคำสอนในกองทัพอิสราเอล สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงค่านิยม และยอมรับถึงความจำเป็นในการทำสงครามที่มีจริยธรรมมากขึ้น 

ผลกระทบของคำสั่งฮันนิบาลและการแก้ไขในภายหลัง ตอกย้ำความซับซ้อนของความขัดแย้งสมัยใหม่ และการต่อสู้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการด้านความมั่นคงกับความจำเป็นของมนุษยชาติ เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ในช่วงสงครามอันดุเดือด คุณค่าของชีวิตมนุษย์ก็ไม่ควรถูกบดบังด้วยหมอกแห่งสงคราม

Tzvi Feldman

“ไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกชายของเธอถูกฆ่ามากกว่าถูกจับเป็นเชลย...เราเลือกที่จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา แม้ว่ามันจะกินเวลาหลายปีก็ตาม” Pnina Feldman มารดาของ Tzvi Feldman หายตัวไปในเลบานอน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1982 ยังไม่มีการค้นพบร่างของ Tzvi Feldman จนทุกวันนี้

Yossi Fink

“ฝันร้ายที่เราเผชิญมาตลอด 10 ปีนั้นไม่อาจอธิบายได้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ยอมให้เพื่อนของทหารที่ถูกลักพาตัวพยายามช่วยชีวิตเขาแม้จะต้องแลกมาด้วยการฆ่าเขาก็ตาม ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง ฉันยังมั่นใจด้วยว่าทหารจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งและจะไม่สังหารทหารอิสราเอล คำสั่งดังกล่าวส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทหารอย่างไรบ้าง? ทหารที่ถูกจับเข้าคุกต้องรู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเขาโดยไม่ฆ่าเขา” Mordechai Fink พ่อของ Yossi Fink ซึ่งถูกลักพาตัวในปี 1986 ทำให้เกิดการกำหนดคำสั่งฮันนิบาลขึ้นมา ร่างของ Yossi Fink ถูกนำกลับมาฝังในอิสราเอลเมื่อ 22 กรกฎาคม 1996 กินเวลา 10 ปีหลังจากการหายไป

'การท่องเที่ยวอิหร่าน' ผงาด!! หลังโควิดซา เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า

ไม่นานมานี้ Ezzatollah Zarghami รัฐมนตรีกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และศิลปะ-หัตถกรรมของอิหร่าน กล่าวว่า การเติบโตของการท่องเที่ยวของอิหร่านนั้นสูงกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกในยุคหลังโควิด

โดยข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวโลกระบุว่า ในปี 2022 มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอิหร่านทั้งหมด 4.1 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 31.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน

นอกจากนี้ สถิติโดยกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และศิลปะ-หัตถกรรมของอิหร่านแสดงให้เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศอิหร่านมากกว่า 3.3 ล้านคนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าอิหร่านในปี 2022 พบว่า 55% เป็นชาวอิรัก ขณะที่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานและตุรกีอยู่ที่ 6% และอันดับถัดไปที่ 5% คือ ปากีสถาน

ไม่เพียงเท่านี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติมียอดการใช้จ่ายมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ในอิหร่านในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นราว 73% เมื่อเทียบกับปีก่อนกันเลยทีเดียว

ด้าน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และศิลปะ-หัตถกรรมของอิหร่าน กล่าวว่า ระยะเวลารอในการออกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจะลดลงเหลือเพียงหนึ่งสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เตหะราน ยังแสวงหากลยุทธ์เพื่อผ่อนคลายชายแดน โดยอาจยกเลิกข้อกำหนดวีซ่าสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางของ 60 ประเทศเพียงฝ่ายเดียวด้วย

สำหรับ อิหร่าน นั้น ถือเป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกอยู่ในรายชื่อขององค์การยูเนสโกถึง 27 แห่ง และถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศ 10 อันดับแรก ที่ผู้คนจะต้องเดินทางมามากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อไปเยี่ยมมรดกของพวกเขาทั้งหมด เนื่องจากมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ

โดยฤดูใบไม้ผลิ ถือเป็นฤดูที่น่ารื่นรมย์ในการไปเยือนอิหร่าน ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับการเดินทางไปอิหร่าน ที่จะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมและต่อเนื่องไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนผู้ที่สนใจเพลิดเพลินกับกีฬาฤดูหนาว เช่น สกีทางตอนเหนือของเตหะราน สามารถเดินทางได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์


ยิ่งไปกว่านั้น อิหร่านยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพอีกด้วย โดยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอิหร่าน ได้เคยระบุไว้ว่า ในปี 2022 มีผู้ป่วยชาวต่างชาติมากกว่า 1.2 ล้านคน ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของอิหร่าน ภายใต้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในด้านการแพทย์ต่างๆ ที่มีราคาไม่แพง อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดผู้ป่วยชาวต่างชาติให้มายังประเทศแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

อุตสาหกรรมการบิน ‘อิหร่าน’ ก้าวหน้า แม้ถูกคว่ำบาตร สามารถซ่อมบำรุงเครื่องบินได้เอง โดยผู้เชี่ยวชาญในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่าน เปิดเผยว่า แม้จะมีการคว่ำบาตร แต่อุตสาหกรรมการบินของประเทศก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากและการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่มีอยู่ก็สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยผู้เชี่ยวชาญในประเทศ ปัจจุบันไม่มีการส่งเครื่องบินของอิหร่านไปซ่อมในต่างประเทศ การดำเนินการที่เรียกว่า กระบวนการซ่อมแซมชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ต้องซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ เพื่อฟื้นฟูสภาพสำหรับการบินในช่วงสองปีที่ผ่านมา 

เครื่องยนต์เครื่องบิน 31 เครื่องได้รับการซ่อมแซมโดยบริษัทดาเนชบุนยอน โดยวิศวกรอากาศยานผู้เชี่ยวชาญชาวอิหร่าน จนเครื่องบินแบบ ATR จำนวน 3 ลำ และเครื่องบิน A 319 จำนวน 1 ลำ สามารถกลับคืนสู่วงจรการบินปฏิบัติงานได้แล้ว

Mohammad Mohammadi Bakhsh ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่าน

โดยเฉลี่ยแล้วการซ่อมเครื่องยนต์เครื่องบินในอิหร่านจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ในขณะที่การส่งเครื่องยนต์ไปซ่อมในต่างประเทศจะใช้เวลามากกว่าสองเดือน ตามที่ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่านระบุว่า 

ในช่วง 20 เดือนที่ผ่าน มีการนำเข้าเครื่องบิน 60 ลำ เข้ามาในประเทศ จนถึงขณะนี้มีการใช้งานไปแล้ว 30 ลำ เน้นว่า ไม่ว่าจะมีการคว่ำบาตรอย่างไรก็ตาม เราต้องพอเพียงและสร้างศักยภาพความสามารถให้กับตนเอง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้กับอุตสาหกรรมการบินของอิหร่าน วันนี้เรายืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง และสำหรับประเทศที่เป็นมิตรบางประเทศที่เราได้ซ่อมเครื่องบินของพวกเขาในประเทศของเราเองหรือแม้แต่เป็นประเทศที่ใหญ่ๆก็ตาม จึงทำให้เรามีความหวัง ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่านยังชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้เราประสบปัญหาร้ายแรงในด้านน้ำมันหล่อลื่นหรือน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องบิน บริษัทที่มีชื่อเสียงของโลกไม่ยอมขายน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องบินให้กับอิหร่าน แต่ด้วยความร่วมมือของบริษัทดาเนชบุนยอน ในช่วงเวลาอันสั้นเราไม่เพียงแต่เป็นผู้จัดหาสำหรับความต้องการของเราเพียงเท่านั้น แต่เรากลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องบินอีกด้วย

เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ ‘Mỹ Lai’ โศกนาฏกรรมแห่งสงครามเวียดนาม จากน้ำมือของ ‘ทหารอเมริกัน’ และการปกปิดความผิดโดยกองทัพสหรัฐฯ

‘Mỹ Lai’ เหตุการณ์สังหารหมู่โดยทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ

มีภาพยนตร์ Hollywood มากมายที่คอยตอกย้ำให้คนชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นอดีตศัตรู ต้องตกเป็นผู้ร้ายมาโดยตลอด ไม่ว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามต่าง ๆ การก่อการร้าย ฯลฯ โดยผู้ร้ายก็มักจะเป็นต่างชาติ เช่น เยอรมนี, ญี่ปุ่น, โซเวียต, อาหรับ, ตาลีบัน ฯลฯ แม้กระทั่งสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในขณะนี้ สื่อตะวันตกต่างก็เสนอข่าวเพียงด้านเดียว กล่าวหาให้ร้ายปาเลสไตน์เป็นผู้ร้ายแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่ชาวปาเลสไตน์เป็นผู้ถูกกระทำโดยกองทัพอิสราเอลแท้ ๆ

เรื่องของการสังหารหมู่ที่ ‘Mỹ Lai’ เป็นการสังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ที่ไม่มีอาวุธมากถึง 504 คน โดยทหารสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1968 ในระหว่างสงครามเวียดนาม Mỹ Lai เป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบล Son My ตั้งอยู่ในจังหวัด Quang Ngai ห่างจากตัวจังหวัด Quang Ngai ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 11 กม. พื้นที่นี้ได้รับการขนานนามโดยทหารสหรัฐฯ ว่า ‘Pinkville’ เนื่องจากมีสีแดงที่ใช้บ่งบอกถึงพื้นที่ Mỹ Lai ที่มีประชากรหนาแน่นบนแผนที่ทางทหาร

เมื่อ ‘กองร้อย Charlie’ แห่งกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 20 กองพลทหารราบที่ 11 มาถึงเวียดนามในเดือนธันวาคม 1967 พื้นที่ ‘Pinkville’ ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘แหล่งซ่องสุม’ ของเวียดกงที่ใช้ในการหลบซ่อน ในเดือนมกราคม 1968 กองร้อย Charlie เป็น 1 ใน 3 กองร้อยที่ได้รับมอบหมายให้ทำลายกองพันที่ 48 ซึ่งเป็นหน่วยรบของเวียดกงที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งหน่วยดังกล่าวปฏิบัติการในจังหวัด Quang Ngai ตลอดเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม ทหารสังกัดกองร้อย Charlie ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดและกับดักไปหลายสิบคน ทั้งยังประสบความล้มเหลวในการสู้รบกับกองพันที่ 48 หลังจากความพ่ายแพ้ของการโจมตีใน ‘ปฏิบัติการตรุษญวน’ (Tet) เวียดกงได้กลับมาใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจร และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับกองกำลังสหรัฐฯ

‘ร้อยเอก Ernest Medina’ ผู้บังคับกองร้อย Charlie

หน่วยข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลว่า กองพันเวียดกงที่ 48 ได้เข้าไปซ่อนตัวในพื้นที่ของหมู่บ้าน Mỹ Lai (แต่ในความเป็นจริงแล้วกองพันเวียดกงที่ 48 ได้ฝังตัวในที่ราบสูง Quang Ngai ทางตะวันตก ซึ่งอยู่ห่างออกไปมากกว่า 65 กม.)

ในการบรรยายสรุปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ‘ร้อยเอก Ernest Medina’ ผู้บังคับกองร้อย Charlie ได้บอกกับทหารของเขาว่า ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับโอกาสสู้รบกับศัตรูที่หลบหนีพวกเขามานานกว่าหนึ่งเดือน ด้วยเชื่อว่า พลเรือนชาวเวียดนามใต้ได้อพยพออกจากพื้นที่ของหมู่บ้าน Mỹ Lai ไปยังเขตเมือง Quang Ngai หมดแล้ว เขาจึงสั่งว่า “ใครก็ตามที่ยังอยู่ใน Mỹ Lai จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสมาชิกหรือแนวร่วมของเวียดกง ภายใต้กฎการสู้รบเหล่านี้ ทหารมีอิสระที่จะยิงใครหรืออะไรก็ได้”

นอกจากนี้ กองทหารของกองร้อย Charlie ยังได้รับคำสั่งให้ทำลายพืชผลและสิ่งปลูกสร้าง และฆ่าปศุสัตว์ทั้งหมดด้วย

‘ร้อยโท William Calley’ ผู้บังคับหมวดที่ 1 กองร้อย Charlie

ก่อนเวลา 07.30 น. ของวันที่ 16 มีนาคม 1968 ตำบล Son My ถูกปืนใหญ่ของสหรัฐฯ ถล่มอย่างหนัก เพื่อเคลียร์พื้นที่ลงจอดสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของกองร้อย Charlie แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงกลายเป็นการบังคับพลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่ทยอยออกจากพื้นที่ให้กลับไปที่หมู่บ้าน Mỹ Lai เพื่อหาที่กำบัง

ต่อมา หมวดที่ 1 ของกองร้อย Charlie นำโดย ‘ร้อยโท William Calley’ ได้บุกเข้าไปทางตะวันตกของหมู่บ้านขนาดเล็กที่รู้จักกันในชื่อ ‘Xom Lang’ แต่ถูกทำเครื่องหมายระบุว่า เป็นหมู่บ้าน Mỹ Lai บนแผนที่ทางทหารของสหรัฐฯ เวลา 7.50 น. ส่วนที่เหลือของกองร้อย Charlie ลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว และร้อยโท Calley นำทหารหมวดที่ 1 ไปทางทิศตะวันออกผ่านหมู่บ้าน Mỹ Lai ไป

แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบการต่อต้านเลย แต่ทหารหมวดที่ 1 ก็เริ่มสังหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้ตามอำเภอใจ ในชั่วโมงถัดมา กลุ่มของผู้หญิง เด็ก และชายสูงอายุก็ถูกล้อมและยิงทิ้งในระยะประชิด นอกจากนั้นแล้วทหารสหรัฐฯ ยังทำการข่มขืนหญิงสาวอีกหลายคน

หมวดที่ 2 ของกองร้อย Charlie เคลื่อนพลขึ้นเหนือจากเขตลงพื้น สังหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้ไปอีกหลายสิบคน ในขณะที่หมวดที่ 3 ที่ตามมาก็ได้จัดการเผาทำลายบ้านเรือนที่เหลืออยู่ของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ และผู้รอดชีวิตที่เหลือถูกกราดยิง เวลา 09.00 น. ร้อยโท Calley สั่งประหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้มากถึง 150 คน โดยต้อนคนเหล่านั้นลงไปในคูน้ำ

ทหารสังกัดกองร้อย Charlie จัดการเผาทำลายบ้านเรือนที่ Mỹ Lai

‘จ่า Ron Haeberle’ ช่างภาพของกองทัพบกสหรัฐฯ สังกัดกองร้อย Charlie บันทึกเหตุการณ์ในวันนั้น โดยเขาใช้กล้องถ่ายภาพขาวดำสำหรับบันทึกอย่างเป็นทางการของกองทัพบก แต่ถ่ายเป็นสีด้วยกล้องส่วนตัวของเขา ภาพขาวดำหลายภาพเป็นภาพทหารขณะที่กำลังซักถามนักโทษ ค้นทรัพย์สิน และเผากระท่อม แม้ว่าการทำลายทรัพย์สินจะละเมิดคำสั่งบัญชาการของกองทัพสหรัฐฯ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องปกติของภารกิจค้นหาและทำลาย และไม่ได้เป็นหลักฐานโดยตรงในกรณีอาชญากรรมสงคราม

ภาพถ่ายสีส่วนตัวของ Haeberle ซึ่งเขาไม่ได้ส่งต่อให้กองทัพบก ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร ‘Cleveland Plain Dealer and Life’ ในเวลาต่อมา ภาพหนึ่งแสดงให้เห็นร่องรอยที่เกลื่อนไปด้วยศพผู้หญิง เด็ก และทารกที่เสียชีวิต และอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของผู้หญิงและเด็กที่กำลังหวาดกลัวกลุ่มหนึ่ง ในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกยิง ภาพถ่ายเหล่านี้กระตุ้นการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนาม และจะกลายเป็นชุดภาพเกี่ยวกับสงครามเวียดนามที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

‘จ่า Hugh Thompson’ นักบินเฮลิคอปเตอร์ผู้ยุติการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

มีรายงานว่าการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai สิ้นสุดลงหลังจากที่ ‘จ่า Hugh Thompson’ ซึ่งเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกสหรัฐฯ ในภารกิจลาดตระเวน เขาได้นำเฮลิคอปเตอร์ลงจอดระหว่างทหารกับชาวบ้านที่กำลังล่าถอย และขู่ว่าจะเปิดฉากยิงทหารกองร้อย Charlie หากพวกเขายังคงโจมตีพลเรือนชาวเวียดนามใต้ต่อไป

เขาบอกว่า “เราบินไปมาเรื่อย ๆ… และในเวลาไม่นานนักเราก็เริ่มสังเกตเห็นศพจำนวนมากขึ้น ทุกที่ที่เรามอง เราจะเห็นศพเหล่านี้เป็นเด็กทารก เด็กอายุ 2-3 ขวบ และ 4-5 ขวบ ผู้หญิง ผู้ชายที่แก่มาก ไม่ใช่คนในวัยฉกรรจ์แต่อย่างใด” Thompson กล่าวในเวทีการสัมมนา ‘เหตุการณ์ Mỹ Lai’ ที่มหาวิทยาลัยทูเลน เมื่อปี 1994

Thompson และลูกเรือของเขานำผู้รอดชีวิตหลายสิบคนบินไปรับการรักษาพยาบาล ในปี 1998 Thompson และลูกเรืออีก 2 คนได้รับเหรียญรางวัลทางทหาร ซึ่งเป็นเหรียญรางวัลขั้นสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ สำหรับความกล้าหาญที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรงกับศัตรู

‘พันตรี Colin Powell’ ในเวียดนามใต้

เมื่อการสังหารหมู่ Mỹ Lai สิ้นสุดลง มีผู้เสียชีวิต 504 ราย ในบรรดาเหยื่อเป็นผู้หญิง 182 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ 17 คน และเด็ก 173 คน รวมถึงทารก 56 คน เมื่อทราบข่าวการสังหารหมู่ซึ่งจะทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาว เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่บังคับบัญชากองร้อย Charlie และกองพลที่ 11 จึงพยายามมองข้ามเหตุนองเลือดนี้ทันที

อย่างไรก็ตาม กองทัพบกสหรัฐฯ ก็ได้เริ่มการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการภายใน หนึ่งในผู้สืบสวนภายในของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ Mỹ Lai คือ ‘พันตรี Colin Powell’ ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานคณะเสนาธิการร่วม และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศภายใต้ ‘ประธานาธิบดี George W. Bush’

ตามรายงานของ Powell ระบุว่า “แม้ว่าอาจมีบางกรณีของการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อพลเรือนและนักโทษเชลยศึก แต่สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงทัศนคติทั่วไปของทหารทั้งกองพล”

สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องความโหดร้ายที่กระทำโดยทหารอเมริกัน Powell กล่าวว่า “ในการหักล้างโดยตรงต่อการแสดงภาพนี้คือความจริงที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกองอเมริกากับชาวเวียดนามนั้นดีเยี่ยม” คำกล่าวนี้ ทำให้นักวิจารณ์หลายคนเยาะเย้ยว่าเป็น ‘การล้างบาป’ และกล่าวหาว่า Powell เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมที่ช่วยกันปกปิดการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

‘Ronald Ridenhour’ ผู้เปิดเผยเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

การปกปิดการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งทหารในกองพลที่ 11 ซึ่งเคยได้ทราบรายงานการสังหารหมู่ ซึ่งเขาไม่ได้เข้าร่วม ได้เริ่มรณรงค์เพื่อให้เหตุการณ์ต่าง ๆ กระจ่างขึ้น หลังจากเขียนจดหมายถึง ‘ประธานาธิบดี Richard M. Nixon’ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ ประธานคณะเสนาธิการร่วม และสมาชิกรัฐสภาหลายคน โดยไม่มีการตอบกลับ ในที่สุด Ridenhour ก็ให้สัมภาษณ์กับ Seymour Hersh นักข่าวสืบสวนซึ่งรายงานเรื่องนี้ในเดือนพฤศจิกายน 1969 ท่ามกลางความโกลาหลระหว่างประเทศและการประท้วงสงครามเวียดนาม

ซึ่งมีการติดตามการเปิดเผยของ Ridenhour กองทัพบกสหรัฐฯ สั่งให้มีการสอบสวนเป็นพิเศษเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai และความพยายามปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าวในภายหลัง

การสอบสวนนำโดย ‘พลโท William Peers’ ซึ่งมีการเผยแพร่รายงานในเดือนมีนาคม 1970 ได้เสนอให้ตั้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ทหารไม่น้อยกว่า 28 นายที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดการสังหารหมู่ การพิจารณาคดี Mỹ Lai เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1970 ต่อมา กองทัพได้ตั้งข้อหาทหารเพียง 14 คน รวมทั้งร้อยโท William Calley, ร้อยเอก Ernest Medina และพันเอก Oran Henderson ในข้อหาก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ Mỹ Lai

‘พลตรี Julian Ewell’ เจ้าของฉายา “คนขายเนื้อแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”

ทุกคนพ้นผิดยกเว้นร้อยโท Calley ซึ่งถูกตัดสินว่า ‘มีความผิดในข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าจากการสั่งยิง’ แม้ว่าเขาจะโต้แย้งว่าเขาเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของร้อยเอก Medina ผู้บังคับบัญชาก็ตาม ในเดือนมีนาคม 1971 ร้อยโท Calley ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ในฐานะผู้สั่งการในการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

หลายคนมองว่า ร้อยโท Calley เป็นแพะรับบาป และเขาอุทธรณ์ลดโทษเหลือ 20 ปี และต่อมาได้ลดโทษเหลือเพียง 10 ปี และเขาถูกปล่อยตัวในปี 1974 หลังจากถูกจำคุกเพียง 3 ปีเท่านั้น

การสืบสวนในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่า การสังหารที่ Mỹ Lai ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์เดียว ความโหดร้ายอื่น ๆ เช่น การสังหารหมู่พลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่ Mỹ Khe ที่คล้ายกันนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ปฏิบัติการทางทหารฉาวโฉ่ที่เรียกว่า ‘Speedy Express’ คร่าชีวิตพลเรือนชาวเวียดนามใต้ไปหลายพันคน จนกระทั่งพลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่อาศัยอยู่บริเวนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้ให้ฉายา ‘พลตรี Julian Ewell’ ผู้บัญชาการในปฏิบัติการครั้งนั้นว่า “คนขายเนื้อแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 การสนับสนุนการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในเวียดนามลดน้อยลง เนื่องจากฝ่ายบริหารของ ‘ประธานาธิบดี Richard M. Nixon’ ที่ได้ดำเนินนโยบาย ‘การทำให้เป็นเวียดนาม’ (Vietnamization) ซึ่งรวมถึงการถอนกำลังทหารและโอนการควบคุมการปฏิบัติการภาคพื้นดินไปยังกองทัพเวียดนามใต้ ในบรรดากองทหารอเมริกันที่ยังอยู่ในเวียดนาม ล้วนแล้วแต่มีขวัญกำลังใจต่ำ มีความโกรธแค้นและความคับข้องใจสูง มีการใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์เพิ่มในหมู่ทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ และรายงานอย่างเป็นทางการในปี 1971 ประมาณการว่าทหารสหรัฐฯ 1 ใน 3 หรือมากกว่านั้นติดยาเสพติด

การเปิดเผยเรื่องราวของการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารอเมริกันตกต่ำลดลงไปอีก เมื่อบรรดาทหารอเมริกันในเวียดนามใต้ต่างพากันสงสัยว่า ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาปกปิดความโหดร้ายอื่นใดอีก

ในสหรัฐฯ ความโหดร้ายของการสังหารหมู่ Mỹ Lai และความพยายามของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าว ยิ่งทำให้ความรู้สึกต่อต้านสงครามรุนแรงขึ้น และเพิ่มความขมขื่นต่อการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐฯ ในเวียดนาม ต่างจากเหตุการณ์สงครามอื่น ๆ ที่ทั้งศัตรูและอดีตศัตรูของสหรัฐฯ มักกลายเป็นผู้ร้ายในภาพยนตร์ Hollywood ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วน Mỹ Lai เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ 504 ศพ โดยทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ ไม่เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Hollywood เลย จะมีก็เพียงแต่ถูกนำมาสร้างเป็นสารคดีเท่านั้น

และในการแสดง The Lieutenant เป็นร็อกโอเปราที่มีทั้งหนังสือ ดนตรี และเนื้อร้องโดย Gene Curty, Nitra Scharfman และ Chuck Strand ได้เสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นศาลทหารของร้อยโท William Calley ในช่วงสงครามเวียดนาม โดยแสดงบนเวทีละครบรอดเวย์ ในปี 1975 และ ‘Mỹ Lai Four’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์นั้นถูกสร้างโดยผู้สร้างและทีมงานชาวอิตาลี ไม่ใช่ผู้สร้างและทีมงานชาวอเมริกันจาก Hollywood แต่อย่างใด

มีการสร้างอนุสรณ์สถานเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ณ ตำบล Sơn Mỹ และสวนสันติภาพ Mỹ Lai ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของเหตุการณ์สังหารหมู่ เมื่อ 16 มีนาคม 1998 สวนสันติภาพนี้อยู่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุราว 2 กม. (1 ไมล์)

‘Apollo-Plumbat’ 2 ปฏิบัติการลับของหน่วย ‘MOSSAD’ แห่งอิสราเอล ในการโจรกรรม ‘แร่ยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง’ ซึ่งใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์

‘Apollo’ และ ‘Plumbat’ ปฏิบัติการโจรกรรมยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง 
โดยอิสราเอล

‘อิสราเอล’ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง และเชื่อกันว่า อิสราเอลมีความสามารถในการปล่อยหัวรบนิวเคลียร์ได้มากมายหลายวิธีจากอากาศยาน ขีปนาวุธร่อนที่ปล่อยจากเรือดำน้ำ และขีปนาวุธพิสัยกลางถึงข้ามทวีปแบบ ‘Jericho’ ซึ่ง Revital ‘Tally’ Gotliv สส.หญิงอิสราเอล เรียกร้องให้นำมาใช้ถล่มฉนวน Gaza หวังให้กลายเป็น ‘วันโลกาวินาศ’ (Doomsday) ของชาวปาเลสไตน์ https://thestatestimes.com/post/2023101214

โดยคาดว่า อิสราเอลเมื่อเริ่มแรกที่มีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมใช้งานได้นั้น น่าจะเป็นในช่วงปลายปีของ ค.ศ. 1966 หรือต้นปี ค.ศ. 1967 และทำให้อิสราเอลกลายเป็นชาติที่ 6 ของโลกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลรักษานโยบาย ‘จงใจคลุมเครือ’ โดยไม่เคยปฏิเสธหรือยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ย้ำตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า “อิสราเอลจะไม่ใช่ประเทศแรกที่จะเปิดฉากใช้อาวุธนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง”

นอกจากนี้ อิสราเอลยังปฏิเสธที่จะลงนามใน ‘สนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์’ (the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons : NPT) แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากนานาชาติให้ลงนามก็ตาม โดยกล่าวว่าการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวจะขัดต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ

‘กองทัพอากาศอิสราเอล’ เปิดฉากทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก
ใน ‘ปฏิบัติการ Opera’ ในปี ค.ศ. 1981

นอกจากนี้ อิสราเอลยังได้พัฒนาหลักการเริ่มต้นในการต่อต้านด้วยการชิงโจมตี โดยปฏิเสธไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค สามารถซื้อหรือผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองได้ กองทัพอากาศอิสราเอลเปิดฉากทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก ใน ‘ปฏิบัติการ Opera’ ในปี ค.ศ. 1981 และซีเรีย ใน ‘ปฏิบัติการ Orchard’ ในปี พ.ศ. 2007 ตามลำดับ และการใช้มัลแวร์ ‘Stuxnet’ ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านในปี พ.ศ. 2010 ซึ่งเชื่อว่าได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ในปี ค.ศ. 2019

อีกทั้ง อิสราเอลยังคงเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่เชื่อว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยกำหนดให้แผน Samson เป็นกลยุทธ์การป้องกันในการตอบโต้ครั้งใหญ่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในฐานะ ‘ทางเลือกสุดท้าย’ ต่อประเทศที่ส่งกองทัพมารุกราน และ/หรือ ทำลายอิสราเอล

‘Mordechai Vanunu’ ช่างเทคนิคผู้ที่เปิดเผยรายละเอียดของโครงการอาวุธนิวเคลียร์

อิสราเอลเริ่มโครงการนิวเคลียร์ไม่นานหลังจากประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1948 และด้วยความร่วมมือของฝรั่งเศส โดยอิสราเอลได้เริ่มสร้างศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ ‘Negev’ อย่างลับ ๆ ซึ่งเป็นโรงงานใกล้ ๆ กับเมือง Dimona ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และโรงงานปรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องในปลายทศวรรษ 1950 ก่อนจะถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1986 โดย ‘Mordechai Vanunu’ ช่างเทคนิคที่เคยทำงานในศูนย์แห่งนี้และอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ไม่นานหลังจากนั้น Mordechai Vanunu ก็ถูกเจ้าหน้าที่ MOSSAD ลักพาตัวและถูกนำตัวกลับมาที่อิสราเอล ซึ่งเขาถูกตัดสินจำคุก 18 ปีในข้อหากบฏและจารกรรม

บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) 
เมือง Apollo และเมือง Parks Township

แต่สิ่งสำคัญที่อิสราเอลไม่สามารถหาได้เลย คือ วัตถุดิบหลักในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ ‘ยูเรเนียม’ ที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จึงเป็นที่มาของ 2 ปฏิบัติการโจรกรรมยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง โดย ‘หน่วย MOSSAD’ ของอิสราเอล

‘ปฏิบัติการ Apollo’ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 โดยบริษัทของสหรัฐอเมริกา บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) เมือง Apollo และเมือง Parks Township เขตชานเมืองพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลวาเนีย ถูกสอบสวนในข้อหาสูญเสียสารยูเรเนียมที่มีสมรรถนะสูงไปราว 200–600 ปอนด์ (91–272 กิโลกรัม) โดยสงสัยว่าได้มีการยักย้ายเข้าสู่โครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล

‘Dr. Zalman Shapiro’ ประธานฯ บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC)

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 ถึง พ.ศ. 1980 สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) ได้ทำการสอบสวน Dr. Zalman Shapiro ประธานบริษัทฯ ในเรื่องการสูญหายของยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จำนวน 206 ปอนด์ (93 กิโลกรัม) Shapiro เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจและการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอิสราเอล รวมถึงได้รับสัญญาที่จะสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้อิสราเอลด้วย คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู, สำนักข่าวกรองกลาง (CIA), หน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ และผู้สื่อข่าวที่สอบสวนได้ดำเนินการสืบสวนในลักษณะเดียวกันนี้ แต่ก็ไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ เลย

การศึกษาของสำนักงานบัญชีทั่วไปเกี่ยวกับการสืบสวนที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 ระบุว่า “เราเชื่อว่าความพยายามร่วมกันอย่างทันท่วงที ในส่วนของหน่วยงานทั้ง 3 นี้ จะช่วยได้อย่างมาก และอาจช่วยแก้ปัญหาการเบี่ยงเบนความสนใจของ NUMEC ได้ หากพวกเขาต้องการทำเช่นนั้น”

บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) 
เมือง Apollo และเมือง Parks Township

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 ‘CIA’ ได้บรรยายสรุปแก่เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (NRC) เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่า CIA เชื่อว่ายูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูงที่หายไปนั้น ถูกส่งไปยังอิสราเอล เมื่อ NRC แจ้งต่อทำเนียบขาว ส่งผลทำให้ประธานาธิบดี ‘Jimmy Carter’ เมื่อได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการสอบสวน จึงสั่งให้ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติประเมินผล ซึ่งผลสรุปว่า “ข้อสรุปของ CIA มีความเป็นไปได้ แม้ว่าจะไม่ได้ข้อสรุปก็ตาม” บางคนยังคงเชื่อว่า อิสราเอลได้รับยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จำนวน 206 ปอนด์ (93 กิโลกรัม) หรือมากกว่าจาก NUMEC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้รับหลังการมาเยือนของ ‘Rafi Eitan’ ซึ่งถูกเปิดเผยในภายหลัง ว่าเป็นสายลับอิสราเอลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘Jonathan Pollard’ ในเวลาต่อมา

เหตุการณ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1986 นักวิเคราะห์ ‘Anthony Cordesman’ บอกกับสำนักข่าว United Press International (UPI) ว่า “ไม่มีเหตุผลที่เป็นไปได้ใด ๆ สำหรับ Eitan ที่จะไปยังโรงงาน Apollo นอกจากไปเพื่อวัสดุนิวเคลียร์” การสอบสวนในภายหลังได้ดำเนินการโดยคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (ต่อจาก AEC) เกี่ยวกับยูเรเนียมจำนวน 198 ปอนด์ (90 กิโลกรัม) ซึ่งพบว่าหายไประหว่างปี ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1976 หลังจากที่บริษัท Babcock & Wilcox และ Dr. Shapiro ได้ซื้อโรงงานดังกล่าว การสืบสวนพบว่า ยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง น้ำหนักมากกว่า 110 ปอนด์ (50 กิโลกรัม) อาจถูกเรียกว่า ‘กลไกการสูญเสียที่ไม่สามารถระบุได้ และไม่มีเอกสารก่อนหน้านี้’ รวมถึง ‘การปนเปื้อนของเสื้อผ้าของคนงาน การสูญเสียจากระบบขัดพื้น วัสดุที่ฝังอยู่ในพื้น และคราบตกค้างในอุปกรณ์แปรรูป’ โดยอีกหนึ่งในผู้สืบสวนหลัก ‘Carl Duckett’ ได้กล่าวว่า “ผมไม่พบอะไรเลยที่บ่งชี้ว่า Shapiro มีความผิด”

‘ปฏิบัติการ Plumbat’ เชื่อกันว่าเป็น ‘ปฏิบัติการลับ’ ของอิสราเอลในปี ค.ศ. 1968 เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘Yellowcake’ (แร่ยูเรเนียมแปรรูป) เพื่อนำมาใช้สนับสนุนในความพยายามด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล สาเหตุมาจากการที่ฝรั่งเศสหยุดจัดหาเชื้อเพลิงยูเรเนียมให้กับอิสราเอล สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Dimona หลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล ในปี ค.ศ. 1967 แหล่งข่าวจำนวนมากเชื่อว่าในปี ค.ศ. 1968 อิสราเอลได้รับ Yellowcake (แร่ยูเรเนียมแปรรูป) ราว 200 ตันจาก ‘Union Minière’ บริษัทเหมืองแร่ของเบลเยียม และจัดส่งยูเรเนียมแปรรูปที่ขุดในคองโก จากเมืองแอนต์เวิร์ปไปยังเมืองเจนัว ให้กับบริษัทแนวหน้าของยุโรป โดยทำการขนถ่ายย้ายแร่ไปยังเรือลำอื่นกลางทะเล

ปฏิบัติการลับของ MOSSAD นี้ เป็นการละเมิดมาตรการควบคุมวัสดุนิวเคลียร์ของ ‘Euratom’ (The European Atomic Energy Community) โดยสมบูรณ์ ชื่อของปฏิบัติการ Plumbat มาจากภาษาละตินว่า ‘plumbum’ ซึ่งหมายถึง ‘ตะกั่ว’ อันเป็นวัสดุไม่อันตรายในการขนส่ง Yellowcake โดยสายลับของ MOSSAD ได้จัดตั้งบริษัทสมมติชื่อ ‘Biscayne Trader's Shipping Corporation’ ในไลบีเรีย เพื่อซื้อเรือขนส่งสินค้าทางทะเล จากเมือง Scheersberg A. (เมืองทางตอนเหนือของเยอรมนี ใกล้ชายแดนติดกับเดนมาร์ก) ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ผู้เป็นมิตรของบริษัทปิโตรเคมีของเยอรมนี มีการจ่ายเงิน 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Union Minière เพื่อซื้อ Yellowcake จำนวน 200 ตัน Yellowcake เหลืออยู่ในสินค้าคงคลังจากยูเรเนียมที่ขุดได้จาก Shinkolobwe ใน Katanga ตอนบน โดยบรรทุก Yellowcake นี้ลงบนเรือบรรทุกสินค้าที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ และมีการทำสัญญากับบริษัทสีสัญชาติอิตาลี เพื่อดำเนินการผลิต Yellowcake

‘Yellowcake’ (แร่ยูเรเนียมแปรรูป)

‘Yellowcake’ ถูกบรรทุกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1968 ในถังที่มีเครื่องหมาย ‘PLUMBAT’ (ผลิตภัณฑ์ตะกั่วที่ไม่เป็นอันตราย) ลูกเรือชาวสเปนถูกแทนที่ด้วยกะลาสีเรือที่ MOSSAD เตรียมไว้ และได้รับหนังสือเดินทางปลอมที่จัดเตรียมไว้ให้ เรือสินค้าลำนี้แล่นไปยังเมืองเจนัว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1968 หลังจากเดินทางได้ประมาณ 7 วัน เรือก็พบกับเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอิสราเอล ภายใต้ความมืดบริเวณที่ใดที่หนึ่งทางตะวันออกของเกาะครีต สินค้าถูกขนถ่ายไปอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เรือรบของอิสราเอลคอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ หลังจากบรรทุก Yellowcake แล้ว ก็ออกเดินทางสู่เมืองท่าไฮฟา และในที่สุดก็ถึงอุโมงค์ซึ่งเป็นโรงงานเคมีอัตโนมัติระดับ 6 เพื่อทำการแปรรูปให้เป็น ‘พลูโตเนียม’ ที่เมือง Dimona เมื่อเรือ Scheersberg A. เข้าเทียบท่าที่ตุรกี 8 วันต่อมา โดยไม่มีการขนส่งสินค้าใด ๆ สัญญากับบริษัทสีสัญชาติอิตาลีจึงถูกยกเลิก บันทึกของเรือหายไปหลายหน้าโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ บริษัทสีอิตาลีสันนิษฐานว่า สินค้าสูญหายเนื่องจากการปล้น

คำสารภาพของฝ่ายปฏิบัติการ MOSSAD ในปี ค.ศ. 1973 ‘Dan Ert’ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ Mossad ถูกจับกุมในนอร์เวย์ โดยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการลอบสังหารผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์คนหนึ่ง ที่สังหารนักกีฬาอิสราเอล 11 คน ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ. 1972 ที่นครมิวนิก ซึ่งได้เล่าเรื่องราวขณะถูกคุมขังเพื่อพิสูจน์ให้ชาวนอร์เวย์เห็นว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของ MOSSAD เรื่องราวดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อตรวจสอบพบว่า Ert ได้รับเลือกให้เป็นประธานของบริษัทขนส่งในไลบีเรียที่เคยซื้อเรือ Scheersberg A. ในปี 1977 เรื่อง Plumbat Affair ถูกเปิดเผยโดย ‘Paul Leventhal’ อดีตนิติกรของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในการประชุมลดอาวุธ เขากล่าวว่า “การขนส่ง Yellowcake ที่ถูกขโมยมานั้น เพียงพอที่จะเดินเครื่องปฏิกรณ์เช่นที่ Dimona ได้นานถึง 10 ปี”

ในตอนแรกเจ้าหน้าที่อิสราเอลนิ่งเงียบเมื่อมีการสอบสวน จากนั้น จึงออกมาปฏิเสธทุกแง่มุมในเรื่องราวที่อิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับ Yellowcake ที่ถูกขโมย ปัจจุบันประมาณการว่า คลังอาวุธของอิสราเอลมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ระหว่าง 80 ถึง 400 หัว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top