Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

‘ขนส่งทางบก’ ปูพรมตรวจสอบสภาพรถติดตั้งก๊าซทั่วไทย ขีดเส้น 30 พ.ย. 67 ทุกคันต้องผ่านการตรวจสภาพ

(8 ต.ค. 67)รายงานข่าวจากกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เดินหน้ามาตรการด้านความปลอดภัยสูงสุดสำหรับรถโดยสารที่ติดตั้งก๊าซ CNG และ LPG โดยออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสภาพรถตามเงื่อนไขในใบอนุญาตประกอบการขนส่งสำหรับรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด หรือก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง พ.ศ.2567 เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการรถโดยสารที่ใช้ก๊าซ CNG และ LPG ทั่วประเทศ ต้องนำรถเข้ามาตรวจสภาพรถ ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1-5 สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดสาขา

โดยมาตรฐานการตรวจสภาพรถต้องตรวจผ่านตาม Check list อาทิ เครื่องอุปกรณ์ และส่วนควบต้องมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่ชำรุด เช่น ถังก๊าซต้องไม่บุบ บวม ผุกร่อน เหล็กรัดถัง และสกรูยึดขาถังต้องยึดอย่างมั่นคงแข็งแรง ตัวถังก๊าซต้องไม่หมดอายุตามวันที่ผู้ผลิตกำหนด หมายเลขถังก๊าซและจำนวนถังก๊าซต้องตรงกับที่ปรากฏอยู่ในระบบงานตรวจสภาพรถของกรมฯ

รวมถึงตรวจสอบอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ประตูฉุกเฉิน ทางออกฉุกเฉิน ประตูทางขึ้น - ลง เข็มขัดนิรภัย ค้อนทุบกระจก เครื่องดับเพลิง ต้องมีขนาด จำนวน และการติดตั้งถูกต้องระเบียบ พร้อมใช้งาน หากรถโดยสารที่เข้ามาตรวจสภาพรถแล้วไม่ผ่านการตรวจสภาพ เช่น ถังก๊าซหมดอายุ จำนวนถังไม่ตรงกับที่ปรากฏอยู่ในระบบงานตรวจสภาพของกรมฯ เครื่องอุปกรณ์ และส่วนควบชำรุด ตรวจพบการรั่วไหลของก๊าซ และตรวจพบน้ำหนักเกิน กรมฯ จะพ่นข้อความห้ามใช้จนกว่าจะนำรถไปแก้ไขก่อน และนำมาตรวจสภาพให้ถูกต้องอีกครั้ง จึงจะสามารถนำรถกลับมาใช้ใหม่ได้

ทั้งนี้ กรมฯ กำชับให้ผู้ประกอบการต้องนำรถโดยสารเข้ามาตรวจสภาพรถให้แล้วเสร็จ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 พ.ย.67 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรายใดมีความพร้อมสามารถนัดหมายการตรวจสภาพล่วงหน้าได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1-5 สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดสาขา เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัด และเพื่อความสะดวก รวดเร็ว กรณีนัดหมายมาตรวจสภาพรถ ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5 รถโดยสารสามารถจอดรอคิวเพื่อเรียกเข้าตรวจสภาพ ณ สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากการรถไฟแห่งประเทศไทยในการอำนวยความสะดวกเพื่อจัดหาพื้นที่จอดรถดังกล่าว

สำหรับการตรวจสภาพรถโดยสารในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องด้วยมีปริมาณรถมากกรมการขนส่งทางบกได้จัดทำแผนบริหารจัดการรถที่เข้าตรวจสภาพเพื่อบรรเทาการจราจรไม่ให้ติดขัด ดังนี้

1.รถโดยสารไม่ประจำทางขนาดใหญ่ (CNG) + รถตู้/รถมินิบัส ไม่ประจำทาง และประจำทาง (CNG) เฉพาะใน กทม. ให้ตรวจสภาพรถให้แล้วเสร็จภายใน 31 ต.ค.2567

2.รถโดยสารประจำทางขนาดใหญ่ (รถบัส CNG) ให้ตรวจสภาพรถให้แล้วเสร็จภายใน 30 พ.ย. 2567

3.รถที่ติดตั้ง (LPG)  ให้ตรวจสภาพรถให้แล้วเสร็จภายใน 30 พ.ย.2567

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกประสานไปยังกระทรวงศึกษาธิการในกรณีที่โรงเรียนจะมีการจัดทัศนศึกษา และเดินทางด้วยรถโดยสาร ขอความร่วมมืองดเว้นการใช้รถโดยสารในกลุ่มดังกล่าวในการเดินทางจนกว่ามาตรการตรวจรถโดยสารนี้จะแล้วเสร็จ เพื่อความปลอดภัยรวมถึงจะบูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สถานศึกษาทั่วประเทศ ในกรณีมีความจำเป็นต้องใช้รถเช่าเหมาหรือรถโดยสารไม่ประจำทาง (30) นำนักเรียนไปทัศนศึกษาหรือเดินทางนอกพื้นที่ ขอให้สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบความพร้อมของรถ และซักซ้อมมาตรการความปลอดภัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง

‘กบ ไมโคร’ แฉเดือด ‘ธุรกิจเครือข่ายดัง’ ยอมรับ!! โง่ - ไม่ทันเกม ทำสูญเงินนับล้าน

(9 ต.ค. 67) กบ ไมโคร เดือดปม ธุรกิจเครือข่ายดัง แทบเจ๊งสูญนับล้าน ลั่นรู้อยู่แก่ใจ ชี้อันตรายมากกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักร้องรุ่นใหญ่ออกมาโพสต์ระบุข้อความว่า ดูเหมือนจะมีคนบาดเจ็บรวมกันในนี้ไม่น้อย เกาะกลุ่มแอดเพื่อนเอาไว้นะครับ เผื่อกระจัดกระจายแล้วจะรวมตัวกันยาก

ผมอยากบอกว่า “ผมโง่เอง ไม่ทันเกมเอง” ไม่เคยค้าขายเลยไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจ กว่าจะต่อภาพจบก็ทำไปปีครึ่ง ผมเข้าไปช่วงพีเรียดสุดท้ายก่อนหมดโควิด (ในช่วงที่หางานที่สองทำ) ผมไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์หรือรับค่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น

ผมกับภรรยาเปิดบิลไป 7 ดีลเลอร์ (คูณสองแสนกว่า) กับลงขันยิงแอดด้วยประมาณล้านนึง สุดท้ายเลิกทำเพราะได้คุยกับ ผู้สูงวัยหลาย ๆ คนที่เอาเงินก้อนสุดท้ายมาลง เอาบ้านรถที่ดินไปเปลี่ยนเป็นเงินมาลง จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว มีมากมายที่เครียดจนสโตรค สามีขอเลิก ลูกไม่คุยด้วย ครอบครัวแตกแยก ผมทำใจไปต่อไม่ได้จริงๆ (คนพวกนี้รอส่งเสียงให้สังคมได้ยินอยู่นะครับ)

ถึงตรงนี้บอกเลยว่าไม่มีใครเอาผิดเขาได้หรอก ผมเองก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เพราะเขาสร้างเงื่อนไขไว้รัดกุมมาก เลยได้แต่บอกว่า “เขาไม่ผิดหรอก-ผมมันโง่เอง” หากวันนั้นรู้ว่าเปิดบิลสองแสนห้า แล้วพูดมาตรงๆ ว่าเตรียมค่าลงขันยิงแอดอีกห้าแสน คงไม่มีใครเปิดแน่ แต่การบิ้วให้เป็นแบบนี้มันเกิดหลังการเข้าไปอยู่ข้างใน เมื่อเขาเช็ค DNA เราจนมั่นใจ เขาถึงจะ “คายตะขาบ” กว่าจะเข้าใจก็มีคนตามไปหมดตัวไม่รู้กี่พันคน (เอาแค่คูณด้วยสองแสนก็พอนะ)

ถ้าพวกเราออกมาพูดได้ ไม่ได้พูดว่าเขาผิดอย่างไร แค่พูดว่าเราบาดเจ็บแค่ไหน แค่นี้ก็น่าจะช่วยให้คนอีกมากมีโอกาสพูด และคนอีกมหาศาลที่ไม่ต้องล้มละลาย และช่วยให้สังคมไทยเข้าใจมากขึ้นว่า ธุรกิจที่ไม่ผิดกฎหมายอะไรเลยแต่กลับมีคนสูญเสียมากมายนั้น อันตรายมากกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ และที่ไม่มีสื่อหรือหน่วยงานใดโฟกัสเรื่องนี้

เพราะคนผิดที่แท้จริงนั้นคือเจ้าทุกข์ที่ไม่ทันเกมที่เรียกว่า “ขายออนไลน์” เอง ผมรู้ว่าคนของพวกบอสเห็นคอมเมนต์ของผม ฝากไปบอกว่าบุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป เอามาทดแทนกันไม่ได้ อะไรที่ทำแล้วดีก็ขอให้รุ่งเรือง อะไรที่เลวร้ายที่รู้อยู่แก่ใจ ขอให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม

โด่งดังแบบไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ปรากฏภาพหมูเด้ง ฮิปโปแคระแสนน่ารักบนกราฟฟิตี้ที่ ‘เบอร์มิงแฮม’

(9 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบัญชีเฟซบุ๊ก Panayu Na Nagara ได้มีการเผยแพร่ภาพ กราฟฟิตี้ ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดยกราฟฟิตี้ดังกล่าวเป็นภาพของฮิปโปแคระชื่อดังจากสวนสัตว์เขาเขียว ประเทศไทย ที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ ‘หมูเด้ง’

แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานใน พื้นที่รับผิดชอบกองกำลังสุรนารี เน้นย้ำเฝ้าระวังป้องกันชายแดนทุกด้าน

(8 ต.ค. 67) ที่ กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะ เดินทางเข้าตรวจเยี่ยม และรับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงานในพื้นที่กองกำลังสุรนารี โดยมี พลตรี ไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พันเอก จิรัฏ  ช่วงฉ่ำ , พันเอก บุญเสริม  บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับ

ทั้งนี้กองกำลังสุรนารี มีภารกิจในการป้องกันชายแดนในเขต 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน ตามพันธกิจ 5 ประการ ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก โดยที่ผ่านมาได้ฝึกเตรียมความพร้อมให้กับกำลังพลทุกด้าน และทำการเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนตลอดเวลา โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ ดำเนินการพัฒนา และแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

ทั้งนี้ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เน้นย้ำ การป้องกันชายแดน เฝ้าระวังปัญหายาเสพติด และการหลบหนีเข้าเมือง โดยให้มีการประสานความร่วมมือ หน่วยงานต่างไป และกองกำลังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ และเป็นการร่วมมือในการป้องกันการรุกล้ำอธิปไตย เพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสารในพื้นที่เฝ้าระวังป้องกันจนนำไปสู่การปฏิบัติด้านยุทธการต่อไป

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

ยกย่องเชิดชู "พันจ่าทหารเรือ" ช่วยผู้ป่วยสูงอายุขนมปังติดคอ

เมื่อวันที่ (8 ต.ค. 67) พลเรือตรี ชาตรี เปี่ยมศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มอบใบประกาศเกียรติคุณเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ แด่ พันจ่าเอก ภูษิต วิริยะกิจ จากเหตุการณ์ที่ พันจ่าเอก ภูษิต วิริยะกิจ เจ้าหน้าที่คัดกรองคนไข้ นั่งที่จุดคัดกรองคนไข้ที่ รพ.อาภากรฯ ซึ่งเป็นเวลาพักกลางวันกำลังจะไปรับประทานอาหาร มีข้าราชการ ชั้นยศ จ.อ.ที่ประจำอยู่ท่าเรือแหลมเทียน ขับมอเตอร์ไซร์มาขอความช่วยเหลือ ได้ให้ข้อมูลว่า มีผู้ป่วยข้าราชการบำนาญชาย ชั้นยศ พล.ต.ท. ซึ่งมากับครอบครัว มาลอยอังคารญาติ ที่ท่าเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ขณะนั้นญาติได้ลงเรือไปลอยอังคาร แต่ผู้ป่วยไม่ได้ลงไปด้วย เนื่องจากเป็นผู้ป่วยนั่ง Wheel chair ได้รับประทานขนมปังติดคอ หายใจไม่ออก พ.จ.อ.ภูษิต หลังรับแจ้ง ได้รีบขึ้นรถจักรยานยนต์ ไปกับ จ.อ.ท่านนั้น จนสามารถช่วยผู้ป่วยที่อาหารติดคอ ในขณะนั้น จนผู้ป่วยที่มีอาการอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อย ปากซีด โดยการ Choking heimlich maneuver จนอาหารหลุดออกมา สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยจนได้รับความปลอดภัยและส่งต่อยังโรงพยาบาลฯ ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

พสบ.ทร. แสดงความยินดี นายกสมาคมภริยาทหารเรือ ท่านใหม่

เมื่อวันที่ (8 ต.ค. 67) คุณพัชรณันษ์ พัชรวราทิพย์ประธานนักศึกษา หลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร (พสบ.ทร.) กองทัพเรือ รุ่นที่ 18 และคณะฯ เข้าแสดงความยินดีกับ นาวาเอกหญิง ดร.ทพญ.จีระวัฒน์  กฤษณพันธ์ ว่องวิทย์ (พี่หมอไก๋ พสบ.ทร.18) ในโอกาส รับตำแหน่งนายกสมาคมภริยาทหารเรือ ซึ่งนับว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาว พสบ.ทร. เป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านเป็นนายกสมาคมภริยาทหารเรือท่านแรก ที่เป็นสมาชิก พสบ.ทร. ณ ห้องรับรองสมาคมภริยาทหารเรือ กรุงเทพฯ

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี 0909535645 รายงาน

ธนาคารโลกออกโรงเตือนเศรษฐกิจจีนชะลอตัวกระทบทั้งภูมิภาค ความขัดแย้งระดับโลกบีบให้เลือกข้าง แนะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี

(8 ต.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า “ธนาคารโลก” คาดการณ์การเติบโตของจีนว่าจะอ่อนแอลงต่อไปในปี 2568 แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็ตาม ส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศภูมิภาคเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น

ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจรายครึ่งปี ธนาคารโลกยังคาดการณ์จีนอีกว่า เศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงเหลือ 4.3% ในปีหน้าจากประมาณการ 4.8% ในปี 2024 จนอาจส่งผลให้การเติบโตในประเทศแถบเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รวมถึงประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเกาหลี มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามจนเหลือ 4.4% ในปี 2025 จากประมาณ 4.8% ในปีนี้

“เป็นเวลาสามทศวรรษที่การเติบโตของจีนได้ส่งผลดีต่อเพื่อนบ้าน แต่ในขณะนี้ ขนาดแรงผลักดันดังกล่าวกำลังลดลง” ธนาคารโลกกล่าวเมื่อวันอังคาร “การสนับสนุนทางการคลังที่เพิ่งประกาศอาจช่วยเพิ่มการเติบโตระยะสั้น แต่การเติบโตระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการปฏิรูปโครงสร้างที่ลึกกว่า”

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณ 5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ดูเหมือนจะเข้าถึงได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงสั่นคลอน โดยในปลายเดือนกันยายน รัฐบาลปักกิ่งได้เปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายที่มุ่งเน้นไปที่นโยบายการเงินเป็นหลัก อย่างการลดอัตราดอกเบี้ย

นอกจากการเติบโตที่ชะลอตัวของจีนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของการค้า และการลงทุน รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายโลกที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิกด้วย ธนาคารโลกกล่าว

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนได้สร้างโอกาสให้กับประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม ในการมีบทบาทในการเชื่อมโยงคู่ค้ารายใหญ่ 

“หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจอาจถูกจำกัดให้เล่นบทบาท ‘ตัวเชื่อมต่อทางเดียว’ มากขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการนำเข้า และการส่งออกได้ถูกบังคับใช้” ธนาคารโลก กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารยังได้ตรวจสอบเทคโนโลยีใหม่ เช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรมและปัญญาประดิษฐ์ ถึงผลกระทบต่อตลาดแรงงานทั่วเอเชีย

“เนื่องจากภูมิภาคนี้ยังพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก ทำให้มีงานที่ถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์น้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่กลับกัน ภูมิภาคนี้ก็ยังไม่ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่ปัญญาประดิษฐ์จะนำมาให้มากพอเช่นกัน” ธนาคารโลก กล่าว

สมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เมื่อวานนี้ (8 ต.ค. 67) สมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวร่วมกันกับสมาคมจีนต่าง ๆ ในประเทศไทย ส่งมอบสิ่งของจำเป็นและเงินจำนวนกว่า 3,800,000 บาทผ่านท่านทูตหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยน้ำท่วมระลอก 2 ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยมีท่านอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เป็นสักขีพยาน และกระจายไปยังพื้นที่น้ำท่วมภาคเหนือ

คุณอมร อภิธนาคุณ ประธานสมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์น้ำท่วมทางภาคเหนือทวีความรุนแรงมากขึ้น เกิดพายุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สะสมทับมาจนถึงเดือนตุลาคมนี้ ทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติถึง 50-60% จึงเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำไหลทะลักมาท่วมบ้านเรือนราษฎร เทียบเท่ากับเหตุน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 และบางพื้นที่เกิดความเสียหายมากกว่าเดิมอีกด้วย 

“สมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว ได้เล็งเห็นถึงวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ทวีความรุนแรงมากกว่าขึ้นกว่าทุกปี ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมากรวมถึงการฟื้นตัวจะต้องใช้เวลานาน โดยที่ผ่านมาเห็นว่าผู้ประสบภัยพิบัติส่วนใหญ่ยังขาดแคลนปัจจัย 4 อย่างฉับพลันโดยเฉพาะใน 24 ชั่วโมงแรก ซึ่งถือเป็นช่วงวิกฤตและความทุกข์ยากที่ประชาชนต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวจีนและสมาคมชาวจีนต่าง ๆ  รวมไปถึงนักธุรกิจชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย  เห็นถึงความยากลำบากของพี่น้องชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ จึงได้รวมพลังกันผ่านสมาพันธ์ฯ เพื่อระดมทุนและสิ่งของที่จำเป็นสำหรับน้ำท่วม เพื่อช่วยลดความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยภาคเหนือ ทั้งจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย”

โดยนักธุรกิจชาวจีนที่อยู่ในสมาคมต่าง ๆ ร่วมกันบริจาคทรัพย์ กว่า 17 องค์กร คือ 1.สมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว 2.สมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง 3. สมาคมเตี่ยอันเเห่งประเทศไทย 4.สมาคมการค้าไทย-ซานซี 5.สมาคมการค้าไทย-กวางตุ้ง 6.สมาคมการค้าไทย-หูหนาน 7.สมาคมหนานอัน 8.ชมรมนักธุรกิจโชคดี 9.สมาคมการค้ารวมใจนักธุรกิจรุ่นใหม่จีน-เอเชีย 10.สมาคมความปลอดภัย 11.สมาคมเจียงเจ้อหู้ 12.สมาคมเจียงซี 13.สมาคมกวางสี 14.สมาคมซูซาน 15.สมาคมฟูเจี้ยนอานซี 16.สมาคมย่าไท่ 17.สมาคมกวางตุ้งและร่วมบริจาคสิ่งของ คือ 1.หอการค้าเยาวชนแห่งเอเชียเพื่อสันติภาพและการพัฒนา บริจาคเป็น ปลากระป๋องใหญ่ มาม่า และครีมสำหรับน้ำท่วม 2.คุณหวังคาน เหอ บริจาคข้าวสาร 100 ถุง  3.คุณจาง จุนหมิง บริจาคผ้าห่ม 400 ผืน  4.คุณ ซูซานจงฮุ้ย บริจาคผ้าห่ม 100 ผืน 5.สมาคมซานตง บริจาคเป็นผ้าขนหนู จำนวนเงินกว่า 300,000 บาท 7.คุณเจิง ซูเจียน บริจาคเป็น เครื่องปั่นไฟ 2 เครื่อง  8.คุณอู่ปิงหลิน บริจาคเป็นเสื้อกันฝน 300 ตัว และอื่น ๆ 

“อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนให้ติดตามข่าวสาร เพื่อเตรียมตั้งรับกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นแบบฉับพลัน และขอให้ระมัดระวังอันตรายในการเดินทางสัญจรไปในที่ที่อาจจะเกิดอุทกภัย และเกิดอุบัติเหตุตามมาได้ ซึ่งทางสมาพันธ์ฯ ก็ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในส่งมอบกำลังใจผ่านสิ่งของและเงินสมทบจากชาวจีนร่วมกับสมาคมจีนต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ของพี่น้องประชาชน ขอให้ผู้ประสบภัยปลอดภัย และสามารถผ่านวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้ในเร็ววัน และอยากส่งผ่านข้อความนี้ไปยังคนไทยทุกคนให้ทราบว่า คนจีนทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยไม่เคยนิ่งดูดายกับความเดือดร้อนที่ทุกท่านประสบ และจะหาทางช่วยเหลือเสมอ หากมีโอกาส”คุณอมรกล่าวในตอนท้าย

ด้านคุณสื่อ ต้าถัว ประธาน ประธานสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง กล่าวว่า สมาคมมีแนวทางที่ยึดถือมาตลอดตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมคือ "อยู่ประเทศไทยเพื่อประเทศไทย อยู่ประเทศไทยรักประเทศไทย" และจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ทำให้น้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนประชาชนเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งมีประชาชนและสัตว์เลี้ยงติดค้างหลายราย ซึ่งถือเป็นอุทกภัยน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่และหนักที่สุดในรอบ 60 ปี ทางสมาคมฯ ไม่ได้นิ่งเฉย ได้ระดมสิ่งของและกำลังทรัพย์ของสมาชิกภายในสมาคม ที่เป็นนักธุรกิจคนจีนรวมเป็นเงินมูลค่า 750,000 บาท เพื่อร่วมส่งต่อความห่วงใยผ่านทางสมาพันธ์ฯ ไปยังประชาชนผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ

“การร่วมระดมกำลังทรัพย์เพื่อประชาชนคนไทยในครั้งนี้ เพราะประชาชนคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้นตระหนักถึงความเดือดร้อน และความเสียหายคนไทยได้รับเป็นอย่างดี จึงร่วมแรงร่วมใจกันระดมความช่วยเหลือในทุกทางที่มีผ่านสมาคมต่าง ๆ เพื่อช่วยเยียวยาคนไทยและถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนและไทยให้แนบแน่นยิ่งขึ้น และเป็นการสื่อสารที่ชัดขึ้นว่า คนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ไม่มีวันทิ้งคนไทยที่ประสบความเดือดร้อนแน่นอน”

พิธีมอบเงินและสิ่งของบริจาคในครั้งนี้มีท่านอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นสักขีพยาน โดยมีท่านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย หาน จื้อเฉียง เป็นผู้ส่งมอบ เพื่อแสดงถึงความห่วงใยและกำลังใจจากชาวจีนในประเทศไทยแก่ผู้ประสบภัย และจะมีการส่งต่อไปยังผู้ว่าในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายต่อไป

‘ธาริษา’ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ ขอการเมืองอย่าแทรกแซง เลือกประธานแบงก์ชาติ หยุดหายนะทางเศรษฐกิจของประเทศ

(8 ต.ค. 67) นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ 'การคัดเลือกประธานธนาคารแห่งประเทศไทย' ว่า

ในขณะนี้มีแต่จิตสำนึกของคณะกรรมการคัดเลือกประธานธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้นที่จะยับยั้งหายนะทางเศรษฐกิจได้

ที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งในเรื่องไม่ลดดอกเบี้ย และการคัดค้านนโยบายการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาท เป็นต้น 

ล่าสุดก็มีการคาดหมายว่ารัฐบาลจะส่งคนของตนเข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ก็เพื่อจะได้สามารถใช้ ธปท. เป็นเครื่องมือในการสนองนโยบายของรัฐบาล 

ซึ่งหากภาพนี้เกิดขึ้น หายนะของเศรษฐกิจไทยก็จะตามมาอย่างแน่นอน เหมือนที่เราเห็นในต่างประเทศที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในธนาคารกลาง 

การกระทำดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นของต่างประเทศต่อระบบเศรษฐกิจสั่นคลอน เพราะธนาคารกลางที่ถูกแทรกแซงจะไม่สามารถมีบทบาทในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว เศรษฐกิจจึงเสี่ยงที่จะเสียหายจากนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว

ในกรณีของประเทศไทยนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทซึ่งจะเป็นภาระทางการคลังอย่างมหาศาล ก็ได้สร้างความเสี่ยงที่ประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว หากธนาคารแห่งประเทศไทยถูกแทรกแซงจนขาดความเป็นอิสระ ความเสี่ยงของการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากนานาประเทศก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก ผลเสียต่อธุรกิจและเศรษฐกิจย่อมตามมาอย่างแน่นอน

วงการเศรษฐกิจของไทยได้ชี้ให้เห็นถึงผลเสียหายอันใหญ่หลวงของการแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย แต่รัฐบาลก็ไม่ต้องการรับฟังคำเตือนเหล่านี้ 

ในขณะนี้ จึงมีเพียงแต่จิตสำนึกของคณะกรรมการคัดเลือกประธานธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการยับยั้งไม่ให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจนี้ 

อันที่จริง กฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการที่กรรมการสรรหาจะถูกแทรกแซงจากทางการเมืองหากกรรมการยังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ  กฎหมายจึงได้กำหนดให้กรรมการสรรหาเป็นอดีตข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานสำคัญทางเศรษฐกิจที่เกษียณอายุแล้วทั้งสิ้น เพื่อจะได้ปลอดภัยจากการถูกแทรกแซง 

ที่ผ่านมาคณะกรรมการสรรหาตำแหน่งสำคัญๆของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นอิสระไม่ยอมรับการแทรกแซง ผู้ที่ได้รับการสรรหาจึงเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่เข้าใจบทบาทของธนาคารกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม เป็นที่ยอมรับของสังคม 

ดิฉันจึงได้แต่คาดหวังว่าคณะกรรมการคัดเลือกในครั้งนี้จะสามารถทำหน้าที่ที่สำคัญนี้ด้วยหลักการเดียวกัน คงไม่มีท่านใดอยากจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบในการทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกผันไปสู่ก้าวแรกของความหายนะ

ธาริษา วัฒนเกส
อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

CNN โพลชี้คะแนนทรัมป์-แฮร์ริสตีคู่!! เบียดสูสี ลุ้นกันต่อ 1 เดือนสุดท้ายก่อนเปิดให้หย่อนบัตร

(9 ต.ค. 67) ความนิยมในตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ที่ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดียังคงใกล้เคียงกันมาก โดยล่าสุดสำนักข่าว CNN ได้เผยแพร่โพล CNN Poll of Polls ที่หาค่าเฉลี่ยจากการสำรวจระดับชาติโดยรวม พบว่า 49% สนับสนุนรองประธานาธิบดีแฮร์ริส และ 47% ชื่นชอบอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

ค่าเฉลี่ยใหม่บ่งชี้ว่าไม่มีผู้ใดที่ได้คะแนนความนิยมนำที่ชัดเจนระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริส

ทั้งนี้  โพลใหม่ของ CNN รวมเอาโพลการสำรวจความคิดเห็นของ New York Times/Siena College มาคำนวณด้วย ซึ่งโพลนี้ แสดงให้เห็นว่า แฮร์ริส นำทรัมป์แบบเฉียดฉิวในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  ผู้ให้ข้อมูล 47% หนุนแฮร์ริส  44% หนุนทรัมป์ ในกรณีที่มีการระบุชื่อผู้สมัครบุคคลที่สามรวมอยู่ในคำถาม และแฮร์ริสได้ 49% ทรัมป์ 46% ในการสำรวจความคิดเห็นโดยไม่มีการระบุชื่อผู้สมัครรายอื่น

ทั้งนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top