Wednesday, 23 April 2025
TodaySpecial

21 เมษายน พ.ศ. 2325 ครบรอบ 243 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ รำลึกพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลที่ 1 ผู้ทรงวางรากฐานพระนครใหม่ สู่มหานครแห่งความรุ่งเรืองของแผ่นดินไทย

วันที่ 21 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธียกเสาหลักเมือง ณ พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนา 'กรุงรัตนโกสินทร์' หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ 'กรุงเทพมหานคร' อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325

การย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมายังฝั่งพระนครมีเหตุผลสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ ความมั่นคง และการบริหารราชการ โดยพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีความเหมาะสมต่อการพัฒนากรุงใหม่ให้มั่นคงและรุ่งเรือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การปกครอง และวัฒนธรรม

พิธียกเสาหลักเมือง หรือ 'พิธีฝังหลักเมือง' เป็นพิธีกรรมสำคัญในวัฒนธรรมไทยและอินโดจีน ซึ่งสื่อถึงการกำหนดศูนย์กลางของเมืองใหม่ โดยมีความเชื่อว่าหลักเมืองเป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะปกปักรักษาบ้านเมือง

เสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ที่ฝังเมื่อปี พ.ศ. 2325 ถูกบรรจุไว้ในศาลหลักเมืองซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง

นับตั้งแต่การสถาปนา กรุงรัตนโกสินทร์ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ วัฒนธรรม ศิลปะ และศาสนาของประเทศ โดยผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กรุงรัตนโกสินทร์ไม่เพียงเป็นเมืองหลวงทางกายภาพ แต่ยังเป็นหัวใจของความเป็นไทยในหลากหลายมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ ราชประเพณี และความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ ในทุกปี วันที่ 21 เมษายน จะมีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 1 และราชวงศ์จักรี รวมถึงการสืบสานวัฒนธรรมไทย เช่น พิธีบวงสรวงที่ศาลหลักเมือง ขบวนแห่ เครื่องสักการะ และกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ร่วมเฉลิมฉลองและเรียนรู้รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของชาติ

22 เมษายน พ.ศ. 2485 มิตรภาพทางเศรษฐกิจในยามสงคราม วันที่เงินบาทผูกพันกับเงินเยนญี่ปุ่น ข้อตกลงค่าเงินที่เปลี่ยนทิศเศรษฐกิจไทยกลางพายุ ‘สงครามโลกครั้งที่ 2’

​เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) ประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลงทางการเงินกับจักรวรรดิญี่ปุ่นว่าด้วยเรื่อง “ข้อตกลงค่าเงินเยน-บาท” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 

ข้อตกลงนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างสองประเทศในขณะนั้น และสะท้อนถึงบทบาทของไทยในสงครามโลกครั้งที่สองและพัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศของไทยในศตวรรษที่ 20​

สาระสำคัญของข้อตกลง ได้แก่

1. การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเยนกับเงินบาท: กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเยนกับเงินบาทให้คงที่ตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ ซึ่งเป็นการปรับค่าเงินบาทให้มีมูลค่าน้อยลงจากอัตราเดิมที่ 155.7 เยน ต่อ 100 บาท เป็น 100 เยน ต่อ 100 บาท

2. การใช้เงินเยนเป็นสื่อกลางในบางธุรกรรม: ข้อตกลงนี้อนุญาตให้ใช้เงินเยนเป็นสื่อกลางในบางธุรกรรมในเขตที่ญี่ปุ่นมีอิทธิพลหรือควบคุมอยู่ ซึ่งช่วยให้การค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในช่วงสงครามเป็นไปได้อย่างสะดวก​

3. การสนับสนุนให้เกิดความสะดวกในการค้าและการขนส่งสินค้า: ช่วยสนับสนุนให้เกิดความสะดวกในการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในช่วงสงคราม ซึ่งเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในขณะนั้น

การผูกเงินบาทกับเงินเยนจึงไม่ใช่เพียงมาตรการทางเทคนิคด้านการเงิน หากแต่สะท้อนถึงการเลือกเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยในการปรับตัวเข้ากับโครงสร้างอำนาจใหม่ที่ญี่ปุ่นได้กลายเป็นผู้นำของ “ระเบียบใหม่ในเอเชีย” หรือ Greater East Asia Co-Prosperity Sphere

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลังเกี่ยวกับความเป็นกลางของไทยในสงคราม ตลอดจนสร้างข้อผูกพันที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการเงินในลักษณะพึ่งพิงคู่ค้าเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงและข้อตกลงดังกล่าวถูกยกเลิก ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไทยในเวทีระหว่างประเทศจึงกลายเป็นวาระสำคัญของภาครัฐในช่วงหลังสงคราม

ประสบการณ์จากการลงนามในข้อตกลงค่าเงินเยน–บาทในครั้งนั้น กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่หล่อหลอมทิศทางของนโยบายการเงินระหว่างประเทศของไทยในยุคสงคราม และมีอิทธิพลต่อวิธีคิดของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจการคลังไทยในเรื่องของ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลข แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ในฐานะประเทศขนาดกลางที่ต้องดำรงอยู่ท่ามกลางแรงดึงจากมหาอำนาจโลก

23 เมษายน พ.ศ. 2159 ‘วิลเลียม เชกสเปียร์’ เกิดและจากไปในวันเดียวกัน ราวกับบทละคร วันแห่งการระลึกถึงผู้ฝากผลงานอันเป็นนิรันดร์ ‘โรมิโอและจูเลียต’

วันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 (พ.ศ. 2159) ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกวรรณกรรม เนื่องจากเป็นวันที่ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) นักเขียนบทละครและกวีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ได้เสียชีวิตลง ณ เมืองสแตรตฟอร์ด ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง โดยมีอายุ 52 ปี แม้สาเหตุการเสียชีวิตจะไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีบันทึกระบุว่าเขาถูกฝังในวันที่ 25 เมษายน ณ โบสถ์ โฮลี ทรินิตี้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน

ทั้งนี้ วิลเลียม เชกสเปียร์ เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 หมายความว่าเขาเกิดและเสียชีวิตในวันเดียวกัน โดยเชกสเปียร์ในตอนที่ยังมีชีวิตเป็นนักเขียนที่มีผลงานที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงการวรรณกรรมโลก ผลงานสุดยอดของเขาได้แก่การประพันธ์ บทละคร (plays) บทกวี (poems) และ โคลง (sonnets) ที่ได้รับการแปลและแสดงในทั่วโลก ซึ่งผลงานของเชกสเปียร์ยังคงมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมสมัยใหม่และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวงการละครและการแสดง

สำหรับผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเชกสเปียร์คือ “โรมิโอและจูเลียต” (Romeo and Juliet), “แฮมเลต” (Hamlet), “แม็คเบธ” (Macbeth) และ “มคธ” (Macbeth) ที่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งและการพัฒนาอักขระในผลงานของเขาได้สะท้อนถึงชีวิตและสังคมมนุษย์ในยุคของเขาได้อย่างมีเสน่ห์ ซึ่งยังคงเป็นที่รู้จักและถูกแสดงจนถึงปัจจุบัน 

การจากไปของวิลเลียม เชกสเปียร์ในวันที่ 23 เมษายน สร้างความโศกเศร้าให้กับวงการวรรณกรรมโลก ถึงแม้ว่าจะมีความไม่แน่ชัดเกี่ยวกับเหตุผลที่แท้จริงของการเสียชีวิต แต่การจากไปของเขาในวันเดียวกับ ‘มิเกล เด เซร์บันเตส’ นักเขียนชาวสเปน นับเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในวงการวรรณกรรมโลก ทั้งสองคนถือเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีผลกระทบอย่างมากในวงการวรรณกรรมของแต่ละประเทศ

24 เมษายน พ.ศ.2532 36 ปี ‘วันเทศบาล’ จุดเริ่มต้นแห่งการกระจายอำนาจ ที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของประชาธิปไตยไทย

วันที่ 24 เมษายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น 'วันเทศบาล' โดยกระทรวงมหาดไทย เพื่อรำลึกถึงการถือกำเนิดของเทศบาลในประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ภายใต้การนำของพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารพื้นที่ของตนเองอย่างแท้จริง

ต่อมา กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 กำหนดให้วันที่ 24 เมษายน ของทุกปีเป็น 'วันเทศบาล' เพื่อให้บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทหน้าที่ ในฐานะผู้ให้บริการประชาชนในชุมชน พร้อมส่งเสริมค่านิยมด้านความรัก ความผูกพัน และความสามัคคีในองค์กร ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบราชการที่เข้มแข็งและเป็นธรรม

เทศบาลไม่เพียงเป็นกลไกทางการปกครอง แต่ยังเป็นหน่วยบริการประชาชนที่อยู่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชุมชนมากที่สุด การบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการขยะ และการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ล้วนเป็นภารกิจของเทศบาลที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเทศบาลจำนวนทั้งสิ้น 2,472 แห่งทั่วประเทศ สะท้อนถึงความสำคัญของเทศบาลในฐานะฟันเฟืองหลักของการพัฒนาท้องถิ่นและระบบประชาธิปไตยระดับรากฐาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top