Thursday, 12 June 2025
TheStatesTimes

Beyonce จะมอบเงินช่วยเหลือ 5,000 ดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องเผชิญกับการยึดทรัพย์สินหรือการถูกขับไล่ เนื่องจากวิกฤตที่อยู่อาศัยที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ผ่านมูลนิธิการกุศล BeyGOOD ของเธอ

ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2021 โดยนักร้องสาวประกาศในเว็บไซต์ของเธอเมื่อวันอังคารว่า เงินช่วยเหลือจะถูกส่งไปยัง 100 คนที่ได้รับการคัดเลือก ในช่วงปลายเดือนมกราคม

แถลงการณ์ที่ออกโดยมูลนิธิการกุศลของนักร้องดัง ระบุถึงการบริจาคเงินครั้งนี้ว่า : "Beyoncé ยังคงให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในจุดที่จำเป็นที่สุด

“ระยะที่สองของกองทุน BeyGOOD Impact Fund จะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่อยู่อาศัย

"การเลื่อนการชำระหนี้ที่อยู่อาศัยกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคมส่งผลให้มีการบังคับจำนองและการขับไล่ผู้เช่า

"หลายครอบครัวได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคที่ส่งผลให้ตกงานเจ็บป่วยและเศรษฐกิจโดยรวมตกต่ำ"

การสูญเสียรายได้ช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา เสี่ยงต่อการถูกขับไล่ออกจากที่พักอาศัย

นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของ Beyoncé ในการช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ที่ผ่านมามูลนิธิของ Beyonce ได้ให้การสนับสนุนอื่น ๆ ตลอดการแพร่ระบาด รวมทั้งการมอบเงินกองทุนให้กับชาวอเมริกาผิวสีเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ 250 รายด้วยเงินช่วยเหลือ10,000 ดอลลาร์

ในเดือนพฤษภาคม เธอได้จัดตั้งหน่วยตรวจ Covid-19 เคลื่อนที่กับ Tina Knowles-Lawson แม่ของเธอ ในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส นอกจากนี้เมื่อเดือนเมษายน เธอยังบริจาคร่วมกับกองทุน Start Small ของแจ็ค ดอร์ซีย์ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึง 6 ล้านดอลลาร์

โดยครั้งนี้ Beyonce จะมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 150,000 บาท ให้กับครอบครัวที่เดือดร้อน 100 ครอบครัวในสหรัฐอเมริกา ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ โดยจะมีการเปิดรับสมัครรอบแรกในวันที่ 7 มกราคม และเปิดรับสมัครรอบที่สองในเดือนกุมภาพันธ์


ที่มา

https://news.sky.com/story/covid-19-beyonce-donates-500-000-to-people-facing-eviction-due-to-housing-crisis-12172679

https://edition.cnn.com/2020/12/26/entertainment/beyonce-donates-eviction-housing-crisis-trnd/index.htmlutm_medium=social&utm_term=link&utm_source=twCNN&utm_content=2020-12-28T03%3A35%3A04

บอร์ดคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เคาะแผนส่งเสริมเอสเอ็มอี กรอบ 2 ปี จำนวน 114 โครงการ ใช้งบประมาณ 5,334 ล้านบาท หวังช่วยเพิ่มสภาพคล่อง - ฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโควิด-19

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบแผนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ปี 64-65 มีสาระสำคัญ คือ ช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ไวรัสโควิด-19

โดยมีแนวทาง คือ การบรรเทาปัญหาและฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 เช่น ส่งเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี ,สร้างความพร้อมให้เอสเอ็มอีด้วยการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาใช้ และปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เกิดความสะดวก โดยเฉพาะปรับแก้กฎหมายเพื่อลดอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี ปี 64 - 65 และข้อเสนอโครงการและงบประมาณฯ ประจำปีงบประมาณ 65 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน ซึ่งมีโครงการที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหาร สสว. เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.63 จำนวน 114 โครงการ งบประมาณ 5,334 ล้านบาท

พร้อมกับเห็นชอบเปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินสนับสนุนงบประมาณโครงการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย จากเดิมที่จัดสรรงบประมาณให้เอสเอ็มอีโดยตรง เป็นจัดสรรเงินกองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) งบประมาณ 5,000 ล้านบาท

กระทรวงการคลัง แนะผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 2 รีบยืนยันตัวตนด่วน ภายในวันที่ 14 มกราคม 2564 ก่อนจะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการโดยอัตโนมัติ พร้อมจ่อเปิดลงทะเบียน รอบใหม่อีก 1 ล้านสิทธิ

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จำนวน 5 ล้านสิทธิ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2563

โดยผู้รับสิทธิจะต้องรีบยืนยันตัวตนโดยเร็ว เพราะเมื่อได้รับข้อความ SMS แจ้งยืนยันสิทธิ ต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนครบถ้วนตามขั้นตอน เพื่อจะได้ใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 เนื่องจากปัจจุบันนี้ พบว่า มีผู้เข้ามายืนยันตัวตนสำเร็จแล้วประมาณ 75% ซึ่งยังเหลืออีกเกือบล้านคน ที่ยังไม่ได้มายืนยันตัวตนให้ครบตามขั้นตอน

ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 สามารถเลือกยืนยันตัวตนได้หลายช่องทางตามความสะดวก ได้แก่

1.) ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

2.) ยืนยันตัวตน ณ สาขาธนาคารกรุงไทย หรือ

3.) ยืนยันตัวตนโดยใช้บัตรประชาชน ณ ตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทย

ภายหลังจากยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ภายใน 14 วัน คือ ภายในวันที่ 14 มกราคม 2564 มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการโดยอัตโนมัติ

น.ส.กุลยา กล่าวเพิ่มเติมว่า "ขณะนี้ มียอดผู้ลงทะเบียนมาตรการคนละครึ่งเฟส 2 ของรัฐบาลที่ไม่ผ่านคุณสมบัติอยู่จำนวน 4.9 แสนราย จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5 ล้านราย และในจำนวน 4.9 แสนรายนี้ ทางรัฐบาลจะนำมาพิจารณาเปิดให้มีการลงทะเบียนในรอบต่อไป โดยจะนำมารวมกับยอดที่เหลือจากคนละครึ่งในเฟสแรกอีกจำนวน 4.3 แสนราย และ รวมกับ ผู้ที่ลงทะเบียนในเฟสที่สองแต่ไม่ใช้สิทธิ์ภายใน 14 วันนับจากวันที่ 1 มกราคม 2564 อีกด้วย"

"เบื้องต้น เรามีจำนวนสิทธิ์ที่จะพิจารณาเปิดรอบใหม่อีกประมาณ 1 ล้านราย โดยเป็นสิทธิที่เกิดจากการขาดคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนคนละครึ่งในเฟสแรกและเฟสสอง ถ้าหากจะมีมากกว่านี้ ก็จะเป็นยอดของผู้ที่ไม่มาใช้จ่ายตามกำหนดภายใน 14 วันทำการ ซึ่งจะถือว่า เป็นการสละสิทธิ์ เราจะเริ่มรู้ยอดดังกล่าวนับจากวันที่ 14 ม.ค.เป็นต้นไป หลังจากนั้น เราจะพิจารณาว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนรอบต่อไปอีกเมื่อไหร่"

สำหรับ ด้านความคืบหน้าล่าสุดของโครงการคนละครึ่ง ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2563 เวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9,565,644 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 49,049.8 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 25,100.5 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 23,949.2 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ายังคงสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

กระทรวงคมนาคมแถลงผลงานรอบ 1 ปี เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยงเส้นทางสู่ทุกภูมิภาคทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เดินหน้าสู่การคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้บริหารกระทรวง แถลงผลการดำเนินงาน “การขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมสู่การปฏิบัติ” ประจำปี 2563 ของกระทรวงคมนาคม โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยงเส้นทางสู่ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะ นโยบายเร่งด่วน จำนวน 4 เรื่อง

1.) เร่งรัดแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างล่าช้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2

2.) แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เรือโดยสาร พร้อมตรวจสอบสภาพและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

3.) ปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเวลาหลัง 24.00 น. ถึง 04.00 น. เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจราจร และการใช้รถใช้ถนนของประชาชนในปัจจุบัน

4.) กำหนดอัตราความเร็วรถบนถนน 4 ช่องทางจราจรขึ้นไปให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ยังได้ติดตามเร่งรัดการดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ ให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ เพื่อให้โครงข่ายคมนาคมขนส่งทั่วประเทศมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งมิติคมนาคมทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตง ในปี 2564 เปิดประตูเศรษฐกิจและการค้าชายแดนใต้ รองรับผู้โดยสาร 869,000 คนต่อปี

“ต่อจากนี้ไปกระทรวงคมนาคม จะเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่งของไทยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ” นายศักดิ์สยาม กล่าว

องค์การอนามัยโลกประกาศยกให้วันที่ 27 ธันวาคม เป็นวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล หรือ International Day of Epidemic Preparedness โดยเริ่มจากปี 2020 นี้เป็นปีแรก

หากจะมองย้อนกลับไป จะพบว่าโลกเราต้องเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Covid-19 มาแล้ว 1 ปีเต็ม จากที่โลกเพิ่งเริ่มต้นนับ1 จากคนไข้รายแรกที่อู่ฮั่น ประเทศจีน จนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกเกิน 80 ล้านคน

โดยมีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 1.76 ล้านราย ซึ่งผลพวงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ไปไกลเกินกว่าอันตรายจากตัวของมัน แต่ลามไปกระทบกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการใช้ชีวิตของมนุษย์ในระดับที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน

แอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ออกถ้อยแถลง ในวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากลครั้งแรกของโลกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในครั้งนี้ เราควรตระหนักได้แล้วว่าควรอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อ ๆ ไปในอนาคตข้างหน้า

และแน่นอนว่า “การเตรียมพร้อมรับมือ” เป็นการลงทุนที่สูง แต่ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า “การรับมือ” เมื่อเกิดเหตุการระบาดครั้งใหญ่อย่างเทียบไม่ติด เราต้องลงทุนรับมือตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปสู่สังคม แต่ละชุมชนต้องได้รับการสนับสนุนด้านสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา

รวมถึงการร่วมมือ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในครั้งนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีชาติใดที่สามารถอยู่รอดได้เพียงชาติเดียว แต่ต้องร่วมมือให้รอดไปด้วยกันเท่านั้น จึงจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้

ทางองค์การสหประชาชาติได้แสดงความห่วงใยถึง ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสเกิดโรคระบาดจากเชื้อโรคชนิดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันพบว่า กว่า 74% ของโรคชนิดใหม่ ๆ เกิดจากการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ที่มักเกิดจากการบุกรุกป่า และรุกล้ำพื้นที่ทางธรรมชาติของสัตว์ป่านำไปใช้ประโยชน์ในการทำปศุสัตว์ที่เป็นอาหารของมนุษย์

โดยทางองค์การสหประชาชาติต้องการเน้นย้ำให้เกิดการตระหนักรู้ในโอกาส และอันตรายที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดโรคระบาดใหญ่ครั้งใหม่ขึ้นได้อีกในอนาคต จึงเป็นที่มาของการสถาปนาวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล ที่จะตรงกับวันที่ 27 ธันวาคมของทุกปี โดยเลือกเอาวันเกิดของ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดค้นวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสัตว์ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดในมนุษย์

และองค์การสหประชาชาติ ยังคงทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยื่นคำร้องขอถอนตัว และตัดงบช่วยเหลือไปแล้วก็ตาม

จึงทำให้โลกของเรามีวันสำคัญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน คือ วันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล ที่องค์การสหประชาชาติเน้นซ้ำย้ำชัดว่า ไม่มีการลงทุนใดที่จะคุ้มค่า และชาญฉลาด เท่ากับการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อม ป้องกันการเกิดโรคระบาดอีกแล้ว


แหล่งข่าว

https://reliefweb.int/report/world/international-day-epidemic-preparedness-27-december

https://www.who.int/news-room/events/detail/2020/12/27/default-calendar/international-day-of-epidemic-preparedness

แนะนำ 5 เทรนด์แต่งหน้าปาร์ตี้ส่งท้ายปี 2020

เริ่มนับถอยหลังกันแล้วใช่ไหมล่ะ สำหรับการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ แม้ปีนี้อาจจะต้องฉลองแบบ ‘เบา ๆ’ ตามสถานการณ์การระบาดโควิด-19 แต่หากใครที่มีอันต้องไปร่วมงานเลี้ยงส่งท้ายปี จะไปแบบหน้าโล้น ๆ เลยก็ใช่ที่ เรามี 5 แนวการแต่งหน้าไปปาร์ตี้ เพื่องานเลี้ยงปีใหม่มาแนะนำกัน

เมื่อพวกทั่นมีชื่อภาษาเกาหลี

ช่วงปลายปี เห็นมีการตั้งชื่อฉายากันให้ครึกโครม คุณครูก็เลยอยากจะขอตั้งชื่อบ้าง แต่ตั้งแบบธรรมดาๆ ก็ไม่ใช่ทางเรา โฮะ ๆๆ งานนี้คุณครูขอเปิดคลาสวิชาเกาหลีค่ะ แล้วขอตั้งชื่อพวกทั่น ๆ เหล่านี้ เป็นภาษากิมจิ เอ้ย! เกาหลีนะคะ อันย๊อง!

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ที่ประชุมครม. เดินหน้าโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลหนุนค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 5,000 บาท หวังกระตุ้นสูงวัยเที่ยวเพิ่มปีหน้า

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการประชุมจะพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า วงเงิน 5,000 ล้านบาท

เพื่อสนับสนุนนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน เดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดาผ่านบริษัททัวร์ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 5,000 บาท ให้เดินทางไปเที่ยวกระตุ้นการเดินทางในปีหน้า

ส่วนกระทรวงพาณิชย์เสนอการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง

โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน และเสนอการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป

ขณะที่กระทรวงการคลัง เสนอขอถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก รวม 2 ฉบับ พร้อมทั้งรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยุบเลิกบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย

วิษณุ เผยไม่ง่อนหลังสื่อมอบ ‘ไฮเตอร์ เซฮร์วิส’ มองหยอกล้อสนุกปีละหน - คนกันเอง พร้อมเคลียร์ปมล็อคดาวน์ชัด ‘ไม่ล็อค’ แต่มาตรการแต่ละจังหวัดคุมเข้มไม่ต่างจากล็อค

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฉายาประจำปีที่ได้รับ ‘ไฮเตอร์ เซฮร์วิส’ ว่า ไม่รู้สึกงอนที่ได้รับฉายานี้ เพราะตนอยู่ที่นี่มา 30 ปี เจอฉายาทุกปี อีกทั้งเป็นการหยอกล้อเล่นกันสนุกปีละหนคนกันเอง

แค่อยากถามว่าเคยอ่านเรื่องอิเหนาหรือไม่ ช่วยตอนที่กระเซ้าเหย้าแหย่ อิเหนาบอกว่าพี่รักดอกจึงหยอกเล่น เพื่อให้เป็นประเวณีเสนหา ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะโกรธา กระนี้พี่ยาจะหยอกไย ดังนั้น ผู้สื่อข่าวก็อยากจะพูดหยอกอย่างเดียวกันกับอิเหนา ฉะนั้น ปีหน้าตั้งใหม่

ทั้งนี้ได้มีการถาม วิษณุ อีกเกี่ยวกับการพิจารณาล็อกดาวน์ในช่วงปีใหม่ วิษณุ กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น โดยนายกฯ ได้เกริ่นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า 7 วัน จนถึงปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เราจะประเมิน เพราะความรุนแรงจะยังไม่มาก

แม้ความกระจายจะเกินขึ้นในหลายพื้นที่ เขาจึงไม่ให้จังหวัดไหนเป็นแดงทั้งหมด หรือส้มทั้งหมด ถ้าแดงก็แดงเป็นอำเภอไป แต่พอหลังปีใหม่การประเมินจะต้องเข้มข้นขึ้น เพราะจะมีการเข้ามาของชาวต่างประเทศมากขึ้น วันนี้เป็นเรื่องของการหนีเข้ามา ลักลอบเข้ามา จากนี้จะต้องดูที่จะเข้ามาอย่างเป็นทางการเป็นร้อย ๆ

ดังนั้น จะประเมินกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ในช่วง 30 ธันวาคม - 1 มกราคม จะประเมินกันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าตัวเลขน่ากลัวก็จะคิดกันอีกทีว่าจะทำอย่างไร เพราะคงจะไปเจอในช่วงวันเด็ก วันครู หรือวันตรุษจีน

อย่างไรก็ตามแม้ทุกวันนี้จะไม่ถึงขั้นล็อดดาวน์ แต่ วิษณุ ก็มองว่า คล้ายๆ อยู่แล้ว โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีอำนาจ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งความจริงไม่ต้องมีหรอกข้อกำหนดนี้ เพราะผู้ว่าฯ มีอำนาจตามกฎหมายโรคติดต่อทำได้เลย แต่ผู้ว่าฯ จะสั่งการโดยไม่มีความมั่นใจ

ฉะนั้น พ.ร.ก.จะไปคุ้มครองให้ผู้ว่าฯ มีความมั่นใจมากขึ้น จะปิดบ้าน ปิดเมือง หรืออะไรก็ตาม ผู้ว่าฯ สามารถประเมิน และสั่งการได้เลย นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นศูนย์โควิดของกระทรวงมหาดไทยขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยสามารถควบคุมผู้ว่าฯ ทั้ง 76 ได้ ดังนั้น วันนี้ ประชาชนที่จะเดินทางไป - กลับ ภูมิลำเนาสามารถทำได้

นอกจากนี้ วิษณุ ยังได้กล่าวถึงกรณีการพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมว่า อาจจะหยุดช่วงไหน หรือเดือนไหนก็ได้ที่ไม่มีวันหยุด หรืออาจจะใส่เข้าไป 1 วัน ที่ติดกับวันเสาร์ - อาทิตย์ ซึ่งอาจจะต้องหารือกับ ครม. อีกครั้งหนึ่ง

เรียกว่าย้ำกันรายวัน กับการออกมาสร้างความมั่นใจในการกินกุ้งของทั้งภาครัฐและประชาชน โดยล่าสุดครม.กินกุ้งกระตุ้นความเชื่อมั่น ไม่ติดโควิดและช่วยผู้ค้าอาหารทะเลได้อีกทาง

เที่ยงนี้ ครม. กินกุ้ง ! “รมต.อนุชา” ตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเล ก่อนจะนำมาปรุงสุกเสิร์ฟครม. เน้นย้ำ เรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมให้ความเชื่อมั่น ปชช. โควิดไม่ติดต่อ จากอาหารทะเล


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเลก่อนจะนำมาปรุงสุกเสิร์ฟคณะรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมประชุมรับประทานกลางวันนี้ เน้นย้ำเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าโควิดไม่ติดต่อจากอาหารทะเล ขอให้ช่วยกันบริโภคอาหารทะเลมากขึ้น นอกจากจะได้รับประโยชน์ทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยผู้ค้าขายอาหารทะเลด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top