Tuesday, 17 June 2025
TheStatesTimes

‘ดร.ปิติ’ ดึงสติคนไทยปมชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่หลงเหลี่ยมกลุ่มอำนาจในกรุงเทพและพนมเปญ

รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กต่อกรณีกัมพูชาส่งหนังสือถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

1. คนไทยควรทำจิตใจให้เข้มแข็ง เข้าใจสภาพความเป็นจริงก่อนว่า ชายแดนไทย-กัมพูชา ยาว 798 กิโลเมตร มีความขัดแย้งกัน 4 จุด ดังนั้นอย่าให้ประเด็นขัดแย้ง 4 จุดกลายเป็นความเกลียดชังระหว่างคนไทยและคนเขมร และปัญหาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาของคนในพื้นที่ แต่เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มอำนาจการเมืองในกรุงเทพและพนมเปญ เราต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างมีสติ เพราะในความเป็นจริง คนไทยและคนกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ดีเกื้อกูลซึ่งกันและกันมาตลอดประวัติศาสตร์ เราเรียนรู้จากเขา เอามาพัฒนา เขาเรียนรู้จากเรา เอาไปปรับใช้ ทั้งสองรัฐถึงพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นพันปี

2. คนไทยต้องศึกษาข้อมูลให้มาก เอกสารที่สมควรต้องอ่านและทำความเข้าใจด้วยตนเอง อย่าให้ใครมาชี้นำได้คือ MOU2543, MOU2544 (เอกสาร 2 ฉบับนี้ยาวรวมกันไม่ถึง 8 หน้ากระดาษ), คำตัดสินกรณีเขาพระวิหาร (ทั้ง 2 รอบ) แผนที่ 1:200000 ระวางดงรัก, และ แผนที่ 1:50000 L7017 (ของเก่า) และ L7018 (ของใหม่)

3. เป้าหมายสำคัญที่สุดของไทยและกัมพูชา คือ การสร้างชายแดนให้เป็นจุดเชื่อมโยงแห่งโอกาส โอกาสการค้า โอกาสการลงทุน โอกาสการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสการเข้าถึงตลาด โอกาสพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โอกาสสร้างความมั่งคั่งให้คนในพื้นที่ โอกาสพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน โอกาสเชื่อมโยงระบบ Logistics ฯลฯ อย่าละทิ้งโอกาสเพราะนักการเมืองชั่วๆ ที่เมืองหลวงที่มีผลประโยชน์ร่วมกันของเครือญาติครอบครัว แต่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติทั้งสองมาทำให้เราเสียโอกาส ดังนั้นชายแดน 798 กิโลเมตรต้องเดินหน้าหา solution ที่ยั่งยืนร่วมกัน ถ้าแผนที่มีปัญหาก็ใช้เทคนิคสมัยใหม่ในการจัดทำแผนที่ร่วมกัน Delimitation และเริ่มต้น Demarcation กันใหม่ทั้งหมด โดยยึดเอาประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นหลัก แล้วจริงๆ แผนที่ที่มีปัญหาก็มีไม่กี่ตำแหน่งในระวางเดียว ที่เหลือก็ต้องยึดหลักการสากล ซึ่งก็คือ สันปันน้ำ

4. ไทยต้องตั้งศูนย์เฉพาะกิจของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นายกฯ รองนายกฯ กลาโหม ต่างประเทศ คลัง คมนาคม DE มหาดไทย ยุติธรรม กองบัญชาการกองทัพไทย และเลขาธิการ สมช) เป็นเสมือน War room ติดตามสถานการณ์ วางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี และสื่อสารเชิงกลยุทธ์จากจุดเดียวให้ทั้งประชาชนไทย และประชาคมโลกเข้าใจถูกต้องตรงกัน แถลงแบบช่วงการระบาดโควิดเลยในทุกวาระที่มีความตึงเครียด โดยแถลง 3 ภาษา ไทย อังกฤษ และขแมร์ ผ่านช่องทางที่เป็นทางการ และห้ามคนที่ไม่รู้เรื่อง คนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ออกมาพูด เพื่อป้องกันความสับสน

5. ไทยต้องยืนยันเป็นเอกสารอย่างชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ แสดงหลักฐานที่มีทั้งหมดที่เราปฏิเสธอำนาจ ICJ ในทุกวาระ

6. ไทยต้องแสดงหลักฐานว่าเรามีกลไกในการจัดการชายแดนและระงับข้อพิพาทอยู่แล้วระหว่าง 2 ประเทศ นั่นคือ MOU2543 ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ ฝ่ายกัมพูชาทำเสียมารยาท เพราะทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพการประชุม  JBC ตาม MOU2543 อยู่แท้ๆ แต่กัมพูชากลับดำเนินการละเมิดข้อ 8 ของ MOU2543 เสียเองโดยการนำเรื่องขึ้นสู่ ICJ ทั้งที่ MOU2543 ข้อ 8 บัญญัติว่า "ข้อ 8 (การเจรจา) ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา"

7. ไทยต้องแสดงหลักฐานทั้งคำให้การ ภาพถ่าย บันทึกต่างๆ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเขมร ย้ำว่าต้องทำเอกสารและแถลงเป็นภาษาเขมรด้วย ของการละเมิด MOU2543 ข้อ 5 ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยละเมิดมาแล้วกว่า 400 ครั้งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา MOU2543 ข้อ 5 บัญญัติว่า "ข้อ 5 (ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน) เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

8. Soft power ให้ทุนการศึกษา ให้เด็กนักเรียนที่เก่งที่สุดในทุกระดับจากกัมพูชามาเรียนหนังสือในไทย (ให้เงินเดือน ให้ค่าที่อยู่ ให้ค่ารักษาพยาบาล ให้ค่าเทอม ซึ่งเงินทั้งหมดก็ตกอยู่ในประเทศไทย เพราะเขาเข้ามากินมาอยู่ในไทย), สนับสนุนงานวิจัยร่วมไทย-กัมพูชาในมิติที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน, ให้ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนมา, ส่งกองทัพออกไปเก็บกู้วัตถุระเบิด, ทำให้การจ้างแรงงานกัมพูชาสะดวกและถูกกฎหมาย, ให้การสนับสนุน  NGOs/CSOs กัมพูชาที่ทำงานด้านการพัฒนาและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนในกัมพูชา เพื่อให้เขาเห็นว่า การเป็น Friend of Thailand ดีกว่าที่เขาจะเกลียดประเทศไทย ศัตรูของเขาไม่ใช่คนไทย แต่เป็นระบบการเมืองที่มีปัญหา

9. ตัดกระแสไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต สำหรับกิจการที่ใช้ไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตจากไทยในปริมาณมากๆ เพราะส่วนใหญ่คือ กิจกรรมการพนันและ scam center, fraud factory ห้ามบุคคลที่จะเดินทางออกไปเล่นการพนันไม่ให้ข้ามพรมแดน (สังเกตจากคนพวกนี้จะมีนายหน้าของบ่อนดำเนินการเรื่อง border pass) เพราะบ่อนและ scam center เป็นท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่หากเป็นกิจกรรมปกติ ค้าขาย ข้ามแดนเพื่อท่องเที่ยว ทำงาน ให้อำนวยความสะดวกตามปกติ เพื่อไม่ให้ประชาขนเดือดร้อน รวมทั้งให้กองทัพและ ตชด. ลาดตระเวนให้พื้นที่ช่องทางธรรมชาติให้มีความถี่สูงขึ้น

10. กระทรวงการต่างประเทศต้องเรียกให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาชี้แจง และรับนโยบายของฝ่ายไทย รวมทั้งกำหนดว่า หากมีปัญหาอีก คงต้องดำเนินการจากเบาไปหาหนักในสัดส่วนที่เหมาะสม

ชัยวัฒน์เดือด!!...โต้คำสั่งไล่ออกพ้นข้าราชการ ลั่นปลัด ทส. เจอกันในศาล หลังเอกสารหลุดว่อนเน็ต

(16 มิ.ย. 68) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. แสดงความไม่พอใจต่อกรณีเอกสารคำสั่งไล่ออกจากราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) หลุดว่อนโซเชียล ทั้งที่ตนยังไม่เคยเห็นหนังสือลับฉบับดังกล่าว และเตือนปลัดกระทรวงฯ ให้เตรียมชี้แจงต่อศาล

กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. ลงนามในคำสั่งไล่นายชัยวัฒน์ออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงฯ และความเห็นชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า นายชัยวัฒน์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจากโครงการก่อสร้างในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมีพฤติกรรมจัดฉากประกวดราคาลวง และเบิกจ่ายผิดระเบียบจนเกิดความเสียหาย

คำสั่งระบุชัดว่านายชัยวัฒน์มีพฤติกรรมทุจริตและฝ่าฝืนระเบียบราชการหลายประการ เช่น การใช้นิติบุคคลเข้าประมูลแบบไม่แข่งขันจริง รวมถึงปลอมแปลงการควบคุมงานก่อสร้างและรับรองผลงานที่ไม่เป็นไปตามแบบ เพื่อเบิกจ่ายงบประมาณกว่า 3.5 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมีการหักลบกลบหนี้ให้กับตนเอง

ในโพสต์เฟซบุ๊ก นายชัยวัฒน์ยืนยันว่าเป็น “ผู้ถูกกระทำ” และตั้งคำถามว่าเหตุใดเอกสารภายในของ อ.ก.พ. จึงรั่วไหลออกมาสู่สื่อได้ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายอาญา พร้อมประกาศเตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับปลัดกระทรวงฯ ในฐานะผู้มีอำนาจลงนามคำสั่ง และอาจมีส่วนในการปล่อยเอกสารสู่สาธารณะ

ทั้งนี้ คำสั่งไล่ออกมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยนายชัยวัฒน์ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ตามสิทธิ์ทางกฎหมายภายในกำหนดเวลา โดยต้องเลือกใช้สิทธิ์เพียงช่องทางเดียว

‘แยม-ฐปณีย์’ ซัด ไทยแพ้ทางข่าวสารแก่กัมพูชาเละ ชี้ ก.ต่างประเทศไทยไม่เปิดเผยอะไรเลยปล่อยกัมพูชาชิงแถลง

เมื่อวันที่ (15 มิ.ย. 68) แยม - ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผลการประชุม JBC ไทยพ่ายแพ้ทางข่าวสารฝ่ายกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว !!

ในฐานะนักข่าวไทยที่ไปทำข่าวการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งมีนักข่าวไทยไปกันเพียง 4 สำนัก คือ แยม-ฐปณีย์ ที่ทำทั้งข่าว 3 มิติ และ The Reporters , น้องเก้า พงศธัช สุขพงษ์ ThaiPBS World , สันติวิธี พรหมบุตร ไทยรัฐทีวี และนักข่าวกัมพูชา จำนวนมาก

ก่อนเดินทางต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้นักข่าวไทยที่จะไปทำข่าวลงทะเบียนเพื่อทำบัตรไปทำข่าวการประชุมได้ ส่วนรายละเอียดสถานที่จัดการประชุม เวลา และอะไรต่างๆ ก่อนประชุมทางกัมพูชาก็ปิดลับ เรารู้กันว่าโรงแรมอะไร และเวลาไหน ที่เหลือต้องเชคกันเอง

โชคดีที่เราพอมีเพื่อนนักข่าวกับพูชา และแหล่งข่าวเก่าๆ ที่เคยทำข่าวประเด็นพิพาทต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่ง 16-17 ปีผ่านไป ยังมีคนที่พอให้เชคข่าวสัมภาษณ์ได้บ้าง อย่างเช่น นายไพ สีพาน อดีตโฆษกรัฐบาลสมัยสมเด็จ ฮุนเซน และปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

วันที้ 13 มิ.ย.ที่ไปถึง แยมให้เพื่อนช่วยนัดไพ สีพาน และ ศ.รอส จันทะบอต นักประวัติศาสตร์ มาสัมภาษณ์ เพราะอยากรู้ท่าทีของกัมพูชาที่จะนำ 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก และเป็นข้อมูลก่อนการประชุม JBC

ส่วนฝ่ายไทย ก็แจ้งมาว่าคณะที่มา จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ จะให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงที่กรุงเทพ ซึ่งนักข่าวไทยก็ช่วยกันต่อรองมาบอกอะไรเราบ้าง เราจะได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะเรามาทำข่าวถึงที่นี่ ถ้าฝ่ายกัมพูชา ให้สัมภาษณ์แถลงอะไร เราก็ต้องรายงานข่าวตามนั้นนะ

สุดท้ายทาง กต.ไทย ก็ย้ำว่า จะไม่มีการให้สัมภาษณ์ของคณะ JBC ไทย แต่ความเป็นนักข่าวเราก็ต้องทำหน้าที่ คืนวันที่ 13 มิ.ย.แยมก็รอเจอท่านทูตประศาสน์ ประธาน JBC ไทย ที่โรงแรมที่พัก ซึ่งกว่าจะมาถึงก็ 21.00 น. ซึ่งเชื่อว่าการรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่เป็นท่านทูตพนมเปญ ในช่วงปี 51-54 แต่ท่านทูต ก็ไม่ตอบเรื่องการประชุม เพราะมีนโยบายมา ซึ่งเข้าใจได้ เราแค่อยากทักทายตามประสาแหล่งข่าว ซึ่งตลอด 2 วันในการประชุมเราก็ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ 555

มาถึงวันประชุมจริง 14 มิ.ย.นักข่าวไทยก็ไปรอประชุมคณะใหญ่ พร้อมนักข่าวกัมพูชา นัด 10.00 น.กว่าคณะจะมาห้องใหญ่ก็ 11.40 น.เพราะมีประชุมคณะเล็ก แล้วก็พักเที่ยง 2 ชม.แล้วมาประชุมอีกที 14.40 น. ซึ่งไม่นานพอ 15.30 ฝ่ายไทยนำโดยท่านทูตประศาสน์ ออกจากห้องประชุม โดยเราไปถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ นักข่าวคิดว่าการประชุมจบแล้ว

แต่ในห้องประชุมเราเห็น นายฬำ เจีย ยังถกเครียดกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ซึ่งไม่นาน มีเจ้าหน้าที่กัมพูชา มาขอคุยกับนักข่าวไทยว่า การประชุมยังไม่เสร็จ แค่พักการประชุม และไทยไปแถลงข่าวที่ไม่ตรงกัน และต่อมา นายฬำ เจีย ก็มาให้สัมภาษณ์ที่ไทยแถลงนั้นเป็นเพียงฝ่ายเดียว !!

นักข่าวไทยก็พยายามประสานบอกว่า ฝ่ายกัมพูชา อาจเอาเรื่องนี้มาชิงความได้เปรียบทางการสื่อสาร ขอให้ข้อมูลกับเราบ้าง

และก็จริงพอการประชุมวันนี้ ตั้งแต่เช้า นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ชิงแถลงส่งหนังสือไปฟ้องศาลโลก ก่อนการประชุม JBC วันที่ 2 จะเริ่มขึ้น และยังไม่ตกลงกันเรื่องบันทึกการประชุม Agreement Minutes ซึ่งเรื่อง 4 ข้อพิพาท ก็กลายเป็นประเด็นที่โต้แย้งกัน จนใช้เวลาตกลงกันเกือบ 6 ชั่วโมง และกว่าจะมาแถลงลงนามกันก็บ่ายสองแล้ว !!

การลงนาม จับมือ ถ่ายภาพกันชื่นมื่นจริง แต่ไม่มีแถลงการณ์ร่วม ไม่มีการเปิดเผยอะไร ก่อนที่ 2 ฝ่ายแยกย้าย นักข่าวไปรุมสัมภาษณ์ นายฬำ เจีย ตอบสั้นๆว่าบรรยากาศดี ให้รอ press แถลงข่าว ส่วนท่านทูตประศาสน์ ไม่ตอบอะไร

ซึ่งจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ในเวลา 14.45 น.กัมพูชาก็ออก press ข่าวผลการประชุม อย่างที่ปรากฏว่า แจ้งฝ่ายไทยว่าจะส่ง 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก แต่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ และไม่นำ 4 เรื่องนี้หารือใน JBC อีกต่อไป รวมถึงยึดตามแผนที่ 1:200,000 ไม่ยึดแผนที่ที่ไทยทำขึ้นเอง

https://www.facebook.com/share/p/16kp61dy4k/?mibextid=wwXIfr

ส่วนของไทย กระทรวงการต่างประเทศออกข่าวแจงสั้นๆว่า บรรยากาศประชุมดี สองฝ่ายจะใช้กลไก JBC คุยเรื่องปักปันเขตแดนต่อไป ฯ และต้องมาออกเอกสารชี้แจงภายหลัง โดยล่าสุดออกแถลงการณ์ชี้แจงเมื่อ 22.30 น.ที่ผ่านมา แสดงความผิดหวังที่กัมพูชาขาดความจริงใจที่จะนำ 4 ข้อพิพาทหารือตามกลไกทวิภาคี

https://www.facebook.com/share/p/1BZ7Bc2MtH/?mibextid=wwXIfr

แค่เรื่องการให้ข่าวไทยก็พ่ายแพ้กัมพูชาไปแล้วจากการประชุม JBC ซึ่งที่สะท้อนมานี้ หวังแค่ว่าฝ่ายไทยจะปรับปรุง เพราะปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา กำลังจะเดินทางไปถึงศาลโลกและ UN ในขณะที่พื้นที่ชายแดนก็เปราะบาง กำลังลุกลามเป็นสงครามเศรษฐกิจ

นักข่าวไทยก็รักชาติ อยากรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ

‘เนทันยาฮู’ โผล่จากบังเกอร์ เยือนจุดโดนถล่ม ลั่นพร้อมโค่นระบอบอิหร่าน เตรียมเอาคืนหนักกว่าเดิม

(16 มิ.ย. 68) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “จะทำในสิ่งที่จำเป็น” ต่อผู้นำอิหร่าน พร้อมเปรยว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบในกรุงเตหะราน อาจเป็นผลลัพธ์จากปฏิบัติการของอิสราเอล โดยกล่าวหาว่าผู้นำอิหร่านอ่อนแอ และประชาชนส่วนใหญ่ต้องการปลดอำนาจ

เนทันยาฮูได้ออกจากบังเกอร์ใต้ดินเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิ.ย. เพื่อไปตรวจสอบความเสียหายที่เมืองบัต ยัม ชายฝั่งใกล้กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ถูกขีปนาวุธของอิหร่านถล่มคืนก่อน ผู้นำอิสราเอลมีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมประกาศว่า “อิหร่านจะต้องจ่ายราคาที่แพงมาก สำหรับการสังหารพลเรือน ผู้หญิง และเด็กโดยเจตนา”

สงครามระหว่างสองประเทศยังทวีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศกว่า 80 จุดทั่วอิหร่าน ครอบคลุมกระทรวงกลาโหม โรงไฟฟ้า โครงการนิวเคลียร์ และย่านชุมชนในกรุงเตหะราน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 224 ราย ขณะเดียวกัน อิหร่านยิงตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหลายระลอก ทำให้อิสราเอลมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย

แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เรียกร้องให้เกิดการเจรจา แต่สถานการณ์ยังไร้แนวโน้มยุติลง รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลขู่จะทำลายกรุงเตหะรานเหมือนที่เคยถล่มเบรุต ส่วนผู้นำอิหร่านตอบโต้ด้วยคำขู่ว่า หากอิสราเอลยังเดินหน้าบุก จะได้รับ “การตอบแทนที่เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม”

ศาลล้มละลายกลาง ให้ ‘การบินไทย’ พ้นแผนฟื้นฟู เตรียมขอกลับเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นสิงหาคมนี้

ศาลล้มละลายกลาง ให้ การบินไทย ออกแผนฟื้นฟู เตรียมกลับสู่ตลาดหุ้น ส.ค.นี้

(16 มิ.ย. 68) นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังรับฟังการไต่สวนของศาลล้มละลายกลางในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)

สืบเนื่องมาจากการบินไทยปฏิบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการครบทั้งหมด 4 ข้อ โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขออนุญาตหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2568

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ จากมูลหนี้ที่เจ้าหนี้จำนวนกว่าหนึ่งหมื่นรายยื่นขอรับชำระหนี้ ณ วันที่บริษัทฯ ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีมูลหนี้รวมกว่าสี่แสนล้านบาทนั้น ปัจจุบัน การบินไทยมีภาระหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งถึงที่สุดให้ได้รับชำระหนี้ ประมาณ 189,578 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ทยอยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่ได้รับคำสั่งถึงที่สุดให้ได้รับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จนถึงไตรมาส 1 ของปี 2568 บริษัทฯ ได้ชำระหนี้ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวนประมาณ 94,080ล้าน บาทโดยมีมูลหนี้คงเหลือที่ยังต้องชำระจนถึงปี 2579 ประมาณ 95,498 ล้านบาท

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า ผู้บริหารแผนได้ดำเนินการปฏิบัติตามเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนที่ ระบุไว้ครบถ้วนแล้ว เห็นควรที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้

อนึ่ง ศาลล้มละลายกลาง พิเคราะห์คำร้องของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ และพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เห็นว่า แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดผลสำเร็จของแผนว่าการ ดำเนินการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ให้ถือว่าเป็นผลสำเร็จตามแผนเมื่อ (1) จดทะเบียนเพิ่มทุนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ (2) ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยไม่มีเหตุผิดนัด (3) มีกำไร ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานตามจำนวนที่แผนกำหนด และมีส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินเป็นบวก และ (4) มีการแต่งตั้งกรรมการใหม่ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในแผน ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏจากคำร้องของลูกหนี้และรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ว่าลูกหนี้ได้ปฏิบัติครบถ้วนทุกข้อที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้แต่อย่าง ใด กรณีจึงรับฟังได้ว่า ผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนอันจะถือว่าการฟื้นฟูกิจการได้ดำเนินการเป็นผลสำเร็จ ตามแผนแล้ว ต้องด้วยเงื่อนไขแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/70 วรรคหนึ่ง ที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้

ศาลล้มละลายกลางจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/70 วรรคหนึ่ง โดยผู้บริหารแผนหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรัพย์ ยังคงมีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินเพื่อรักษาประโยชน์ของลูกหนี้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ จนกว่าผู้บริหารของลูกหนี้จะเข้าจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป

ธงชาติกลางภาพพังพินาศ สะดุดตาเกินบังเอิญ ตั้งข้อสังเกต ‘อิสราเอล’ สร้างภาพเป็นฝ่ายถูกกระทำ

(16 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก Anucha Somnas ตั้งข้อสังเกตถึงภาพข่าวความเสียหายจากการโจมตีที่เกิดขึ้นในอิสราเอลว่า แทบทุกภาพล้วนมีธงชาติอิสราเอลหรือสัญลักษณ์ประจำชาติ ปรากฏอยู่ในเฟรมอย่างชัดเจน สร้างคำถามถึงความตั้งใจหรือเบื้องหลังของการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ต่อสังคมโลก โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเนทันยาฮูกำลังเผชิญแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนจากกรณีถล่มฉนวนกาซา

ผู้โพสต์วิเคราะห์ว่า ความเสียหายที่เกิดจากจรวดซึ่งตกลงกลางเมือง อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือการจัดฉากเพื่อสร้างภาพจำ สื่อสารกับนานาชาติว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายถูกกระทำ พร้อมใช้ภาพเหล่านี้เป็น “แฟ้มสะสมผลงาน” หรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ที่ยังดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ยังชี้ว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงยึดแนวทางเดิมในการใช้พลเรือนของตนเองเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ ไม่ต่างจากกรณีตัวประกันชาวอิสราเอลในฉนวนกาซา ที่ไม่เคยได้รับความสำคัญเท่ากับเป้าหมายทางทหาร รัฐบาลเลือกเดินหน้าถล่มทุกพื้นที่ของกาซา โดยไม่สนใจว่าตัวประกันจะเสียชีวิตจากการโจมตีของตนเองหรือไม่

ข้อสังเกตเหล่านี้สะท้อนคำถามถึง เจตนาของรัฐบาลอิสราเอลในการจัดการสงคราม และความโปร่งใสของการสื่อสารข้อมูลกับสาธารณะ ทั้งยังสะท้อนว่าความสูญเสียอาจไม่ใช่เพียงผลข้างเคียงของสงคราม หากแต่เป็นกลไกที่รัฐเลือกใช้ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น

‘ฮุน เซน’ ขีดเส้นตายไทย ภายใน 24 ชม. ต้องเปิดทุกด่าน ถ้าไม่ทำตามกัมพูชาพร้อมแบนสินค้าไทย

(16 มิ.ย. 68) สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกคำเตือนต่อทางการไทยว่า หากไทยไม่เปิดด่านชายแดนทุกแห่งกับกัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบภายใน 24 ชั่วโมง กัมพูชาจะสั่งห้ามนำเข้าผลไม้และผักจากไทยทั้งหมด

โดยคำประกาศดังกล่าวมีขึ้นก่อนการประชุมวุฒิสภา โดยฮุน เซนระบุชัดว่า ไทยต้องเปิดด่านชายแดนตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น.ตามปกติ หากไม่ดำเนินการ กัมพูชาจะตอบโต้ด้วยมาตรการทางการค้าทันที

ฮุน เซนยังกล่าวอย่างแข็งกร้าวอีกว่า กัมพูชาจะไม่เจรจากับไทยในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นฝ่ายไทยที่เริ่มจำกัดการผ่านแดนก่อน “เมื่อไทยห้าม กัมพูชาก็ห้ามบ้าง แล้วพอเดือดร้อนจึงจะมาเจรจาเพื่อรักษาหน้าอย่างนั้นหรือ?” เขากล่าว

“เราไม่มีทางยอมให้ชื่อเสียงของเราเสียหาย เพราะความผิดพลาดของผู้อื่น” ฮุน เซน ย้ำพร้อมส่งสัญญาณว่ากัมพูชาจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดหากไทยไม่ยอมถอยภายในเวลาที่กำหนด

‘ศาสตรา’ ลั่นยังไม่อยากย้ายพรรคไปไหน ยัน แค่ถามแทนชาวบ้านเรื่องราคาพลังงาน

(16 มิ.ย. 68) นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว นายศาสตรา ศรีปาน - Sarttra Sripan ระบุข้อความว่า “ผมรักพรรคไม่ต่างจากคนที่ออกมาโต้แทนหรอก”

ขออภัยนะถ้าทำให้พี่ (เสธ หิ) ไม่สบายใจ สิ่งที่ผมโพสต์ก่อนหน้าไปแค่อยากชี้แจงชาวบ้านไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตบานปลาย จนพี่ออกมาโต้ ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ชี้แจงครับ 

ผมลงพื้นที่ผมรู้คนคิดอะไร เอาแค่ว่า รีบรื้อรีบทำให้ชาวบ้านถูกใจและทำตามสัญญาไว้กับชาวบ้านเถอะครับ ไม่ต้องออกมาโต้ไปมากับ สส.หรอก อยากแค่ ให้รีบทำให้ชาวบ้าน และกำหนดเวลาให้ชัดเจน 

เป็นคนดี คนเก่ง ไม่มีใครเถียงครับ แต่ชาวบ้านยังบ่นว่าราคาพลังงานแพงมาก นี่คือเรื่องจริงครับ 

“ราคาพลังงานถูกลงตอนนี้แต่ยังไม่ถูกใจชาวบ้าน”

อยากมีผลงานต้องรีบทำให้เสร็จ รีบยื่นรีบโหวต เป็นผลงานพรรค

คนถามทำไมไม่คุยกันเองในพรรค? 

เวลาประชุมหรือมาพูดในพื้นที่ให้ สส. ก็ได้คำตอบว่า ต้นปี กลางปี ปลายปี ผลัดมาเรื่อย ๆ จนเริ่มไม่มั่นใจว่าเรายังเป็นความหวังได้หรือไม่ นี่คือเรื่องที่ผมไม่ ok แถมยังมีองครักษ์ คอยออกมาสวนกลับคนในพรรคตัวเอง แบบนี้ทำให้ผู้บริหารพรรคยิ่งดูเข้าถึงยากไปใหญ่ 

กฎหมายของพรรคเข้าเมื่อไหร่ ผมโหวตให้แน่นอน

และผมไม่อยากย้ายไปไหนครับ

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2568

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : 507392

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
507391  507393

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
243  017

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
299  736

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท
06

🔴รางวัลที่ 2 จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
916566  564087  923982  466702  836570

🔴รางวัลที่ 3 จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
251068  824977  153753  055913  971844  
210588  725799  234300  728619  989810  

🔴รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
553019  991511  874508  655945  222406  
840101  420262  542355  638186  445850  
699113  603638  711107  281129  135825  
340891  178497  331106  129679  163597  
701613  257553  701178  621188  916923  
384386  875862  756750  157683  794769  
055485  993316  451904  321701  830539  
064202  090821  725547  679571  413991  
241545  898292  861198  851660  312876  
807974  324967  124992  190419  748107  

กบน. ลดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ กว่าวันละ 74 ล้านบาท ลดผลกระทบประชาชนจากสถานการณ์ตะวันออกกลาง

(16 มิ.ย. 68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ปรับเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรง และส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า “การประชุม กบน. วันนี้ได้มีการประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 72.50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 85.44 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 88.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล   ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ และค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง 

เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนจากราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น และไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพในช่วงที่สถานการณ์วิกฤตพลังงานกำลังเกิดขึ้น กบน. จึงมีมติให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยใช้กลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพ และพยุงราคาน้ำมันในประเทศ ไม่ให้กระทบกับความต่อเนื่องในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว” ดังนี้ (ข้อมูลในตาราง)

สำหรับการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันทุกชนิด (รวมถึงน้ำมันเตา) ลดลงประมาณวันละ 74.41 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 241.64 ล้านบาท เหลือประมาณวันละ 167.23 ล้านบาท โดยปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ติดลบอยู่ที่ 36,268 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 8,244 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 44,512 ล้านบาท

นายพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินมาตรการครั้งนี้เป็นไปตามบทบาทของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาพลังงานของประเทศเมื่อเกิดวิกฤตด้านราคาพลังงาน ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 โดยยึดหลักการ “เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้” พร้อมยืนยันว่า กบน.จะติดตามสถานการณ์น้ำมันโลกอย่างใกล้ชิด และพร้อมดำเนินมาตรการที่เหมาะสม เพื่อดูแลและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนให้มากที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top