Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

อัยการ 14 รัฐในสหรัฐรุมฟ้อง TikTok หวั่นอันตรายต่อเด็ก-เยาวชน ด้าน TikTok สวนอัยการเลือกฟ้องข้อหาหนัก แทนร่วมมือกันแก้ปัญหา

(9 ต.ค. 67) อัยการสูงสุดของ 14 รัฐในสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย รัฐนิวยอร์ก และ แคลิฟอร์เนียได้ยื่นฟ้องต่อศาลประจำรัฐเมื่อวันอังคาร (8 ต.ต. 67) กล่าวหา TikTok โซเชียลมีเดียชื่อดังสัญชาติจีน เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้งานกลุ่มเด็กและ เยาวชน รวมถึงละเมิดกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวผู้เยาว์ที่เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานเด็กโดยไม่ได้รับอนุญาต

นับเป็นอีกครั้งที่มีการใช้กฎหมายโจมตีโซเชียลมีเดียชื่อดัง ที่เกิดจากการผสานความร่วมมือจากทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่สหรัฐฯ ใน 14 รัฐ ด้วยข้อกล่าวหาว่า TikTok กระทำผิดกฎหมาย ด้วยคำเคลมที่ระบุว่าแพลทฟอร์มของตนมีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานเด็ก และ เยาวชน 

เลติเทีย เจมส์ อัยการสูงสุดของนิวยอร์ก หนึ่งในทีมอัยการรัฐที่ยื่นฟ้อง TikTok กล่าวว่า ในความเป็นจริงนั้น ห่างไกลจากสิ่งที่ทางผู้ให้บริการได้เคลมไว้มาก เนื่องจาก มีกรณีผู้ใช้ TikTok รุ่นเยาว์ ในสหรัฐฯ จำนวนมาก กำลังทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นผลจากการใช้งานโซเชียลมีเดียดังกล่าว 

คดีฟ้องร้องมุ่งเน้นไปที่ฟีเจอร์ที่ก่อให้เกิดอาการเสพติดโซเชียล รวมถึงการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง และการเล่นวิดีโอต่อเนื่องอัตโนมัติ กิจกรรมเกม "challenges" ในแพลทฟอร์มที่เป็นอันตราย และการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานที่อายุต่ำกว่า 13 ปีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ของรัฐบาลกลาง

ไบรอัน ชวาล์บ อัยการสูงสุดจากวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า เป้าหมายของการดำเนินคดีเพื่อต้องการให้ TikTok ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อสภาพจิตใจของเด็ก และวัยรุ่น ที่ถูกแรงกระตุ้นให้ใช้ TikTok ส่งผลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ และความผิดปกติของร่างกายอื่นๆ โดย อัยการ ชวาล์บ ยังกล่าวอีกว่า TikTok ทำให้เกิดอาการเสพติดโซเชียล ที่เรียกว่า “ดิจิทัลนิโคติน”  หากรัฐไม่เข้ามาควบคุม เด็กรุ่นใหม่ของสหรัฐฯ ก็จะตกเป็นเหยื่อ จนนำไปสู่สังคมที่เสื่อมทรามและอ่อนแอ 

ด้านโฆษกของ TikTok ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อกล่าวหาเหล่านี้ และมีหลายประเด็นที่ไม่ถูกต้อง และก่อให้เกิดความเข้าใจผิด"  

อีกทั้งย้ำว่า TikTok มีมาตรการดูแลการใช้งานของเด็ก และเยาวชนอย่างเข้มงวดมาตลอด และมีการลบบัญชีผู้ใช้งานที่ต้องสงสัยว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอยู่เสมอ และเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ที่สามารถจำกัดเวลาตั้งค่าหน้าจอเริ่มต้นได้ จับคู่ใช้งานกับคนในครอบครัวได้ หรือ ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี  

และตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมา ทีมงาน TikTok ก็ให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานอัยการอย่างดี แต่มาวันนี้รู้สึกผิดหวังที่ทางอัยการเลือกที่จะดำเนินคดีกับ TikTok แทนที่จะหาทางทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกแพลทฟอร์มอย่างสร้างสรรค์ 

ปัจจุบันมากกว่าครึ่งของเด็กวัยรุ่นสหรัฐ ที่มีอายุ 13-17 ปี เล่น TikTok แอปพลิเคชั่นที่มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านบัญชีทั่วโลก จากจุดเริ่มต้นของการให้บริการแชร์คลิปวิดีโอสั้น จนถึงปัจจุบันมีฟีเจอร์ให้บริการมากมาย ทั้งการไลฟ์สด ซื้อขายสินค้า ทำธุรกรรมผ่านโซเชียล เป็นช่องทางการพบปะไอดอล บริการส่งเหรียญ และ สติกเกอร์ของขวัญให้กับศิลปินคนโปรด และกิจกรรมชาเล้นจ์ชิงรางวัลมากมาย ที่สร้างรายได้ให้แก่แพลตฟอร์มแตะระดับหมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2023 ที่ผ่านมา 

แต่การขยายตัวของ TikTok ในตลาดสหรัฐอเมริกากลายเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการครอบงำจากรัฐบาลจีนผ่านแอปพลิเคชั่น TikTok 

จนกระทั่งเมื่อเดือน มีนาคม 2024 ที่ผ่านมาสภาคองเกรซได้ลงมติอย่างท่วมท้น บีบให้ ByteDance บริษัทแม่ผู้พัฒนา TikTok ในจีน ขายกิจการ TikTok ให้แก่ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 19 มกราคม 2025 มิฉะนั้นจะถูกแบนการใช้งานในสหรัฐฯ อย่างถาวร   

BOI อนุมัติ ‘คอนติเนนทอล ไทร์ส’ อัด! งบลงทุนเพิ่ม 1.3 หมื่นล้าน หนุนการใช้ยางในประเทศ! เพิ่มกำลังการผลิตยางรถยนต์ 3 ล้านเส้น

(9 ต.ค. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตยางล้อสำหรับรถยนต์และยานพาหนะอื่น ๆ (Radial Tires) ของบริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าลงทุนเพิ่มเติม 13,411 ล้านบาท โดยจะก่อสร้างอาคารโรงงานใหม่และส่วนต่อขยายของโรงงานเดิม ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จังหวัดระยอง เพื่อขยายกำลังการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะจากเดิม 4.8 ล้านเส้น เพิ่มอีกปีละ 3 ล้านเส้น รวมเป็นทั้งหมด 7.8 ล้านเส้นต่อปี และจะจ้างงานในพื้นที่เพิ่มเติมกว่า 600 คน เมื่อรวมกับการจ้างงานเดิม 900 คน จะเป็นทั้งหมดกว่า 1,500 คน โดยจะใช้วัตถุดิบหลักจากในประเทศทั้งสิ้น ได้แก่ ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ ปีละกว่า 1,700 ตัน

คอนติเนนทอลกรุ๊ป ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ได้ก่อตั้งมานานกว่า 150 ปี ในปี 2566 กลุ่มธุรกิจยางรถยนต์ของบริษัท สามารถสร้างรายได้กว่า 14,000 ล้านยูโร หรือกว่า 5 แสนล้านบาท มีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 20 แห่งใน 16 ประเทศทั่วโลก โดยได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลา 15 ปี และได้จัดตั้งโรงงานที่จังหวัดระยองเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในโรงงานขนาดใหญ่ในเครือคอนติเนนทัล และเป็นโรงงานที่สามารถบรรลุมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับสูงที่สุด โดยใช้เครื่องจักรสมัยใหม่ที่ประหยัดพลังงาน มีการใช้ระบบอัตโนมัติในการขนย้ายวัตถุดิบและสินค้า อีกทั้งได้ติดตั้งแผงโซลาร์ขนาด 6.7 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนถึงร้อยละ 13 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในโรงงาน

บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส ตัดสินใจขยายการลงทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโรงงานในจังหวัดระยองจะเป็นฐานการผลิตสำคัญ เพื่อจำหน่ายยางล้อให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และผู้ใช้งานทั่วไป ทั้งในกลุ่มรถยนต์นั่ง รถบรรทุกขนาดเล็ก รถจักรยานยนต์ รวมถึงกลุ่มยางรถยนต์เกรดพรีเมียม เช่น รุ่น MaxContact MC7 และยางสมรรถนะสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะมีความต้องการยางล้อสมรรถนะสูงและมีความทนทานเป็นพิเศษ เพื่อรองรับระบบส่งกำลังและอัตราเร่งที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปภายใน โดยราคายางรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่ายางรถยนต์ทั่วไปถึง 2 - 3 เท่า 

“การขยายลงทุนครั้งใหญ่ของคอนติเนนทอล ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตยางรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงระดับโลก ทั้งในเรื่องความปลอดภัย และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งตามกติกาใหม่ของโลก เช่น EUDR จะต้องตรวจสอบย้อนกลับไปถึงการทำสวนยางที่ไม่ทำลายป่า เพื่อก้าวสู่วิถีเกษตรยั่งยืน โดยไทยมีความพร้อมในเรื่องนี้ การขยายฐานผลิตยางรถยนต์ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบยางธรรมชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยแล้ว ยังจะช่วยเสริมซัพพลายเชนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

อุตสาหกรรมยางรถยนต์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกยางรถยนต์อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2567) มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนผลิตยางรถยนต์ จำนวน 41 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 112,000 ล้านบาท โดยมีผู้ผลิตระดับโลกที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว เช่น มิชลิน (ฝรั่งเศส), บริดจสโตน (ญี่ปุ่น), กู๊ดเยียร์ (สหรัฐอเมริกา), คอนติเนนทัล (เยอรมนี), ซูมิโตโม รับเบอร์ (ญี่ปุ่น), โยโกฮามา ไทร์ (ญี่ปุ่น), จงเช่อ รับเบอร์ (จีน), ปริงซ์ เฉิงซาน ไทร์ (จีน), หลิงหลง (จีน), เซนจูรี่ ไทร์ (จีน), แม็กซิส (ไต้หวัน) เป็นต้น 

‘ศาสตรา’ ให้อภัย ‘อดีตด้อมส้ม’ หลังรุดขอขมา เตือน!! อย่าหลงเป็นเหยื่อ ‘นักการเมือง’ ขยันปั้นข่าวเท็จ

(9 ต.ค. 67) นายศาสตรา ศรีปาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความว่า “น้องคนนี้ เคยเป็นด้อม“ สารภาพที่เคยด่าผมเสียหาย เพราะไม่รู้จัก วันนี้กลับใจแล้ว  

นายศาสตรา ระบุว่า ก่อนหน้านี้ น้องคนดังกล่าว ได้โพสต์ข้อความ หมิ่นประมาท ทำให้เสียหาย และได้ให้การตักเตือนไปทางข้อความ ด้วยความเป็นห่วงเพราะดูแล้วยังเป็นวัยรุ่นเยาวชน  

“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 1ปี น้องคนนี้จึงได้ติดตามผม จากการทำงานในช่องทางต่างๆ ตัดสินใจเดินทางมาหาที่บ้าน เพื่อ ขอขมา สารภาพว่า เป็นแฟนตัวยงไปแล้ว พร้อมสัญญาจะไม่ทำอีกจะคิดรอบคอบกว่านี้ ผมจึงได้บอกน้องไปว่า อย่าให้ใครโพสต์ปั่น จูงจมูกเรา อย่าเชื่อไปทุกเรื่อง เพราะนักการเมืองบางพรรคเก่ง social ถนัดสร้างข่าวปลอม จนวันนี้เยาวชนไทยเข้าใจผิด สร้างความเกลียดชังในสังคม บานปลาย ไปไกลหลายเรื่องแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง”

นายศาสตรา ย้ำว่า ที่สำคัญอย่าสร้างนิสัยให้ตัวเองเป็น “เกรียนคีย์บอร์ด” ของแท้อย่าเก่งแค่หลังจอ มีอะไรถามกันได้ตรง ๆ เพราะตนเอง ก็มาจากประชาชน ประชาชนตากแดด ไปเลือกมาเป็นตัวแทนของเขา ดังนั้น จึงต้องทำงานอย่างหนักให้คุ้มค่ากับคนที่เลือกมา ส่วนจะถูกใจ หรือไม่ถูกใจใครนั้น ตนเองก็พร้อมน้อมรับมาพัฒนาและปรับปรุง 

“ตัวผมเองประชาชนก็ต้องวิจารณ์ได้ โดนตำหนิได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย สิ่งที่ต้องระวังที่สุด คือ การหมิ่นประมาท อะไรของจริง อันไหนของปลอม นักการเมืองมีทั้งคนดี คนเลว เหมือนกับทุกอาชีพ ให้ดูเป็นรายบุคคล ข้อนี้สำคัญ” นายศาสตรา กล่าว พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า

ลูกผู้ชาย กล้าทำ - กล้ารับ 

เมื่อเห็นน้องเขาเข้าใจดีแล้ว ตนจึงให้อภัยและอยากให้เคสนี้เป็นตัวอย่างกับน้อง ๆ เยาวชน คนรุ่นใหม่ การเข้ามาศึกษาการบ้าน หาข้อมูลทางการเมือง เป็นสิ่งที่สมควรที่เราต้องทำเป็นอย่างยิ่ง แต่จำไว้ให้ดีจะต้องหาข้อมูลให้รอบด้าน และก่อนตัดสินอะไรต้องมีใจที่เป็นธรรม 

และหวังว่าเยาวชนคนไทย กำลังหลักของชาติ เมื่อเขาไปศึกษาเพิ่มได้ข้อมูลใหม่ๆ จนเขากลับใจ เมื่อสำนึกสิ่งที่ทำ แล้วสัญญาจะเก็บไว้เป็นบทเรียน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราต้องช่วยกันคืน ลูกหลาน ของเราที่น่ารัก สู่สังคมไทย ด้วยข้อมูลที่เป็นจริง 

ก่อนกลับผมจึงมอบหนังสือชื่อว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ความจริงที่ถูกบิดเบือน ไปให้น้องท่านนี้อ่าน หนังสือเล่มเขียนโดย ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เพื่อเป็นข้อมูลจริงให้เยาวชน คนหนุ่มสาว ของประเทศไทยต่อไป 

‘เจือ ราชสีห์’ ยื่นหนังสือ ‘กมธ. คมนาคม วุฒิสภา’ หนุนสร้างสะพานข้ามทะเลสาบ เชื่อมสงขลา – สิงหนคร

9 (ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงาน เข้ายื่นหนังสือ ต่อนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ประธานกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา เรื่องขอความอนุเคราะห์สนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อเชื่อมอำเภอสงขลากับอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา

โดยระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาและนักท่องเที่ยว ประสบกับปัญหาและความเดือดร้อน ในการข้ามฟากไป มา ระหว่างอำเภอเมืองสงขลา ไปยังอำเภอสิงหนคร ด้วยแพขนานยนต์

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา ลักษณะทางภูมิศาสตร์จังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นเมืองที่สำคัญประกอบไปด้วย สถานศึกษา ศูนย์ราชการ และศูนย์การค้าทางเศรษฐกิจมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ แต่ไม่สามารถเดิน ทางเข้าออก ไปยังตัวเมืองสงขลาได้อย่างสะดวก เพราะเส้นทางการเดินทางมีเพียงแค่ 2 ทาง คือ เดินทางผ่าน สะพานติณสูลานนท์ มีระยะทาง 20 กิโลเมตร และการเดินทางโดยการใช้แพขนานยนต์ จากฝั่งหัวเขาแดง ไปอำเภอสิงหนคร ไปยัง อำเภอเมืองสงขลา ซึ่งปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ใช้วิธีการเดินทางด้วยแพขนานยนต์ เพื่อข้ามทะเลสาบ เนื่องจากมีระยะทางที่ใกล้กว่า สามารถลดระยะเวลาการเดินทางได้ จึงทำให้มีผู้ใช้บริการแพขนานยนต์เป็นจำนวนมากที่ต้องมารอต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนช่วงเวลาเช้าและช่วงเวลาเย็น 

ดังนั้น จึงส่งผลให้เกิดปัญหา – อุปสรรคในการเดินทางของพี่น้อง ประชาชนเป็นอย่างมาก พี่น้องประชาชนชาวสงขลาและนักท่องเที่ยวจึงมีความต้องการให้ดำเนินการก่อสร้าง สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อเชื่อมอำเภอเมืองสงขลากับอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถช่วยให้พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางสัญจรไป-มา ประหยัดเวลา ระยะทาง และลดค่าใช้จ่ายประจำวันได้ ตลอดถึงสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลาได้เป็นอย่างมาก

นายเจือ กล่าวระบุเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้นำส่งเรื่องมายังประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา นำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการ พร้อมกับเชิญตนเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท, อธิบดีกรมทางหลวง, อธิบดีกรมเจ้าท่า, ผู้ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร, ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา, นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา, โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา, นายกเทศมนตรีนครสงขลา และ นายกเทศมนตรีเมืองสิงหนคร เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

ทางด้านนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กล่าวว่า หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชนหรือส่วนรวม ทางคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ยินดีรับเรื่องไว้ และจะพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งอาจจะมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือ จากนั้นจะรายงานให้ทราบต่อไป

ดราม่าปางช้างไม่ยอมจบ!! ป้าแสงเดือนฟาด ทิ้งช้างให้ดูแล ‘หนูนา กัญจนา’สวมใจสิงห์ สวนกลับจะเร่งไปรับหาที่อื่นดูแล

(9 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงช้างที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ดูท่าจะไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อ นางแสงเดือน ชัยเลิศ ผู้อำนวยการศูนย์บริบาลช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และประธานมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

“มีช้างตัวผู้สองเชือก ชื่อพลายขุนเดชและพลายดอกแก้วที่คุณหนูนาเอามาฝากทางเราเลี้ยงไว้หลายปีถ้าคุณหนูนาสงสารและเป็นห่วงเขาจริงๆขอช่วยมาย้ายพวกเขาไปอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมโดยด่วนค่ะ”

ก่อนที่ในเวลาต่อมานางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ที่ปรึกษา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า 

“ว่าด้วยช้าง 2 เชือกที่เกี่ยวพันกับดิฉัน..ที่อยู่ที่ปางคุณเล็ก..
เชือกแรก..ขุนเดช.. น้องเป็นช้างป่า..ที่ถูกบ่วงแร้วนายพรานรัดข้อจนเป็นแผลใหญ่บวม… ทำให้เดินไม่ปกติ..
ดิฉันไปเจอน้องเมื่อปี 2557 ที่ส่วนสัตว์ป่า ม. เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน .. น้องถูกเลี้ยงอยู่เชือกเดียวน่าสงสารมาก…

ช่วงนั้นเป็นปีแรกที่ดิฉันได้รู้จักคุณเล็ก และชื่นชมคุณเล็กมาก ..
ดิฉันวิ่งเต้นทำเรื่องขออธิบดีอุทยานพาขุนเดชไปอยู่ที่ปางคุณเล็ก .. จนสำเร็จ..
ตอนที่แรกเจอขุนเดช อายุประมาณ 4 ขวบตอนนี้น้องก็คง 14 แล้ว …

เชือกที่ 2 .. ดอกแก้ว..
ดิฉันเจอดอกแก้วที่โรงพยาบาลช้างคชบาล ลำปาง ..
น้องมากับแม่ แม่น้องป่วยหนักคือเหมือนมดลูกหลุดจากช่องคลอดมาครึ่งหนึ่ง ถ้าดิฉันจำไม่ผิด…

ดอกแก้วตอนนั้นอายุสองเดือนคลอเคลียอยู่กับแม่ตลอด..
ดิฉันพูดกับแม่โม่ดิพอ แม่ของดอกแก้วว่าอยู่กับลูกนะอย่าทิ้งลูกไป…
พอดีฉันกลับจากลำปางได้สามวันหมอก็โทรมาแจ้งว่าแม่ล้มแล้ว..
ดิฉันสงสารดอกแก้วมากกลัวเจ้าของจะเอาไปขายที่ไม่เหมาะสมจึงขอซื้อมาตอนนั้นราคา 850,000 (ถ้าตอนนี้คงเป็นล้าน)..

ช่วงปีแรกทางคชบาลเลี้ยงน้อง.. หาแม่รับคือแม่สิงขรให้..
แต่ภายหลังมีข่าวว่าแม่สิงขรอาจจะท้องและคงไม่เหมาะจะเลี้ยงลูกรับ…
ดิฉันจึงประสานขอคุณเล็กรับดอกแก้วไปเลี้ยงให้ด้วย… ซึ่งเธอก็ยินดี…

ดิฉันต้องขอบคุณคุณเล็กมากที่ตลอดเวลาได้เลี้ยงดูขุนเดชและดอกแก้วให้…
แต่ดิฉันก็ไม่ได้ไปฝากเฉยๆ ..
ในช่วงปีแรกที่ดิฉันไปหาคุณเล็กบ่อยๆนั้น ดิฉันได้สนับสนุนคุณเล็กอย่างที่ในชีวิต แม้จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยให้ใครเท่านี้มาก่อนเพราะรักคุณเล็กมาก…

ดิฉันต้องขอบคุณเล็กอีกครั้ง สำหรับการดูแลขุนเดชและดอกแก้ว
คุณเล็กให้ไปรับโดยเร็ว..
ดิฉันกำลังจะไปรับทั้งคู่มานะคะ

ต้องเข้าใจด้วยนะคะว่าทุกอย่างที่ดิฉันทำเพื่อช้าง ไม่มีธุรกิจใดเกี่ยวกับช้าง ไม่ได้มีหน้าที่ใดๆ ไม่เคยได้เงินจากช้างเลยค่ะ …
เกิดแต่รักล้วนๆ…”

รัฐบาลอินโดนีเซียสวมใจสิงห์!! สั่งแบน Temu หวั่น!! สร้างความเสียหายจากการ 'ทุ่มตลาด'

(9 ต.ค. 67) หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า รัฐบาลอินโดนีเซียได้สั่ง “แบน” แอปพลิเคชัน "เทมู" (Temu) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน เพื่อปกป้องธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศจากการถูกทำลาย และเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าราคาถูกท่วมตลาด

Temu ถือเป็นบริษัทในเครือของ PDD Holdings เชื่อมต่อโรงงานในจีนกับผู้บริโภคในกว่า 50 ประเทศ เช่น มาเลเซีย ไทย และสหรัฐโดยตรง
สำหรับเหตุผลของการแบน ทางการอินโดนีเซียระบุว่าโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์ม Temu ทำให้ผู้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในประเทศอย่าง “ผู้ค้าส่ง” และ “ผู้ขนส่ง” ถูกตัดออกไป จนทำให้บริษัทต่างชาติสามารถรักษาราคาสินค้าให้ต่ำได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ค้ารายย่อยในอินโดนีเซีย

“ถ้า Temu เข้ามาสร้างความเสียหาย จะมีประโยชน์อะไร? เราจะแบน โดยธุรกิจขนาดย่อมและกลางของเราจะพังทลายได้ หากปล่อยให้ Temu ดำเนินไปโดยไม่มีการควบคุม” บุดดิ อารี เซเทียดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของอินโดฯ กล่าว

ด้านนานดี เฮอร์เดียมาน ประธานสมาคมผู้ประกอบการท้องถิ่น IPKB มองว่า “Temu จะทำลายอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากในอินโดนีเซีย จากการนำเข้าขนาดใหญ่และการทุ่มตลาด”

นานดีกล่าวต่อว่า “อุตสาหกรรมสิ่งทอได้บูรณาการจากธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ และระบบนิเวศนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายโดยการเข้ามาของสินค้าราคาถูกอย่างไม่ควบคุมในตลาด ความเสี่ยงของการนำเข้าที่ผิดกฎหมาย และสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ”

“อุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซียมีงานให้หลายล้านคน หากแพลตฟอร์ม Temu ครองอุตสาหกรรมสำเร็จ อุตสาหกรรมนี้จะมีความเสี่ยงที่จะประสบกับการลดลงของผลิตภาพและการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน” นานดีอธิบาย

นานดียังแนะนำให้รัฐบาลจับตาดูธุรกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่นำเข้าเป็นไปตามกฎระเบียบท้องถิ่น อีกทั้งรัฐบาลควรช่วยอุตสาหกรรมท้องถิ่น เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจโดยการให้แรงจูงใจ ลงทุนในเทคโนโลยี และผลักดันการใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทวิจัย Momentum Works ระบุว่า อินโดนีเซียมีมูลค่าธุรกรรมอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 52,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา

‘มนพร เจริญศรี’ เผย พิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดินท่าเรือคลองเตย ขณะนี้ไม่มีแผนผุด ‘Entertainment Complex’ กลางนคร

(9 ต.ค. 67) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าหลังจากที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแล้วนั้น ขณะนี้ นายสุริยะอยู่ระหว่าง จัดสรรกำหนดการประชุมครั้งแรกให้ได้ภายในเดือน ต.ค. 2567 นี้

ทั้งนี้ เบื้องต้น คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือคลองเตยฯ ได้เตรียมจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารพื้นที่, ด้านการใช้ประโยชน์พื้นที่, ด้านการดูแลชุมชน  เพื่อทำหน้าที่ดูรายละเอียดในแต่ละเรื่อง นำมาประกอบการพิจารณา

นางมนพรกล่าวว่า ประเด็นสำคัญในตอนนี้คือ ในพื้นที่ของท่าเรือคลองเตย ทางกรมศุลกากรได้นำไม้พะยูงที่ตรวจยึดจากคดีความต่างๆ มาขอใช้พื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมเห็นว่า ทางกรมศุลกากรควรขนย้ายออกไปใช้พื้นที่อื่น เนื่องจาก กทท.และกระทรวงเห็นว่า ควรนำพื้นที่ดังกล่าวมาทำประโยชน์ด้านอื่น

ผู้สื่อข่าวถามว่าในการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือคลองเตย มีเอกชนรายใดสนใจที่จะเข้ามาลงทุนการทำสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หรือไม่ นางมนพรกล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่มีแผนที่จะทำสถานบันเทิงครบวงจรในขณะนี้ ท่าเรือคลองเตยมีแผนพัฒนาให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Port) เท่านั้น ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดรวม 2,300 ไร่ แต่ยอมรับว่า ในพื้นที่นี้มีแผนจะจัดสรรบางส่วนพัฒนาเชิงพาณิชย์ เป็นโครงการแบบ Mixed Use  ซึ่งก็มีกลุ่มเอกชนที่สนใจ เช่น  กลุ่มธุรกิจเครือเซ็นทรัล ซึ่งทางเซ็นทรัลเคยทำผลการศึกษาพื้นที่นี้มาก่อน

ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่ชุมชนคลองเตย นางมนพรกล่าวว่า กระทรวงคมนาคมไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการจัดสรรที่อยู่อาศัยให้คนกลุ่มนี้   ในเบื้องต้นจะไม่เข้าไปยุ่งโดยตรง แต่ในแผนพัฒนาพื้นที่ท่าเรือคลองเตย ก็มีแผนที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยให้อยู่แล้ว  โดยสั่งการนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดูต้นแบบการพัฒนาแฟลตดินแดงใหม่ของการเคหะแห่งชาติ ว่าแนวคิดมีกระบวนการอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นที่จะหารือในการประชุมครั้งแรกนี้ด้วย

สำหรับพื้นที่คลังเก็บน้ำมันของ บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย, บมจ.ปตท. และบมจ.บางจากคอร์ปอเรชั่น นั้น นางมนพรกล่าวว่า การย้ายคลังน้ำมันออกจากพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องดูก่อนว่าระยะเวลาเช่าพื้นที่เหลืออีกเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ได้ให้กทท.เร่งงานถมทะเล เพื่อก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ด้วย เพราะกรณีที่จำเป็นต้องย้ายคลังน้ำมันออกจากท่าเรือคลองเตย ก็น่าจะไปที่แหลมฉบัง ซึ่งต้องมีการพิจารณาแผน ว่าจะจัดเตรียมพื้นที่รองรับอย่างไร และรัฐบาลต้องสนับสนุนอะไรหรือไม่

เปิดใจครั้งแรก บอสพอล The iCon หลังกระแสดราม่าถาโถมหนัก

(9 ต.ค. 67) นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ อาณาจักรธุรกิจออนไลน์ ดิไอคอนกรุ๊ป (The iCon Group) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

สวัสดีทุกท่านครับ
ผมขอเรียนชี้แจง
ผ่านทางช่องทางนี้นะครับ

ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ
ขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน
ภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป
มาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว

ผมเชื่อมั่นว่า…
ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส
มาโดยตลอด

แต่จากเหตุการณ์
ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ณ ขณะนี้
ผมติดตามข้อมูลต่อเนื่องมา
และรู้สึกเสียใจอย่างมาก
ที่เกิดเหตุว่า…
มีผู้เสียหายเกิดขึ้น
เนื่องจากการทำธุรกิจ
กับบริษัทของผม

ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล
ปรากฏมีหลายเคส
ตามที่เกิดดราม่า
ที่ออกมา ต่อว่า ด่าทอบริษัท
กลับไม่ได้เป็น ตัวแทนจำหน่ายของผม
แบบที่เค้ากล่าวอ้างเลย
และมีอีกหลายเคส
ที่ ขายของ กับบริษัทผม
แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก
แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอ
ในโลกโซเชียลเช่นเดียวกัน

ผมยอมรับตรงๆว่าผม
งง และ สับสนมากครับ
พยามตั้งสติ 
พยามติดตาม ดูข้อมูล
ว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง 
อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง 
ใส่ความ ปลุกปั่น
บ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ 
โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่า
ทำธุรกิจกับบริษัทของผม
แล้วฆ่าตัวตาย
อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด
ที่ผมเองไม่เคย ได้รู้มาก่อนเลยครับ

และยังคงสงสัยอยู่ว่า
ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
แล้วทำไม ?
ถึงไม่มีใครในองค์กร
รู้มาก่อนบ้างเลย

อย่างไรก็ตาม
ถ้าเป็นเรื่องจริง
ผมคงรู้สึกเสียใจมาก
และอยากที่จะ ช่วยเหลือ เยียวยา
ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย อย่างเต็มที่ครับ
ขอเพียง ท่านติดต่อกลับมา ที่บริษัท
แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า
ผมไม่เคยทราบข้อมูลมาก่อนจริงๆ

ส่วนที่ถามว่าทำไม
ผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร
ผมขอตอบตรงๆว่า
เมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว
ผมคิดว่า…
ไม่ว่าจะตอบ อะไร ออกมา
ในช่วงที่กระแสสังคม
เปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว
จากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้
ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์
ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น

ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียม
ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง 
รวมทั้งหลักฐานต่างๆ
ที่จะชี้แจงให้ทราบ
ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฎหมาย
ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ
เพราะผมเชื่อว่า…
เราต่างเป็นสุจริตชน
ที่อยู่ภายใต้ “กฎหมาย”
ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” 
หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน
ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัว 
”มอบตัวกับตำรวจ“
ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ
ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้
ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ!!!
และพร้อม นำข้อเท็จจริง
และหลักฐานทั้งหมด
เข้าชี้แจงผ่าน “กระบวนการยุติธรรม”
ทุกท่านอดใจรอหน่อยนะครับ 
เดี๋ยวความจริงก็จะเปิดเผยออกมา
ให้ทุกท่านทราบ…
ถ้าผมทำผิด ตามที่ถูกกล่าวหา
ผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฎหมาย
อย่างถึงที่สุด แน่นอนครับ
เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ 
ประณาม เหยียบย่ำ
ผมได้เลยครับ 
เชื่อว่า… ไม่ช้าเกินไป
แต่วันนี้ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ครับ
และผมเชื่อ ในความบริสุทธิ์ ของผม
ผมส่องกระจกดูตัวเองแล้ว
ผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้
“อย่างเต็มตา”
ในขณะเดียวกัน
ผมก็สลดใจ ที่ตัวเอง และ องค์กร
ต้องมาถูกเหยียบย่ำ ทำลาย ต่างๆ นาๆ
ในขณะที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน
จากกระบวนการยุติธรรม
ที่พวกเรา เชื่อมั่น เชื่อถือ
ผมอยาก ขอร้อง วิงวอนให้ทุกท่าน 
โปรดให้โอกาสผมและองค์กร
ได้พิสูจน์ตัวเอง
ผ่านกระบวนการยุติธรรม
ก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน นะครับ
ขอบคุณครับ

‘คลองแมพ’ แอพดี ๆ จากสำนักระบายน้ำ เช็กปริมาณน้ำในคลองใกล้บ้านแบบเรียลไทม์

(9 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘สำนักระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร’ ได้พัฒนาระบบ ‘แผนผังบริหารจัดการน้ำ กรุงเทพมหานคร’ ภายใต้ชื่อ KlongMap หรือ คลองแมพ โดยระบบดังกล่าวสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการน้ำ โดยข้อมูลจะแสดงเป็นแถบสี ถ้าสีเขียวคือปกติ สีเหลืองคือระดับเฝ้าระวัง และสีแดงคือระดับวิกฤต

ทั้งนี้ข้อมูลที่นำมาประมวลผลจะนำมาจากอัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา, ระดับน้ำในคลอง แม่น้ำ ที่ประตูกั้นน้ำ, ค่าระดับความเค็มของน้ำ และคาดการณ์เวลาและระดับของน้ำขึ้น-น้ำลงสูงสุดในแต่ละวัน

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปตรวจระดับน้ำใกล้บ้านท่านได้ที่ http://weather.bangkok.go.th/KlongMap?fbclid=IwY2xjawFzM8FleHRuA2FlbQIxMAABHQeQxtZrPROuRLviN8aeNYZ_6rWpg2DMskrjeeGxnuKn60NAVeBEt7yksg_aem_FeR2xYlmAozwiAl4VdV8JA

นอกจากนี้สำนักระบายน้ำ กรุงเทพมหานครยังมีอีกหลายระบบ เช่น เรดาห์ตรวจอากาศ และระบบตรวจวัดน้ำบนถนน

กมธ.ทหารฯ วุฒิสภา เตรียมลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงกรณี 'พลทหาร ศิริวัฒน์ ใจดี' เสียชีวิตระหว่างการฝึก เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

เมื่อวานนี้ (9 ต.ค.67) เวลา 10.30 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา (สส.) คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย นางสาววิธาวีร์ ประทุมสวัสดิ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ แถลงข่าวเรื่อง กรณีเหตุการณ์เสียชีวิตระหว่างการฝึกของพลทหารประจำการในเหล่าทัพว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้ปรึกษาหารือเร่งด่วนกรณีพลทหาร ศิริวัฒน์ ใจดี ซึ่งอยู่ระหว่างการฝึกเสียชีวิต โดยมีความเห็นเดียวกันควรเร่งดำเนินการสร้างความชัดเจนและเยียวยาบรรเทาอย่างเหมาะสม รวมถึงต้องมีการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบกำลังพลทางทหารให้สอดคล้องกับภารกิจความมั่นคงในปัจจุบัน ซึ่ง พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้มีความห่วงใยและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการฝึกเหล่าทัพ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจำเป็นต้องเร่งดูแลและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน

ดังนั้น ประธานคณะกรรมาธิการฯ จึงได้มอบหมายให้นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อให้กำลังใจและเยี่ยมเยียนครอบครัวพลทหารที่เสียชีวิต พร้อมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเบื้องต้นรายงานต่อคณะกรรมาธิการเพื่อจะได้ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรม อีกทั้ง มอบหมายให้ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม และนาวาตรี วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ลงพื้นที่รับฟังข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ณ กรมสารวัตรทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ เพื่อรับทราบข้อมูลที่สำคัญก่อนนำเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการกิจการทหาร ทหารผ่านศึก และสรรพกำลังความมั่นคงเพื่อการช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาประเทศให้ไปพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบกำลังพลทางทหารให้สอดคล้องกับภัยคุกคามเป็นกองทัพที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพต่อภารกิจความมั่นคงในปัจจุบันและในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top