Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

อีกหนึ่งแรงสำคัญ!! 'กลุ่ม ปตท.' เร่งส่งมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อเนื่อง หลังให้การช่วยเหลือผู้คนในภาคเหนือมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม

(13 ก.ย. 67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน ปล่อยรถบรรทุกถุงยังชีพไปยัง จ.เชียงราย เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งสถานการณ์ยังคงวิกฤต 

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ได้ทยอยส่งมอบความช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในภาคเหนืออย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม รวมมูลค่ากว่า 8.8 ล้านบาท ประกอบด้วย ถุงยังชีพ 16,350 ถุง น้ำดื่ม 64,700 ขวด ยารักษาโรค ผ้าห่ม เรือพาย และก๊าซหุงต้มเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร โดย กลุ่ม ปตท. ได้ส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบภัย จ.เชียงราย, แพร่, น่าน, พะเยา, พิษณุโลก และสุโขทัย ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านหน่วยงานภาครัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และส่งทีมปฏิบัติการ PTT Group SEALs ลงพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง เพื่อมอบถุงยังชีพ อพยพประชาชน เร่งบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์วิกฤต อันเป็นพันธกิจสำคัญที่ กลุ่ม ปตท. ยึดถือปฏิบัติเสมอมาในการช่วยเหลือดูแลสังคมและชุมชน 

‘รอยยิ้มกังฉิน’ สิ้นชื่อ!! เมื่อชาวเน็ตจีนลุกฮือล้วงอดีตฉาว สะท้อน!! คอร์รัปชันเหนือความดี แม้กฎหมายจะแรง...แต่กล้าเสี่ยง

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ที่มณฑลซานซี ประเทศจีน เมื่อมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ยืน ‘ยิ้ม’ ท่ามกลางสาธารณชนอยู่ในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าวมากถึง 36 ราย ใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงทำให้ชาวเน็ตชาวจีนที่มี ‘อารมณ์อ่อนไหว’ ได้พากันเร่งรีบตรวจสอบประวัติส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รายนี้

ในเวลาไม่ถึง 5 วัน ชาวเน็ตชาวจีนได้รวบรวมนาฬิกายี่ห้อต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนนี้สวมใส่ในที่สาธารณะ รวมทั้งหมด 11 ยี่ห้อ โดยมีราคาตั้งแต่ 10,000 หยวนถึง 500,000 หยวน ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนทั่วไปไม่น่าที่จะซื้อหามาครอบครองได้

2 วันต่อมา นักศึกษาวิทยาลัยในท้องถิ่นได้ยื่นคำร้องขอการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลต่อกรมการคลังของจังหวัด โดยขอรายการเงินเดือนประจำปี 2011 และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของ ‘เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ยิ้มแย้ม’ จากอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ยิ้มแย้มได้ปฏิเสธ โดยอ้างว่านาฬิกาทั้งหมดของเขาซื้อโดยใช้รายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (นั่นคือตอนที่รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง)

หลังจากที่ ‘เจ้าหน้าที่ผู้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม’ ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี ผู้คนจึงได้ตระหนักว่าเขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้มโดยธรรมชาติ รอยยิ้มของเขาเป็นการแสดงออกบนใบหน้าตามปกติธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ชายคนนี้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มนาฬิกา’

ภาพนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของการทุจริตของรัฐบาล เมื่อ ‘หลี่เค่อเฉียง’ นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมเดินทางไปด้วย การแสดงออกของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้นี้เป็นการบอกว่า "ไม่ ผมไม่ได้ใส่นาฬิการาคาแพง" ซึ่งทำให้ชาวเน็ตจีนก็พากันขุดเอาภาพเก่า ๆ ของเขาขึ้นมา และพบว่าเขามีนาฬิการาคาแพงจริง ๆ หลายเรือน ต่อมาชายคนนี้ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีเช่นกัน ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มไม่มีนาฬิกา’

หากแบ่งแบบคร่าว ๆ แล้ว การทุจริตคอร์รัปชันที่พบได้ทั่วไปในประเทศจีน มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ การทุจริต / การแสวงหาผลประโยชน์ และ การยักยอกเอาทรัพย์สินของชาติ (หาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่)

>> การทุจริตเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ประกอบไปด้วย การติดสินบน คือ การให้สินบนที่ผิดกฎหมาย / การยักยอกทรัพย์และการขโมยเงินของรัฐ / การทุจริตเกี่ยวข้องกับสิ่งของมีค่าที่มอบให้และยอมรับโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ซื่อสัตย์หรือผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างฉ้อฉลหรือใช้เงินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง

>> ส่วนการแสวงหาผลประโยชน์ หมายถึง พฤติกรรมทุจริตทุกรูปแบบ โดยบุคคลที่มีอำนาจผูกขาด-เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้รับ ‘ส่วย’ ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มเติมอันเป็นผลจากตลาดที่ถูกจำกัด ด้วยการให้ใบอนุญาตหรือการผูกขาดแก่ลูกค้า และการแสวงหาผลประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่มอบค่าเช่าให้กับผู้ที่สนับสนุนพวกเขา ซึ่งกรณีนี้จะคล้ายกับการคอร์รัปชันของจีน ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นทั้งผู้หาผลประโยชน์และผู้แสวงหาผลประโยชน์ โดยทั้งคู่จะมีลักษณะของการสร้างโอกาสในการหาผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น และแสวงหาโอกาสดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของตนเอง ซึ่งอาจรวมถึงการแสวงหากำไรโดยเจ้าหน้าที่หรือบริษัทของเจ้าหน้าที่ การกรรโชกในรูปแบบของการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย

>> การหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ หมายถึง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะได้รับสิทธิพิเศษและ

ผลประโยชน์ผ่านตำแหน่งนั้น ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าหรือการชำระเงินสำหรับกิจกรรมจริงหรือปลอม และองค์กรต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนจากสถานที่ทำงานเป็น ‘ธนาคารทรัพยากร’ ซึ่งบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ แสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง คอร์รัปชันนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเงิน แต่รวมถึงการแย่งชิงสิทธิพิเศษของทางการ การทำข้อตกลงลับ การอุปถัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้เส้นสาย

ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่ทำให้ชาวเน็ตจีนยังคงเฝ้าติดตามการทุจริตต่อไป

'ท่านอ้น' ถึงเชียงราย ร่วมช่วยภัยน้ำท่วม 'ขนน้ำ-ทำกับข้าว' แจกจ่ายช่วยผู้ประสบภัย

(13 ก.ย. 67) ท่านชายวัชเรศร วิวัชรวงศ์ หรือ 'ท่านอ้น' โอรสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โพสต์ภาพการเดินทางไปยังจังหวัดเชียงราย ผ่านเฟซบุ๊ก 'Vacharaesorn Vivacharawongse' เพื่อช่วยเหลือผู้ ประสบภัย ระบุว่า...

“มาถึงเชียงราย เตรียมน้ำและอาหารมาให้พี่น้องที่ประสบภัย ให้กำลังใจผู้ที่ทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย”

‘ปิยสวัสดิ์’ เผยสถานะ ‘การบินไทย’ จ่อยื่นขอพ้นแผนฟื้นฟูกิจการ ในปี 68 ย้ำ!! ไม่กลับเป็น ‘รัฐวิสาหกิจ’ อีก มุ่งบริหารแบบคล่องตัว-ไร้การแทรกแซง

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าว ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ได้เผยแพร่บทความบทสัมภาษณ์ของ ‘นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถึงทิศทางดำเนินงานหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยระบุว่า เป็นเวลา 4 ปี ที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 63 ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 65

ปัจจุบันการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูแล้วเสร็จต่อเนื่องทั้งการปรับโครงสร้างองค์กร คุมรายจ่าย ปรับลดพนักงานจาก 30,000 คน เหลือ 15,000 คน และปัจจุบันปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 17,000 คน ซึ่งเป็นอัตราที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้จำนวนเครื่องบินที่มี 79 ลำในปี 2567 และจะเพิ่มต่อเนื่องถึง 100 ลำ

ขณะเดียวกันการบินไทยทำตามเงื่อนไขเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยกำหนดผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการที่ต้องแล้วเสร็จรวม 4 เงื่อนไข ได้แก่ 

1.การเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยต้องดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุน และได้รับสินเชื่อใหม่ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผน และมีจำนวนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ

2.ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ไม่ผิดนัดชำระหนี้ได้ติดต่อกัน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วย 

3.มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าซื้อเครื่องบิน เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ใน 2 ปีก่อนจะรายงานผลสำเร็จของแผนฟื้นฟู

4.การแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น

“ผลการดำเนินงานขณะนี้กลับมาเป็นบวก กำไรปีก่อนดีที่สุดเท่าที่เคยดำเนินธุรกิจมา และเงื่อนไข EBITDA ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ก็ทำได้แล้ว เหลือเพียงการทำให้ส่วนทุนเป็นบวก ซึ่งเตรียมออกหุ้นกู้ แปลงหนี้เป็นทุน ถ้าทำได้เรียบร้อยจะทำให้ได้เงิน 8 หมื่นล้านบาท และส่วนทุนกลับมาเป็นบวก”

>>เตรียมยื่นไฟลิ่งเข้าซื้อขายตลาดหุ้น

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่องและทำให้บรรลุเงื่อนไข EBITDA ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะนี้การบินไทยอยู่ช่วงฟื้นฟูกิจการขั้นสุดท้ายที่ต้องทำให้ส่วนทุนเป็นบวก 

โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายใน 30 ก.ย.นี้

หลังจากนั้นภายในเดือนพ.ย.2567 จะเริ่มกระบวนการใช้สิทธิ และแจ้งเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้แต่ละกลุ่ม และภายในเดือนธ.ค.2567 จะเข้าสู่กระบวนการเสนอขาย และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน สำหรับผู้ถือหุ้นก่อนบริษัท เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ พนักงานบริษัท และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement : PP)

รวมทั้งหลังเริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างทุน ซึ่งจะทำให้การบินไทยมีส่วนทุนเป็นบวกนั้น อาจต้องใช้เวลา 2 เดือน เพื่อตรวจสอบงบการเงิน และประกาศงบการเงินงวดปี 2567 ในช่วงเดือนก.พ.2568 หลังจากนั้นจะเริ่มยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และหุ้นของบริษัท กลับเข้าซื้อขายใน ตลท.ภายในไตรมาส 2 ปี 2568

>>การบินไทยเดินหน้าแปลงหนี้เป็นทุน

สำหรับการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการแบ่งเป็น การแปลงหนี้เป็นทุน ด้วยราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น โดยมาจากเงินต้นเจ้าหน้าที่ตามแผนแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบด้วย เจ้าหนี้กลุ่มกระทรวงการคลัง แปลงหนี้สัดส่วน 100% ของมูลหนี้เป็นทุน

เจ้าหนี้กลุ่ม 5 (สถาบันการเงินที่มีสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินจากการขายเครื่องบิน), เจ้าหนี้กลุ่ม 6 (สถาบันการเงินไม่มีประกัน) และเจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 (เจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้) แปลงหนี้สัดส่วน 24.50% ของมูลหนี้เป็นทุน และส่วนเจ้าหนี้กลุ่ม 5-6 และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ ยังแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมคิดเป็นไม่เกิน 75.50%

ขณะเดียวกันกรณีเจ้าหนี้ใช้สิทธิตามข้อ 2 ไม่ครบ การบินไทยจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนด้วยราคาเสนอขายเป็นไปตามที่ผู้บริหารแผนกำหนด โดยไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาทต่อหุ้น มีจำนวน 9,822 ล้านหุ้น บวกกับจำนวนหุ้นที่เหลือจากสิทธิตามข้อ 2 โดยเสนอขายเป็นตามลำดับ ประกอบด้วย ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน หลังจากนั้นเสนอขายส่วนที่เหลือให้พนักงานการบินไทย และส่วนที่เหลือเสนอขายให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง รวมจำนวนหุ้นจากการปรับโครงสร้างทุนไม่เกิน 31,500 ล้านหุ้น

>>ไม่ควรกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจ

ทั้งนี้ หลังปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังลดจาก 48% เหลือ 30-40% แน่นอนว่าสถานะการบินไทยจะไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีก ซึ่งจะทำให้บริหารธุรกิจคล่องตัว ทำงานเต็มที่ และไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก

นอกจากนี้แม้กระทรวงการคลังจะซื้อหุ้นเพิ่มเติมหลังกลับเข้าซื้อขายใน ตลท.ได้ แต่ไม่ควรทำเช่นนั้นเพราะจะทำให้กลับไปเป็นแบบเดิม บริษัทต้องบริหารงานภายใต้การให้ความสำคัญข้อกฎหมาย และกฎระเบียบรัฐที่ใช้เวลาเกิน 50% ของการประชุมต้องพิจารณากฎระเบียบ ขณะที่ปัจจุบันเวลาส่วนใหญ่กว่า 95% พิจารณาประเด็นธุรกิจ ดังนั้นสถานะปัจจุบันจึงคล่องตัวมากกว่า

อีกทั้งเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ต้องการให้การบินไทยอยู่สถานะบริษัทเอกชน เพราะต้องการให้บริหารงานแบบที่เป็นอยู่เพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง และมีความสามารถ ในการจ่ายคืนหนี้ อีกทั้งเพื่อทำให้การบินไทยมีผู้ถือหุ้นหลากหลายและมีความเชี่ยวชาญทางธุรกิจมากขึ้น

“การเปิดขายหุ้นให้กลุ่ม PP เป็นแนวทางที่จะทำให้การบินไทยมีผู้ลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะจะมีผู้ถือหุ้นที่เชี่ยวชาญด้านการบินเข้ามา เพราะไม่อยากเห็นการบินไทยเป็นแบบเดิม คิดแบบราชการ การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปด้วยการวิ่งเต้น ถ้าได้ผู้ถือหุ้นมีความรู้ด้านการบินนับเป็นเรื่องที่ดีกว่า”

ทั้งนี้ การบินไทยเริ่มเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มที่จะเสนอขายให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นทุนต่างชาติ และอยู่ในธุรกิจสายการบิน เพราะปัจจุบันในไทยไม่มีสายการบินใดที่บริหารกิจการ และทำรายได้ดีกว่าการบินไทย ดังนั้นต้องหาพันธมิตรจากต่างประเทศ คาดว่าได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ แต่จะซื้อหุ้นในสัดส่วนเท่าไรต้องรอดูจำนวนหุ้นที่เหลือจากการแปลงหนี้เป็นทุน

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า บทเรียนความผิดพลาดที่การบินไทยจะไม่กลับไปดำเนินการอีก ประเด็นสำคัญคือ เรื่องคน การเอาคนมาบริหารองค์กรต้องเป็นคนที่ทำงานได้ เพราะหากผู้บริหารไม่เก่ง ได้ตำแหน่งมาจากการวิ่งเต้น และการแทรกแซง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะกลับไปเป็นการบินไทยแบบเดิม ดังนั้นต้องดูเรื่องนี้ให้ดี เพราะไม่อยากให้การบินไทยกลับไปซ้ำรอยเดิม

‘ลาว’ เตือน!! น้ำท่วม หลัง ‘แม่น้ำโขง’ เพิ่มสูง พื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายของไปยังที่ปลอดภัย

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยว่า หน่วยงานสภาพอากาศของลาว ได้ประกาศเตือนน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำของแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาสายหลักยังคงเพิ่มขึ้นตามฝนที่ตกหนักหลายวันทั่วลาว พร้อมเตือนสาธารณชนในพื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายสิ่งของไปยังที่ปลอดภัย

สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของลาว ระบุว่าระดับน้ำของแม่น้ำโขงที่แขวงหลวงพระบางในวันพฤหัสบดี (12 ก.ย.67) อยู่ที่ 19.02 เมตร ซึ่งสูงเกินระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 18 เมตร

ขณะระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงอุดมไซอยู่ที่ 29.90 เมตร ซึ่งสูงเกินเกณฑ์เตือนภัยที่กำหนดไว้ 29 เมตร และเกือบแตะระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 30 เมตร ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงไชยบุรีอยู่ที่ 13.95 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (15 เมตร) และระดับอันตราย (16 เมตร)

ด้านระดับน้ำของแม่น้ำโขงในเมืองปากซันของแขวงบอลิคำไซอยู่ที่ 11.15 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (13.50 เมตร) และระดับอันตราย (14.50 เมตร) ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในนครหลวงเวียงจันทน์อยู่ที่ 11.45 เมตร ซึ่งเกือบแตะเกณฑ์เตือนภัย (11.50 เมตร) และระดับอันตราย (12.50 เมตร)

ทั้งนี้ ภาคเหนือของลาวกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี หลังจากพายุโซนร้อนยางิทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องจนแม่น้ำหลายสายมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นและเอ่อล้นตลิ่ง โดยบรรดาหน่วยงานรัฐบาลลาวเร่งจัดสรรยานพาหนะและความช่วยเหลืออื่นๆ เข้าช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของและปศุสัตว์

'เจ้าของร้านยำ' แชร์อุทาหรณ์ โดนเก็บภาษีย้อนหลังอ่วม 6 ปี 2.5 ล้านบาท 'ยอมรับสภาพ-ไม่โทษใคร' พร้อมเข้าถกสรรพากรเคลียร์หนี้ตามสเต็ป

(13 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปอุทาหรณ์ประสบการณ์การเรียกภาษีย้อนหลัง เจ้าของร้านยำชื่อดัง 'ยำยำ บาย ฟร้องซ์' ซึ่งมีผู้ติดตาม ช่องติ๊กต็อก 'frong_1571' กว่า 2.7 ล้านคน ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ที่ตนเองโดนภาษีย้อนหลัง 6 ปี จำนวนเงิน 2.5 ล้านบาท

ฟร้องซ์ ได้อัดคลิปอธิบายเรื่องราวที่เกิดว่า ตอนนี้ยอมรับเลยไม่มีเงินที่จะจ่ายและเกิดภาวะเครียด ที่เว้นระยะหายไปจากการลงวิดีโอ ก็เพราะต้องไปจัดการเรื่องภาษี พูดตรง ๆ อาจถึงขั้นล้มละลายได้เลย เรื่องนี้ไม่ได้โทษใครนะ เพราะเราเป็นฝ่ายทำไม่ถูกต้องเอง ถ้าเกิดใครที่มีรายได้สูง ทุกคนจะต้องจ่ายภาษี ตอนนี้ที่โดนอยู่ก็หนักพอสมควร ได้เริ่มทยอยขายของออกไปบ้างเพื่อใช้หนี้ที่มี

แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการส่วนของหนี้ภาษี ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับสภาพหนี้ แล้วก็พยายามหาเงินมาจ่ายสรรพากรตามกำหนด ส่วนหนี้อื่น ๆ หนี้โรงงาน ก็ต้องเคลียร์ไปตามสเต็ป ยอมรับว่าเป็นอะไรที่แย่สุด ๆ

ฟร้องซ์ ยังเล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้ เคยขายของออนไลน์ เป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์หนึ่ง รับสินค้ามาในราคา 78 บาท ขายให้ตัวแทนอีกรายในราคา 79 บาท และสินค้าอีกตัวได้รับมา 105 บาท ขายต่อในราคา 110 บาท ซึ่งก็ไม่ได้มีกำไรเยอะ แต่เมื่อปี 65 ฟร้องซ์ได้รวบรวมเงินจากตัวแทนหลายคนส่งให้เจ้าของแบรนด์เป็นก้อน ซึ่งแน่นอนว่าอาจดูว่าบัญชีมีรายได้เยอะ ทางเจ้าหน้าที่สรรพากรมีข้อมูลพวกทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ฟร้องซ์ บอกว่าตอนนี้ได้มีการพูดคุยกับสรรพากร ได้ข้อสรุปแล้วจากเดิมที่ต้องจ่ายเกือบ 2.5 ล้าน นำเอกสารเข้าอธิบายที่มาของเงิน จึงได้ข้อสรุปว่าจะต้องจ่ายเงินจริงไม่สูงเท่าตอนแรก แบ่งเป็นค่าปรับประมาณ 1 ล้าน และค่า Vat 7% + เงินเพิ่ม + ดอกเบี้ย 1.5% เป็นกรณีที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินหน้าสู้ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเรื่องดังกล่าว เมื่อโพสต์ถูกแชร์ออกไป สังคมออนไลน์แห่เข้าไปคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ล้นหลาม พร้อมพากันส่งกำลังใจให้มองเรื่องนี้เป็นบทเรียนของชีวิต

'รมว.เอกนัฏ' สั่งพักหนี้ SME ที่ได้รับผลกระทบทันที พร้อมสั่งการจัดส่งถุงยังชีพเพิ่มช่วยผู้ประสบภัย

(13 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยรุนแรงในพื้นที่ในภาคเหนือ ส่งผลกระทบชีวิตผู้คนทั้งในบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นวงกว้าง ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการสรุปรายงานสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา รวมทั้ง 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ มีสถานประกอบการได้รับความเสียหาย จำนวน 61 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 42.1 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการ SME รายย่อย ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อม จำนวนไม่ต่ำกว่า 505 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2567)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและสถานประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เตรียมให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ขณะนี้ทางปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) ได้มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เร่งสำรวจความเสียหายของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบว่ามีกี่ราย เสียหายอย่างไรบ้าง และเร่งส่งมอบถุงยังชีพ 'อุตสาหกรรมรวมใจ MIND ไม่ทิ้งกัน' ซึ่งเป็นการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ผ่านกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทย' บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งของจำเป็นถุงยังชีพรวมใจส่งมอบรอยยิ้ม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในการก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้

นอกจากนั้นยังเตรียมแผนการเยียวยาเต็มรูปแบบ หลังพื้นที่ประสบภัยน้ำเริ่มลดลง ให้หน่วยงานในสังกัด อก. เร่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน โดย...

1) จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ ทีมวิศวกร หรือช่างชุมชนของโครงการอาชีพช่าง เข้าปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟู เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า 

2) จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าประเมินสภาพปัญหาให้คำปรึกษาปัญหาธุรกิจ วางแผน ฟื้นฟูสถานประกอบการ ผ่านศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรมดีพร้อม (DIPROM BSC) 

3) จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำปรึกษาฟื้นฟูกระบวนการผลิต ระบบคุณภาพ GMP/HACCP/GHP มาตรฐานความปลอดภัย ผ่านศูนย์ DIPROM Center ในพื้นที่ส่วนภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติโดยเร็ว 

4) การพักชำระหนี้ 3 เดือน สำหรับลูกหนี้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ

"หลังน้ำลดและสถานการณ์คลี่คลาย ผมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม จะเร่งลงพื้นที่เพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือสถานประกอบการและพี่น้องประชาชนโดยรอบ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ขอร่วมส่งกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ ให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้และกลับมาดำเนินชีวิตในรูปแบบปกติได้โดยเร็ว และจะเดินเคียงข้างพี่น้องประชาชนให้ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้" รมว.เอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

‘นักเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ’ คว้ารางวัล ‘Dow Innovation Award’ จากผลงาน ‘ผลิตไบโอดีเซลจากขยะการเกษตร ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์’

(13 ก.ย. 67) เว็บไซต์ศูนย์ข่าวพลังงาน รายงานความสามารถของเด็กไทย ในการผลิตไบโอดีเซลจากขยะทางการเกษตร ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ต้านโลกร้อน และคว้ารางวัล Dow Innovation Award ได้สำเร็จ ระบุข้อความว่า…

“โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย คว้ารางวัล Dow Innovation Award จากผลงานเรื่อง ‘การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการผลิตไบโอดีเซลจากการย่อยสลายและการเปลี่ยนขยะทางการเกษตรโดยหนอนแมลงวันลาย’ รับทุนการศึกษา 30,000 บาท จากกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ซึ่งสนับสนุนเด็กไทยในระดับมัธยมศึกษาจากทั่วประเทศในการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์…

“โดยได้คัดเลือกโครงงานที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อขจัดปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ของสังคม ภายใต้การประกวด ‘Prime Minister’s Science Award 2024’ ซึ่งจัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย เป็นผู้มอบรางวัลให้กับนายภูดล ศรีรัตนา และนายปพนพัชร์ วิรุฬห์ไววุฒิ นักเรียนเจ้าของโครงการฯ พร้อมกับนางสาววนิดา ภู่เอี่ยม ครูที่ปรึกษาโครงการฯ ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี”

'ครูเดวิด' ดึงสติคนไทย จงภูมิใจในประเทศชาติ หากรู้ว่าเขาไม่ชอบเราเท่าไร จะอุดหนุนไปเพื่อ?

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องติ๊กต็อก ‘David William’ ของ ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ครูสอนภาษาอังกฤษชื่อดังแห่งโลกโซเชียล ได้โพสต์คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘ถ้าพวกเขาไม่ชอบเราจริง ๆ เราควรเลิกอุดหนุนเขานะ’ ผ่านมุมมองของคนอเมริกันที่เคยอยู่ในบริบทของคู่ขัดแย้งระดับโลกอย่าง ‘สหรัฐฯ-จีน’ มาแชร์ให้เห็นถึงภาพที่ใกล้เคียงกับปมขัดแย้งระหว่างชนสองชาติ ‘ไทย-เกาหลีใต้’ ในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้… 

เรื่องดรามาระหว่าง ‘คนไทย’ กับ ‘เกาหลีใต้’ ตอนนี้ มีกรณีหนึ่งที่อยากให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยนี่เป็นเรื่องของความภูมิใจในประเทศตัวเอง และไม่ยอมประเทศหรือคนในประเทศที่เกลียดเขา ว่าพวกเขาปฏิบัติตัวต่อกันอย่างไร 

ตัวอย่างประเทศที่กล่าวถึง คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ถามว่าสหรัฐฯ มีข้อเสียไหม แน่นอนว่ามี แล้วก็ไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์แบบในทุกเรื่องด้วย แต่สิ่งที่คนอเมริกันจะรู้สึกเหมือนกันเรื่องหนึ่งคือ ‘ความภูมิใจ’ โดยพวกเขาจะไม่ยอมให้ใครหรือประเทศไหนที่ไม่ชอบเขามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น จีน ที่สังเกตได้ว่า ไม่ว่าจีนจะขายของให้สหรัฐฯ แค่ไหนก็ตามแต่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, มือถือ สหรัฐฯ จะใส่ภาษีเข้าไปหนักมาก พูดง่าย ๆ ถ้าคิดจะนำสินค้าจีนมาขายในสหรัฐฯ จะต้องโดนภาษีหนักกว่ารายอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากจีน

ถามว่าสิ่งนี้เป็นเพราะอะไร?

เพราะเขามองว่า ‘จีน’ ไม่เป็นมิตรกับคนอเมริกัน และทั้งสองประเทศนี้ ก็ไม่ได้ชอบกันเท่าไร เช่นเดียวกันกับ ‘ประเทศจีน’ ที่ก็ไม่ได้ชอบใช้สินค้าจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน และจะใช้แต่ของจากประเทศตัวเองด้วย

เรื่องนี้ไม่ได้จะบอกว่า ประเทศไหนดีหรือไม่ดี แต่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเราสังเกตประเทศเหล่านี้ (สหรัฐฯ-จีน) พอเขารับทราบว่าใครไม่ชอบตน เช่น จีนรับทราบว่า อเมริกันไม่ชอบพวกเขา และสหรัฐฯ ก็รับทราบว่าคนจีนไม่ชอบพวกเขา ต่างคนต่างก็จะไม่ยุ่งกัน เพราะเขามี ‘ศักดิ์ศรี’

ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะเห็นจากประเทศไทย คือ อยากให้คนไทยมีความภูมิใจแบบนี้ ผมไม่ได้บอกว่าประเทศใดดีกว่าใคร ทุกคนเท่าเทียมกันหมด แต่อย่างน้อย ถ้า ‘ประเทศไทย’ รับทราบว่า ‘ประเทศเกาหลีใต้’ ไม่ได้ชอบเราเลย แล้วทำไมทุกวันนี้เรายังเลือกจะไปอุดหนุนเขาอีก...เพื่ออะไร?

ผมไม่เข้าใจว่า เรารับทราบ ว่าเขาดูถูกเรา ไม่ชอบเรา แต่ยังบ้าเขา ชอบเขา ยังอุดหนุนเขาไม่หยุด อย่างน้อย ๆ เราควรมีศักดิ์ศรี และภูมิใจในความเป็นไทยหรือไม่

ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนัก คือ เราไม่ควรจะทนกับประเทศหนึ่ง ที่ดูถูกพวกเราโดยไร้เหตุผล

แน่นอน คนเกาหลีใต้ ดี ๆ ที่ให้เกียรติคนไทยก็มีอยู่มาก แต่จากภาพรวมวันนี้ คนไทยเราน่ารักเกินไปกับทุกเรื่อง และได้เวลาแล้วที่วันนี้เราควรจะรู้ตัว เมื่อเขาดูถูกเรา และไม่จำเป็นต้องอุดหนุนเขาในทุกสิ่งบ้างก็ได้

'ฉลอง ภักดีวิจิตร' เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 93 ปี ปิดตำนาน 'เจ้าพ่อหนังแอ็กชัน-ระเบิดภูเขาเผากระท่อม'

(13 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก 'ดาราภาพยนตร์' ได้แจ้งเรื่องเศร้าคนบันเทิง ปิดตำนาน ระเบิดภูเขาเผากระท่อม 'อาหลอง-ฉลอง ภักดีวิจิตร' ศิลปินแห่งชาติ เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 93 ปี

สำหรับ ฉลอง ภักดีวิจิตร หรือชื่อจริงว่า บุญฉลอง ภักดีวิจิตร เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และผู้กำกับละครโทรทัศน์ชาวไทย มีฉายาที่วงการภาพยนตร์ขนานนามให้คือ เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น มีผลงานกำกับภาพยนตร์ไทยอย่าง เรื่อง ทอง และ ทอง 2 ทางด้านงานละคร ฉลองเป็นผู้บุกเบิก ละครแนวแอ็กชันของทางช่อง 7 สี คือ ระย้า นำแสดงโดยพีท ทองเจือ กับฉัตรมงคล บำเพ็ญ และยังมีผลงานกำกับละครอีกมากมาย อาทิ อังกอร์, ทอง 5, ล่าสุดขอบฟ้า, อังกอร์ 2, เหล็กไหล, ฝนเหนือ, ชุมแพ, ทอง 9, ผ่าโลกบันเทิง, เสาร์ 5 ฯลฯ

นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปี พ.ศ. 2556 และเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ฉลอง ภักดีวิจิตรได้ถูกบันทึกลงใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ว่าเป็นผู้กำกับการแสดงที่มีอายุมากที่สุดในโลก (Oldest TV Director) (อายุวันที่จดสถิติ 1 กันยายน 2565 คือ 90 ปี 297 วัน)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top