Wednesday, 11 June 2025
TheStatesTimes

‘วราวุธ’ เร่งช่วยเหลือประชาชน จัดทีมงานลงพื้นที่ ‘ภูเก็ต’ เพื่อ ‘ช่วยเหลือ-ฟื้นฟู-เยียวยา’ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมดินถล่ม

(24 ส.ค. 67) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานจากศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จังหวัดภูเก็ต ว่า เมื่อวันที่ 22 - 23 ส.ค. 67 จังหวัดภูเก็ตมีฝนตกหนักต่อเนื่องในตัวเมืองภูเก็ต ทำให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและถนนหลายสาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวนมากถึง 250 ครัวเรือน และมีดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนประชาชน 2 หลัง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย เป็นคนไทย 2 ราย ชาวต่างชาติสัญชาติเมียนมา 3 ราย นอกจากนี้ ยังมีคนสูญหายอีก 6 ราย เป็นคนไทย 1 ราย ชาวต่างชาติสัญชาติเมียนมา 4 ราย และรัสเซีย 1 ราย อีกทั้งมีครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ อายุ 83 ปี ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจมน้ำและสำลักโคลน ขณะนี้ได้นำส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว 

นายวราวุธ กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ขอแสดงความห่วงใยกับผู้ได้รับบาดเจ็บ และพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ตที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ซึ่งตนได้กำชับหน่วยงานทีม พม. หนึ่งเดียว จังหวัดภูเก็ต เฝ้าระวังดูแลผู้รับบริการในความคุ้มครองของหน่วยงาน และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ขณะนี้ทางจังหวัดภูเก็ตได้ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่วัดกะตะ และ วัดกะรน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ร่วมให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัย ซึ่ง ทีมศรส.จังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานทีม พม.หนึ่งเดียว จังหวัดภูเก็ต ได้ส่งนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาเพื่อให้การฟื้นฟูเยียวยาสภาพจิตใจและช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมทั้งร่วมกับทีมสหวิชาชีพวางแผนการช่วยเหลือทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะการช่วยเหลือหลังน้ำลด ซึ่งจะมีการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและให้ความช่วยเหลือร่วมกับทีมสหวิชาชีพ อปท. และ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หากประชาชนประสบปัญหาอุทกภัย สามารถขอความช่วยเหลือ ได้ที่ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จังหวัดภูเก็ต และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่  

‘รมว.พิพัฒน์’ เอาจริง!! ตรวจเข้มแรงงานข้ามชาติ ‘ผิดกฎหมาย’ ปฏิบัติการ!! ‘เจอ-จับ-ปรับ-ผลักดัน’ 78 วัน ดำเนินคดีแล้วกว่า 1.4 พันคน

(24 ส.ค. 67) นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน ปฏิบัติตามข้อสั่งการของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ‘เจอ จับ ปรับ ผลักดัน’  ตรวจสอบ จับกุม และดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างชาติ ที่ลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ควบคู่กับประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างชาติ มีความรู้ความเข้าใจสามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของคนต่างด้าว และมติครม.ในคราวต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เป็นระยะเวลา 120 วัน โดยส่งชุดปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน กำลังพลจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของแรงงานข้ามชาติอย่างเข้มงวด มีผลการดำเนินการระหว่างวันที่ 5 – 22 สิงหาคม 2567 รวม 78 วัน ตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานข้ามชาติทั่วประเทศแล้ว 15,718 แห่ง ดำเนินคดี 539 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 208,035 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 155,669 คน กัมพูชา 32,810 คน ลาว 12,920 คน เวียดนาม 141 คน และสัญชาติอื่น ๆ 6,495 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 1,438 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 914 คน กัมพูชา 208 คน ลาว 188 คน เวียดนาม 26 คน และสัญชาติอื่น ๆ 102 คน

นายสมชาย กล่าวต่อว่า กรมการจัดหางาน จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อให้แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างเหมาะสม สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่ทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมทั้งไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี และนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี 

ทั้งนี้ หากพบเห็นการจ้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย หรือพบเห็นคนต่างชาติทำงานนอกเหนือสิทธิที่ทำได้ขอความร่วมมือทุกท่านแจ้งเบาะแสมาที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน อาคารกระทรวงแรงงาน ชั้น 4 โทร. 0 2354 1729 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร 1694

'ชาวเน็ต' แห่แชร์ #Saveลุงป้อม 'บูรพาพยัคฆ์ผู้ใจดี-ส่งเสริมให้โอกาสคน' แต่พอใครได้เป็นใหญ่ ก็พร้อมใจเนรคุณ เตือน!! อย่าปลุกเสือคำราม

(24 ส.ค. 67) กลายเป็นอีกหนึ่งเนื้อหา (เพลง) ที่ถูกแชร์ออกไปอย่างมากในเวลานี้ กับ คลิปไวรัล 'บูรพาพยัคฆ์ พิทักษ์ลุงป้อม' ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้...

"เกียรติศักดิ์ศรี นี้ไม่ให้ใครเหยียดหยาม
คือเสียงพยัคฆ์คำราม ก้องมาจากป่ารอยต่อ
ชายชาตินักรบ ป้องพื้นดินของพ่อ
วันนี้หมู่มารลวงล่อ ต้องการล้างผลาญทำลาย...

"ตำหน้าตำตา ต้องมาต่อกรราวี
ทําร้ายผู้ชายใจดีอบอุ่น ไม่มีพิษภัย
ทั้งที่เคยช่วยส่งเสริมพวกมึงมากมาย
เพียงเพราะลาภ เพราะยศ เป็นใหญ่
ทำให้ต้องเนรคุณ...

"แล้วมึงจะรู้ ว่าบูรพาพยัคฆ์ 
คือเสือที่คอยปกปัก พิทักษ์แผ่นดินสยาม
หากเป็นคนดีกูส่ง แต่มึงมันชั่วต่ำทราม
วันไหนที่เสือคำราม มึงก็แค่หมาตัวหนึ่ง"

หรือนี่จะคือสัญญาณครั้งใหญ่จาก 'บูรพาพยัคฆ์' ที่ถูกหยามหมิ่น!!

'นายกฯ' ลงพื้นที่ จ.น่าน 'ทอดไข่เจียว-ผัดข้าว' แจกจ่ายประชาชน พร้อม 'ติดตามสถานการณ์-ให้กำลังใจ' ผู้เผชิญน้ำท่วม

(24 ส.ค. 67) ที่ ท่าอากาศยาน จ.น่าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.แพร่ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.น่าน เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม

โดยมี นายทรงยศ รามสูต นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ พรรคเพื่อไทย รอให้การต้อนรับ โดยทันทีที่มาถึง จ.น่าน น.ส.แพทองธาร เดินทางไปยังสถานีดับเพลิงเทศบาลเมืองน่าน ที่ใช้เป็นที่สำหรับประกอบอาหารเป็นโรงครัวแจกจ่ายประชาชนโดย น.ส.แพทองธาร ได้เดินทักทายให้กำลังใจอาสาสมัครและสภากาชาด

ที่มาช่วยกันปรุงอาหารให้กับประชาชน พร้อมกันนี้น.ส.แพทองธาร ได้ช่วยปรุงอาหาร ทอดไข่เจียวและบรรจุอาหารใส่ถุง เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ประสบภัยในจุดที่น้ำยังท่วมสูง  

'เพชรมงคล' คนรุ่นใหม่ ปชป. ชี้!! พรรคเข้าร่วมรัฐบาลหวังทำงานเพื่อปชช. ยืนยัน!! ไม่ว่ามติพรรคจะออกมาอย่างไร สมาชิกพรรคควรเคารพ

(24 ส.ค. 67) นายเพชรมงคล วัสสุวรรณ เลขานุการ สส.สมบัติ ยะสินธุ์ และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ประเด็นเรื่องการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ นั้น ส่วนตัว ผมเคารพในมติพรรค สำหรับผมแล้ว การเคารพมติพรรคเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกันภายใต้พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย  

พรรคประชาธิปัตย์ เรายึดมั่นในหลักการนี้ การเคารพมติพรรค เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญที่แสดงถึงการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบและความเป็นหนึ่งเดียวกันในองค์กร การที่สมาชิกพรรคทุกคนเคารพมติพรรค หมายถึงการยอมรับผลการตัดสินใจที่เกิดจากการปรึกษาหารือร่วมกัน ซึ่งเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง

เพราะประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการมีอิสระที่จะทำตามใจตัวเอง แต่หมายถึงการทำงานร่วมกันภายใต้กฎเกณฑ์และมติเสียงส่วนใหญ่ การเคารพในเสียงส่วนใหญ่และการปฏิบัติตามมติพรรคเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองทำงานภายใต้อุดมการณ์ 10 ข้อที่เป็นหลักการที่สำคัญในการทำงานทางการเมืองของพรรค ดังนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ก็มิได้ขัดอุดมการณ์ของพรรคแต่อย่างไร การเข้าร่วมรัฐบาลก็คือส่วนหนึ่งในการดำเนินการเมืองโดยวิถีอันบริสุทธิ์ เพื่อทำงานให้พี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจหรือไม่สามารถเคารพมติพรรคได้ ต้องลดทิฐิ และควรพิจารณาตัวเองว่ามีความเหมาะสมที่จะเรียกตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเคารพในกระบวนการและการตัดสินใจที่เกิดขึ้นร่วมกันในพรรค คือสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นและความสามัคคีในองค์กร ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญในการรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือของพรรคในอนาคตได้ 

‘รัชกาลที่ 9’ ทรงเรียกประชุม เพื่อทรงสอบถามถึง ‘สถานการณ์น้ำ’ รับสั่งย้ำ!! ‘ไม่มีวันหยุดหรอก เขาทุกข์เดี๋ยวนี้ ต้องไปเดี๋ยวนี้เลย’

(24 ส.ค. 67) หลายปีก่อนกรุงเทพฯ กำลังจะเกิดน้ำท่วมใหญ่จากน้ำที่ไหลบ่ามาจากทางภาคเหนือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จึงทรงเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทรงสอบถามถึงสถานการณ์น้ำ หน่วยราชการได้กราบบังคมทูลว่าพรุ่งนี้จะไปดำเนินงาน
พระองค์จึงตรัสถามว่า...

"...น้ำหยุดแล้วหรือ ไปเดี๋ยวนี้แหละ คืนนี้เลย น้ำไม่ใช่ว่าเริ่มไหลเวลาแปดโมงครึ่ง แล้วก็สี่โมงครึ่งหยุดพักตามริมตลิ่ง..."
แม้ในวันนั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จะไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ทว่าก็เคยได้รับการสั่งสอนในแบบเดียวกัน

"...เคยรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าฯ ในวันศุกร์ มีรับสั่งว่า ที่ตรงนี้ที่ตรงนั้นเขาอดอยากอยู่ ผมกราบทูลว่า เดี๋ยววันจันทร์ข้าพระพุทธเจ้าจะรีบไปพระพุทธเจ้าข้า พระองค์รับสั่งทันทีว่า...

"...ความทุกข์ ความทรมานไม่มีวันหยุดหรอก เขาทุกข์เดี๋ยวนี้ ต้องไปเดี๋ยวนี้เลย..."

'อรรถวิชช์' เผย 'เอกนัฏ' ให้ปากคำปมคดี 112 ของ 'ทักษิณ' เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ตรงไปตรงมา ไม่เกี่ยวเรื่องตำแหน่ง

(24 ส.ค. 67 ) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ฝ่ายกฎหมายพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นผู้ให้ปากคำในคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร และประเด็นคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น 

ประเด็นการให้ปากคำนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏ ไปให้ปากคำ จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริง มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง อีกทั้งการให้ปากคำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงต้นปี ไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใด ๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาลที่จะตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป 

สำหรับประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าดูตามตัวอักษรในกฎหมาย วิ.อาญามาตรา 15 ประกอบ วิ.แพ่ง มาตรา 145 วรรค 1 ได้วางหลักว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี

ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมายกฟ้องนายเอกนัฏแล้ว เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเบื้องต้นหมายความว่า หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาเห็นเป็นอย่างอื่นออกมา นายเอกนัฏเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน 

ดังนั้นประเด็นเรื่องคุณสมบัติของนายเอกนัฏจึงไม่มีปัญหาอย่างใด  นอกจากนี้ยังมีกระบวนการตรวจสอบของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมากอีก คาดว่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้

“ข้อกฎหมายชัดเจนว่าคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรีได้ ใจผมอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าบริหารบ้านเมืองบ้าง” นายอรรถวิชช์ กล่าว

สื่อจีนตีข่าวไทยส่ง 'โทนี่ เตียว' อาชญากรโกงคริปโตฯ 4 แสนล้านกลับไปให้จีนดำเนินคดี ด้าน ปปง.จ่อยึดทรัพย์อาณาจักรหมื่นล้าน 'ด่านนอก' นักการเมืองบางคนจ้องตาเป็นมัน

กรณีที่ไทยส่งตัวนายโทนี่ เตียว หรือที่ใช้ชื่อนายจาง อาชญากรฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลไปยังประเทศจีน

โดยสื่อจากประเทศจีนรายงานข่าวว่า ทางการไทยได้มีการส่งตัวนายจาง มูมู (Zhang Moumou) ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท MBI อันโด่งดังไปยังประเทศจีน หลังจากที่มีการตามล่าตัวนายจางในระดับระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน

สื่อจีนชื่อว่า The Paper รายงานว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนครั้งนี้เป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจภายใต้สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนจีน-ไทย ซึ่งลงนามในปี 2542 สำหรับพฤติการณ์ของนายจางเริ่มขึ้นในปี 2555 เกี่ยวข้องกับโครงการปิรามิดออนไลน์ที่อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูงผ่านสกุลเงินดิจิทัลเสมือนจริง

ตามรายงาน โครงการ MBI กําหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการต้องชําระค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 700 ถึง 245,000 หยวน (3,328 ถึง 1,165,995 บาท) เพื่อเข้าร่วม รายได้นี้เชื่อมโยงกับการสรรหาสมาชิกใหม่และระดับของเงินทุนที่ลงทุน มีรายงานว่ามีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการมากกว่า 10 ล้านคน โดยมีเงินทุนรวมเกิน 1 แสนล้านหยวน (475,916,337,000 บาท) บทบาทของนายจางในปฏิบัติการนี้ทําให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องการตัวมากที่สุดของจีน

สํานักความมั่นคงสาธารณะเทศบาลฉงชิ่งตั้งข้อหานายจางอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2563 ต่อมาในเดือนมีนาคม 2564 สํานักงานตํารวจสากล สาขาประเทศจีน ได้ออกหมายแดงสำหรับนายจาง และตํารวจไทยได้จับกุมนายจางเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 

อย่างไรก็ตาม กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นซับซ้อน เพราะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนทางกฎหมายหลายขั้นตอน ทางการจีนขอให้ส่งนายจางในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการภายใต้สนธิสัญญาทวิภาคี ซึ่งนําไปสู่คําตัดสินของศาลอุทธรณ์ไทยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลไทยยืนยันการตัดสินใจเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ2567 และนายจางถูกส่งตัวกลับไปยังจีนหลังจากนั้นไม่นาน

กรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน สถานทูตจีนในประเทศไทย และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย ปฏิบัติการร่วมนี้ดําเนินการภายใต้ "ปฏิบัติการล่าสุนัขจิ้งจอก" ของจีน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ

กล่าวสำหรับอาณาจักรโทนี่เตียว หรือ"เตียว วุย ฮวด" หรือ "โทนี่ เตียว" เป็นคนมาเลเซียเชื้อสายจีน ชื่อทางการในภาษามาเลเซียจึงออกสำเนียงจีนที่เขียนด้วยอักษรไทยได้ว่า “เตียว วุย ฮวด” ชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการคือ “เสี่ยวจาง” แต่มีคนจำนวนหนึ่งพานเรียกว่า “เสี่ยจาง” ซึ่งได้ความหมายเช่นกัน ส่วนชื่อเรียกที่ออกไปทางสากลแบบถูกลิ้นฝรั่งและโดยเฉพาะคนไทยด้วยคือ “โทนี่ เตียว” แต่สำหรับคนจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเลอื่นๆ จะผิดแผกไปนิดเรียกขานเขาว่า “เทดี้ เตียว”

“เตียว วุย ฮวด” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงและฟอกเงินในมาเลเซีย รวมถึงในสาธารณรัฐประชาชนจีน “เทดี้ เตียว” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงเช่นกัน เป็นหมายแดงขององค์การตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.2563 อายุความตามหมาย 15 ปี หรือกว่าจะหมดอายุความก็ต้องปี 2578 จากคดีฉ้อโกงที่เกิดจาก MBI International Holdings ได้ออกแพลตฟอร์มชื่อ NSC แล้วชักชวนให้คนจีนร่วมลงทุนในลักษณะเดียวกับ “แชร์ลูกโซ่” แบ่งสมาชิกออกเป็น 8 ระดับ โดยใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรเป็นตัวล่อ แล้วจัดทัวร์พาผู้ร่วมทุนจากจีนไปท่องเที่ยวในอาณาจักรของเครือบริษัทในประเทศต่างๆ แต่ภายหลังทางการมาเลเซียสั่งอายัดทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินไปต่อเงิน จึงเกิดการฟ้องร้องขึ้นนำมาสู่การออกหมายจับแดงดังกล่าว

การทำธุรกิจในนาม MBI International Holdings ในมาเลเซียและจีน หรือบริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ในประเทศไทย ล้วนตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือ เน้นการเรียกเชิญชวนให้ผู้คนให้มาร่วมลงทุนด้วยจากการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แบบครบวงจร ซึ่งต้องใช้ที่ดินนับร้อยนับพันไร่ ภายในโครงการจะประกอบไปด้วยบ้านจัดสรร บ้านพักตากอากาศ โรงแรม รีสอร์ต สวนผลไม้นานาชนิด รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สนามกีฬา ห้องประชุมและสันทนาการ ลานจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ แล้วยังเพิ่มเติมด้วยการสร้างสิ่งดึงดูดใจให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ หรือจุดเช็กอินมากมาย ตามแต่ว่าคนในประเทศที่โครงการตั้งอยู่ชื่นชอบสไตล์ไหน

สำหรับที่เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ 'ด่านนอก' อ.สะเดา จ.สงขลา บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ได้ลงทุนไปแล้วนับหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2550 หรือเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา โดยกว้านซื้อที่ดินไว้หลายพันไร่ ภายในโครงการประกอบด้วย โรงแรม 6 แห่ง รีสอร์ต 2 แห่ง อพาร์ตเมนต์ 9 แห่ง สถานบันเทิง สวนสนุก ธุรกิจประเภทเฟอร์นิเจอร์ หมู่บ้านวัฒนธรรมอาเซียน มีการจำลองวัดร่องขุ่น พระพิฆเนศองค์ใหญ่ สวนไดโนเสาร์ เมืองคาวบอย ฟิวเจอร์ปาร์ค ฟาร์มม้า สวนแพนด้า กระทั่งศาลไคฟงก็ยังมี

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานไว้ว่า บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป สัญชาติมาเลย์เข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยครั้งแรกปี 2545 แล้วในปี 2559 ขยับขยายบริษัทในเครือเพิ่มเป็น 15 บริษัท รวมทุนจดทะเบียนได้ 662.5 ล้านบาท แบ่งเป็นใน อ.สะเดา และ อ.นาทวี จ.สงขลา 14 บริษัท และที่กรุงเทพฯ 1 บริษัท เช่น บริษัท บิลเลี่ยนคอนโด จำกัด ทำธุรกิจโรงแรม จดทะเบียน 4 กันยายน 2545 ทุน 51.5 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 49% บริษัท เอ็มวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 18 มกราคม 2551 ทุน 100 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 30% บริษัท เค.เอ.ดับเบิลยู. จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 30 กันยายน 2551 ทุน 125 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 60% บริษัท เอ็มบีไอ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 30% และนายเตียว อี เม้ง 10% (มาเลเซีย) และบริษัท เซาท์เทิร์น เอเซีย จำกัด อสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียน 3 ธันวาคม 2558 ทุน 300 ล้าน

ส่วนอาณาจักรของเสี่ยวจางจะเกี่ยวข้องกับใคร นักการเมืองคนไหนบ้าง ในวงการเมืองพอจะรับรู้กัน มีผู้มากบารมีในสงขลาเกี่ยวแน่นอน

ให้จับตาว่า เมื่อ ปปง.ซึ่งยึดทรัพย์เสึ่ยว จาง ไว้หมดแล้ว เมื่อเปิดประมูลขาย ใครจะเป็นคนเข้ายื่นประมูลบ้าง อาจจะมีนักการเมืองบางคนจ้องตาเป็นมันก็ได้

'โด่ง-อรรถชัย' ลั่น!! เห็นข่าวนํ้าท่วมตอนนี้ คิดถึงได้แค่เรื่องเดียว ข่าว 'วิสุทธิ์ ไชยณรุณ' ร่ำไห้!! ถูกบางพรรคตัดงบฯ ฝายแกนซีเมนต์

(24 ส.ค. 67) ‘โด่ง อรรถชัย’ โพสต์คลิป โดยมีเนื้อหา ดังนี้ …

เมื่อประมาณต้นปีตอนที่เราผ่านงบประมาณ 2567 กัน มีภาพนี้เกิดขึ้นในสภาคือ ภาพของ ‘นายวิโรจน์’ ที่เต้นแร้งเต้นกา เยาะเย้ยฝ่ายรัฐบาล

เพราะว่าเค้าล้มงบประมาณโครงการหนึ่งไปได้ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลเสนอและเป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยยืนยันอย่างยิ่งนะครับว่า เป็นโครงการที่สําคัญนั่นก็คือเขื่อน โครงการเขื่อนซีเมนต์

เขื่อน แกนดิน ซีเมนต์ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดเล็กนะซึ่งสามารถอนุมัติงบประมาณทําให้อบจ. อบต. หน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนําไปสร้างกันได้ง่ายง่ายกันได้เร็ว ใช้งบประมาณไม่เยอะ แต่มันจะเกิดฝ่ายทดน้ำ จํานวนมากเมื่อเกิดน้ำาท่วมขึ้นมาเนี่ยฝายเหล่านี้เนี่ยก็จะไปช่วยชะลอ กําลังน้ำ ที่ไหลมาตามแม่น้ำ ทําให้น้ำไม่สามารถจะไหลบ่าเข้าท่วมในพื้นที่ต่างต่างได้อย่างรวดเร็ว

เพราะรักเวลาน้ำท่วมแบบนี้ ผมเห็นสภาพทางภาคเหนือ แล้วผมนึกถึงภาพนี้ทุกที นึกถึงบรรยากาศวันนั้นที่พวกเขาหัวเราะเยาะพรรคเพื่อไทยเขาดีใจที่ล้ม

ตัดงบประมาณเขื่อนแกนดินซีเมนต์ตัวนี้ไปได้ซึ่งรายการรู้ทันเอารายละเอียดของเรื่องนี้มาว่ากันแล้วพูดไปแล้วโครงการนี้เป็นโครงการที่ผมบอกว่าดีมากๆนะครับ

ดีมากๆ วันนั้นท่านวิสุทธิ์ไชยณรุณเนี่ยถึงกับหลั่งน้ำตาเลยนะ ครับคุณคิดว่าคุณทําลายเพื่อไทยหรอคุณคิดว่าคุณสกัดงบเพื่อไทยเสนอไปได้โดยไปบอกว่าในระดับเพื่อไทยก็จะเอาไปแล้วไปแบ่งเงินกินกับผู้รับเหมา

ระดับทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้มันไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียวกล่าวหานะครับแล้วก็ล้มโครงการนี้ลง

วันนั้น คุณวิสุทธิ์ ร้องไห้เลยนะจําได้ไหมแล้วก็ที่เขาร้องไห้เขาเจ็บปวดแทนชาวบ้านเขารู้

แล้วเดี๋ยวหน้าฝนกําลังจะมานะครับ น้ำท่วมกําลังจะมา

ภัยพิบัติกําลังใจแล้วไม่ใช่แค่นี้นะนะครับเดี๋ยวจะมีอีกพายุจะมาอีกหลายลูกแล้วเวลาน้ำท่วมทีไร ท่านให้คิดเถอะว่าพรรคไหนนะครับเป็นพรรคที่สกัด

วันนี้ก็ผมเห็นอยู่ตามหน้าจอนะครับ มาเรียกร้องให้แก้ไข 
ให้รัฐบาลไปช่วยกันแก้ไขหาเรื่อง รัฐบาลทั้งๆที่เขาอยู่ในลักษณะรักษาการนะครับแต่ว่าอํานาจในการดูแลตรงนี้มีข้าราชการ

แต่ว่าประเด็นก็คือว่า เขาทํางานอยู่

ไม่ได้นิ่งนอนใจครับแต่เชื่อไหมครับว่าการแก้ไขเนี่ย  ยังไงก็ตามมันไม่ดีเท่าการป้องกันหรอก

วันที่เขาจะป้องกันสร้างเขื่อนแกนดินซีเมนต์เนี่ย

ของบประมาณพวกคุณขัดขวางพวกคุณตัดงบนี้ทิ้ง

ลไม่ให้มีแนวป้องกันให้กับประชาชน

วันนี้พอน้ำท่วมคุณก็หันมาด่ารัฐบาล ว่าทําไมไม่เร่งรีบแก้ไข พรรคนี้ครับ ‘ผมบอกว่า ผมจะไม่สนับสนุนตลอดกาล’

อินเตอร์ลิ้งค์ฯ รวมพลังเป็นหนึ่ง “ปลูกต้นไม้ล้ำค่า คืนพื้นที่ป่าให้ชุมชน” สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้สังคมเมือง เพื่อถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567

เพิ่มพื้นที่สีเขียว กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐ ขับเคลื่อนฟื้นฟูพื้นที่น่าอยู่ให้ชุมชนเมือง ร่วมกับการดูแลสังคม และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครบรอบ 92 พรรษา ที่บริษัทฯ มีความตั้งใจ และพร้อมที่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังในการขับเคลื่อนคืนผืนป่า และต้นไม้ เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากร รักษาระบบนิเวศ และพัฒนาชุมชน ให้ก้าวสู่สังคมเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน

วันนี้ (24 ส.ค. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ จัดทำโครงการ “อินเตอร์ลิ้งค์ ปลูกต้นไม้ล้ำค่า คืนพื้นที่ป่าให้ชุมชน” ณ สวนป่าพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โดยได้รับความร่วมมือจากทางการพิเศษแห่งประเทศไทย และสำนักงานเขตห้วยขวาง เป็นอย่างดีที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการทำกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครบรอบ 92 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2567 อีกด้วย 

 พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้เห็นถึงความสำคัญในทุก ๆ มิติ อย่างครอบคลุมทุกรอบด้าน โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ไม่เคยมองข้าม พร้อมทั้ง มีความตั้งใจที่จะคว้าโอกาสในการตอบแทนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล เพื่อให้กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะพัฒนาพื้นที่เล็ก ๆ ให้กลายเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยผืนป่าไม้อันเขียวขจี ตลอดจนมุ่งพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเป็นองค์กรที่ดีสำหรับสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ให้เติบโตเคียงข้างไปด้วยกัน อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน สอดรับกับนโยบายของบริษัทฯ ที่เติบโตก้าวหน้ากว่า 38 ปี

งานนี้ คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการฯ และ ดร.ชลิดา อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ลงพื้นที่ปลูกต้นไม้ พร้อมคณะผู้บริหาร และพนักงานกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รวมพลังเป็นส่วนหนึ่งแห่งการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ใส่ใจ ให้ความสำคัญ และยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรอีกด้วย ปลูกต้นไม้กว่า 92 ต้น แบ่งออกเป็น “ต้นทองอุไร และต้นเหลืองปรีดียาธร” โดยที่บริษัทฯ ตั้งใจปลูกฝังให้พนักงานทุกท่านมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งโครงการนี้ ทุกท่านได้รวมพลังลงมือร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อสร้างเสริมเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับคนในชุมชนเมือง สู่การมีสวนสาธารณะ สำหรับพักผ่อน ออกกำลังกาย และยังช่วยลดฝุ่นละออง ลดมลพิษทางอากาศ เพื่อส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนที่มาใช้บริการในสวนสาธารณะเขตพื้นที่ห้วยขวางแห่งนี้

นับว่า กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ มีความตั่งมั่นอันแน่วแน่ จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ให้กับคนในสังคมเมืองกรุง เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งส่งเสริมให้พนักงานได้สานต่อแนวคิด ESG อย่างครบทุกมิติ ควบคู่ไปกับเป็นการปลูกฝังถึงความสมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อการทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ สานสัมพันธ์ภายในองค์กรให้เหนียวแน่นแบบไร้รอยต่อ ตลอดจน บริษัทฯ ยังคงตระหนักถึงการมีเจตนารมณ์ และมุ่งมั่นที่จะนำพาความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม มาพัฒนาให้ก้าวหน้า พร้อมเติบโตควบคู่ไปกับสังคมเมือง โดยวางเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้วว่า ในอนาคตจะผลักดันให้ในทุก ๆ เขตพื้นที่ของชุมชนเมืองนั้น เป็นพื้นที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นสวนสาธารณะที่มีความร่มรื่น และมีทัศนียภาพอันสวยงาม ด้วยการรักษา อนุรักษ์ และรณรงค์ ร่วมมือกันปลูกต้นไม้ เพื่อคืนพื้นที่ป่าให้ชุมชน สร้างโลกนี้ให้น่าอยู่อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top