Sunday, 1 June 2025
TheStatesTimes

เชียงใหม่-เปิดเส้นทางท่องเที่ยว 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' แสงเทียนแสงธรรม : จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) ที่ บริเวณหน้าหอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดเส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' แสงเทียนแสงธรรม : จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจท่องเที่ยว ผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคัก

นายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในนามของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ และท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา กิจกรรมในวันนี้เป็นกิจกรรมสร้างประสบการณ์เส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าและ กิจกรรมสาธิต/กิจกรรมตามประเพณีพื้นถิ่น 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' (เชียงราย พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่) ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองเก่าอารยธรรมล้านนา 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' 

โดยการสนับสนุนงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แผนงาน : บูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มีแนวคิดในการบูรณาการจัดกิจกรรมร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าของเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา โดยการนำเอาต้นทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ย่านเมืองเก่า กิจกรรมท่องเที่ยวตามประเพณี วิถีชีวิตชุมชน และอาหารพื้นถิ่น มาร้อยเรียงเรื่องราวและสร้างสรรค์เป็นเส้นทางท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ เน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและแสดงให้เห็นถึงความสวยงามของโบราณสถานวัด สถานที่ ในยามค่ำคืน ในพื้นที่เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา โดยมีวัตถุประสงค์ของกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เปิดมุมมองและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว 

โดยหวังว่าจะสามารถเพิ่มกิจกรรมในยามค่ำคืน (ยามแลง) เพื่อให้เกิดการพักค้าง เกิดการ บอกต่อกิจกรรม และเกิดการเดินทางซ้ำของนักท่องเที่ยว โดยการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว ให้น่าจดจำ มีการกระจายรายได้ด้านการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น และบูรณาการการทำงาน ด้านการท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา                             

จัดขึ้นภายใต้กิจกรรมสร้างประสบการณ์เส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า จำนวนทั้งหมด 6 เส้นทาง ภายใต้แนวคิด 6 แสง มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา ดังนี้ เส้นทางที่ 1 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงเทียน แสงธรรม”(จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งดำเนินในวันนี้ โดยกิจกรรมเริ่มต้น ณ ลานกิจกรรมหน้าหอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่น นั่งรถรางใส่ขันดอกอินทขิล การจุดเทียนเสริมสิริมงคล ณ วันศรีสุพรรณ ลอดซุ้มประตูโขงตะแหลว 7 ชั้นกราบพระประธาน วันโลกโมฬี และนั่งรถชมเมืองเชียงใหม่ยามเย็น โดยมีเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 100 คน 

สำหรับเส้นทางที่ 2 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงเวียงเขลางค์”(จังหวัดลำปาง) เส้นทางที่ 3 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงสี...ปายยามเย็น” (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) เส้นทางที่ 4 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงเวียง” (จังหวัดเชียงราย)เส้นทางที่ 5 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงศรัทธา” (จังหวัดพะเยา)และ เส้นทางที่ 6 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงแห่งวิถี” (จังหวัดลำพูน) กิจกรรมสร้างประสบการณ์เส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าและ  กิจกรรมสาธิต กิจกรรมตามประเพณีพื้นถิ่น “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” ในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา เส้นทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เปิดมุมมองและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว กระจายรายได้ด้านการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

(สุรินทร์) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยัน การเจรจาไทย-กัมพูชา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ย้ำขอให้ประชาชนมั่นใจ จะไม่มีการใช้กำลังซึ่งกันและกัน

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยัน การเจรจาไทย-กัมพูชา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ย้ำขอให้ประชาชนมั่นใจ จะไม่มีการใช้กำลังซึ่งกันและกัน อันทำให้เดือดร้อนและส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างแน่นอน พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับทหารฝ่ายกัมพูชา ณ หน่วยประสานงานประจำพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่สอง จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ช่วงค่ำวันนี้ว่า 

จากการเจรจาระหว่างทหารฝ่ายไทย นำโดย พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก กับ พลเอก เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ได้ข้อสรุปร่วมกัน คือ ให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมอย่างน้อยฝ่ายละ 200 เมตร เพื่อรอคณะกรรมการปักปันเขตแดนโดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีการประชุม JBC ร่วมกัน ภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ เร่งแก้ปัญหาการถือแผนที่ไม่ตรงกัน สรุปว่าในปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย มีความเข้าใจกันดี และทั้ง 2 ประเทศจะต้องหาเวลาพูดคุยกัน เพื่อยุติข้อขัดแย้งที่จะนำมาซึ่งการใช้อาวุธต่อกัน ขอให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศมั่นใจว่าจะไม่มีการนำไปสู่การใช้กำลังที่จะทำให้เดือดร้อนและส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างแน่นอน

 

นครพนม-นบ.ยส.24 ต้อนรับที่ปรึกษาสำนักงาน ปปส. (อดีต เลขาธิการ ปปส.) พร้อมคณะ ในการศึกษาดูงานโครงการสัมมนาด้านการข่าว 

ที่ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24) มอบหมายให้ พลตรี ฉัฐชัย มีชั้นช่วง รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การต้อนรับ นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (อดีต เลขาธิการ ปปส.) พร้อมคณะ ในการศึกษาดูงานโครงการสัมมนาด้านการข่าว การลักลอบลำเลียงยาเสพติดที่มีความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกฉียงเหนือตอนบนและในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 1 (ปปส.ภาค 1) ในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดนครพนม และตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องในการป้องกันยาเสพติด การสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด การแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ สรุปสถิติและการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ในพื้นที่ 25 อำเภอชายแดน ของ 7 จังหวัดรับผิดชอบ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย แนวโน้มสถานการณ์ยาเสพติด กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตาม 6 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการสกัดกั้น มาตรการปราบปราม มาตรการป้องกัน มาตรการบำบัดรักษา มาตรการบูรณาการ มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน  

เพื่อร่วมประชุมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ตามนโยบายของทางรัฐบาลที่กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระที่ให้ความสำคัญเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น ชื่นชมในความทุ่มเท เสียสละ และความมุ่งมั่นของทุกหน่วยงานในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยเฉพาะในภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคมไทยในปัจจุบันซึ่งมี ผลการตรวจยึดจับกุมตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุม จำนวน 785 ครั้ง, ผู้ต้องหา 1,078 ราย ของกลาง ยาบ้า 116,960,665 เม็ด,ไอซ์ 5,793 กิโลกรัม เฮโรอีน 142 กก.,เคตามีน 796 กิโลกรัมและอื่นๆ รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นมากถึง แปดพันล้านบาทเศษ (8,271,696,850 บาท)

กองทัพน้อยที่ 3 ร่วม MOU โครงการผลิตปุ๋ยหมักจากเศษหญ้า ใบไม้ และกิ่งไม้

กองทัพน้อยที่ 3 ร่วมกับ บริษัท โสรยา โมเดิร์น ไลฟ์ จำกัด อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือการจัดทำโครงการทางการเกษตรร่วมกัน ที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการเศษหญ้า ใบไม้ และกิ่งไม้ ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถแบบครบวงจร อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการเผาที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) อันส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม กองบัญชาการกองทัพน้อยที่ 3 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3 และ ดร. พิศลยา บัวแก้ว CEO บริษัท โสรยา โมเดิร์น ไลฟ์ จำกัด เป็นผู้ลงนามข้อตกลง         

ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ 1) เพื่อนำใบไม้ กิ่งไม้ และเศษหญ้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาทำปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมักชีวภาพ) 2) เพื่อให้ได้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมักชีวภาพ) นำมาใส่พืชผักและดอกไม้ภายในหน่วย ส่วนที่เหลือจำหน่ายเพื่อเป็นสวัสดิการของกำลังพลภายในหน่วย 3) เพื่อเป็นการลดการสะสมของใบไม้ กิ่งไม้ และเศษหญ้า เพื่อให้ภูมิทัศน์ของหน่วยเป็นระเบียบ สวยงาม และ 4) เพื่อลดการเผาใบไม้ กิ่งไม้ และเศษหญ้า อันเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)      

จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 3 มีความพร้อมที่จะสนับสนุนกำลังพล และยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมทั้งบูรณาการศักยภาพทางการทหารในทุกๆ ด้านของกองทัพบก เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เกิดความมั่นคง และยั่งยืน ตลอดไป ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

ศ.หญิงรายได้สูง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ถูกไล่ออกจากฮาร์วาร์ด ฐานบิดเบือนข้อมูลวิจัย

(30 พ.ค. 68) ฟรานเชสกา จิโน (Francesca Gino) อดีตศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์แห่ง Harvard Business School ซึ่งเคยมีรายได้สูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 36 ล้านบาท) ระหว่างปี 2018-2019 ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเพิกถอนตำแหน่งถาวร หลังผลสอบชี้ชัดว่าเธอมีการบิดเบือนข้อมูลในงานวิจัยถึง 4 ชิ้น เพื่อให้ผลลัพธ์สนับสนุนสมมติฐานของตนเอง

การสืบสวนเริ่มขึ้นในปี 2021 หลังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับงานวิจัยชื่อดังของจิโน ว่าด้วยการลงนามคำมั่นสัญญาความซื่อสัตย์ ซึ่งภายหลังถูกเพิกถอนเพราะพบหลักฐานปลอมแปลงข้อมูล การตรวจสอบเชิงลึกโดยมหาวิทยาลัย และบริษัทนิติวิทยาศาสตร์จากภายนอก พบการปรับแต่งข้อมูลในอีก 3 งานวิจัยที่เธอร่วมเขียนระหว่างปี 2012-2020

แม้จิโนจะออกมาปฏิเสธผ่านเว็บไซต์ส่วนตัวว่าไม่ได้กระทำการฉ้อโกงทางวิชาการ และอ้างว่าอาจเป็นความผิดของผู้ช่วยวิจัยหรือมีผู้เจตนาร้ายแทรกแซงข้อมูล แต่ผลสอบของมหาวิทยาลัยไม่ยอมรับคำชี้แจงดังกล่าว พร้อมเดินหน้าปลดเธอออกจากตำแหน่งโดยทันที และเสนอให้เพิกถอนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

จิโนถือเป็นศาสตราจารย์คนแรกของฮาร์วาร์ดที่ถูกเพิกถอนตำแหน่งในรอบกว่า 80 ปี เธอยังได้ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัย อดีตคณบดี และบล็อกเกอร์กลุ่ม Data Colada เรียกค่าเสียหาย 25 ล้านดอลลาร์ แต่คำร้องถูกศาลกลางในบอสตันปฏิเสธ โดยระบุว่างานวิจัยของเธอเป็นเรื่องที่เปิดให้สาธารณะวิจารณ์ได้ภายใต้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

กรณีนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงวิชาการสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งจิโนเคยเป็นนักวิจัยแนวหน้า ได้รับการตีพิมพ์บทความมากกว่า 140 ชิ้น และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่
คือชีวิตที่อยู่ด้วย
ทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่
แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่
ต้องอาศัยคุณธรรมความดี เท่านั้น

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

จเรตำรวจแห่งชาติยืนยันข่าวนอตหลุดทำเฮลิคอปเตอร์ตกยังไม่สรุป รอผลตรวจสอบผู้เชี่ยวชา

จากการที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่าง ๆ ในกรณีที่เฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจตกในขณะบินออกปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ในเขตพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีสาเหตุมาจากนอต 2 ตัวหลุดทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัวจนตกนั้น  
        
พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้น จึงขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นทางกายภาพของกองบินตำรวจ พบว่า นอตในส่วนที่ยึดติดกับชุดใบพัดใหญ่ด้านบนของเฮลิคอปเตอร์หลุดไป แต่การตรวจพบดังกล่าวยังไม่สามารถนำมาเป็นข้อสรุปของสาเหตุการตกของเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจได้ ต้องรอผลสรุปจากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญและพยานหลักฐานอื่นมาประกอบ จึงจะสามารถสรุปได้ว่าสาเหตุของการตกที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งผลเป็นประการใดจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการซ่อมบำรุงอากาศยานของกองบินตำรวจ ให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฏหมาย กฏ ระเบียบ คำสั่ง ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ มีข้อสังเกตหรือความบกพร่องในกรณีใด เพื่อให้เกิดความโปร่งใส่และเป็นธรรมต่อไป

ดร.เฉลิมชัย เปิดงานวันป่าชุมชนแห่งชาติ 2568 ขับเคลื่อนการจัดการป่าชุมชนอย่างยั่งยืนสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานพิธีเปิดงาน 'วันป่าชุมชนแห่งชาติ' ประจำปี พ.ศ. 2568 พร้อมด้วยนายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเครือข่ายป่าชุมชนทั่วประเทศ เข้าร่วมงาน โดยมี นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ โรงแรมปัตตาเวีย รีสอร์ท แอนด์ สปา (30 พ.ค.)

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 24 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น 'วันป่าชุมชนแห่งชาติ' ซึ่งเป็นกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนได้ร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของป่าชุมชน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเล็งเห็นถึงความสำคัญของ 'ป่าชุมชน' ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้พี่น้องประชาชนได้มีความเป็นอยู่ที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองและอยู่ร่วมกับป่าได้โดยการมีส่วนร่วมจากประชาชนและทุกภาคส่วนที่สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือของภาคประชาชนในการบริหารจัดการป่าชุมชนร่วมกับภาครัฐ สร้างการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ก่อให้เกิดความเข้มแข็งในระดับพื้นที่ รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรในป่าชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 

การดำเนินงานของเครือข่ายป่าชุมชนถือเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปกป้อง บำรุงรักษา ดูแลป่าชุมชนให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนจนประสบผลสำเร็จ ทำให้ป่าชุมชนเป็นแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร แหล่งสมุนไพร รวมไปถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดจนจะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) และยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ให้เกิดประโยชน์เป็นมรดกส่งต่อให้แก่ลูกหลานในอนาคตต่อไป 

นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า สำหรับการจัดงานวันป่าชุมชนแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กำหนดจัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 30-31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 โดยจะจัดกิจกรรมสำคัญประกอบด้วยการจัดกิจกรรมการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้กับเครือข่ายป่าชุมชน หน่วยงาน องค์กร ตลอดจนประชาชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของป่าชุมชน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การปลูกต้นไม้ การบำรุงรักษาป่าชุมชน การทำฝายชะลอน้ำ การลาดตระเวน การทำแนวกันไฟ เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานในการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ 

ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ โดยกิจกรรมหลักจัดขึ้น ณ โรงแรมปัตตาเวีย รีสอร์ท แอนด์ สปา จะมีกิจกรรมการบรรยายหัวข้อแผนการจัดการป่าชุมชน, ภาคีสนับสนุนงานป่าชุมชน, โอกาสการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถด้านป่าชุมชน ฯลฯ พร้อมทั้งเปิดเวทีอภิปราย “ความร่วมมือเสริมหนุนงานป่าชุมชนมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ : สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายป่าชุมชน ฯลฯ 

และนอกจากนี้จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในด้านการส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างสมดุลให้ป่าเป็นเสมือนฐานทรัพยากรด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากป่าตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นิทรรศการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสม นิทรรศการป่าชุมชนต้นแบบจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการใช้ประโยชน์จากผลผลิตหรือบริการจากป่าชุมชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่มีความเชื่อมโยงกับป่าชุมชนที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาป่าชุมชน เพื่อสร้างรายได้ และสร้างแรงจูงใจในการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่าชุมชน หรือขยายการจัดตั้งป่าชุมชนเพิ่มมากขึ้น

ในโอกาสนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับหน่วยงานสนับสนุนการจัดกิจกรรมวันป่าชุมชนแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2568 และมอบโล่ให้กับเครือข่ายป่าชุมชนพร้อมทั้งพบปะพูดคุยกับกลุ่มเครือข่ายป่าชุมชนที่เข้าร่วมงาน

‘ฮุน เซน’ สร้างเรื่อง!! เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ ชายแดนไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ ‘จุดเริ่มต้น’

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ข่าวใหญ่ที่คนทั้งสองฝั่งชายแดนต้องจับตา คือเหตุการณ์ 'ปะทะชายแดนช่องบก' ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เสียงปืนดังไม่ถึงสิบนาที แต่ 'เสียงการเมือง' ดังไกลเกินค่าย และหนึ่งในเสียงที่ดังกว่าคนอื่น ก็คือ 'สมเด็จฮุน เซน' ถึงแม้จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เขาก็ยังโผล่หน้ากล้อง พูดชัดๆ ว่า “ตรงนี้เป็นดินแดนของเรา! ฉันเคยนั่งอยู่ตรงนี้ในปี 2009 แล้วจะไม่ใช่ของเรายังไง?”

ใครฟังก็รู้สึกว่า ฮุน เซนดูโกรธ ดูจริงจัง เหมือนกำลังจะทวงแผ่นดินคืน แต่พอเรามองให้ลึกลงไป…
สิ่งที่เขาทำ อาจไม่ใช่แค่ 'การปกป้องชายแดน' แต่มันคือ 'การปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัว' จากบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น...

ในประเทศกัมพูชา มีเรื่องหนึ่งที่พูดกันมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเคลียร์ คือความใกล้ชิดของฮุน เซนกับ 'เวียดนาม' ย้อนกลับไปปี 1979 ฮุน เซนคือคนที่เวียดนาม 'เลือก' มาตั้งรัฐบาลหลังโค่นเขมรแดง นับแต่นั้นมา เขาก็มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮานอย
บางคนบอกว่า 'เวียดนามช่วยเรา' แต่บางคนกลับมองว่า 'เวียดนามครอบงำเรา'
และนั่นแหละ คือจุดอ่อนที่ฮุน เซนหนีไม่พ้น 

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ในกัมพูชาก็เริ่มตั้งคำถาม
ทำไมเรายังยอมเวียดนามอยู่?
ทำไมรัฐบาลถึงลงนามแนวเขตที่อาจเสียเปรียบ?
ทำไมนักลงทุนเวียดนามได้สิทธิพิเศษเยอะกว่า?
คำถามพวกนี้แรงขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะในโซเชียลของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และ NGO

แล้วฮุน เซนตอบยังไง?
แทนที่จะตอบตรงๆ…
เขาหันหน้าไปยัง 'ชายแดน' แล้วพูดว่า
> “ไทยกำลังจะมายึดแผ่นดินเรา!”
จบเลยครับ
คนหันไปสนใจเรื่องภายนอก แทนที่จะตั้งคำถามกับเวียดนาม
เหมือนเวลามีคนถามเรื่องที่เราไม่อยากตอบ เราก็ชี้ไปทางอื่นแล้วพูดว่า
> “ดูนั่นสิ ไฟไหม้!”

พูดง่ายๆ คือ...
ฮุน เซนไม่ได้กลัวไทยรุกล้ำดินแดน
แต่เขากลัว 'คนในประเทศ' จะรุกล้ำความชอบธรรมของตระกูลตัวเอง

จบตอน
เหตุการณ์ที่ชายแดน คือหมากเบี่ยงประเด็น
คำพูดแข็งกร้าว คือกำแพงป้องกันศัตรูที่มองไม่เห็น
และในขณะที่โลกกำลังมองว่าไทย-กัมพูชาจะปะทะกันไหม?
ฮุน เซนกำลังชนะอยู่เงียบๆ บนกระดานภายในบ้านของเขาเอง

‘สหพันธ์มวยโลก’ ลั่น!! ไม่อนุญาตให้ ‘อิมาน เคลิฟ’ ชกกับนักมวยหญิง เว้นแต่จะยินยอม!! เข้ารับการตรวจเพศ เพื่อแสดงว่ามี ‘โครโมโซม XX’

(31 พ.ค. 68)  เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

สหพันธ์มวยโลกประกาศว่า อิมาน เคลิฟ นักมวยชาวแอลจีเรีย จะไม่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันกับนักมวยหญิงในรายการ Eindhoven Box Cup ที่จะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้ เว้นแต่เคลิฟจะยินยอมเข้ารับการตรวจเพศ

ต่อไปนี้คณะกรรมการมวยสากลของแอลจีเรียจะต้องแสดงให้เห็นว่าเคลิฟมีโครโมโซม XX เพื่อที่จะแข่งขันกับผู้หญิงได้ในรายการมวยสากลโลกทั้งหมด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top