Wednesday, 11 June 2025
TheStatesTimes

รมช.แรงงาน มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ลุยแพร่ หารือร่วมรองผู้ว่าฯ เดินหน้าสร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนพัฒนาประเทศ

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า มอบหมายให้ พิรัส ศิริขวัญชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านยุทธศาสตร์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบในการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อร่วมหารือแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ร่วมหารือด้วย

พิรัส กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีโอกาสเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้การย้อมผ้าหม้อห้อม ‘ป้าเหงี่ยม’ โครงการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่สักจังหวัดแพร่ ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น และโครงการต้นแบบหมู่บ้านนาคูหา ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ร่วมถึงได้ร่วมประชุมหารือแนวทางการพัฒนาแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ ณ ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานแพร่ (สนพ.แพร่) ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ เพื่อรับฟังความต้องการช่วยเหลือในด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ รมช.แรงงาน โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานให้มีความรู้ในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เกิดการซื้อขายที่มากขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อไป

พิรัส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเยี่ยมชมโครงการต้นแบบหมูบ้านนาคูหา ซึ่งเป็นหมู่บ้านในโครงการส่งเสริมธุรกิจสินค้าเด่นของกลุ่มจังหวัดแพร่ เป็นโครงการภายใต้แนวทางการสร้างความเข้มแข็งความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ยอดดอยสูงใน ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ซึ่งชาวบ้านในชุมชนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติ เช่น สัมผัสชีวิตค้างคาวในถ้ำห้วยต้นผึ้ง การเก็บเตาบนภูเขาหนึ่งเดียวในประเทศไทย การเดินป่าขึ้นผ้าสิงห์ชมวิวหมู่บ้าน การเยี่ยมสมสวนห้อม สาธิตการสกัดสีจากต้นห้อมธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดเพื่อนำไปสู่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดย สนพ.แพร่ จะจัดฝึกอมรมการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แก่แรงงานในชุมชน รวมถึงการฝึกอบรมด้านดิจิทัลด้วย อาทิ การขายสินค้าออนไลน์

“การผลักดันแนวนโยบายต้องบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาแรงงาน ด้วยการจัดหาหลักสูตรเพื่อพัฒนาแรงงานให้ทันต่อเทคโนโลยี เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในการสร้างรายได้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สู่การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศอย่างนั่งยืนต่อไป” พิรัส กล่าวตอนท้าย

Neverland Ranch อดีตที่พักอันมีชื่อเสียงของ Michael Jackson ซูเปอร์สตาร์ผู้ล่วงลับ กำลังจะได้เจ้าของคนใหม่ ห้าปีหลังจากเข้าสู่ตลาดและการลดราคาลงอย่างมหาศาล

The Wall Street Journal รายงานว่า ทรัพย์สินชิ้นนี้ถูกขายให้กับมหาเศรษฐี Ron Burkle ในราคา 22 ล้านดอลลาร์

เนเวอร์แลนด์มีพื้นที่ทั้งหมด 2,700 เอเคอร์ ตั้งอยู่ที่ ลอสโอลิวอส แคลิฟอร์เนีย ซึ่งไมเคิล แจ็คสัน นักร้องคนดังซื้อไว้ครั้งแรกช่วงปี ค.ศ. 1987 ในราคา 19.5 ล้านดอลลาร์

แจ็คสันอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 15 ปี โดยเขาตกแต่ง และเนรมิตรให้มันเป็นยิ่งกว่าคฤหาสน์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโลกของปีเตอร์แพน ตัวละครเด็กชายที่ปฏิเสธการเติบโต ภายในเนเวอร์แลนด์จึงประกอบไปด้วยโรงภาพยนตร์ขนาด 50 ที่นั่ง สวนสัตว์ รถไฟ รางรถไฟ และเครื่องเล่นในสวนสนุก

กระทั่งล่าสุดสื่อดังอย่าง Journal ได้รายงานว่า เนเวอร์แลนด์ถูกขายให้กับ Burkle นักธุรกิจมหาเศรษฐี ด้วยราคา 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 660 ล้านบาท

Burkle วัย 68 ปีเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง The Yucaipa Companies เจ้าของร่วมทีมฮอกกี้ Penguins และเป็นนักลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง เช่น Uber และ Airbnb จากข้อมูลของ Forbes เขามีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ

นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของร่วมของ Soho House ซึ่งเป็นเครือข่ายคลับส่วนตัวที่มีชื่อเสียง มีสถานที่ตั้งอยู่ทั่วโลก ข่าวการเข้าซื้อขายเนเวอร์แลนด์แห่งนี้ เกิดขึ้นเกือบหนึ่งปีหลังจากที่แอนดรูว์ลูกชายของ Burkle เสียชีวิตเมื่ออายุ 26 ปี


ที่มา: https://people.com/home/michael-jacksons-neverland-ranch-sells-to-billionaire-ron-burkle-nearly-one-year-after-death-of-son

Toyota เตรียมปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ แม้ประธานใหญ่จะเคย ‘ซัด’ รถยนต์ไฟฟ้าล้วน ‘สร้างมลพิษ’

ช่วงหลังๆ ที่ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Toyota ออกมาพูดในเวทีต่างๆ นั้น ม้กจะได้เห็นวิวาทะเชิงตำหนินโยบายห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องการห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป

อีกทั้งยังบอกอีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนสร้างมลพิษมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงจากแหล่งที่มาของไฟฟ้าในบางพื้นที่ ล้วนมาจากก๊าซ และถ่านหิน ดังนั้นรัฐบาลทุกประเทศต้องกลับไปทบทวนว่าการใช้นโยบายลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่หากนำสมมติฐานดังกล่าวมาวิเคราะห์จะพบว่า เรื่องดังกล่าวไม่จริง เพราะแหล่งที่มาของไฟฟ้ามีหลากหลาย และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปล่อยมลพิษออกมามากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ยังขับเคลื่อนนโยบายลักษณะนี้ต่อไป โอกาสที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์จะล่มสลายก็มีสูง นอกจากนี้ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ายังราคาค่อนข้างสูง การผลักดันให้ผู้บริโภคไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ

แต่จนแล้วจนรอด ข้ออ้างต่างๆ นานา ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ Toyota ตกขบวนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน โดยตอนนี้ก็เริ่มเห็นการกลืนน้ำลายและพ่นน้ำลายออกมาในเวลาเดียวกันของ Toyota เลยก็ว่าได้ เนื่องจากล่าสุดทางToyota ก็ได้ปล่อยโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กออกมาให้คนได้รับรู้ถึงการยืนในสนามรถไฟฟ้าของพี่ใหญ่แห่งวงการยานยนต์

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับชื่อรุ่น แต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ของ Toyota จะมาในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ Ultracompact Car มีทั้งหมด 2 ที่นั่ง ใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion วิ่งได้ราว 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม โดยปรับปรุงเพื่อเหมาะสมกับการวิ่งบนภูเขา รวมถึงในเมือง

ขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นดังกล่าวยังออกแบบให้เหมาะกับผู้ใช้กลุ่มผู้สูงอายุที่ปกติจะขับรถยนต์ขนาดเล็กกลุ่ม Kei Car เดินทางไปที่ต่างๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งขับรถยนต์เป็นครั้งแรก โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะเริ่มทำตลาดในปี 2021 ราคาราว 1.6-1.7 ล้านเยน (ราว 4.5 แสนบาท) เน้นทำตลาดในระดับองค์กร และหน่วยงานรัฐก่อน ส่วนการทำตลาดในกลุ่มบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2022

สำหรับเป้าหมายในเบื้องต้น Toyota นั้น ได้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 100 คันกับกลุ่มลูกค้าองค์กร และหน่วยงานรัฐ ซึ่งหากมองจากการออกมาเปิดตัวครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะ Toyota ถูกกดดันจากหน่วยงานภาครัฐที่อยากให้ Toyota พัฒนารถยนต์ขนาดเล็กรูปแบบใหม่มาทดแทนรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้น้ำมัน สอดรับกับแผนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่อยากให้มีการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ที่หลังๆ เริ่มถูกจีนเข้าไปจับจองในหลายๆ ตลาดทั่วโลก รวมถึง Tesla ที่มีมูลค่าบริษัทแซง Toyota ไปอย่างน่าเจ็บใจ

นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้ Toyota หันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากนั้น น่าจะมาจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในหลายๆ มลรัฐของสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎเกณฑ์ในเรื่องของมลพิษจนกลายเป็นแนวคิดต้นทางในการทบทวนมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์ไปทั่วโลก รวมถึงจีนเองก็พยายามในการผลักดันให้เพิ่มจำนวนการใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าทางประธาน Toyota ก็คงจะยังไม่ทิ้งและจะยังมุ่งเน้นไปยังกลุ่มรถยนต์สาย Hybrid และ Fuel-Cell อยู่เหมือนเดิม

อ้างอิง: Nikkei Asia / Toyota

กมธ. การพาณิชย์ แนะรัฐนำบทเรียนราคาหน้ากาก-เจล-แอลกอฮอล์ พุ่งเป็นบทเรียน หลังประชาชนเริ่มเป็นห่วงสินค้าขาดตลาด และราคาอาจพุ่งเว่อร์

อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล และ ถุงมือยาง ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ตามที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเป็นห่วงมานั้น

เบื้องต้น กมธ.ได้ติดตามสถานการณ์โดยทั่วไปยังเป็นปกติ รัฐบาลดูแลได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าเหล่านี้ยังมีจำหน่ายภายในประเทศอย่างเพียงพอ ซึ่ง กมธ.ได้ขอให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คอยควบคุมปริมาณ รวมไปถึงราคาสินค้าทั้ง 3 อย่าง โดยนำประสบการณ์จากการแพร่ระบาดในรอบแรก ทั้งการเฝ้าติดตาม ลงโทษอย่างเฉียบขาด กับผู้กักตุน และขายเกินราคา เป็นต้น มาใช้สำหรับบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบปัญหาขาดแคลนสินค้า หรือขายเกินราคาควบคุม ก็สามารถร้องเรียนผ่านกรมการค้าภายใน หรือกมธ.พาณิชย์ ได้ แต่หากพบสัญญาณผิดปกติเมื่อใด กมธ.ก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงทันที

ก.กระทรวงดิจิทัลฯ กางข้อมูลมือโพสต์ข่าวปลอมอันดับ 1 ในรอบเกือบปีที่ผ่านมา พบกว่า 7.8 แสนคน แถมแชร์ต่ออีก 28 ล้านคน ส่วนแชมป์แชร์ข่าวเท็จ และปั้นข่าวลวงอยู่ในวัย 19-34 ปี สัดส่วน ชาย – หญิง สูสีครึ่งต่อครึ่ง

รายงานข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีดีเอส) ระบุว่าจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวบรวมระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 18 ธ.ค. 63 เกี่ยวกับพฤติกรรมการโพสต์และแชร์ข่าวปลอม ของชาวโซเชียลในไทย พบว่า มีจำนวนผู้โพสต์ข่าวปลอม 787,055 คน และผู้แชร์ข่าวปลอม 28,519,534 คน

ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่า ประชาชนในช่วงอายุ 25-34 ปี มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเผยแพร่ข่าวปลอมมากสุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 48.8% ส่วนกลุ่มอายุอันดับรองลงมา ได้แก่ 18-24 ปี, 35-44 ปี, 45-54 ปี และ 55-64 ปี ตามลำดับ โดยแบ่งกลุ่มตามเพศของพฤติกรรมเผยแพร่ข่าวปลอม มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ผู้ชาย 51.8% และผู้หญิง 48.2%

ขณะที่ อายุของผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม กลุ่มอายุ 25-34 ปี ยังนำเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 48.9% ตามมาด้วย อายุ 18-24 ปี, 35-44 ปี , 45-54 ปี และ 55-64 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย 53.0% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 47.0%

ในด้านพฤติกรรมการแชร์ข่าวปลอม พบว่าอายุของผู้แชร์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม เกินครี่งหรือประมาณ 53.3% อยู่ใน18-24 ปี อันดับรองลงมา คือ อายุ 25-34 ปี คิดเป็น 41.7% ตามมาด้วย อายุ 45-54 ปี และอายุ 55-64 ปี โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่แชร์ข่าวปลอมเป็นผู้ชาย 49.4% ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 50.6%

หลังโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่มีการกำหนดให้เปิดจองช่วง 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ต้องถูกยกเลิกไป จากเหตุสุดวิสัย ก็ดูเหมือนจะมีประชาชนจำนวนมากต้องการให้กลับมาเปิดโครงการนี้อีกครั้งในช่วงปีใหม่

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้ออกมาเปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ จะมีการเปิดให้ผู้ได้รับสิทธิ ‘โครงการเราเที่ยวด้วยกัน’ โดยสามารถจองสิทธิห้องพัก จำนวน 1 ล้านสิทธิใหม่ที่ครม.อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเดิมกำหนดให้จองได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากพบพฤติกรรมต้องสงสัยของโรงแรมและร้านอาหารบางส่วนเข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่มักง่ายและคิดสั้นที่ทำลงไปแบบนั้น แต่เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากต้องการใช้สิทธิ์จองห้องพักเพื่อใช้ในเทศกาลปีใหม่ จึงจะให้เปิดจองได้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน

นอกจากนี้ ในวันที่ 29 ธันวาคม2563 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาโครงการ ‘เที่ยวไทยวัยเก๋า’ ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท เจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน เที่ยววันธรรมดาผ่านบริษัททัวร์ มีเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายว่าต้องมีการเดินทาง 2 คนขึ้นไปในวันอาทิตย์ถึงพฤหัสบดี โดยใช้บริการผ่านบริษัทนำเที่ยว เดินทาง 3 วัน 2 คืนขึ้นไป รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าสร้างเครือข่ายออนไลน์ไทย - อินเดีย ช่วยส่งเสริมการค้าในกลุ่มที่เกื้อกูลกันได้ หวังเพิ่มศักยภาพส่งออกให้ SME – วิสหกิจชุมชน ประเดิมคลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับกลุ่มแรก

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย (สคต.มุมไบ) ว่าได้หารือกับผู้แทนภาคเอกชนของอินเดีย และทราบถึงความต้องการที่จะมีพื้นที่ออนไลน์ให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศได้ทำความรู้จักกันง่ายขึ้นก่อนที่จะเดินทางไปพบปะกันโดยตรง สคต. มุมไบ จึงได้ประสานจัดทำพื้นที่ออนไลน์ดังกล่าวภายใต้แพลตฟอร์มของ Global Linker ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์ที่คนอินเดียคุ้นเคยและมีสมาชิกอยู่แล้วกว่าแสนราย

พร้อมเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาครัฐ และ สถาบันการศึกษา เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางสนับสนุนด้วย เพื่อช่วยกันส่งเสริมการค้าในกลุ่มสินค้าที่ไทยและอินเดียสามารถเกื้อกูลกันได้ (Sister Clusters) โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างซื้อสินค้าของกันและกัน รวมถึงมีการลงทุนระหว่างกันด้วย จึงได้เลือกให้เป็นคลัสเตอร์แรกในการเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยมีชื่อว่า Sister Cluster of Thai – India Jewellery

สำหรับวัตถุประสงค์ในการสร้างเครือข่ายออนไลน์นี้คือการลดข้อจำกัดหลายประการ อาทิ ข้อกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะตัวตนของคู่ค้า และระบบการชำระเงินที่ผู้ประกอบการมั่นใจ ซึ่ง Sister Cluster of Thai – India Jewellery จะช่วยเอื้อให้ SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพในการส่งออก สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้นำเข้าและติดต่อนัดหมายเพื่อเจรจาการค้าได้ง่ายขึ้นและต่อเนื่อง 

โดยมีภาคีต่างๆ คอยช่วยเหลือ อาทิ สมาคมธุรกิจและมหาวิทยาลัยในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ รวมถึงธนาคารในไทยและอินเดีย ที่จะเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุน อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ของไทย และ HSBC India รวมถึง ICICI ซึ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Global Linker แล้ว และมีแผนจะทำระบบเอกสารการชำระเงินแบบบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาปรับใช้ด้วย

ทั้งนี้ในเดือนมกราคม 2564 ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ จะมีการจัดเสวนาออนไลน์ให้สมาชิกในเครือข่ายได้พบปะและแชร์ความเห็นกัน ทั้งนี้ คลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับเป็นสาขาที่ไทยและอินเดียสามารถแลกเปลี่ยนกันซื้อและลงทุนร่วมกันได้ เพราะอินเดียยอมรับในคุณภาพพลอยสีและทองคำจากไทยโดยนำไปต่อยอดมูลค่าเพิ่มเพื่อส่งออกได้ ในขณะที่ไทยก็ต้องการเพชรและใช้อินเดียเป็นช่องทางขยายตลาดเช่นกัน การติดต่อและความร่วมมือที่ใกล้ชิดจึงจะช่วยให้เติบโตไปด้วยกันได้

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมเครือข่ายออนไลน์ไทย-อินเดีย ผ่านสามารถติดต่อได้ที่ [email protected] สำหรับคลัสเตอร์ต่อไปที่ สคต.มุมไบ จะเชื่อมโยงเครือข่ายออนไลน์ระหว่างกันคาดว่าจะเป็นผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้

เกรียนคีย์บอร์ดมีหนาว! ตำรวจภูธรอุดรธานี ควบคุมตัวหนุ่มวัย 30 ปี ตามหมายจับคดีโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท “สนธิ ลิ้มทองกุล”

เมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ควบคุมตัว นายนัฐพล ส่อนไชย อายุ 30 ปี จากจังหวัดอุดรธานี เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อขออนุญาตฝากขัง หลัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกไปที่บ้านแล้ว ไม่มาศาลตามกำหนดนัด มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งนายนัฐพลยอมรับว่า เป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จากนั้นถูกตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ควบคุมตัวมาขึ้นศาลดังกล่าว นับเป็นผู้ต้องหาคนแรกจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ที่ถูกจับ

คดีนี้สืบเนื่องมาจากนายสนธิจัดรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ที่เพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ชีวิต เป็นแสงสว่างทางปัญญาให้ประชาชน มีผู้ติดตามมากกว่า 1.7 ล้านคน ปรากฏว่า คลิปไฮไลต์รายการตอนที่ 13 (EP13) หัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจในยุค สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Nattaphol Sonchai โพสต์ข้อความถึงนายสนธิด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย นายสนธิได้ดำเนินคดีกับผู้ที่คอมเมนต์ในลักษณะดังกล่าวตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้บทเรียนแก่ผู้ใช้สื่อโซเชียล และกวาดขยะโซเชียล

โดยที่ผ่านมา มีคนที่ใช้คำหยาบคายและพูดจาดูหมิ่น ติดต่อนายสนธิเพื่อขอขมาหลายครั้ง นายสนธิได้ให้อภัยตลอดมา โดยให้เหตุผลว่า บางรายอายุยังน้อย ไม่อยากให้มีคดีติดตัว บางรายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ สงสารครอบครัว จึงให้อภัยและถอนแจ้งความ แม้จะให้อภัยกับผู้ที่อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์หลายครั้ง แต่เหมือนคนที่คอมเมนต์หยาบคายยังไม่หยุดพฤติกรรม ทำให้นายสนธิกล่าวว่า จะไม่ให้อภัยใครอีกแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ต้องติดต่อเข้ามาขอขมา จะให้ศาลพิพากษาไปเลย นำไปสู่การดำเนินคดีกับนายนัฐพลดังกล่าว และนับจากนี้จะมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้สื่อโซเชียล ที่โพสต์ข้อความถึงนายสนธิ ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายตามมา

สำหรับโทษของการด่าหรือประจานคนอื่นบนสื่อโซเชียลฯ จะถูกดำเนินคดี 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (27 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 121 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,141 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 9 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,161 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,920 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 121 ราย เป็นคนไทย 3 ราย สัญชาติรัสเซีย 1 ราย,สวีเดน 2 ราย,โครเอเชีย 1 ราย,เยเมน 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากรัสเซีย 1 ราย , เยอรมนี 1 ราย , สวีเดน 2 ราย,ฮังการี 1 ราย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย , อียิปต์ 2 ราย

ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่เข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ สัญชาติเมียนมา 1 ราย มาจาก เมียนมา 1 ราย รักษาตัวที่เมียนมา

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 94 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 18 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 364 ราย รักษาหายแล้ว 356 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.07 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.77 แสน เสียชีวิต 20,994 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 83,414 ราย เสียชีวิต 451 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.21 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.02 ราย เสียชีวิต 2,579 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.69 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.31 แสน ราย เสียชีวิต 9,067 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,519 ราย รักษาหายแล้ว 58,362 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,440 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย

สื่อรัฐสภา ตั้งฉายารัฐสภา ปี 63 แบบเจ็บๆ คันๆ เหมือนเคย ส่วนปีนี้ใครจะรับฉายาใด ลองไปตามดู!!

ที่ประชุมร่วมกันของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภา เพื่อเป็นการเป็นการสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีข้อสรุปดังนี้

ปลวกจมปลัก1.สภาผู้แทนราษฎร : ปลวกจมปลัก
ปลวกเป็นสัตว์ที่มีการแบ่งงานกันทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สำหรับสภาผู้แทนราษฎรแล้วมีส.ส.ที่ทำงานดุจปลวกที่ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการใช้สภาเป็นเครื่องมือเพื่อชิงอำนาจและทำลายล้างฝั่งตรงข้าม ยิ่งนานวันก็จมปลักกลับการทำงานแบบเดิม ไม่ใช้สภาเพื่อประโยชน์ในการระดมสมองและแก้ปัญหาให้กับประชาชน หนำซ้ำตลอดปีมานี้การประชุมสภาฯล่มกลางคันหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าส.ส.ชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯทั้งที่เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ ส.ส.ในฐานะคนทำงานจึงเปรียบเป็นปลวกที่จมปลักไม่พัฒนาและจะยิ่งกัดกินหลักการของประชาธิปไตยให้พุกร่อนเข้าไปทุกที  

สภาปรสิต2.วุฒิสภา : สภาปรสิต
ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายถึง 'ปรสิต' ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นหรือเซลล์ชนิดอื่นเป็นที่พักอาศัยและแหล่งอาหาร และบางครั้งทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประโยชน์นั้นหรือเซลล์ภายในจนเจ็บป่วยหรือถึงกับเสียชีวิต เมื่อกลับมามองในมิติทางการเมืองแล้วจะพบว่าวุฒิสภาชุดนี้ก็มีสภาพไม่ต่างปรสิตที่อาศัยอยู่ในรัฐสภา นอกจากไม่มีผลงานที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนปรสิตแล้วยังนำมาซึ่งพิษภัยแก่การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยเฉพาะการพยายามใช้เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างเพื่อชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาพิจารณาก่อนรับหลักการไปจนถึงการลงชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ฉายา 'ปรสิต' จึงเหมาะกับวุฒิสภาชุดนี้

ครูใหญ่ไม้เรียวหัก3. 'ชวน หลีกภัย' ประธานสภาผู้แทนราษฎร: ครูใหญ่ไม้เรียวหัก
ทุกครั้งที่ 'ชวน หลีกภัย' ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาไม่เคยถูกกังขาถึงความเป็นกลางแม้แต่ครั้งเดียว และตลอดปีที่ผ่านมาก็ยังยึดแนวทางดังกล่าวไว้ได้อย่างมั่นคง นอกเหนือไปจากการพยายามควบคุมการประชุมสภาแล้ว ประธานสภายังสวมบท 'ครูใหญ่' ที่ถือไม้เรียวคอยกวดขันวินัยของส.ส.ที่หย่อนยานอีกด้วย เช่น การตักเตือนส.ส.ให้สวมหน้ากากในห้องประชุมสภา เพื่อคุมการระบาดของโควิด 19 หรือการขอความร่วมมือส.ส.ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา เป็นต้น แต่ปรากฎว่าส.ส.การ์ดตกทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการละเลยการสวมหน้ากากอนามัย หรือแม้แต่อเรื่องเล็กๆอย่างขอความร่วมมือส.ส.งดนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทานในห้องประชุมก็ไม่เป็นผล และที่ร้ายแรงที่สุด คือ เหตุการณ์สภาล่ม ซึ่งเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าต่อให้ประธานสภาจะยึดมั่นหลักการแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสร้างเปลี่ยนแปลงได้เพราะส.ส.ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ เหมือนกับครูใหญ่ที่มีไม้เรียวและต่อให้ฟาดแรงจนไม้เรียวหักคามือ ส.ส.ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

หัวตอ รอออเดอร์4. 'พรเพชร วิชิตชลชัย' ประธานวุฒิสภา: "หัวตอ รอออเดอร์"
ถ้าเทียบบารมีทางการเมืองระหว่างเมื่อครั้งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับประธานวุฒิสภา ถือว่านับตั้งแต่มาเป็นประมุขสภาสูงบารมีของ 'พรเพชร' ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำด้วยทุกครั้งที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา พบว่าไม่สามารถควบคุมการประชุมให้เป็นที่เรียบร้อยได้เมื่อเทียบกับ 'ชวน หลีกภัย' หลายครั้งที่รับมือกับความเขี้ยวทางการเมืองของส.ส.ฝ่ายค้านไม่ไหว ทำให้การประชุมเกิดความปั่นป่วนเป็นระยะ กลายเป็นหัวหลักหัวตอที่สมาชิกรัฐสภาไม่ค่อยให้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ การทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภายังไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะหลายเรื่องในวุฒิสภากลับปล่อยให้ส.ว.เป็นผู้ชี้นำประธานวุฒิสภาแทน ภาพรวมแบบนี้ทำให้ประธานวุฒิสภาเสมือนหัวหลักหัวตอที่ไม่มีใครสนใจแต่มีหน้าที่แค่รับคำสั่งทำงานเท่านั้น

สุทิน คลังแสง (ประชด)5. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : สุทิน คลังแสง?
ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉายาของผู้นำฝ่ายค้านฯที่ปรากฎออกมานั้นเป็นฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใด เนื่องจากต่างเห็นตรงกันว่าบทบาทการเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯนั้น 'สมพงษ์' ไม่ได้โดดเด่นสมกับตำแหน่งเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับเป็น 'สุทิน คลังแสง' ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น หลายต่อหลายครั้งเป็นตัวแทนของฝ่ายค้านไปร่วมประชุมกับฝ่ายรัฐบาลจนทำให้ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปรายในสภาอย่างสมน้ำสมเนื้อและสามารถชี้นำสภาในที่ประชุมได้ ผิดกับผู้นำฝ่ายค้านฯตัวจริงที่ยังไม่ทำงานเชิงรุกมากนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้อดไม่ได้ว่า 'สุทิน คลังแสง' คือ ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่ใช่ 'สมพงษ์ อมรวิวัฒน์'

ดาวเด่นแห่งปี6.ดาวเด่นแห่งปี : สุทิน คลังแสง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2563 ตลอดทั้งปี 'สุทิน คลังแสง' ในฐานประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ได้อย่างท็อปฟอร์ม หลายครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องสำคัญและส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยที่อภิปรายนอกประเด็นไปไกลและใช้แต่วาทะศิลป์ในการโจมตี แต่ทุกอย่างก็กลับเข้ารูปเข้ารอยเมื่อ 'สุทิน' ได้ขึ้นอภิปรายสรุปประเด็น การอภิปรายสรุปของประธานวิปฝ่ายค้านไม่ใช่แค่การอภิปรายสรุปเพื่อให้จบตามหน้าที่เท่านั้น เพรายังหยิบจับประเด็นสำคัญบางเรืองที่ส.ส.ฝ่ายค้านอาจไม่ได้พูดถึงหรือพูดถึงแต่ยังไม่มีความชัดเจน มาขยายความเพื่อให้สภาได้ข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้น ตำแหน่งดาวสภาประจำปี 2563  จึงตกเป็นของ 'สุทิน คลังแสง' ไปอย่างเอกฉันท์

ดาวดับแห่งปี7.ดาวดับแห่งปี : วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย
การตัดสินตำแหน่งดาวดับแห่งปีในครั้งนี้ถือว่ามีความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อเสนอควรให้ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ สมควรได้รับตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังมงคลกิตติ์แสดงจุดยืนทางการเมืองที่กลับไปกลับมา นึกอยากจะร่วมรัฐบาลก็ประกาศสนับสนุน แต่วันใดไม่อยากสนับสนุนก็ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งอาจบอกว่าเป็นส.ส.ไร้จุดยืนก็คงไม่ผิดนัก แต่ถึงที่สุดแล้วสื่อมวลชนรัฐสภามีความเห็นว่าควรให้ตำแหน่งดาวดับเพียงคนเดียว และตำแหน่งนั้นเป็นของ 'วิสาร เตชะธีราวัฒน์' ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ใช้มีดปลอกผลไม้กรีดแขนกลางที่ประชุมสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นการชี้นำให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเป็นส.ส.หลายสมัยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนที่สมควรเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อหวังผลทางการเมือง จึงหวังว่าตำแหน่งดาวดับที่สื่อมวลชนมอบให้จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

คู่กัดแห่งปี8.คู่กัดแห่งปี : 'สิระ เจนจาคะ' และ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์'
เกือบได้เห็นการวางมวยกลางสภา ภายหลังปฐมบทแห่งความเดือดมาจากกรณีที่ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถควบคุมความสงบได้ ต่อมา 'สิระ เจนจาคะ' ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวตอบโต้ว่า "การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเงินหมด เพราะบริจาคเงินเดือนส.ส.ให้ในสถานการณ์โควิดไปแล้ว ซึ่งหากเงินหมดจริงติดต่อผมได้" เรื่องไม่ได้จบแค่นั้นเพราะ 'มงคลลกิตติ์' โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กระบุว่า "เจอสิระที่ไหนจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก" และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เจอหน้ากันจริง โดยเป็นเหตุการณ์ระหว่างที่ 'มงคลกิตติ์' กำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณรัฐสภา และได้พบกับ 'สิระ' ทำให้เดินเข้าไปจับแขนสิระแต่สิระสะบัดออก ปรากฎว่า 'มงคลกิตติ์' พยายามเดินตามแต่สิระเดินหนี ที่สุดแล้วต้องถึงมือ 'ชวน หลีกภัย' ที่ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ปรามทั้งสองฝ่ายว่าต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของสภาด้วย  

เหตุการณ์แห่งปี9.เหตุการณ์แห่งปี : การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุด โดยเฉพาะการต้องมีเสียงส.ว.สนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นผลให้การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเดือนก.ย.ไม่สามารถลงมติได้ แต่กลับต้องมาตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ และเมื่อกลับมาประชุมรัฐสภาอีกครั้งในเดือนพ.ย. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนนำโดยกลุ่มไอลอว์ได้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนครั้งแรก การประชุมรัฐสภาเวลานั้นไม่ได้เข้มข้นเฉพาะในสภาเท่านั้น แต่นอกสภาก็เดือดไม่แพ้กัน ภายหลังกลุ่มสนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา และเกิดการปะทะกันเป็นระยะ อีกด้านหนึ่งตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร จนกระทั่งที่สุดแล้วเหตุการณ์นอกสภาสงบลงพร้อมด้วยการลงมติของรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยกับการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป ด้วยเหตุนี้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาจึงเป็นเหตุการณ์แห่งปีไปอย่างไม่ต้องสงสัย  

วาทะแห่งปี (มันคือแป้ง)10.วาทะแห่งปี : "มันคือแป้ง"
"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ อ้างว่าเป็นเฮโรอีน 3.2กิโลกรัม มันคือแป้ง" เป็นการชี้แจงของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 27 ก.พ. เวลานั้น ร.อ.ธรรมนัส ถูกกังขาถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนนำมาสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งของตนเองถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส กลับเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯน้อยที่สุดเพียง 269 เสียง โดยที่ร.อ.ธรรมนัส ได้ลงคะแนนไว้วางใจตัวเอง จากเหตุการณ์นี้เองทำให้คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลงและสื่อต่างประเทศก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการจับกุมร.อ.ธรรมนัสในอดีตด้วย

คนดีศรีสภา11.คนดีศรีสภา : ยกเลิกตำแหน่งนี้ถาวร
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาไม่ได้มอบตำแหน่งคนดีศรีสภาให้กับสมาชิกรัฐสภา เนื่องจากท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ปรากฎว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดที่จะเป็นแบบตัวอย่างที่ดีในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จึงมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรยกเลิกตำแหน่งนี้เป็นการถาวร จนกว่าในอนาคตจะมีสมาชิกรัฐสภาที่มีความประพฤติที่เหมาะสม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top