Tuesday, 17 June 2025
TheStatesTimes

ผู้นำ G7 หนุนอิสราเอล ย้ำมีสิทธิ์ตอบโต้อิหร่าน ด้าน ‘ทรัมป์’ ทิ้งประชุมด่วน!!...กลับมารับมือที่วอชิงตัน

(17 มิ.ย. 68) ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งเจ็ด (G7) ออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

ในแถลงการณ์ระบุว่า “เรายืนยันว่าอิสราเอลมีสิทธิในการป้องกันตัว และเรายังคงยืนหยัดเคียงข้างความมั่นคงของอิสราเอล” พร้อมเรียกร้องให้การแก้ไขวิกฤตกับอิหร่านนำไปสู่การลดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงการหยุดยิงในฉนวนกาซา

ผู้นำ G7 ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องพลเรือนจากผลกระทบของความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น ขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงผันผวนและเปราะบางอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ในวันเดียวกันโฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกจากการประชุม G7 ที่แคนาดาเร็วกว่ากำหนด และได้สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเตรียมพร้อมหารือฉุกเฉินในห้องสถานการณ์ของทำเนียบขาว

คำสั่งเร่งด่วนของทรัมป์ยังรวมถึงการเรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เพื่อประเมินปฏิกิริยาตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่อทั้งอิหร่านและอิสราเอล ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากฝ่ายการเมืองภายในประเทศให้วอชิงตันแสดงบทบาทนำในวิกฤตนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติย้ำแข่งรถในทางโทษหนัก หากปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่นำรถไปใช้ เจ้าของรถมีความผิดด้วย รวมทั้งผู้ปกครองปล่อยปละละเลยมีความผิดเช่นกัน

(17 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาการแข่งรถในทางของกลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชน เป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนและความไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างมาก การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างความเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดังและความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการกำชับเน้นย้ำให้ตำรวจจราจรทุกพื้นที่ร่วมดูแลป้องกันและปราบปรามไม่ให้เกิดการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างเข้มงวด หากพบจะมีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่รวมกลุ่มแข่งรถในทาง ร้านรับแต่งรถ และผู้ปกครองยังต้องรับผิดด้วย

กรณีตัวอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพื้นที่ต่างๆ บูรณาการกำลังร่วมกับฝ่ายป้องกันปราบปรามในการกวดขันจับกุมมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าโมก ได้รับแจ้งเหตุวัยรุ่นรวมกลุ่มส่งเสียงดังและก่อความเดือดร้อนรำคาญบริเวณบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สายทอง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ซึ่งทั้งสองกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดี โดยเชิญผู้กระทำผิดทั้งหมด และผู้ปกครองมาดำเนินการตามกฎหมายพร้อมทำทัณฑ์บน หากกระทำผิดซ้ำอีกผู้ปกครองจะมีความผิดตาม พ.ร.บ คุ้มครองเด็กและเยาวชนฯ โดยมีเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมจังหวัด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 64 กำหนดไว้ชัดเจนว่า เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หากปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่นำรถไปใช้ โดยระบุว่า “เจ้าของรถห้ามให้หรือยินยอมให้บุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ใช้รถของตน” หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองควรตระหนักให้มาก 

ส่วนผู้ที่จัด สนับสนุน หรือส่งเสริมให้มีการแข่งรถในทาง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานจราจรฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ 10,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ปกครองของผู้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หากปล่อยปละละเลยให้กระทำผิด มีโทษเช่นเดียวกันกันกับผู้กระทำความผิดมาตรา 43 ทวิ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2542 มาตรา 26(3) และมาตรา 75 จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเฝ้าระวังพฤติกรรมกลุ่มวัยรุ่นและการบูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นชุมชนแน่นแฟ้น เป็นสิ่งสำคัญในการลดปัญหาอาชญากรรมและสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกพื้นที่ที่ทำงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างเข้มงวด 

หากประชาชนพบพฤติกรรมต้องสงสัย หรือเหตุร้ายในพื้นที่ สามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอความช่วยเหลือด้านจราจรและความปลอดภัยได้ที่ สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ทอ.ไทย-อินโดนีเซีย ซ้อมรบ ElangThaiNesia XX/25 โชว์พลังเครื่องบินรบ F-16 T-50 ป้องกันอธิปไตยจากศัตรู

(17 มิ.ย. 68) กองทัพอากาศไทยและอินโดนีเซียเปิดฉากการฝึกผสม "ElangThaiNesia XX/25" เหนือน่านฟ้าภาคอีสานตอนใต้ โดยใช้กองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมาเป็นศูนย์กลางระหว่างวันที่ 9-19 มิถุนายน 2568 เสริมสร้างศักยภาพด้านยุทธวิธีและป้องกันประเทศร่วมกัน

การฝึกครั้งนี้นำเครื่องบินรบ F-16 จากฝั่งไทย และ T-50 จากฝั่งอินโดนีเซียเข้าร่วมภารกิจทางอากาศอย่างเข้มข้น พร้อมจำลองสถานการณ์หลากหลายเพื่อเสริมทักษะการรบจริงและยกระดับความพร้อมรบของทั้งสองฝ่าย

หัวใจสำคัญของการฝึกคือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการประสานงานและปฏิบัติการร่วมในสถานการณ์วิกฤต รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบิน ยุทธวิธี และเทคโนโลยีทางทหาร

การซ้อมรบในครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำความร่วมมือทางทหารระหว่างไทย-อินโดนีเซีย พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนถึงความตั้งใจในการปกป้องอธิปไตยและรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้ว่าฯ ชลบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี'

(17 มิ.ย. 68) ที่โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี' โดยมี หม่อมราชวงศ์จิยากร อาภากร เสสะเวช กรรมการอำเนวยการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย คุณกฤตยา อุ่นสากล กรรมการและเลขนุการมูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลี่ พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ คุณนริสา พัฒนรัฐ ประธานชมรมภริยาฐานทัพเรือสัตหีบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริการสถานศึกษา ผู้บริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน คณะครูและนักเรียน เข้าร่วมโครงการ ณ โรงพลศึกษา 

มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ดำเนินงานตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย และองค์ประธานกรรมการอำนวยการ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ที่ทรงห่วยใยด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อยู่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะเด็กควรได้รับบริการด้านการแพทย์และสุขภาพอนามัย การให้ความรู้ การเผ้าระวัง และการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน โครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี' ในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังกันระหว่างสภากาชาดไทย โดยมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย มูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลลี่ กองทัพเรือ โดยฐานทัพเรือสัตหีบ โรงพยาบาลทันตกรรมกาจักรีสิรินธร มูลนิธิทันตแทพย์เอกชน (ประเทศไทย) และส่วนราชการในจังหวัดชลบุรี ซึ่งกำหนดให้บริการระหว่างวันที่ 17 - 20 มิ.ย.68 โดยวันที่ 17 - 18 มิ.ย.68 ให้บริการ ณ โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ วันที่ 19 - 20 มิ.ย.68 ให้บริการ ณ โรงเรียนบ้านบ่อวิน (ลิขิตราษฎร์บำรุง) อ.ศรีราชา จึงนับได้ว่ากิจกรรมในครั้งนี้เป็นกิจกรรมสาธารณกุศลที่มีการผนึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจอย่างแท้จริงในการบริการด้านสุขภาพอนามัยแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี

กัมพูชาสับคัตเอาต์ไทย หันใช้ไฟฟ้าเวียดนามแทน ปอยเปตดับ 20 นาที ชาวบ้านโอดไฟตกทั้งวัน

เมื่อช่วงเช้าวันที่ (17 มิ.ย. 68) เจ้าหน้าที่การไฟฟ้ากัมพูชาได้ทำการสับคัตเอาต์ตัดกระแสไฟฟ้าที่รับจากประเทศไทยบริเวณเสาไฟข้างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต ฝั่งกัมพูชา ใกล้สะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ก่อนเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าจากเวียดนามเข้าระบบแทน

การเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้าทำให้พื้นที่ฝั่งปอยเปตเกิดไฟดับชั่วคราวประมาณ 20 นาที ก่อนระบบจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ โดยมีการจ่ายไฟจากสายส่งเวียดนามเข้าทดแทน

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ปอยเปตต่างร้องเรียนว่า กระแสไฟฟ้าจากเวียดนามมีความไม่เสถียร บางจุดเกิดไฟตก ขณะที่บางจุดไม่มีกระแสไฟเลย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

การตัดไฟจากไทยและหันมาใช้ไฟเวียดนามของกัมพูชาเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในระดับภูมิภาค โดยยังไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้าในครั้งนี้จากทางการกัมพูชา

20 มิถุนายน พ.ศ. 2520 ในหลวง ร.๙ ทรงแปลวรรณกรรมระดับโลก ‘นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ’ นิยายแห่งความเสียสละ

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงเริ่มแปลวรรณกรรมระดับโลกเรื่อง 'นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ' หรือ 'A Man Called Intrepid' ผลงานของเซอร์วิลเลียม สตีเวนสัน (Sir William Stevenson) ซึ่งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์จากชีวิตจริงของ 'Intrepid' หัวหน้าหน่วยข่าวกรองลับของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านลัทธินาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเห็นว่าเนื้อหาในวรรณกรรมเล่มนี้มีคุณค่าและประโยชน์ต่อมนุษยชาติ จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยแปลผลงานจากต้นฉบับภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง โดยเริ่มจากหน้าแรกในปี 2520 และทรงใช้เวลาแปลต่อเนื่องด้วยพระราชวิริยะอุตสาหะจนแล้วเสร็จในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2523 รวมระยะเวลากว่า 2 ปีครึ่ง

เนื้อหาในนิยายแสดงให้เห็นถึงจิตใจแห่งความเสียสละ ความกล้าหาญ และการอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ผ่านบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบงันโดยไม่หวังชื่อเสียง ซึ่งสอดคล้องกับพระราชดำริและหลักการทรงงานในพระองค์ตลอดรัชสมัย จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทรงเลือกวรรณกรรมเล่มนี้มาแปล

ด้วยความยาวกว่า 600 หน้า 'นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ' กลายเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าทั้งในด้านสาระและแรงบันดาลใจ ผู้อ่านแม้ต้องใช้เวลานานในการอ่าน แต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อ ด้วยกลวิธีการถ่ายทอดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่งดงาม ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยความเข้าใจในต้นฉบับอย่างถ่องแท้

‘อีลอน มัสก์’ เตือนสหรัฐฯ หนี้ท่วม!!..อาจล้มละลาย เพราะรายได้ภาษีหมดไปกับดอกเบี้ย ปีละ 1.2 ล้านล้าน

(17 มิ.ย. 68) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีผู้เป็นซีอีโอของเทสลา (Tesla) เปิดเผยว่า สหรัฐฯ กำลังใกล้จะล้มละลายทางการเงิน หากภาษีที่จัดเก็บได้จากประชาชนทั้งหมดต้องนำไปจ่ายดอกเบี้ยหนี้เท่านั้น โดยสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะสูงถึงราว 36–37 ล้านล้านดอลลาร์ และต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 43.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของรายได้ภาษีทั้งหมด 

มัสก์ชี้ว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ ภาระดอกเบี้ยจะกลืนกินงบประมาณของรัฐบาลจนไม่มีเงินเหลือไว้ใช้สำหรับสวัสดิการหรือการลงทุนด้านอื่น การจ่ายดอกเบี้ยในระดับนี้ได้กลายเป็น 'ต้นทุนอันดับสาม' ของรัฐบาล รองจากแพ็กเกจสวัสดิการและรายจ่ายทางทหาร 

นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญจาก Peterson Foundation ระบุว่า ความกดดันจากหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นและดอกเบี้ยที่เพิ่ม จะส่งผลลบต่อทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจ การลงทุนของภาคเอกชน และการเข้าไม่ถึงทุนของรัฐบาลกลาง รวมถึงอาจเข้าใกล้ช่วง 'วิกฤตสภาพคล่อง' หากนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดความเชื่อมั่นจนความต้องการพันธบัตรลดลง 

ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ สนับสนุนแนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดัง ที่เคยเสนอให้มีกฎหมายควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะการห้ามไม่ให้สมาชิกรัฐสภาดำเนินนโยบายที่ทำให้เกิด การขาดดุลงบประมาณเกิน 3% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ มัสก์เห็นว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่มความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจในการใช้งบประมาณแผ่นดิน และเตือนว่าหากไม่มีการควบคุมการใช้จ่ายอย่างจริงจัง สหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะ 'ล้มละลายโดยสมบูรณ์' ซึ่งจะทำให้ไม่เหลือพื้นที่ทางการคลังหรือทรัพยากรใด ๆ ให้บริหารประเทศในอนาคตอีกต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ 

(17 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ  นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบริเวณชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ รวมจำนวน 14 ครอบครัว 30 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภครายครอบครัว 8 ชุด รายบุคคล 6 ชุด รวมมูลค่าการช่วยเหลือทั้งสิ้น 134,000 บาท ในการนี้ มูลนิธิไกรสิทธิการกุศล ร่วมมอบเงินสด คนละ 400 บาท มูลนิธิส่งเสริมศีลธรรมสงเคราะห์ ร่วมมอบเงินสด ครอบครัวละ 500 บาท และพุทธสมาคมปทุมรังษี ร่วมมอบข้าวสาร คนละ 10 กิโลกรัม รวมการช่วยเหลือทั้ง 4 องค์กรคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 159,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นเก้าพันบาทถ้วน) โดยมี อาสาสมัครกิตติมศักดิ์มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร โอภาสวงศ์ และ นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายและให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย ณ บริเวณชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top