Friday, 30 May 2025
TheStatesTimes

ILINK ย้ำความแข็งแกร่ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มุ่งสู่รายได้แตะ 7.12 พันล้านบาท ในปี 68

ILINK ร่วมแจงความมั่นคง ในงานพบนักลงทุน Opportunity Day Q1/2568 เน้นย้ำเป้าหมายเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) มุ่งสู่รายได้ทั้งปี แตะ 7.12 พันล้านบาท

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในการนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ และรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ว่า ILINK ยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่าน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการสื่อสาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว 

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ความยืดหยุ่นในการบริหาร และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน คู่ค้า ลูกค้า และสังคมโดยรวม แม้ไตรมาสแรกจะมีความท้าทายหลายด้าน แต่ ILINK พร้อมปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง เชื่อมั่นว่าในไตรมาสต่อ ๆ ไป เราจะสามารถเร่งการเติบโต สร้างผลกำไรที่ดี และตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างแน่นอน

โดยภาพรวมผลการดำเนินงานของ 3 ธุรกิจหลักในไตรมาส 1/2568 สำหรับ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) มีรายได้รวม 832.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84.73 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของการบริหารจัดการต้นทุน และโครงสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนา และขยายตลาดของแบรนด์ “LINK AMERICAN & GERMAN RACK” อย่างต่อเนื่อง จากการที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025” เพื่อรองรับความต้องการสายสัญญาณคุณภาพสูงของตลาดทั้งในประเทศ และในอาเซียน

ในส่วนของธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) มีรายได้ในไตรมาสที่1/68 อยู่ที่ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการส่งมอบโครงการ และการเบิกงบประมาณที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีศักยภาพจากโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว เช่น โครงการสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า และสถานีไฟฟ้านนทรี พร้อมทั้ง ยังมีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมจากภาครัฐในอนาคต

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ที่ดำเนินงานโดยบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL มีรายได้ 806 ล้านบาท กำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเลื่อนรับรู้รายได้บางโครงการ อย่างไรก็ตาม การประกาศความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “NDC” เพื่อให้บริการโซลูชันด้านระบบความปลอดภัยสาธารณะ และเทคโนโลยีดิจิทัล ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง

นอกจากนี้ ILINK ยังคงวางเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์ 'โตอย่างมีคุณภาพ' (Quality Growth) เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการคิดค้น พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับความต้องการของตลาดยุคใหม่ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป

‘ทรัมป์’ สั่งระงับสัมภาษณ์วีซ่านักเรียนต่างชาติ พร้อมตรวจเข้ม!!..บัญชีโซเชียลมีเดียของผู้สมัคร

(28 พ.ค. 68) รัฐบาลทรัมป์มีคำสั่งให้สถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลกหยุดเพิ่มนัดสัมภาษณ์สำหรับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการขอวีซ่าเข้าศึกษาในสหรัฐฯ โดยมีผลทันที เพื่อเตรียมขยายมาตรการตรวจสอบข้อมูลโซเชียลมีเดียของผู้สมัคร ซึ่งคำสั่งนี้ออกโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ และถูกเผยแพร่ไปยังทุกหน่วยงานทางการทูต

เอกสารภายในระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน การจัดสรรทรัพยากร และกระบวนการของแผนกกงสุล โดยจะให้ความสำคัญกับการบริการสำหรับพลเมืองสหรัฐฯ วีซ่าผู้อพยพ และการป้องกันการฉ้อโกงเป็นอันดับแรก ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าการตรวจสอบโซเชียลมีเดียจะดำเนินการอย่างไร

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วีซ่าของนักเรียนต่างชาติหลายพันคนถูกเพิกถอน โดยรัฐบาลทรัมป์อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและการต่อต้านแนวคิดหัวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีคำสั่งห้ามนักเรียนต่างชาติลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปีการศึกษาหน้า ส่งผลให้อนาคตของนักเรียนเหล่านี้ตกอยู่ในความไม่แน่นอน

ขณะที่ องค์กรด้านการศึกษานานาชาติและมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เตือนนักเรียนต่างชาติให้หลีกเลี่ยงการเดินทางกลับถิ่นฐานในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เนื่องจากอาจไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการใหม่นี้อาจกระทบทางการเงินต่อมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่พึ่งพานักเรียนต่างชาติเป็นจำนวนมาก

โรงเรียนนายร้อยตำรวจครบรอบ 124 ปี เปิดเวทีประกาศเกียรติศักดิ์ดาวเงิน เชิดชูเกียรติศิษย์เก่าดีเด่น

โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จัดการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาสรรหาศิษย์เก่าดีเด่น เพื่อรับรางวัล 'เกียรติศักดิ์ดาวเงิน' วานนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกในวาระครบรอบ 124 ปี แห่งการก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รร.นรต.

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกศิษย์เก่าที่ได้รับการเสนอชื่อ 1 นายจากแต่ละรุ่น โดยมีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 28 นาย และมีผู้สละสิทธิ์ 5 นาย เหลือจำนวนผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกทั้งสิ้น 23 นาย การคัดเลือกมุ่งเน้นไปที่ผลงานที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม องค์กรตำรวจ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อยกย่องและเชิดชูศักดิ์ศรีของศิษย์เก่าผู้ทรงคุณค่า พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

สำหรับผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น ศิษย์เก่าที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่
1. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นรต.รุ่น 32 หมายเลข 9 ได้ 24 จาก 27 คะแนน
2. ศ.ร.ต.อ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นรต.รุ่น 25 หมายเลข 4 ได้ 23 จาก 27 คะแนน
3. พล.ต.อ.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ นรต.รุ่น 20 หมายเลข 2 ได้ 14 จาก 27 คะแนน
4. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา นรต.รุ่น 28 หมายเลข 6 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
5. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง นรต.รุ่น 41 หมายเลข 15 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
6. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย นรต.รุ่น 48 หมายเลข 18 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
7. พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว นรต.รุ่น 18 หมายเลข 1 ได้ 11 จาก 27 คะแนน
8. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นรต.รุ่น 30 หมายเลข 7 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
9. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง นรต.รุ่น 40 หมายเลข 14 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
10. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ นรต.รุ่น 45 หมายเลข 17 ได้ 10 จาก 27 คะแนน

ทั้งนี้ โรงเรียนนายร้อยตำรวจขอแสดงความยินดีและเชิดชูเกียรติแก่ศิษย์เก่าผู้ได้รับการเสนอชื่อทุกท่าน ที่เป็นแบบอย่างแห่งความสำเร็จและความมุ่งมั่นอันสูงสุด พร้อมย้ำเจตนารมณ์เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

สมุทรปราการ-กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังเสียงประชาชนแผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม Green Heart ชั้น 2 โรงแรมเดอะกรีนวิว ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โดยนายพิชากร ศรีจันทร์ทอง ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม สรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 2) โครงการศึกษา ออกแบบ วิเคราะห์ แผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ของกรมทางหลวง 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของการศึกษาและสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่มีต่อการศึกษาของโครงการจากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้พิจารณาประกอบการออกแบบรายละเอียด รวมทั้งการกำหนดมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ 

โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม โดยการประชุมในครั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาโครงการฯ ได้นำเสนอสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ 

โดยทางด้าน นายนิรันดร์ จันทร์ชม วิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ กรมทางหลวง เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ศึกษาโครงการตั้งอยู่บริเวณทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ประมาณกิโลเมตรที่ 25+900 ถึง กิโลเมตรที่ 30+800 ครอบคลุมพื้นที่ 4 ตำบล 2 อำเภอ 1 จังหวัด ได้แก่ บริเวณพื้นที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง ตำบลเปร็ง ตำบลบางบ่อ และตำบลระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 

ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาโครงการจะเป็นการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับรถเข้าทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยถนนโครงการจะออกแบบเป็นสะพานยกข้ามถนนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยได้มีการคัดเลือกตำแหน่งที่ตั้งทางแยกต่างระดับของโครงการ ซึ่งมีแนวทางเลือกทั้งหมด 3 แนวทาง ได้แก่ 
ตำแหน่งที่ 1 จุดตัดระหว่างถนนสายร่วมพัฒนา-ทล.34 บริเวณกิโลเมตรที่ 26+500 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างการก่อสร้าง และต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน อีกทั้งการขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 2 จุดตัดระหว่างถนน สป.2003 บริเวณกิโลเมตรที่ 27+900 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้ด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างก่อสร้าง ต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน การขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 3 จุดตัดระหว่างถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี บริเวณกิโลเมตรที่ 30+200 ในเขตตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีจุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับโครงข่ายถนนเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีระยะห่างจากด่านเก็บค่าผ่านทางลาดกระบังที่เหมาะสม ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบ และพื้นที่ก่อสร้างไม่ผ่านลำน้ำสำคัญ แต่มีจุดด้อยคือมีบ้านเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

โดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ตำแหน่งที่ 3 มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีแนวเส้นทางที่ชัดเจน สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับปริมาณจราจรได้ดีและเอื้อต่อการเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้างอย่างสะดวก ลดความยุ่งยากด้านการก่อสร้างและต้นทุนการขนส่งวัสดุ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต่ำ และให้ประโยชน์ต่อผู้ใช้ทางมากกว่าแนวทางอื่น ส่วนการคัดเลือกรูปแบบทางแยกต่างระดับของโครงการ มีแนวทางเลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 1 Double Trumpet มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันตกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 3 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันออกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง 

ทั้งนี้ แม้ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 และรูปแบบที่ 3 จะมีลักษณะทางกายภาพและจุดเด่น-จุดด้อยโดยรวมใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดด้านทิศทางการเดินทางบางจุดที่แตกต่างกัน 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางโดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีจุดเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด และยังมีความเหมาะสมด้านวิศวกรรม ทั้งในแง่ความสะดวกในการก่อสร้างและการบริหารจัดการด่านเก็บค่าผ่านทาง สำหรับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ สำรวจและเก็บตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีประเด็นที่ศึกษาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทรัพยากรสิ่งแวดลอมทางชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งจะนำไปศึกษาต่อในขั้นรายละเอียด (EIA) เพื่อเตรียมกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

ภายหลังการประชุมครั้งนี้ กรมทางหลวง จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาและรายละเอียดของโครงการให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะดำเนินการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลโครงการไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่โครงการได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมีกำหนดจัดการประชุมหารือมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กลุ่มย่อย ครั้งที่ 2) ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม - กันยายน 2568 และกำหนดจัดประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 3) ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาในทุกด้านให้ประชาชนได้รับทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยผู้สนใจสามารถติดตามความคืบหน้าและรายละเอียดของโครงการฯ ได้ที่ เว็บไซต์ www.m7-m9-interchange-ruamphathana-rd34.com หรือ Line Official : @515fcrum

‘ม.ฮาร์วาร์ด’ อาจถูกตัดงบ 100 ล้านดอลลาร์ หลังถูกกล่าวหาเลือกปฏิบัติ-ต่อต้านชาวยิว

(28 พ.ค. 68) รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมให้หน่วยงานรัฐทบทวนเงินทุนที่มอบให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยอาจยุติหรือโอนงบประมาณไปยังหน่วยงานอื่น หากพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดในการกดดันสถาบันการศึกษาชั้นนำแห่งนี้

สำนักงานบริหารบริการทั่วไป (GSA) เตรียมส่งจดหมายถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ระบุสัญญาที่ทำไว้กับฮาร์วาร์ด ซึ่งคาดว่ามีมากถึง 30 ฉบับ รวมมูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,650 ล้านบาท) ขณะที่ร่างจดหมายฉบับนี้กล่าวหาว่าฮาร์วาร์ดมีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติและต่อต้านชาวยิว

แม้รัฐบาลจะยังไม่ตัดงบทันที แต่จะเริ่มกระบวนการประเมินว่าเงินทุนใดจำเป็นต่อผลประโยชน์ของรัฐ โดย GSA จะเสนอให้ยกเลิกสัญญาที่ไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมโยกงบประมาณไปยังโครงการอื่น ด้านฮาร์วาร์ดยังไม่ออกแถลงการณ์ แต่เตือนว่าการวิจัยสำคัญ เช่น มะเร็งและโรคติดเชื้อ อาจหยุดชะงักหากขาดเงินสนับสนุน

ความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับฮาร์วาร์ดทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งจากการอายัดงบวิจัย 2.2 พันล้านดอลลาร์ และคำสั่งระงับสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งสร้างความโกลาหลให้กับนักเรียนหลายพันคน ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งชะลอการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวชั่วคราว

‘พิธา’ เตรียมเปิดตัว “The Almost Prime Minister” บันทึกการเมืองหลังชนะเลือกตั้งแต่ไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ

(28 พ.ค. 68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ถึงการเตรียมเปิดตัวหนังสือว่า...

“The Almost Prime Minister”
หนังสือเล่มนี้...ไม่มีชื่อภาษาไทยครับ
มันเป็น political memoir — บันทึกการเมืองของผมที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน
เรื่องเล่าของชัยชนะที่ถูกขวาง การเดินทางที่ไม่ถอย
และเรื่องราวของประเทศหนึ่ง ที่ประชาชนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ขณะเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะที่ฮาร์วาร์ด ยุโรป หรือเวทีโลกต่าง ๆ
ผมมักถูกถามด้วยความงุนงงว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับการเมืองไทยกันแน่?”
“คุณชนะเลือกตั้ง แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่บอสตัน?”
และเมื่อผมเล่าเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพื่อนต่างชาติและนักศึกษาหลายคนจึงตั้งชื่อเล่นให้ผมว่า

“The Almost Prime Minister”
หรือบางคนเรียกผมว่า “29.5”
เพราะผมคือคนที่ประชาชนเลือก
แต่ยังไปไม่ถึงเบอร์ 30
ติดอยู่กลางทาง — ระหว่างความหวังของประชาชน
กับกำแพงของรัฐพันลึก ที่ยังบล็อกฉันทามติของผู้คนไว้อย่างแน่นหนา
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวจาก "ยุบสภา ถึง ยุบพรรค"
วันที่ประชาชนตัดสินใจเปิดทางให้ความเปลี่ยนแปลง
ต่อเนื่องถึงชัยชนะในการเลือกตั้ง
และการเผชิญหน้ากับ “นิติสงคราม” และ "กลไกต่อต้านเสียงข้างมาก" ต่างๆนานาๆ สกัดกั้นเจตจำนงของผู้คน ก่อนจะนำไปสู่จุดจบของพรรคที่ประชาชนไว้วางใจ

นี่คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยบททดสอบของศรัทธา
บทพิสูจน์ของการยึดมั่นในหลักการ
และบทเรียนสำคัญของประชาธิปไตยไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน
แม้หนังสือเล่มนี้จะเล่าผ่านมุมมองส่วนตัว
แต่ผมขอยืนยันว่า มันห่างไกลจากการเป็นเรื่องของผมคนเดียว

เพราะนี่คือเรื่องราวของ “พวกเรา” ทุกคน
ของประชาชนกว่า 14 ล้านเสียงที่ร่วมกันจุดประกายความหวังครั้งประวัติศาสตร์
หวังที่จะเห็นประเทศไทยเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีกว่า
เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็นประเทศที่ทุกคนมีอนาคต
มีศักดิ์ศรี และมีโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน

ผมเข้าใจดีว่า การเดินทางครั้งนี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า
ผิดหวัง และเต็มไปด้วยคำถาม
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยสูญเสียไปเลย คือคำว่า “ความหวัง”
แม้การเมืองไทยจะยังซับซ้อน และหลายครั้งดูเหมือนไม่มีทางออก
แต่ทุกรอยยิ้ม ทุกกำลังใจ และทุกความเชื่อมั่นที่ประชาชนมอบให้
คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ผม — และพวกเราทุกคน —
ยังคง “ก้าวต่อไป” อย่างไม่ย่อท้อ

หนังสือเล่มนี้จึงไม่ใช่แค่บันทึกความทรงจำทางการเมือง
แต่มันคือหลักฐานของความพยายามที่เราร่วมกันสร้าง
คือภาพจำของช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์เกือบเปลี่ยนทิศ
และคือเครื่องเตือนใจว่า —
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ถ้าเรายังร่วมมือกัน
คำว่า “Almost” จะถูกขีดฆ่าทิ้งไป
และเราจะไปถึงเส้นชัย...ไปเปลี่ยนประเทศนี้ด้วยกัน
พบกัน 29.5 นี้ครับ

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงพัฒนายารักษามะเร็งสำเร็จ ภายใต้ชื่อ ‘HERDARA’ ผลิตโดยนักวิจัยไทย ผ่าน อย.

เมื่อวันที่ (26 พ.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงประกาศความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ 'ทราสทูซูแมบ' สำหรับรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งชนิดอื่น ๆ โดยไม่อาศัยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ นับเป็นนวัตกรรมยาชีววัตถุผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทยเป็นครั้งแรก

ยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ภายใต้ชื่อ 'HERDARA' ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงยารักษาได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง โดยเฉพาะในบริบทที่โรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในไทย ขณะที่ยานำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูง

ภายใต้พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงริเริ่มโครงการ 'ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ' มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านยา พัฒนาศักยภาพนักวิจัยไทย และวางรากฐานความมั่นคงทางยา ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

การวิจัยและผลิตยาดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายการยกระดับระบบสุขภาพไทย และส่งเสริมโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม สะท้อนพระปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ในการนำวิทยาศาสตร์มารับใช้ประชาชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

‘กรีนแลนด์’ เร่งเร้า ‘สหรัฐฯ’ รีบลงทุนเหมืองแร่ ชี้หากเมินเฉย พร้อมเชิญ ‘จีน’ เข้ามาแทน

(28 พ.ค. 68) รัฐมนตรีธุรกิจและทรัพยากรแร่ของกรีนแลนด์ นายนาอาย์ นาธาเนียลเซน (Naaja Nathanielsen) เรียกร้องให้สหรัฐฯ และยุโรปเร่งเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของกรีนแลนด์ หากยังเพิกเฉย อาจทำให้ประเทศจำเป็นต้องหันไปพึ่งจีนแทน แม้จะต้องการความร่วมมือกับชาติตะวันตกมากกว่า

กรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองภายใต้เดนมาร์ก มีแร่หายากจำนวนมากที่ชาติตะวันตกต้องการ โดยเฉพาะแร่ในรายชื่อแร่สำคัญของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกว่า 40 ชนิด แต่ที่ผ่านมากลับยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสหรัฐฯ แม้จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจสมัยรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งกำลังจะหมดอายุ

นาธาเนียลเซนวิจารณ์แนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการ “ซื้อกรีนแลนด์” ว่าเป็นเรื่องไม่ให้เกียรติ พร้อมชี้ว่าการมีส่วนร่วมของจีนในภาคเหมืองแร่ของกรีนแลนด์ในปัจจุบันยังมีน้อย แต่หากชาติตะวันตกยังลังเล ก็อาจเปิดทางให้จีนขยายอิทธิพล

ล่าสุด กรีนแลนด์ออกใบอนุญาตเหมืองแร่ภายใต้กฎหมายใหม่ครั้งแรก ให้กับกลุ่มทุนเดนมาร์ก-ฝรั่งเศส เพื่อสกัดแร่อนอร์โธไซต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟเบอร์กลาส คาดเริ่มก่อสร้างปีหน้า และเดินเครื่องได้ภายใน 5 ปี โดยรัฐบาลกรีนแลนด์ยังคงมองว่ายุโรปเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ร่วมกันระยะยาว

อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมฯ ม.มหาสารคาม โต้ ‘ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส’ ปมโจมตี ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เซลล์ รวบอำนาจ รมต.พลังงาน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ชี้ เป็นเรื่องปกติของกฎหมายลูกที่ต้องมีรายละเอียด การให้อำนาจสั่งการ เอื้อพวกพ้องตรงไหน

จากกรณีที่นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งปัจจุบันผันตัวเป็น CEO บริษัทโซลาร์ชั้นนำ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเพจ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas และแพลตฟอร์มเอ๊กซ์ (X) ส่วนตัว ถึงร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ.... โดยกระทรวงพลังงาน โดยมีเนื้อหาว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้สะท้อนเจตนารมณ์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน แต่กลับเป็นการขยายอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อย่างไม่สมเหตุสมผล จนเสี่ยงกลายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองและเครือข่ายธุรกิจใกล้ชิดรัฐบาล

ตามโพสต์ https://www.facebook.com/photo?fbid=1215836123326954&set=a.477905157120058

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน ผศ.ดร. พลกฤษณ์ จิตร์โต อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แสดงความคิดเห็นผ่านช่องคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าว โดยระบุว่า กำหนดที่ตั้งโซลาร์ได้ปกตินิ เขาให้ตั้งตามบ้านไง กำหนดวัสดุ ก็ต้องได้ให้ได้มาตรฐานไม่งั้นไฟไหม้ทำไง ให้อำนาจในการตรวจสอบรื้อถอนปกติไหม ถ้าไม่ให้อำนาจเวลามีปัญหา มันไม่มีคนสั่งการแล้วจะเอายังไง พ.ร.บ. นี้แค่ร่างให้เป็นผู้ดำเนินการ โคตรปกติกฎหมายลูก มันจึงมีรายละเอียดว่า กำหนดยังไง ค่อยโวยวายตรงนั้น ผมกลับมองเป็นเรื่องดี เอื้อพวกพ้องตรงไหน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top