Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

14-22 ต.ค. ‘ประเมษฐ์ จินา’ ชวนเที่ยวชมงาน ‘ชักพระ ทอดผ้าป่า แข่งเรือยาว’ สุราษฎร์ธานี

(11 ต.ค. 67) ดร.ปรเมษฐ์ จินา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขต 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า 

เรื่องแรกนั้นประชาชนในพื้นที่ได้แจ้งว่าต้องการให้มีการตัดถนนเชื่อมระหว่างทางหลวงสาย 4009 และทางหลวงหมายเลข 44 หรือที่เรียกอย่างติดปากว่าถนน southern ซึ่งการตัดถนนเชื่อมนี้จะช่วยย่นระยะทางในการเดินทางสัญจรของประชาชนในพื้นที่ 

สำหรับทางหลวงหมายเลข 44 ยังมีพื้นที่ว่างบริเวณเกาะกลางถนนค่อนข้างใหญ่ เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงขอให้มีการอนุญาตให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเพื่อการสาธารณะประโยชน์เข้าใช้พื้นที่ดังกล่าวชั่วคราวด้วย

เรื่องที่ 2 ในลำดับแรกต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นราคาสินค้าทางการเกษตรโดยปัจจุบันราคาน้ำยางพาราและปาล์มน้ำมันสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดีทำให้มีปัญหาการลักขโมยเกิดขึ้น จึงอยากขอให้กำชับตำรวจในพื้นที่ให้ดำเนินการอย่างเข้มแข็งเพื่อบำบัดทุกข์ให้กับพี่น้องเกษตรกร 

สุดท้ายนี้ขอประชาสัมพันธ์งานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาว ประจำปี 2567 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-22 ตุลาคม 2567 โดยครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานในพิธีเปิด 

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการ กทม. ระดับ ผอ.สำนัก จับตาตั้ง ‘เจษฎา จันทรประภา’ เป็นแม่ทัพรับน้ำท่วม

(10 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานการเจ้าหน้าที่ กรุงเทพมหานคร ได้เผยแพร่ ‘ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ’ ความว่า

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ สังกัดกรุงเทพมหานคร ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย ดังนี้

1.นายอาฤทธิ์ ศรีทอง รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

2.นางสาวศุภร คุ้มวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

3.นายมนูศักดิ์ บินยะฟัล รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

4.นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา

5.นายเจษฎา จันทรประภา รองผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ

6.นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ รองผู้อำนวยการสำนักการจราจราจรและขนส่ง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง

7.นายวิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล รองผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักยุทยุทธศาสตร์และประเมินผล

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2567 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

เปิดผลสำรวจสุขภาพจิตคนไทย จาก DXT360 อึ้ง!! ร้อยละ 30 เครียดสะสมจากปัญหาการทำงาน

(10 ต.ค. 67) ในยุคปัจจุบันสังคมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันอย่างรวดเร็ว สุขภาพจิตได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักและให้ความสนใจมากขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของอารมณ์และความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมโดยรอบ การทำความเข้าใจถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและความสุขของทุกคนในสังคม

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่า ในปี 2566 มีผู้ป่วยจิตเวชมารับบริการถึง 2.9 ล้านคนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพจิต สาเหตุหนึ่งมาจากการที่สังคมไทยเริ่มเปิดใจยอมรับและเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพสังคมปัจจุบันยังมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ความไม่สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-life balance) ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ รวมถึงความหลากหลายของช่วงวัย (Generation gap) ในที่ทำงานซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความเครียด

บทความนี้ใช้เครื่องมือ DXT360 ฟังเสียงผู้คนบนสังคมออนไลน์ (Social Listening) ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ผู้ให้บริการ Media Intelligence ในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดียระหว่าง 1 กันยายน - 4 ตุลาคม 2567 เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและประสบการณ์ด้านสุขภาพจิตของผู้คนในสังคม

>>>การใช้โซเชียลมีเดียของคนไทยกับปัญหาสุขภาพจิต

จากการรวบรวมความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียพบว่าผู้คนส่วนใหญ่ 61% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่เพื่อการโพสต์ระบายความรู้สึกและแสดงตัวตน รองลงมา 22% เป็นการเล่า แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตของตนเองและผู้อื่น ซึ่งพบว่าผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า มักได้รับผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตด้วย 

ถัดมาอีก 11% พบว่า เป็นการให้ข้อมูลและคำแนะนำ ซึ่งเป็นการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์และวิธีการดูแลรักษาสุขภาพจิตที่ดี และ 6% เป็นการให้กำลังใจ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจแก่ผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต 

>>>ส่อง Insight เรื่องไหนกระทบใจชาวโซเชียลจนต้องระบาย

โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สำหรับการระบายความรู้สึกและแชร์ประสบการณ์ เผยให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน

>>>ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต

ปัจจัยภายนอก คือ สิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจโดยที่บุคคลไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง พบว่า

-ปัญหาจากการทำงาน 30%: เนื่องด้วยการทำงานร่วมกับผู้คนที่มีความหลากหลาย และ การขาดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน (Work life Balance) ซึ่งในขณะเดียวกันเราพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต โดยมีผู้ใช้โซเชียลจำนวนหนึ่งเลือกลาออกจากงานที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตมากกว่าการทนอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญธีม 'Mental health at Work' จาก World Health Organization (WHO) เนื่องในวันสุขภาพจิตโลกปี 2024 ที่รณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพจิตและการทำงาน เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และในทางกลับกันสภาพแวดล้อมการทำงานที่ย่ำแย่ก็ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตเช่นกัน

-การรับรู้ข้อมูลมากเกินไป 18%: การรับรู้ข่าวสารเรื่องของคนอื่นมากเกินไป (Over information) โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับไอดอล ศิลปิน รวมถึงข่าวสารเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ข่าวการเกิดภัยพิบัติ หรือ ข่าวอุบัติเหตุ 
-การเรียน/การศึกษา 14%: พบว่าผู้ที่อยู่ในวัยเรียนส่วนมากต่างละเลยสุขภาพในช่วงการสอบเพื่อผลคะแนนที่ดี
-ปัญหาขัดแย้งในครอบครัว 11%: ปัจจัยด้านครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจากความเห็นต่างกันตามช่วงวัย (Generation Gap)

-ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 10%: ชาวโซเชียลจำนวนหนึ่งระบุว่า ความเกรงใจและการละเลยความรู้สึก นำไปสู่ความขัดแย้งและความสัมพันธ์เชิงลบ เช่น คู่รัก หรือเพื่อน เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้ง และความ Toxic สะสม
-ปัญหาการดำเนินชีวิต 9%: โดยเฉพาะเรื่องการจราจรติดขัดและความไม่สะดวกในการสัญจรด้วยรถสาธารณะ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มีประสบการณ์เชิงลบจากการเผชิญกับพนักงานขายแบบ Hard Sell  เช่น การขายประกัน หรือการขายคอร์สเสริมความงาม ซึ่งสร้างความเครียดและความอึดอัดให้กับผู้บริโภคจนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่สะสมได้

-ปัญหาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ 7%: เช่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น
-การตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 1%: เช่นโดนมิจฉาชีพแอบอ้างจนก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน

>>>ปัจจัยภายในที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต

ปัจจัยภายใน มาจากพื้นฐานสภาพจิตใจ ร่างกาย ความรู้สึกนึกคิดของตัวบุคคลเอง ส่งผลต่อสุขภาพจิตของบุคคล สรุปได้ ดังนี้

-ปัญหาด้านสุขภาพกาย 42%: สภาพร่างกายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาวะจิตใจ
-การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem) 28%: ความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองมีผลต่อสุขภาพจิต 
-ความคาดหวังในตนเอง 23%: เช่น ความคาดหวังคะแนนการสอบ หรือต้องการความสมบูรณ์แบบในการทำงาน  
-ประสบการณ์และภูมิหลัง 7%: ภูมิหลังส่วนตัวและประสบการณ์ฝังใจในวัยเด็กส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพจิต

>>>พบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ  

จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดีย พบวิธีการฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ผู้คนบนโซเชียลนิยมใช้ ดังนี้ 

1.การดูแลสุขภาพร่างกายและใส่ใจกับสุขภาพจิต (43%) โดยมีทั้งการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ชอบ รวมถึงยังพบว่าผู้คนส่วนใหญ่เปิดใจรับการปรึกษากับจิตแพทย์และรับการรักษาโดยใช้ยา
2.การเลือกรับสื่อบันเทิง (22%) ทั้งการดูหนัง ซีรีส์ รวมไปถึงการอ่านนิยายวายที่เริ่มมีบทบาทเข้ามาช่วยให้ผู้อ่านมีความบันเทิง ฟื้นฟูสุขภาพจิตได้
3.การทำ Social Detox (14%) เพื่องดหรือลดปริมาณการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
4.การระบายความรู้สึก (9%) การพูดคุย ถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนใส่กระดาษ การพูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว 
5.การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม (8%) เช่น การย้ายที่อยู่โดยออกมาอยู่คนเดียว การย้ายที่ทำงาน การเดินทาง การท่องเที่ยว เป็นต้น
6.Pet Therapy (4%) การใช้สัตว์เลี้ยงมาช่วยฮีลใจ หรือฟื้นฟูจิตใจ

จะเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบัน ผู้คนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง การเลือกปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตบำบัด และนักจิตวิทยา ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตของธุรกิจในด้านการดูแลสุขภาพจิต ทั้งโรงพยาบาล คลินิกจิตเวช และศูนย์เวลเนสต่าง ๆ นอกจากนี้ ความเข้าใจและการยอมรับเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นยังช่วยลดอคติทางสังคม ทำให้ผู้คนรู้สึกมีความปลอดภัยในการเข้าถึงการรักษาและการสนับสนุนทางจิตใจ การลงทุนในบริการเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในยุคที่ผู้คนมุ่งมั่นต่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก DXT360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่  1 กันยายน - 4 ตุลาคม 2567

'ดร.กอบกฤตย์' รับเชิญ 'กสทช.' ร่วมเสวนา 'ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพการเข้าถึงดิจิทัล' ในงาน 'สัมมนาการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงดิจิทัล ผ่านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม'

ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ได้รับเชิญจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ร่วมเสวนาหัวข้อ 'การขับเคลื่อนการเข้าถึงดิจิทัลของคนทุกคนกับแนวคิด Inclusive Design และ Assistive Technology' ภายในงานสัมมนาที่ จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมอมารี หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ในการเข้าถึงดิจิทัล พร้อมเผยโครงการพัฒนา AI เพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางหูและตา ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

งานสัมมนาได้รับเกียรติจาก นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กสทช. ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน, ดร.ฉันทพัทธ์ ขำโคกกรวด นักวิชาการนโยบายและแผนเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เชี่ยวชาญจากหลายองค์กรที่มา ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังอย่างคับคั่ง

งานเริ่มต้นด้วยการกล่าวรายงานโดย ดร.ฉันทพัทธ์ ขำโคกกรวด ตามด้วยการกล่าวเปิดงานโดย นายต่อพงศ์ เสลานนท์ ซึ่งได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Digital Inclusion | สิทธิของทุกคนในการเข้าถึงดิจิทัล ผ่านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม”

ในการเสวนาหัวข้อ 'การขับเคลื่อนการเข้าถึงดิจิทัลของทุกคนกับแนวคิด Inclusive Design และ Assistive Technology' ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ร่วมเสวนากับดร.ตรี บุญเจือ, นายณัฐพล ราธี และนางสาวปนัดดา ประสิทธิเมกุล ซึ่งได้มีการแบ่งปันความคิดเห็นและประสบการณ์ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเข้าถึงของทุกคน

ดร.กอบกฤตย์กล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า พร้อมกับการพัฒนาเครื่องมือคำนวณและโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Chat GPT ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลและแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้

 “AI เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยเหลือผู้พิการในหลายด้าน เช่น การแปลงข้อความเป็นเสียงหรือภาพ เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังสามารถแปลงข้อความเป็นภาษามือและสร้างซับไตเติ้ลให้กับวิดีโอได้อีกด้วย” ดร.กอบกฤตย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ดร.กอบกฤตย์ยังกล่าวถึงความท้าทายในการพัฒนา AI สำหรับผู้พิการ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานและข้อมูลที่จำเป็นในการสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพ “ปัญหาหลักอยู่ที่เรายังขาดมาตรฐานที่ชัดเจนในการสื่อสารและการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อสอน AI ทำให้เราจำเป็นต้องพัฒนาคลังข้อมูลที่หลากหลายและถูกต้อง”

งานเสวนาในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพการเข้าถึงดิจิทัลและสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่มในสังคมไทย

'ดร.ธรณ์' ชี้ คนอเมริกานับล้านเตรียมอพยพหนี ก่อนพายุเฮอริเคน 'มินตัน' ถล่มฝั่งฟลอริดาพรุ่งนี้

(10 ต.ค.67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า คนอเมริกานับล้านอพยพหนีมหาพายุแห่งศตวรรษ เฮอริเคน Milton ที่จะเข้าฝั่งฟลอริดาพรุ่งนี้ ด้วยความเร็วลมกว่า 250 กม./ชม.

ขนาดพายุใหญ่มากครับ คลุมทั้งรัฐฟลอริดาและพื้นที่ใกล้เคียง คาดว่าจะมีคนอยู่ในแนวพายุโดยตรง 5.5 ล้านคน นี่จึงเป็นการอพยพครั้งประวัติศาสตร์ของฟลอริดา พื้นที่โดนแรงคือ tampa และชายฝั่งแถบนั้นทั้งหมด

Get Out! เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบประกาศดังลั่น นี่คือนาทีท้าย ๆ ที่ทุกคนต้องหนีตาย

ผู้คนให้ความร่วมมือ ถนนเต็มไปด้วยรถหนีออกจากพื้นที่เสี่ยง เพราะ Helene ทำให้คนอเมริการู้แล้วว่า พายุโลกร้อนไม่ใช่อย่างที่คิด มันยิ่งกว่านั้นมากๆๆ

คาดว่าจะเกิด storm surge รุนแรง มีคลื่นสูง 5 เมตรตามชายฝั่ง พื้นที่ลุ่มตามชายทะเลจะได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลทะลักเข้ามา บวกกับฝนที่ตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง

เฮอริเคนยังอาจทำให้เกิดอากาศปั่นป่วนในแผ่นดิน เกิดทอร์นาโดขึ้นซ้ำเติม ตอนนี้กำลังเฝ้าระวังกันอยู่ โลกร้อนหนัก สภาพภูมิอากาศสุดขีดขั้ว แม้แต่ประเทศมหาอำนาจก็ยังทำอะไรไม่ได้ นอกจากหนีให้เร็วที่สุด

หวังว่าผลของพายุจะไม่รุนแรง โดยเฉพาะบริเวณที่เพิ่งโดน Helene เมื่อปลายเดือนก่อนครับ

นันยาง มอบรายได้รวมกว่า 3.2 แสนบาท สมทบทุนโครงการ ‘หมูเด้งช่วยผู้ประสบอุทกภัย’

(10 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ นันยาง Nanyang ได้เผยแพร่โพสต์ความว่า 

ขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมกับรองเท้าแตะหูคีบธรรมดาที่เกิดจากความน่ารักและใจดีของเพื่อนคู่ซี้ 'ช้างดาว' กับฮิปโปน้อย 'หมูเด้ง' สองเพื่อนซี้ที่ใจดีและชอบช่วยเหลือสัตว์อื่น ที่ตั้งใจทำรองเท้าแตะที่เด้งได้เหมือน 'หมูเด้ง' ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความสนุก ใครใส่ก็เด้งได้เหมือนหมูเด้ง!

จากรองเท้าธรรมดา ๆ จึงกลายเป็นของที่ใคร ๆ ก็อยากมี เพราะใส่แล้วรู้สึกเหมือนได้เล่นสนุกกับช้างดาวและหมูเด้งทุกวัน! นี่คือที่มาของ 'รองเท้าแตะช้างดาว หมูเด้ง Edition' รองเท้าธรรมดาใส่แล้วเด้งได้ เกิดจากความน่ารักและใจดีของเพื่อนคู่ซี้ ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความสนุก ใครใส่ก็เด้งได้เหมือนหมูเด้ง สนุกสุด ๆ ทั่วทั้งป่า!

สุดท้าย ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับเจ้าของช้างดาวหมูเด้งทุกท่านที่จะได้สนับสนุน 'โครงการหมูเด้ง ชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและดูแลสวัสดิภาพเพื่อนสัตว์' ของ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

โดยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจได้รายงานอีกว่ารองเท้าคอลเลกชัน ‘ช้างดาว หมูเด้ง’ สามารถทำยอดขายได้รวม16,372 คู่

ต่อมาทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง’ ได้รายงานว่า 

ผู้บริหารกลุ่มบริษัทนันยางได้มอบเงิน 327,440 บาท จาก การจำหน่ายรองเท้านันยาง รุ่นพิเศษ หมูเด้ง จากยอดสั่งจอง 16,372 คู่ เพื่อร่วมโครงการหมูเด้งชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและช่วยเหลือสวัสดิภาพสัตว์ป่า องค์การสวนสัตว์

‘โอ๋ อรวดี’ พาสำรวจสมรภูมิชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ พบเงินสะพัด 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทุ่มซื้อโฆษณาไม่อั้น!!

(10 ต.ค. 67) อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญสำหรับปีนี้คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีนี้ค่ะ ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 60 โดยครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตเลยค่ะ 

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้ง Donald Trump และ Kamala Harris ต่างมีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างมากในด้านการจัดการเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการลดภาษีของ Trump และการเพิ่มภาษีสำหรับผู้มั่งคั่งของ Harris ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันหลายล้านคน

ในด้านค่าใช้จ่ายในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 ก็มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่าได้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการคาดการณ์ว่าการหาเสียงในระดับรัฐบาลกลางครั้งนี้จะใช้เงินมากถึง 16 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำลายสถิติจากการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไป 15.1 พันล้านดอลลาร์ 

>>>ผู้สมัคร ปธน. หาเงินมาจากไหน???

โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้มาจากการระดมทุนจาก Super PACs และการใช้จ่ายจากองค์กรที่ไม่แสดงที่มาของเงินบริจาค ซึ่งทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเพื่อการโฆษณา การรณรงค์หาเสียง และการส่งจดหมายหาเสียงค่ะ ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งมหาศาลนี้แบ่งแยกย่อยออกมาได้เป็น 

1. การใช้จ่ายของ Super PACs: กลุ่มภายนอกอย่าง Super PACs คาดว่าจะใช้จ่ายในระดับที่มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไปทั้งหมด 3.3 พันล้านดอลลาร์ 
2. การระดมทุนของผู้บริจาครายใหญ่: 10 ผู้บริจาครายใหญ่บริจาคเงินรวมกว่า 599 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของการระดมทุนทั้งหมดในระดับรัฐบาลกลาง
3. การสนับสนุนจาก Super PACs ฝั่งพรรครีพับลิกัน: โดยในรอบนี้ผู้บริจาครายใหญ่ทั้งหมดที่ติดอันดับท็อป 5 พากันสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้พรรครีพับลิกันได้เปรียบในการใช้จ่ายจากกลุ่มภายนอกกว่าอีกฝ่ายค่ะ 

4. การระดมทุนของ Kamala Harris: แคมเปญของ Kamala Harris ระดมทุนได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2024 เพียงลำพัง นับว่าเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับการระดมทุนในอดีตของผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
5. ค่าใช้จ่ายต่อผู้สมัคร: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้สมัครในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ที่ 2.4 ล้านดอลลาร์ ต่อคนในปี 2020 ซึ่งสูงกว่าปี 2008 ที่ใช้เพียง 1.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้สมัครวุฒิสมาชิกต้องใช้เงินเฉลี่ยถึง 27.2 ล้านดอลลาร์ ในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 8.5 ล้านดอลลาร์ ในปี 2008 

>>>งบโฆษณาออนไลน์พุ่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณาและการรณรงค์ในรูปแบบดิจิทัล เนื่องจากการเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทางออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของการหาเสียง ข้อมูลจากหลายฝ่ายแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในการครอบครองพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, และ Google 

ส่วนเราคนไทยก็ต้องจับตามองการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิดค่ะ เพราะไม่ว่าใครจะได้มาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ก็จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเราอย่างแน่นอนค่ะ 

“ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้สวมใส่ชุดไทยและได้รับรู้ถึงบุคคลสำคัญในประเทศไทย ‘ท้าวสุรนารี’ คือต้นแบบของความกล้าหาญ สง่างาม เสียสละ ฉันรักคุณประเทศไทย”

บัญชีอินสตาแกรมของมิสแกรนด์กานา @officialmissgrandghana ได้เผยแพร่ข้อความของ Sage La'Parriea Yakubu มิสแกรนด์กานา 2024 ภายหลังจากที่ภาพเธอสวมชุดไทยขณะเยี่ยมชมวัดอรุณราชวรารามกลายเป็นไวรัล เนื่องจากหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าเธอดูละม้ายคล้ายคลึงกับ ท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม ของชาวโคราชและชาวไทยนั่นเอง

โดยเธอได้เขียนข้อความเป็นภาษาไทย ว่า

“สวัสดีค่ะ ประเทศไทย ขอบคุณที่ให้การต้อนรับและมอบความรักให้กับพวกเรา ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้สวมใส่ชุดไทยและได้รับรู้ถึงบุคคลสำคัญในประเทศไทย ‘ท้าวสุรนารี’ คือต้นแบบของความกล้าหาญ สง่างาม เสียสละ ฉันในฐานะมิสแกรนด์กานา ขอยก ‘ท้าวสุรนารี’ เป็นบุคคลที่น่าเคารพเป็นอย่างยิ่ง ฉันรักคุณ ประเทศไทย”

'ไทย' ย้ำที่ประชุมอาเซียนพร้อมเป็นเจ้าภาพ ตั้งวงหารืออาเซียนแก้ปัญหาเมียนมากลาง ธ.ค.นี้ มั่นใจจะเป็นการพูดคุยแบบเปิดอกย้ำฉันทามติ 5 ข้อ - สะท้อนทูตไทยเชิงรุก

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว ถึงการแก้ไขปัฐหาในเมียนมาว่า ตนได้เสนอในที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ สปป.ลาว ว่า ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องเมียนมา (Extended Informal Consultation) ในช่วงกลางเดือนธันวาคมปีนี้ ตามที่ได้ประสานงานกับ สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียน 

ซึ่งในวันนี้ (9 ต.ค.) ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนนั้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ำในเรื่องดังกล่าว และได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งสปป. ลาว ในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ว่า เป็นข้อริเริ่มที่ดี โดยไทยจะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สปป.ลาว เกี่ยวกับรายละเอียดการจัดการประชุมดังกล่าวต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มั่นใจว่า การหารืออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ จะเป็นโอกาสดีที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก และร่วมกันหาวิธีการสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียนตามแนวทางฉันทามติ 5 ข้อ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไทยเชื่อมั่นว่า ทุกประเทศสมาชิกอาเซียน มีความปรารถนาดีต่อเมียนมา และต้องการเห็นการแก้ปัญหาโดยสันติผ่านการพูดคุยกัน เพื่อให้ความสงบสุขกลับคืนสู่เมียนมาโดยเร็ว 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า การเป็นเจ้าภาพการหารืออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการทางการทูตเชิงรุกและ สร้างสรรค์ของไทย ที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญของไทย เพราะที่สุดสันติภาพ จะนำมาซึ่งความมั่นคง และความมั่งคั่งของพี่น้องประชาชนทุกประเทศในภูมิภาค

ต่างชาติ แห่เที่ยวไทย 9 เดือน ทะลุ 26 ล้านคน โกยรายได้เข้าประเทศกว่า 1.2 ล้านล้านบาท

กระทรวงท่องเที่ยว อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 ต.ค. 2567 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 26 ล้านคนแล้ว สร้างรายได้จากการใช้จ่ายต่างชาติแล้ว 1,244,099 ล้านบาท 

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม –6 ตุลาคม 2567 พบว่า  ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยแล้วทั้งสิ้น 26,643,454 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,244,099  ล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
จีน 5,388,047 คน
มาเลเซีย 3,820,087 คน
อินเดีย 1,568,430 คน
เกาหลีใต้ 1,416,015 คน
รัสเซีย  1,181,442 คน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึง สถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 พบว่า ปัจจุบันไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแตะระดับ 26,643,454 คน โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มตลาด โดยเพิ่มขึ้นจำนวน 7.78 % จากสัปดาห์ก่อนหน้า

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น 33.87 % นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 19.54 % จากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดต่อเนื่องในวันชาติของทั้ง 2 ประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาจำนวน 479,900 คน หรือเพิ่มขึ้น 6.77 % จากสัปดาห์ก่อนหน้า

ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาจำนวน 158,259 คน หรือเพิ่มขึ้น 10.98 % จากการเริ่มกลับมาเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 638,159 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 46,090 คน หรือ 7.78 % คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 91,166 คน

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ นักท่องเที่ยวจีน 160,474 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 33.87 %  นักท่องเที่ยวมาเลเซีย 85,240 คน ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6.43 % นักท่องเที่ยวอินเดีย 37,718 คน ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 17.46 % นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 37,541 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 19.54 % และนักท่องเที่ยวลาว 25,080 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 7.09 %

สำหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การมีวันหยุดในประเทศเกาหลีใต้ การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก่อนวันหยุดเนื่องในวันชาติจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top