Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

'แกนนำก้าวหน้า' แซะ!! ประเทศไหนพึ่งพา 'อาสาฯ-เงินบริจาค' ก็แปลว่าภาครัฐพึ่งพาไม่ได้ ไม่รู้จะเสียภาษีให้ไปทำไม

(13 ก.ย. 67) นายชำนาญ จันทร์เรือง แกนนำคณะก้าวหน้า ได้โพสต์รูปและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"ประเทศไหนที่พึ่งพาอาสาสมัครและเงินบริจาคจากประชาชนเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติแสดงว่าบริการสาธารณะของภาครัฐประเทศนั้นพึ่งไม่ได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเสียภาษีให้รัฐประเภทนี้ไปทำไม"

‘ไพบูลย์’ ฟ้อง!! 'หมาแก่-ช่อง 9' เรียก 50 ล้าน ระงับออนแอร์ 'เจาะลึกทั่วไทย' หลังปล่อยคลิปเสียงคล้ายคนบ้านป่า ทำคนเข้าใจผิด-เสื่อมเสียชื่อเสียง

(13 ก.ย. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวกรณีที่มีการนำเสนอคลิปหลุดเสียง 'ลุงบ้านป่า' ว่า ในสัปดาห์หน้าจะยื่นฟ้องดำเนินคดี นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้จัดรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand', รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเสียงของตน ทำให้ตนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และคลิปเสียงดังกล่าวมีที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ได้นำคลิปเสียงเผยแพร่ผ่าน รายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand' ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9

“จะยื่นฟ้องนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์, รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT ต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท และ ในวันจันทร์ที่ 16 กันยายนนี้ ผมจะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ที่เผยแพร่คลิปเสียงที่มีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพื่อขอให้ กสทช. มีคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ระงับการออกอากาศรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand' ตาม มาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์” นายไพบูลย์ กล่าว

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#4 สุดยอดปืนเล็กยาวตระกูล AK จาก Kalashnikov Group

ยังเป็นบ่ายวันแรก (12 สิงหาคม) หลังจากชมนานาสารพัดจรวดนำวิถีที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) แล้วทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินไปยังอาคารของบริษัท Kalashnikov Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนตระกูล AK ที่คนไทยรู้จักกันดี 

‘Mikhail Kalashnikov’ (1919 - 2013) ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK

ก่อนปี 2013 บริษัทนี้รู้จักกันในชื่อของ 'Izhevsk Machine-Building Plant' และได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น 'Kalashnikov Concern' เพื่อเป็นเกียรติแก่ ‘Mikhail Kalashnikov’ ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK บริษัท 'Kalashnikov' มีประวัติการก่อตั้งมายาวนาน 217 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Izhevsk ในเขต Udmurtia และกรุงมอสโกเมืองหลวง เป็นบริษัทมหาชนจำกัดออกแบบและผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์ของสหพันธรัฐรัสเซีย อาทิ อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและทหารหลากหลายประเภท เช่น อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจม อาวุธปืนสำหรับพลแม่นปืน ปืนกลอัตโนมัติประจำหมู่ ปืนยาวล่าสัตว์ ปืนลูกซอง ปืนใหญ่กระสุนนำวิถี และอาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น สถานีอาวุธควบคุมระยะไกล ยานยนต์ไร้คนขับ และหุ่นยนต์ทางการทหาร

ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK)

บริษัท Kalashnikov Concern ผลิตอาวุธปืนขนาดเล็กประมาณ 95% ของที่ผลิตทั้งหมดในสหพันธรัฐรัสเซีย และส่งออกไปยังกว่า 27 ประเทศทั่วโลก ทำให้เป็นผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK) ปืนกลเบา RPK ปืนไรซุ่มยิงกึ่งอัตโนมัติ Dragunov SVD ปืนเล็กสั้นกึ่งอัตโนมัติ SKS ปืนพก Makarov PM ปืนลูกซอง Saiga-12 และปืนกลมือ Vityaz-SN และ PP-19 Bizon อาวุธปืนเหล่านี้ ยกเว้น SVD, SKS และ PM ล้วนพัฒนาขึ้นจากอาวุธปืนตระกูล AK อันโด่งดัง ซึ่งตัวเลขโดยประมาณของปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูลนี้น่าจะมากกว่า 100ล้านกระบอก อันเนื่องมาจากความน่าเชื่อถือในเรื่องของความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถหาซื้อได้ในเกือบทุกภูมิภาค (เนื่องจากเป็นอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมที่มีการผลิตเลียนแบบมากที่สุด) และใช้งานง่าย 

อุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหารผลิตโดย Kalashnikov

ปัจจุบันบริษัทผลิตอาวุธปืนอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ 'Kalashnikov' (อาวุธปืนสำหรับการสงครามและพลเรือน) 'Baikal' (อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและล่าสัตว์) และ 'Izhmash' (ปืนเล็กยาวสำหรับการกีฬา) บริษัทกำลังพัฒนาสายธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึง ยานติดอาวุธปืนไร้คนขับ ยานพาหนะทางอากาศและภาคพื้นดิน และเรืออเนกประสงค์เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ ตลอดจนอุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหาร เกราะปฏิกิริยาต้านแรง (Explosive Reactive Armor : ERA)

แผ่นเกราะชนิดต่าง ๆ และเกราะปฏิกิริยาต้านแรงระเบิด (Explosive Reactive Armor : ERA)

อาสาสมัครทหารพรานกับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม.

สำหรับประเทศไทย กองทัพบกก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของ Kalashnikov โดยมีการจัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครทหารพราน และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้จัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครรักษาดินแดน

อาสาสมัครรักษาดินแดน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม.

ปัจจุบัน กองทัพของสหพันธรัฐเซียใช้อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-12 ขนาด 5.45x39 ม.ม. เป็นอาวุธปืนประจำกาย

'นายกฯ' อัญเชิญพระราชกระแส ‘ในหลวง ร.10’ ทรงห่วงใยประชาชน-พระราชทานกำลังใจจิตอาสา

(13 ก.ย. 67) ที่ จ.เชียงราย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พายุไต้ฝุ่นยางิ (Yagi) ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยอย่างรุนแรงในบริเวณพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา อีกทั้งเกิดเหตุดินสไลด์ในบริเวณพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน บาดเจ็บ และเสียชีวิต รวมถึงเกิดความเสียหายแก่บ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมากนั้น

นายกฯ กล่าวต่อว่า การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแส ทรงห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าว และมีพระราชกระแสทรงชื่นชม และพระราชทานกำลังใจ แก่จิตอาสาจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐภาค เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งต่างเสียสละกำลังกาย กำลังปัญญา และกำลังทรัพย์ มาร่วมกันปฏิบัติการให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย แม้การช่วยเหลือจะเป็นไปอย่างยากลำบากท่ามกลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว และข้อจำกัดต่าง ๆ แต่จิตอาสาภาคส่วน ต่างร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มกำลัง ด้วยความรักความปรารถนาดีต่อกัน เป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที สามารถบรรเทาสถานการณ์ให้คลี่คลายลงตามลำดับ

‘สภานักศึกษา มธ.’ มีมติมอบรางวัล ‘จารุพงษ์ ทองสินธุ์’ ให้ ‘บุ้ง เนติพร’ พร้อมยกย่อง!! ในฐานะ ‘ผู้ที่เคลื่อนไหวเรียกร้อง – ปกป้องประชาธิปไตย’

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมติให้ 'เนติพร เสน่ห์สังคม' ได้รับรางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อประชาธิปไตย ประจำปี 2567

รางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อประชาธิปไตย คือรางวัลโดยสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มอบให้แก่ผู้ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องและปกป้องประชาธิปไตย เช่นเดียวกันกับจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อนและพี่ของเราที่ได้สละชีวิตต่อความอยุติธรรมและความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 

โดยจะมีการมอบรางวัลในงานรำลึก 48 ปี 6 ตุลาฯ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ มอง!! การเติบโตเศรษฐกิจไทย ไม่ควรล่า ‘GDP’ แบบเดิมอีกต่อไป เผย!! ควรเน้นการเติบโตจากท้องถิ่น ชี้!! นี่คือ ‘กุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน'

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา ‘Big Heart Big Impact สร้างโอกาสคนตัวเล็ก..Power of Partnership จับมือไว้ไปด้วยกัน’ ที่จัดโดยสำนักข่าว Thaipublica ในหัวข้อ ‘สร้างไทยเข้มแข็งด้วยท้องถิ่นนิยม Localism Future of Thailand’ ว่า ประเทศไทยจะเติบโตแบบเดิมๆ ไม่ได้อีกต่อไป ต้องหารูปแบบการเติบโตใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากที่เราเคยเติบโต

ตัวสะท้อนที่เห็นชัด ว่าเราจะเติบโตแบบเดิมไม่ได้ ด้านแรก หากดูในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของจีดีพี ถือว่าไม่ได้สะท้อนเรื่องของความมั่งคั่งหรือรายได้ของครัวเรือนเท่าที่ควร 

โดยเฉพาะหากมองไปข้างหน้า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นแม้ตัวเลขจีดีพีเติบโต แต่ไม่ได้หมายความว่า รายได้หรือความมั่งคั่งของครัวเรือนหรือรายได้ต่างเพิ่มขึ้น 

ด้านที่สอง ในมุมของภาคธุรกิจ เห็นการกระจุกตัวค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนาดใหญ่ที่อยู่ที่ 5% แต่มีสัดส่วนรายได้สูงถึงเกือบ 90% เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 84-85%

สะท้อนการกระจุกตัวของรายได้ธุรกิจที่เพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำ หากดูธุรกิจรายเล็กที่เพิ่งเกิดใหม่ และมีการก่อตั้งธุรกิจมาน้อยกว่า 5 ปีหลัก มีอัตราการปิดกิจการ หรือการตายที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนถึง Dynamic ที่เริ่มลดลง สะท้อนการกระจุกตัวสูงขึ้น

ด้านที่สาม ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้อานิสงส์ที่ประเทศไทยเคยได้รับ ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะ การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศหรือ FDI ที่เข้ามาในประเทศ ที่ไทยหวังพึ่งแบบเดิมไม่ได้เหมือนเดิม หากดูมาร์เก็ตแชร์ของไทยเคยอยู่ที่ 0.57%  ซึ่งสูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาก แต่ปัจจุบัน FDI  เวียดนามแซงไทยไปมาก

สะท้อนให้เห็นว่าเราทำแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ไม่เหมือนอดีตที่เรามีเสน่ห์แม้เรานั่งเฉยๆ เขาก็วิ่งมาหาเรา แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป ดังนั้นประเทศไทยต้องปรับตัว ต้องออกแรงมากขึ้น จะหวังพึ่งต่างชาติไม่ได้เหมือนเดิม หมายความเราจำเป็นที่ต้องพึ่งความเข้มแข็งภายในของเรามากขึ้น

“เราไม่ควรโตแบบล่าตัวเลขอย่างเดียว ล่าจีดีพี ล่า FDI เพราะการเติบโตที่ผ่านมาก็ไม่ได้สะท้อนไปสู่เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ตัวเลขที่ต้องล่าคือ ชีวิตความเป็นอยู่ของคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้คน ความมั่งคั่งของคน ที่เป็นสะท้อนคุณภาพของชีวิตความเป็นอยู่ของคน เช่น ตัวเลขสาธารณสุข การศึกษา และโอกาสต่างๆ เพราะตัวเลขวันนี้ไม่ได้สวยหรูเหมือนเมื่อก่อน”

ดังนั้นการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น เข้มแข็งกว่าเดิม หรือเติบโตบนรูปแบบใหม่ ต้องอาศัยหลายๆ เรื่อง ภายใต้ More Local 

ด้านแรก เน้นการเติบโตแบบท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประชากร 80% อยู่นอกพื้นที่ กทม./ปริมณฑล

ซึ่งต้องสร้างความมั่งคั่งนอกพื้นที่ และด้านที่สอง ธุรกิจประมาณ 80% อยู่นอกพื้นที่ กทม./ปริมณฑล ซึ่งหากดูสัดส่วนประชากรเมืองหลวง และเมืองรองมีช่องว่าง (Gap) มหาศาล และด้านที่สาม จากตัวเลข World Bank

สะท้อนว่าการเติบโตจีดีพีสูง แต่การเติบโตของประชากรเพียง 0.22% เท่านั้น 

อย่างไรก็ดี การเติบโตแบบท้องถิ่น จะต้องโตแบบแข่งขันได้ และเป็นการแข่งขันกับโลกได้ด้วย ไม่เฉพาะแข่งขันเฉพาะจังหวัดเท่านั้น แต่การเติบโตที่แข่งขันได้ ต้องก้าวข้ามหลายด้าน 

ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือของที่ไม่ใช่

ด้านแรก การเติบโตโดยอาศัยความหนาแน่นของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เริ่มส่งผลกระทบ จากความหนาแน่นเหล่านี้แล้ว ทั้งความแออัด ต้นทุนที่สูงขึ้น ที่เริ่มเห็นจีดีพีต่อหัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ชะลอตัวลง 

ด้านที่สอง นโยบายที่เน้นการกระจายความเจริญไปพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เช่น การพยายามไปพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ  หรือ Special Economic Zone  เพื่อดึงดูดความมั่งคั่งการลงทุนต่าง ซึ่งจากการทำมาตั้งแต่ ปี 2558 พบว่ามีมูลค่าลงทุน หากเทียบกับสัดส่วนของมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในประเทศทั้งหมด ที่พบว่าอยู่เพียง 0.5% หรือไม่ถึง1%  ดังนั้นแม้นโยบายเหล่านี้ เป็นเจตนารมณ์ที่ดีของนโยบายรัฐ เพื่อหวังให้เกิดการกระจายความเจริญ แต่หากไม่ได้ศักยภาพต่างๆ นโยบายพวกนี้อาจเป็นนโยบายที่ไม่ใช่ 

ส่วนสิ่งที่ ‘ใช่’ คือ การสร้างท้องถิ่นสากลให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน จุดเด่นแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ทั้งทรัพยากร และประวัติศาสตร์ แต่จะต้องแข่งขันกับโลกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ แต่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยการที่ทำให้ท้องถิ่นสากลได้ ต้องมี 5-6 เรื่อง 

1.เชื่อมกับตลาด แต่จากท้องถิ่นที่ไม่หนาแน่น กระจายไม่เยอะ ทำให้ต้นทุนจะต่ำได้น้อยมาก แต่กระแสออนไลน์จะทำให้การเชื่อมกับตลาดได้ง่ายขึ้น

2.สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการหาจุดเด่น และเอกลักษณ์ 

3.ร่วมมือกับพันธมิตร (Partner) จะช่วยได้ โดยตัวเล็กจับมือกับตัวใหญ่ เพื่อสร้างโอกาสที่เป็น Win-Win

4.ทำให้เมืองรองโต ทำให้เกิดการเข้าถึงเมืองรอง สร้างการกระจุกตัวในเมืองใหม่ ๆ 

5.ให้ท้องถิ่นบริหารจัดการเองได้ เพราะอะไรที่จากส่วนกลางแบบ One size fits all จะไม่เหมาะกับทุกพื้นที่ เช่น ต่างประเทศที่พัฒนาได้ดี อาทิ เกาะเจจู ของเกาหลีที่ให้พื้นที่ออกนโยบายเอง ทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์

6.สร้างระบบติดตาม ประเทศที่ทำได้ดี คือ เวียดนาม ที่มีการคำนวณความสามารถในการแข่งขันในแต่ละจังหวัด และแต่ละพื้นที่ โดยมีการสำรวจความเห็นนักลงทุนถึงกฎระเบียบการลงทุน และอุปสรรคมีอะไรบ้าง เพื่อพยายามให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน 

‘กองทัพเรือภาคที่ 3’ รวมน้ำใจ ชาวภูเก็ต ภาครัฐ-เอกชน ส่ง!! ของกิน-ของใช้-กำลังใจ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย

(14 ก.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เสียงจากทหารเรือ’ ได้โพสต์เรื่องราวดีดี เกี่ยวกับความมีน้ำใจของคนใต้ โดยได้ระบุว่า ...

กองทัพเรือภาคที่ 3 ได้จัดกำลังพลร่วมภาครัฐ และเอกชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตส่งกำลังใจ และสิ่งของอุปโภค บริโภค ที่ประชาชนชาวภูเก็ตได้นำมาบริจาคเพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้เปิดรับบริจาคมาตั้งแต่ 09.00 ของวันที่ 12 กันยายน จนถึงเวลา 18.30 น.

ซึ่งกำลังพลทัพเรือภาคที่ 3 ร่วมช่วยลำเลียงสิ่งของอุปโภค บริโภคขึ้นรถหกล้อ เพื่อออกเดินทางไปยังจังหวัดเชียงราย เพื่อส่งมอบให้กับชาวจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้

ทั้งนี้ ข้าราชการ พนักงานราช ลูกจ้าง และทหารกองประจำการ ขอส่งมอบกำลังใจให้แกพี่น้องชาวจังหวัดเชียงรายที่ได้รับความเดือดร้อน ให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2567 : ‘คนรวย’ ทำบุญด้วยอะไร?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘คนรวยทำบุญด้วยอะไร?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

👍 คำถาม: ‘คนรวย’ ทำบุญด้วยอะไรถึงรวย?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): คำถามนี้จะตอบแบบลึก ๆ ฉะนั้นต้องเปิดใจให้กว้าง ในเรื่องของสมบัติ ความร่ำรวย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 4 แบบ ดังนี้

บุคคลแบบที่ 1 ในอดีตชาติ เวลาทำบุญ (คนไทยจะเข้าใจว่าเป็นการบริจาค เลี้ยงพระ ถวายอาหาร ใส่บาตร แต่จริง ๆ มีมากกว่านั้น) ถ้าทำบุญด้วย ‘ทรัพย์’ (วัตถุทาน) แต่ไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด ทำกันเองภายในครอบครัว เกิดชาติต่อไปก็จะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย มีอันจะกิน มีทรัพย์พร้อม แต่จะไม่มีบริวารสมบัติ คือไม่มีพี่น้อง ไม่มีลูก รวยอยู่คนเดียว โดดเดี่ยว เพราะไม่ได้เชิญชวนใครมาทำบุญ

บุคคลแบบที่ 2 ในอดีตชาติ เป็นคนไม่ค่อยมีทรัพย์ หรือมีน้อย ทำบุญด้วยทรัพย์ที่น้อย แต่ชวนคนอื่นทำบุญเสมอ พอไปเกิดในอีกชาติอีกภพ ก็จะเกิดในครอบครัวปานกลาง ค่อนไปทางแย่ ไม่ค่อยมีทรัพย์สมบัติ มีแต่บริวารสมบัติมาก

บุคคลแบบที่ 3 เป็นคนที่ไม่ทำบุญ และไม่ชวนใครทำบุญ ร้ายไปกว่านั้นยังเหน็บแนมคนทำบุญอีก เมื่อไปเกิดในอีกชาติภพก็จะเป็นคนอนาถา เช่น ยากจน ถูกทิ้ง ไม่มีคนข้างกาย พี่น้องก็ไม่มี เรียกว่าไม่มีใครเอา

บุคคลแบบที่ 4 ทำบุญตามสมบัติที่ตนเองมี เชิญชวนผู้อื่นมาทำบุญ เคารพใคร รักใคร ก็เชิญชวนมาร่วมทำบุญ ทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ส่งผลให้เมื่อไปเกิดในชาติต่อไป ก็จะมีสมบัติ มีบริวารสมบัติ ตามสิ่งที่เขาทำมา 

ดังนั้นการที่คนไทยทำบุญ แล้วมีการเชิญชวนผู้อื่นมาทำบุญ ก็เปรียบเสมือนทำตามพุทธพจน์ข้อที่ 4 (บุคคลแบบที่ 4) เพราะการบอกบุญไม่ใช่การรบกวน ทั้งเขาและเรา 

มาถึงคำถามที่ว่าคนรวยทำบุญด้วยอะไร? เขาก็ทำตามอย่างใน 4 ข้อที่ได้กล่าวไปข้างต้น

ยกตัวอย่างเช่น ชาวจีนโพ้นทะเลที่ล่องเรือมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยก่อนนี้ ตอนมาก็อาจจะไม่มีอะไรติดตัว ไม่มีสมบัติ แต่จริง ๆ เขามีสมบัตินะ นั่นคือ มือ เท้า ร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีธรรมะติดตัวมา คือความกตัญญู ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต และถ้าให้เปรียบถึงอดีตชาติ คนกลุ่มนี้ก็อาจจะเป็นคนมีทรัพย์น้อย ทำบุญน้อย แต่มีกัลยาณมิตรดี คบเพื่อนดี ได้สวดมนต์ ภาวนา ทำสมาธิ มีสติ

ลองสังเกต เราจะเห็นว่าคนรวยจำนวนมาก มีปัญญาทุกคน ยังไม่เห็นคนรวยที่ไหนโง่เลย

ขอฝากข้อคิดอย่างหนึ่งคือ ‘อย่าคิดรวยทางลัด’ พึ่งโชค พึ่งดวง แบบนี้ไม่สนับสนุน

👍 คำถาม: แล้วคนที่ถูกหวย ลอตเตอรี่ ทำบุญอะไรมา? หรือเป็นเพราะความบังเอิญ?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ตัดเรื่องความบังเอิญทิ้งไป ไม่มีศาสนาไหนสอนเรื่องความบังเอิญ ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง มีแต่เหตุทั้งนั้น

สมมติว่าถูกรางวัลที่ 1 แสดงว่าเขาต้องเคยได้ทำบุญไว้ในอดีต ได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรือได้ทำบุญกับพระอรหันต์ แต่เขาก็ทำบาปเหมือนกัน ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาในชาติที่ยากจน แต่วันหนึ่งที่ผลแห่งทานที่เคยทำมันถึงเวลาให้ผล เขาก็จะได้รับผลนั้น อย่าคิดว่าโชคดี ไม่ใช่เรื่องโชค แต่เป็นเรื่องของการกระทำและผลบุญที่สั่งสมไว้

‘หมออั้ม’ โพสต์เฟซ ‘3 ประโยค’ ได้ใจชาวเชียงราย ชี้!! ‘อุ๊งอิ๊ง’ มี วุฒิภาวะนายกรัฐมนตรี

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67)  ‘หมออั้ม’ อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องชื่อดังและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมระบุข้อความว่า ...

‘เอามือลง ไม่ต้องไหว้’
‘ไม่เหลืออะไร ยังเหลือชีวิต’
‘ทุกคนส่งกำลังใจมา ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน’
นี่คือ 'วุฒิภาวะนายกรัฐมนตรี'

โคตรแตกต่าง กับอ้ายอีหน้าคีย์บอร์ด
ที่ทำแบบนางไม่ได้ ‘ทุกตรง..ของชีวิต’
แต่คอยหาเรื่องแซะด่าเขา คอยด่าลับหลัง
แม้แต่แคปชันมินิฮาร์ท ที่นักข่าวถ่าย ยังเอาไปแขวะ

อันนี้น่าสมเพชนะ ดูสันดานคนออกเลย

16 กันยายน พ.ศ. 2465 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 6’ พระราชทานที่ดินทรงสงวนที่สัตหีบ ก่อสร้าง ‘ฐานทัพเรือ’ เพื่อดูแลผลประโยชน์ชาติทางทะเล

วันนี้ เมื่อ 102 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ ตามที่นายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ได้ขอพระราชทาน

ย้อนไป เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2465 หรือ 102 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ ตามที่นายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ได้ขอพระราชทาน และกองทัพเรือสร้างฐานทัพเรือที่สัตหีบ ตามพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ

ฐานทัพเรือสัตหีบ เริ่มก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2457 ขณะที่เสด็จประพาสทางชลมารคเลียบฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี พระองค์ได้เสด็จฯ มาประทับในอ่าวสัตหีบ เพื่อทอดพระเนตรการซ้อมรบของกองทัพเรือด้วย

ในการเสด็จคราวนั้นพระองค์ได้ทอดพระเนตรหมู่บ้านสัตหีบ เห็นว่า เป็นชัยภูมิอันเหมาะที่จะตั้งเป็นฐานทัพเรือ จึงได้มีพระบรมราชโองการด้วยพระโอษฐ์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2457 แก่พระยาราชเสนาผู้แทนสมุหเทศาภิบาล มณฑลจันทบุรี และพระยาประชาไศรยสรเดช ผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี

ขณะทรงประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งว่า มีพระราชประสงค์ที่ดินฝั่งตำบลสัตหีบ และที่ใกล้เคียงตลอดทั้งเกาะใหญ่น้อยบรรดาที่มีอยู่ริมฝั่งน้ำ อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับใบเหยียบย่ำ หรือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินบนฝั่ง หรือเกาะที่สงวนไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด

ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2465 พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขณะที่ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ได้มีหนังสือไปกราบถวายบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานที่ดินตำบลสัตหีบที่ทรงสงวนไว้เพื่อจัดเป็นฐานทัพเรือ โดยทรงเน้นให้เห็นคุณและโทษ ของการจัดสัตหีบเป็นฐานทัพเรือไว้

ต่อมาทางกองทัพเรือจึงได้ก่อสร้างฐานทัพเรือ จนมาเป็นฐานทัพเรือสัตหีบ จวบจนถึงปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top